ข้ามไปยังเนื้อหา

ข้ามไปยังสารบัญ

วิธีที่ความหิวกระหายฝ่ายวิญญาณของฉันได้รับการตอบสนอง

วิธีที่ความหิวกระหายฝ่ายวิญญาณของฉันได้รับการตอบสนอง

วิธี​ที่​ความ​หิว​กระหาย​ฝ่าย​วิญญาณ​ของ​ฉัน​ได้​รับ​การ​ตอบ​สนอง

เล่า​โดย​ลูชีอา มูซาเนตต์

ส่วน​ที่​เบียด​ตัว​อยู่​ใน​เทือก​เขา​ทาง​ตะวัน​ตก​เฉียง​เหนือ​ของ​อิตาลี ใกล้​หุบเขา​แอลป์​ของ​สวิส​ด้าน​ที่​ติด​กับ​เทือก​เขา​มองต์บลังซ์​ที่​ขึ้น​ชื่อ​ของ​ฝรั่งเศส คือ​เขต​วัลเลดาออสตา. ฉัน​เกิด​ที่​นั่น​เมื่อ​ปี 1941 ณ ชุมชน​เล็ก ๆ แห่ง​ชาลันต์ เซนต์ อันเซลม์.

ฉัน​เป็น​คน​โต​ใน​บรรดา​ลูก​ห้า​คน น้อง​ทั้ง​สี่​คน​เป็น​ผู้​ชาย. แม่​เป็น​คาทอลิก​ที่​ขยัน​ขันแข็ง​และ​เคร่ง​ศาสนา. ส่วน​พ่อ​มา​จาก​ครอบครัว​ที่​เคร่ง​ศาสนา​เช่น​เดียว​กัน. พี่​สาว​สอง​คน​ของ​พ่อ​บวช​เป็น​แม่ชี. พ่อ​แม่​ของ​ฉัน​สละ​หลาย​สิ่ง​เพื่อ​ฉัน รวม​ทั้ง​ส่ง​เสีย​ฉัน​ให้​เรียน​หนังสือ. ใน​ชุมชน​เล็ก ๆ ของ​เรา​ไม่​มี​โรง​เรียน ดัง​นั้น พอ​อายุ 11 ขวบ พ่อ​แม่​ส่ง​ฉัน​เข้า​โรง​เรียน​กิน​นอน​ซึ่ง​มี​แม่ชี​เป็น​ผู้​อำนวย​การ.

ที่​โรง​เรียน ฉัน​เรียน​ภาษา​ลาติน​และ​ฝรั่งเศส และ​รวม​ทั้ง​วิชา​อื่น ๆ ด้วย. ครั้น​อายุ​ย่าง 15 ฉัน​เริ่ม​คิด​อย่าง​จริงจัง​ว่า​จะ​รับใช้​พระเจ้า​อย่าง​ไร. ฉัน​คิด​หา​เหตุ​ผล​ว่า​การ​เข้า​มา​อยู่​ใน​สำนัก​ชี​น่า​จะ​เป็น​แนว​ทาง​ที่​ดี​ที่​สุด. อย่าง​ไร​ก็​ดี ทั้ง​พ่อ​และ​แม่​ไม่​ชอบ​แนว​คิด​นี้ เพราะ​นั่น​จะ​ทำ​ให้​แม่​ต้อง​ดู​แล​พวก​น้อง ๆ เพียง​ลำพัง. พ่อ​แม่​เคย​หวัง​กัน​ว่า การ​ศึกษา​จะ​ช่วย​ให้​ฉัน​ได้​งาน​ที่​ดี​ทำ​และ​มี​ราย​ได้​มา​ช่วย​จุนเจือ​ครอบครัว.

แม้​ปฏิกิริยา​ของ​พ่อ​แม่​ทำ​ให้​ฉัน​รู้สึก​เสียใจ แต่​ฉัน​ต้องการ​มี​จุด​มุ่ง​หมาย​ที่​แท้​จริง​ใน​ชีวิต​และ​รู้สึก​ว่า​พระเจ้า​น่า​จะ​อยู่​ใน​อันดับ​แรก. ดัง​นั้น ปี 1961 ฉัน​ก็​เข้า​สู่​สำนัก​ชี​นิกาย​โรมัน​คาทอลิก.

ชีวิต​ฉัน​สมัย​เป็น​แม่ชี

ช่วง​เดือน​แรก ๆ ฉัน​เรียน​รู้​กฎ​ข้อ​บังคับ​ต่าง ๆ ของ​โบสถ์ แล้ว​ก็​ทำ​งาน​ที่​ต้อง​ใช้​แรง​ใน​สำนัก​ชี. ใน​เดือน​สิงหาคม 1961 ฉัน​เริ่ม​เป็น​แม่ชี​ฝึก​หัด และ​เริ่ม​สวม​เครื่อง​แบบ​แม่ชี. นอก​จาก​นั้น ฉัน​ขอ​รับ​ชื่อ​ใหม่​สำหรับ​ตัว​เอง​คือ​อิ​เนส ตาม​ชื่อ​แม่. เมื่อ​ได้​รับ​อนุมัติ​แล้ว ใคร ๆ ก็​เรียก​ฉัน​ว่า​ซิสเตอร์​อิ​เนส.

ถึง​แม้​แม่ชี​ฝึก​หัด​ส่วน​ใหญ่​ทำ​งาน​บ้าน​ใน​สำนัก​ชี แต่​ฉัน​ก็​ได้​ศึกษา​เล่า​เรียน​จน​มี​วุฒิ​พอ​จะ​เป็น​ครู​สอน​ชั้น​ประถม​ได้. สอง​ปี​ต่อ​มา ใน​เดือน​สิงหาคม 1963 ฉัน​ได้​ปฏิญาณ​ตน​เป็น​แม่ชี​ตาม​ระเบียบ​ข้อ​บังคับ​แห่ง​สำนัก​ชี​ซาน​จูเซปเป ใน​อาออสตา อิตาลี. ต่อ​มา ทาง​สำนัก​ชี​ให้​ทุน​ฉัน​เรียน​ต่อ โดย​ส่ง​ไป​ศึกษา​ใน​มหาวิทยาลัย​มาเรีย ซานติสซิมา อัสซุนตา ใน​กรุง​โรม.

เมื่อ​กลับ​มา​ที่​อาออสตา​ใน​ปี 1967 หลัง​สำเร็จ​การ​ศึกษา​ใน​กรุง​โรม ฉัน​เริ่ม​สอน​ใน​ระดับ​มัธยม​ศึกษา. ปี 1976 มี​การ​เสนอ​ให้​ฉัน​ดำรง​ตำแหน่ง​ผู้​อำนวย​การ​โรง​เรียน. ถึง​แม้​ฉัน​ยัง​คง​สอน​บาง​ชั้น​เรียน​ด้วย แต่​ฉัน​ก็​ได้​รับ​มอบหมาย​ให้​ทำ​หน้า​ที่​ฝ่าย​การ​บริหาร​โรง​เรียน และ​ได้​เป็น​สมาชิก​คณะ​กรรมาธิการ​โรง​เรียน​แห่ง​เขต​วัลเลดาออสตา.

ความ​ปรารถนา​ที่​แท้​จริง​ของ​ฉัน​คือ​ต้องการ​ช่วยเหลือ​คน​ยาก​จน. ฉัน​สงสาร​พวก​เขา​มาก. ฉะนั้น ฉัน​จึง​ตั้ง​โครงการ​ด้าน​สังคม​สงเคราะห์​หลาย​โครงการ รวม​ถึง​โครงการ​ช่วย​ผู้​ป่วย​ระยะ​สุด​ท้าย​ซึ่ง​ไร้​ญาติ​ขาด​มิตร. อนึ่ง ฉัน​จัด​ตั้ง​โครงการ​สอน​หนังสือ​ลูก​หลาน​คน​เข้า​เมือง. นอก​จาก​นี้ ฉัน​หา​งาน​และ​หา​บ้าน​ให้​คน​ยาก​จน​อยู่ และ​มี​ส่วน​ใน​การ​จัด​หา​เงิน​ทุน​เพื่อ​ให้​การ​รักษา​ทาง​การ​แพทย์​แก่​คน​เหล่า​นั้น​ที่​ขัดสน. ฉัน​พยายาม​ดำเนิน​ชีวิต​ประสาน​กับ​หลัก​ศาสนา​ของ​คริสตจักร.

ตอน​นั้น ฉัน​ยอม​รับ​หลัก​เทววิทยา​ฝ่าย​คาทอลิก รวม​ถึง​หลัก​คำ​สอน​ต่าง ๆ ของ​คริสตจักร อาทิ ตรีเอกานุภาพ, จิตวิญญาณ​เป็น​อมตะ, และ​ทัศนะ​ของ​คาทอลิก​ต่อ​อนาคต​ของ​มนุษย์​ที่​ไม่​รู้​สิ้น​สุด. ใน​เวลา​นั้น หลัก​เทววิทยา​ฝ่าย​คาทอลิก​ยอม​รับ​เอา​แนว​คิด​ต่าง ๆ เช่น การ​มี​ศาสนา​หลาย​ศาสนา ซึ่ง​หมาย​ถึง​การ​ยอม​รับ​และ​การ​อยู่​ร่วม​กัน​กับ​ผู้​คน​ที่​นับถือ​ศาสนา​อื่น​นั่น​เอง.

เรื่อง​ที่​ทำ​ให้​ฉัน​เริ่ม​ไม่​สบาย​ใจ

กระนั้น มี​กิจกรรม​บาง​อย่าง​ใน​คริสตจักร​คาทอลิก​ที่​ทำ​ให้​ฉัน​ไม่​สบาย​ใจ. ยก​ตัว​อย่าง ก่อน​พิธี​ล้าง​บาป (รับ​บัพติสมา) และ​รับ​ศีล​มหา​สนิท เป็น​ที่​คาด​หมาย​ให้​พ่อ​แม่​กับ​ลูก ๆ ศึกษา​เพื่อ​เข้าใจ​ความ​หมาย​ของ​ขั้น​ตอน​เหล่า​นี้. แต่​ส่วน​ใหญ่​แล้ว พวก​เขา​ไม่​เคย​เข้า​ห้อง​เรียน ส่วน​คน​อื่น​ก็​ไม่​ได้​พยายาม​ศึกษา​หา​ความ​รู้​เสีย​เลย. ยิ่ง​กว่า​นั้น บาง​คน​ที่​ถูก​ปฏิเสธ​ไม่​ให้​ทำ​พิธี​ล้าง​บาป​และ​รับ​ศีล​ใน​เขต​หนึ่ง ก็​เพียง​แต่​ไป​อีก​เขต​หนึ่ง​เพื่อ​ทำ​สิ่ง​เดียว​กัน​นั้น. สำหรับ​ฉัน นั่น​เป็น​แต่​เปลือก​นอก​และ​เป็น​การ​หลอก​ลวง.

บาง​ครั้ง​ฉัน​ถาม​ตัว​เอง​และ​ถาม​แม่ชี​ด้วย​กัน​ว่า “เรา​น่า​จะ​ออก​ไป​เผยแพร่​กิตติคุณ​มิ​ใช่​หรือ แทน​ที่​จะ​อุทิศ​ตัว​ทำ​กิจกรรม​อื่น ๆ หลาย​อย่าง?” ฉัน​ได้​รับ​คำ​ตอบ​ว่า “เรา​เผยแพร่​โดย​การ​ทำ​ดี.”

นอก​จาก​นี้ เป็น​เรื่อง​ลำบาก​ใจ​สำหรับ​ฉัน​ที่​จะ​เชื่อ​ว่า​ต้อง​ไป​สารภาพ​บาป​ต่อ​บาทหลวง. ฉัน​หา​เหตุ​ผล​ว่า​ฉัน​น่า​จะ​สามารถ​พูด​เรื่อง​ส่วน​ตัว​เช่น​นั้น​กับ​พระเจ้า. นอก​จาก​นั้น ฉัน​รู้สึก​ลำบาก​ใจ​ที่​จะ​ยอม​รับ​แนว​คิด​เรื่อง​การ​ท่อง​บท​สวด​ซ้ำ​แล้ว​ซ้ำ​อีก. และ​ฉัน​ยัง​รู้สึก​ลำบาก​ใจ​ที่​จะ​เชื่อ​ว่า​โปป​ไม่​มี​ทาง​ผิด​พลาด. ใน​ที่​สุด ฉัน​หา​เหตุ​ผล​ว่า ฉัน​จะ​ยึด​มั่น​กับ​ความ​เชื่อ​ของ​ฉัน​เอง​ใน​เรื่อง​เหล่า​นี้ และ​เพียง​แต่​จะ​ปฏิบัติ​ตัว​เป็น​แม่ชี​ต่อ​ไป.

ความ​ปรารถนา​จะ​ได้​ความ​รู้​เกี่ยว​กับ​คัมภีร์​ไบเบิล

ฉัน​มี​ความ​นับถือ​ใน​คัมภีร์​ไบเบิล​อย่าง​ลึกซึ้ง​และ​ปรารถนา​จะ​เข้าใจ​คัมภีร์​ไบเบิล​อยู่​เสมอ. ยาม​ใด​ที่​ฉัน​ต้อง​ตัดสิน​ใจ หรือ​รู้สึก​ว่า​จำเป็น​ต้อง​ได้​รับ​การ​เกื้อ​หนุน​จาก​พระเจ้า ฉัน​จะ​อ่าน​คัมภีร์​ไบเบิล. ถึง​แม้​เรา​ไม่​เคย​ศึกษา​คัมภีร์​ไบเบิล​ใน​สำนัก​ชี แต่​ฉัน​อ่าน​ด้วย​ตัว​เอง. เรื่อง​ที่​ประทับใจ​ฉัน​มา​ตลอด​อยู่​ใน​ยะซายา 43:10-12 ซึ่ง​พระ​ยะโฮวา​พระเจ้า​ตรัส​ว่า “เจ้า​ทั้ง​หลาย​เป็น​พยาน​ของ​เรา.” อย่าง​ไร​ก็​ตาม ตอน​นั้น​ฉัน​ไม่​เข้าใจ​ความ​หมาย​ของ​ถ้อย​คำ​เหล่า​นี้​อย่าง​ถ่องแท้.

ตอน​เรียน​อยู่​ที่​มหาวิทยาลัย​ใน​กรุง​โรม​ช่วง​กลาง​ทศวรรษ​ปี 1960 ฉัน​ศึกษา​เทววิทยา​สี่​ปี​โดย​ได้​รับ​ทุน​จาก​สำนัก​วาติกัน. แต่​ไม่​มี​คัมภีร์​ไบเบิล​รวม​อยู่​ใน​ตำรา​เรียน​เลย. หลัง​จาก​กลับ​มา​ที่​อาออสตา​แล้ว ฉัน​เคย​เข้า​ร่วม​การ​ประชุม​ใหญ่​ของ​คริสต์​ศาสนา​ทั้ง​มวล​หลาย​ครั้ง แม้​แต่​การ​ประชุม​ที่​ได้​รับ​การ​สนับสนุน​โดย​องค์กร​ศาสนา​ระหว่าง​ชาติ​และ​องค์กร​ที่​ไม่​ใช่​คริสตจักร​คาทอลิก​ด้วย​ซ้ำ. นั่น​ยิ่ง​ทำ​ให้​ฉัน​อยาก​รู้​คำ​สอน​ต่าง ๆ ใน​คัมภีร์​ไบเบิล​มาก​ขึ้น. ช่าง​มี​ความ​สับสน​ปนเป​มาก​มาย​เหลือ​เกิน​ท่ามกลาง​นิกาย​ต่าง ๆ ที่​อ้าง​ว่า​สอน​เกี่ยว​กับ​พระ​คัมภีร์​เล่ม​เดียว​กัน!

เรียน​รู้​มาก​ขึ้น​เกี่ยว​กับ​คัมภีร์​ไบเบิล

ใน​ปี 1982 พยาน​พระ​ยะโฮวา​คน​หนึ่ง​แวะ​มา​ที่​ศูนย์​สังคม​สงเคราะห์​ที่​ฉัน​ทำ​งาน​อยู่ และ​พยายาม​ชวน​ฉัน​สนทนา​เรื่อง​คัมภีร์​ไบเบิล. ถึง​แม้​ฉัน​จะ​ยุ่ง​มาก แต่​ความ​คิด​เรื่อง​การ​ศึกษา​คัมภีร์​ไบเบิล​กระตุ้น​ความ​สนใจ​ของ​ฉัน. ฉัน​จึง​บอก​ว่า “โปรด​ไป​หา​ฉัน​ที่​โรง​เรียน และ​เมื่อ​ฉัน​มี​ชั่วโมง​ว่าง เรา​ค่อย​คุย​กัน.”

แม้​ว่า​ผู้​หญิง​คน​นั้น​ได้​มา​เยี่ยม​ฉัน ทว่า ตาราง​เวลา​ของ​ฉัน​ไม่​มี “ชั่วโมง​ว่าง” เลย. ต่อ​มา แม่​ของ​ฉัน​รู้​ตัว​ว่า​ป่วย​ด้วย​โรค​มะเร็ง ดัง​นั้น ฉัน​ต้อง​ลา​งาน​เพื่อ​ไป​ดู​แล​ท่าน. ฉัน​กลับ​ไป​ทำ​งาน​หลัง​จาก​ที่​แม่​เสีย​ชีวิต​เมื่อ​เดือน​เมษายน 1983 พอ​ถึง​ตอน​นั้น​พวก​พยาน​ฯ ก็​ไม่​ได้​มา​หา​ฉัน​อีก. อย่าง​ไร​ก็​ตาม หลัง​จาก​นั้น​ไม่​นาน พยาน​ฯ วัย 20 เศษ ๆ อีก​คน​หนึ่ง​ได้​แวะ​มา​คุย​เรื่อง​คัมภีร์​ไบเบิล​กับ​ฉัน. ฉัน​เคย​อ่าน​พระ​ธรรม​วิวรณ์​เป็น​ส่วน​ตัว. ฉะนั้น ฉัน​จึง​ถาม​เธอ​ว่า “ใคร​คือ​ชน 144,000 คน​ที่​กล่าว​ไว้​ใน​วิวรณ์​บท 14?”

ฉัน​เคย​ถูก​สอน​ว่า คน​ดี​ทุก​คน​จะ​ไป​สวรรค์ และ​ฉัน​ไม่​เข้าใจ​ว่า​เหตุ​ใด​จึง​ได้​แยก​ชน 144,000 คน​ไว้​ต่าง​หาก​จาก​คน​อื่น ๆ ใน​สวรรค์. ฉัน​นึก​สงสัย​ว่า ‘ชน 144,000 คน​เหล่า​นี้​คือ​ใคร? พวก​เขา​มี​หน้า​ที่​อะไร?’ คำ​ถาม​ดัง​กล่าว​ยัง​คง​ค้าง​คา​ใจ​อยู่. ส่วน​พยาน​ฯ คน​นั้น​ก็​ยัง​พยายาม​มา​หา​ฉัน​อยู่​เรื่อย ทว่า ฉัน​ไม่​ค่อย​อยู่ เรา​ก็​เลย​ไม่​ได้​พบ​กัน.

ใน​ที่​สุด พยาน​ฯ คน​นั้น​ให้​ที่​อยู่​ของ​ฉัน​แก่​มาร์โค ผู้​ปกครอง​ใน​ประชาคม​ที่​เธอ​สมทบ​ด้วย. ใน​ที่​สุด เดือน​กุมภาพันธ์ 1985 เขา​ก็​ได้​พบ​ฉัน. เรา​คุย​กัน​เพียง​ไม่​กี่​นาที เนื่อง​จาก​ฉัน​ติด​งาน​อยู่ แต่​เรา​นัด​หมาย​จะ​พบ​กัน​อีก. ต่อ​มา เขา​กับ​ลี​นา​ภรรยา​ได้​เยี่ยม​ฉัน​เป็น​ประจำ และ​ช่วย​ฉัน​ให้​เข้าใจ​คัมภีร์​ไบเบิล. ชั่ว​เวลา​สั้น ๆ ฉัน​ก็​เข้าใจ​ได้​ว่า​หลัก​คำ​สอน​พื้น​ฐาน​ของ​คาทอลิก อย่าง​เช่น ตรีเอกานุภาพ, จิตวิญญาณ​เป็น​อมตะ, และ​ไฟ​นรก ล้วน​แต่​ไม่​ได้​อาศัย​คัมภีร์​ไบเบิล​เป็น​หลัก.

การ​คบหา​สมาคม​กับ​เหล่า​พยาน​ฯ

เมื่อ​ฉัน​ไป​ยัง​การ​ประชุม​ของ​พยาน​พระ​ยะโฮวา ณ หอ​ประชุม​ราชอาณาจักร ปรากฏ​ว่า​สภาพ​ที่​นั่น​ต่าง​ไป​จาก​คริสตจักร​คาทอลิก​อย่าง​เห็น​ได้​ชัด. ทุก​คน​ร้อง​เพลง ไม่​เพียง​แต่​พวก​นัก​ร้อง​ประสาน​เสียง. แล้ว​พวก​เขา​ต่าง​มี​ส่วน​ร่วม​ใน​การ​ประชุม. อนึ่ง ฉัน​เริ่ม​เข้าใจ​ว่า​ทั้ง​องค์การ​ประกอบ​ด้วย “บราเดอร์” และ “ซิสเตอร์.” พวก​เขา​ทุก​คน​ต่าง​ก็​เอื้อ​อาทร​กัน​อย่าง​แท้​จริง. สิ่ง​เหล่า​นี้​ล้วน​ประทับใจ​ฉัน​ทั้ง​นั้น.

ใน​ช่วง​นั้น ฉัน​ยัง​คง​สวม​ชุด​แม่ชี​ไป​ร่วม​ประชุม. บาง​คน​รู้สึก​ทึ่ง​มาก​ที่​เห็น​แม่ชี​อยู่​ที่​หอ​ประชุม​ราชอาณาจักร. ฉัน​รู้สึก​ชื่นชม​และ​พอ​ใจ​ยินดี​เนื่อง​จาก​มี​ความ​รัก​จาก​ครอบครัว​ใหญ่​ห้อม​ล้อม​ฉัน​อยู่. นอก​จาก​นั้น เมื่อ​ได้​ศึกษา ฉัน​เริ่ม​เข้าใจ​ว่า​หลักการ​หลาย​อย่าง​ที่​ฉัน​ยึด​เป็น​แนว​ทาง​ชีวิต​นั้น​ไม่​ประสาน​กับ​พระ​คำ​ของ​พระเจ้า. ยก​ตัว​อย่าง คัมภีร์​ไบเบิล​ไม่​ได้​บอก​เลย​ว่า​ผู้​รับใช้​ของ​พระเจ้า​ต้อง​แต่ง​กาย​ด้วย​เครื่อง​แบบ​พิเศษ. คณะ​ปกครอง​แห่ง​คริสตจักร​และ​การ​ประกอบ​พิธี​ที่​โอ่อ่า​หรูหรา​นั้น​ต่าง​กัน​มาก​กับ​สิ่ง​ที่​คัมภีร์​ไบเบิล​สอน​เกี่ยว​กับ​ผู้​ปกครอง​ที่​ถ่อม​ใจ​ซึ่ง​นำ​หน้า​ใน​ประชาคม.

ฉัน​รู้สึก​เหมือน​กับ​ว่า​กำลัง​ยืน​อยู่​บน​ทราย​ดูด บน​พื้น​ดิน​ที่​อ่อน​ยวบ​ไม่​มั่นคง. ดู​ไม่​น่า​เป็น​ไป​ได้​ที่​ฉัน​ยึด​ถือ​ความ​เชื่อ​ที่​ผิด​มา​นาน​ถึง 24 ปี. กระนั้น ฉัน​เข้าใจ​ชัด​แจ้ง​แล้ว​ว่า​สิ่ง​ที่​เรียน​รู้​อยู่​นี้​เป็น​ความ​จริง​จาก​คัมภีร์​ไบเบิล. ฉัน​หวั่น​กลัว​เมื่อ​คิด​ว่า​จะ​ต้อง​เริ่ม​ชีวิต​ใหม่​ทั้ง​หมด​อีก​ครั้ง​ใน​วัย 44 ปี. แต่​ฉัน​จะ​หลับ​หู​หลับ​ตา​เดิน​ต่อ​ไป​ได้​อย่าง​ไร​ใน​เมื่อ​ตอน​นี้​ฉัน​ได้​มา​เข้าใจ​สิ่ง​ที่​คัมภีร์​ไบเบิล​สอน​จริง ๆ?

การ​ตัดสิน​ใจ​ครั้ง​สำคัญ

ฉัน​รู้​ว่า​การ​ออก​จาก​สำนัก​ชี​ย่อม​หมาย​ถึง​การ​สิ้น​เนื้อ​ประดา​ตัว. อย่าง​ไร​ก็​ดี ฉัน​ระลึก​ถึง​ถ้อย​คำ​ของ​ดาวิด​เกี่ยว​กับ​คน​ชอบธรรม ‘ที่​จะ​ไม่​ถูก​ละ​ทิ้ง และ​พงศ์พันธุ์​ของ​เขา​ไม่​ต้อง​ไป​ขอ​ทาน.’ (บทเพลง​สรรเสริญ 37:25) ฉัน​รู้​ว่า​ฉัน​จะ​สูญ​เสีย​สถานะ​ความ​มั่นคง​ทาง​กาย​ไป​บ้าง แต่​ฉัน​ไว้​วางใจ​พระเจ้า​และ​หา​เหตุ​ผล​ว่า ‘จริง ๆ แล้ว ฉัน​จะ​ต้อง​กลัว​ไป​ไย?’

ครอบครัว​ของ​ฉัน​คิด​ว่า​ฉัน​เป็น​บ้า​เสีย​แล้ว. ถึง​แม้​เรื่อง​นี้​ทำ​ให้​ฉัน​ไม่​สบาย​ใจ แต่​ฉัน​นึก​ถึง​คำ​ตรัส​ของ​พระ​เยซู​ที่​ว่า ‘คน​ใด​ที่​รัก​บิดา​หรือ​มารดา​ยิ่ง​กว่า​รัก​เรา​ก็​ไม่​คู่​ควร​กับ​เรา.’ (มัดธาย 10:37) ขณะ​เดียว​กัน กิริยา​ท่า​ทาง​ที่​เรียบร้อย​ซึ่ง​พยาน​ฯ แสดง​ออก​มา​นั้น​หนุน​ใจ​และ​เสริม​กำลัง​ฉัน. เมื่อ​ฉัน​เดิน​ไป​ตาม​ถนน​ใน​ชุด​แม่ชี พวก​เขา​ก็​ยัง​เดิน​เข้า​มา​ทักทาย​ฉัน. สิ่ง​นี้​ยิ่ง​ทำ​ให้​ฉัน​รู้สึก​ใกล้​ชิด​สังคม​พี่​น้อง​และ​เป็น​ส่วน​หนึ่ง​ใน​ครอบครัว​ของ​พวก​เขา​มาก​ขึ้น.

ใน​ที่​สุด ฉัน​เข้า​พบ​แม่ชี​ที่​เป็น​เจ้า​อธิการ และ​ชี้​แจง​เหตุ​ผล​ที่​ฉัน​ตัดสิน​ใจ​ลา​ออก​จาก​สำนัก​ชี. แม้​ว่า​ฉัน​ได้​เสนอ​ที่​จะ​ชี้​ให้​เธอ​ดู​จาก​คัมภีร์​ไบเบิล​ว่า​ทำไม​ฉัน​จึง​ตัดสิน​ใจ​เช่น​นี้ แต่​เธอ​ไม่​ยอม​ฟัง แถม​พูด​ว่า “ถ้า​ฉัน​อยาก​จะ​เข้าใจ​เรื่อง​ใด ๆ ใน​คัมภีร์​ไบเบิล ฉัน​จะ​ปรึกษา​ผู้​เชี่ยวชาญ​ด้าน​คัมภีร์​ไบเบิล​ก็​ได้!”

คริสตจักร​คาทอลิก​ตกตะลึง​กับ​การ​ตัดสิน​ใจ​ของ​ฉัน. พวก​เขา​กล่าวหา​ฉัน​ว่า​ทำ​ผิด​ศีลธรรม​และ​เสีย​สติ​ไป. แต่​คน​ที่​รู้​จัก​ฉัน​รู้​ว่า​คำ​กล่าวหา​นั้น​ไม่​เป็น​ความ​จริง. คน​ที่​ฉัน​เคย​ร่วม​งาน​ด้วย​ต่าง​ก็​คิด​กัน​ไป​ต่าง ๆ นานา. บาง​คน​เห็น​ว่า​สิ่ง​ที่​ฉัน​ทำ​เป็น​การ​กระทำ​ที่​กล้า​หาญ. ส่วน​บาง​คน​รู้สึก​เจ็บ​ปวด​เพราะ​คิด​ว่า​ฉัน​กำลัง​เดิน​ผิด​ทาง. บาง​คน​ถึง​กับ​สงสาร​ฉัน.

วัน​ที่ 4 กรกฎาคม 1985 ฉัน​ลา​ออก​จาก​คริสตจักร​คาทอลิก. เนื่อง​จาก​รู้​ว่า​คน​อื่น ๆ ที่​ทำ​อย่าง​นี้​ต้อง​ประสบ​อะไร​บ้าง พวก​พยาน​ฯ จึง​เป็น​ห่วง​ความ​ปลอด​ภัย​ของ​ฉัน​และ​ซ่อน​ฉัน​ไว้​ราว ๆ หนึ่ง​เดือน. พวก​เขา​รับ​ฉัน​ไป​ประชุม​และ​ขับ​รถ​ไป​ส่ง​ถึง​ที่​ที่​ฉัน​อยู่. ฉัน​เก็บ​ตัว​อยู่​จน​กระทั่ง​เรื่อง​เงียบ​ไป. จาก​นั้น วัน​ที่ 1 สิงหาคม 1985 ฉัน​เริ่ม​ทำ​งาน​เผยแพร่​ร่วม​กับ​พยาน​พระ​ยะโฮวา.

เมื่อ​ฉัน​เข้า​ร่วม​การ​ประชุม​ภาค​ของ​พยาน​พระ​ยะโฮวา​ตอน​ปลาย​เดือน​สิงหาคม​นั้น สำนัก​ข่าว​ก็​รู้​เรื่อง​ที่​ฉัน​ลา​ออก​จาก​คริสตจักร​และ​ตี​พิมพ์​เรื่อง​นี้. ใน​ที่​สุด เมื่อ​ฉัน​รับ​บัพติสมา ณ วัน​ที่ 14 ธันวาคม 1985 สถานี​โทรทัศน์​และ​หนังสือ​พิมพ์​ท้องถิ่น​คิด​ว่า​เป็น​เรื่อง​แปลก​ประหลาด​มาก จน​พวก​เขา​แพร่​ข่าว​นี้​อีก​ครั้ง​เพื่อ​ให้​แน่​ใจ​ว่า​ทุก​คน​จะ​ทราบ​สิ่ง​ที่​ฉัน​ได้​ทำ.

เมื่อ​ฉัน​ออก​จาก​สำนัก​ชี ฉัน​ไม่​มี​สมบัติ​อะไร​เหลือ​เลย. ฉัน​ไม่​มี​งาน​ทำ, ไม่​มี​บ้าน​อยู่, และ​ไม่​มี​เบี้ย​บำนาญ. ดัง​นั้น ฉัน​จึง​ทำ​งาน​เป็น​คน​ดู​แล​ผู้​ป่วย​ที่​เป็น​อัมพาต​คน​หนึ่ง​ราว ๆ หนึ่ง​ปี. ใน​เดือน​กรกฎาคม 1986 ฉัน​เริ่ม​เป็น​ไพโอเนียร์ ชื่อ​ที่​ใช้​เรียก​ผู้​เผยแพร่​เต็ม​เวลา​ของ​พยาน​พระ​ยะโฮวา. ฉัน​ย้าย​ไป​เขต​หนึ่ง​ที่​มี​ประชาคม​เล็ก ๆ เพิ่ง​ตั้ง​ขึ้น. ที่​นั่น ฉัน​สอน​ภาษา​แบบ​ตัว​ต่อ​ตัว และ​สอน​วิชา​อื่น ๆ ด้วย โดย​ใช้​ประโยชน์​จาก​การ​ศึกษา​ที่​ฉัน​ได้​ร่ำ​เรียน​มา. สิ่ง​นี้​เอง​ทำ​ให้​ฉัน​มี​ตาราง​เวลา​ที่​ยืดหยุ่น​ได้.

รับใช้​ใน​ต่าง​แดน

ตอน​นี้ เมื่อ​ฉัน​ได้​เรียน​รู้​ความ​จริง​ของ​คัมภีร์​ไบเบิล​แล้ว ฉัน​อยาก​บอก​ความ​จริง​นี้​แก่​ผู้​คน​ให้​มาก​เท่า​ที่​จะ​ทำ​ได้. เนื่อง​จาก​ฉัน​สามารถ​พูด​ภาษา​ฝรั่งเศส ฉัน​จึง​คิด​เรื่อง​การ​รับใช้​ใน​ประเทศ​แถบ​แอฟริกา​ที่​ใช้​ภาษา​ฝรั่งเศส. แต่​แล้ว​ใน​ปี 1992 พยาน​พระ​ยะโฮวา​ใน​ประเทศ​แอลเบเนีย​ซึ่ง​อยู่​ใกล้ ๆ ได้​รับ​การ​ยอม​รับ​ตาม​กฎหมาย. สิ้น​ปี​นั้น​เอง ไพโอเนียร์​กลุ่ม​เล็ก ๆ จาก​อิตาลี​ก็​ได้​รับ​มอบหมาย​ให้​ไป​ที่​นั่น. ใน​กลุ่ม​นั้น​ก็​มี​มารีโอ​และ​คริส​ตี​นา ฟาซีโอ จาก​ประชาคม​เดียว​กัน​กับ​ฉัน. ทั้ง​สอง​ชวน​ฉัน​ไป​เยี่ยม​พวก​เขา​และ​พิจารณา​ว่า​จะ​รับใช้​ใน​แอลเบเนีย​ได้​หรือ​ไม่. ดัง​นั้น หลัง​จาก​คิด​อย่าง​รอบคอบ​พร้อม​กับ​การ​อธิษฐาน ฉัน​ซึ่ง​ตอน​นั้น​อายุ 52 ปี ก็​ไป​จาก​ที่​ซึ่ง​ค่อนข้าง​มั่นคง​ปลอด​ภัย​และ​กระโจน​เข้า​สู่​โลก​ที่​แตกต่าง​อย่าง​สิ้นเชิง​อีก​ครั้ง​หนึ่ง.

ตอน​นั้น​เป็น​เดือน​มีนาคม 1993. เมื่อ​ไป​ถึง ฉัน​ก็​รู้​ทันที​ว่า​แม้​ไม่​ได้​อยู่​ไกล​จาก​ประเทศ​บ้าน​เกิด​มาก​นัก แต่​ฉัน​ก็​อยู่​ใน​โลก​ที่​ต่าง​ไป​อย่าง​สิ้นเชิง. ผู้​คน​ไป​ไหน​มา​ไหน​ด้วย​การ​เดิน และ​พูด​ภาษา​แอลเบเนีย ซึ่ง​ฉัน​ไม่​เข้าใจ​แม้​แต่​น้อย. ประเทศ​นั้น​กำลัง​มี​การ​เปลี่ยน​แปลง​ขนาน​ใหญ่ จาก​ระบบ​การ​เมือง​หนึ่ง​ไป​เป็น​อีก​ระบบ​หนึ่ง. กระนั้น ผู้​คน​หิว​กระหาย​ความ​จริง​จาก​คัมภีร์​ไบเบิล และ​พวก​เขา​ชอบ​อ่าน​ชอบ​ศึกษา​มาก​ที​เดียว. นัก​ศึกษา​คัมภีร์​ไบเบิล​ก้าว​หน้า​ฝ่าย​วิญญาณ​อย่าง​รวด​เร็ว เรื่อง​นี้​ทำ​ให้​ฉัน​อุ่น​ใจ​และ​ช่วย​ให้​ฉัน​ปรับ​ตัว​เข้า​กับ​สภาพ​แวด​ล้อม​ใหม่​ได้.

ใน​ปี 1993 เมื่อ​ฉัน​มา​ถึง​เมือง​ทีเรนา ซึ่ง​เป็น​เมือง​หลวง ตอน​นั้น​มี​เพียง​หนึ่ง​ประชาคม​ใน​แอลเบเนีย และ​มี​พยาน​ฯ 100 กว่า​คน​กระจัด​กระจาย​อยู่​ทั่ว​ประเทศ. ใน​เดือน​นั้น ณ การ​ประชุม​พิเศษ​วัน​เดียว​ซึ่ง​จัด​ขึ้น​เป็น​ครั้ง​แรก​ใน​กรุง​ทีเรเน มี​ผู้​เข้า​ร่วม 585 คน​และ​มี​ผู้​รับ​บัพติสมา 42 คน. ถึง​แม้​ฉัน​ไม่​เข้าใจ​สัก​คำ แต่​ก็​รู้สึก​ซึ้ง​ใจ​ที่​ได้​ยิน​พยาน​ฯ ร้อง​เพลง​และ​เห็น​ว่า​พวก​เขา​ตั้งใจ​ฟัง​มาก. การ​ประชุม​อนุสรณ์​เพื่อ​ระลึก​ถึง​การ​วาย​พระ​ชนม์​ของ​พระ​เยซู​คริสต์​มี​ขึ้น​ใน​เดือน​เมษายน และ​มี 1,318 คน​เข้า​ร่วม! ตั้ง​แต่​นั้น กิจกรรม​ของ​คริสเตียน​ใน​แอลเบเนีย​ก็​เจริญ​เติบโต​อย่าง​รวด​เร็ว.

ฉัน​เคย​ชม​ทิวทัศน์​กรุง​ที​เรเน​จาก​ระเบียง​ชั้น​สี่​และ​นึก​สงสัย​ว่า ‘เมื่อ​ไร​นะ​เรา​จะ​ไป​หา​ผู้​คน​เหล่า​นี้​ทั้ง​หมด​ได้?’ พระ​ยะโฮวา​พระเจ้า​ทรง​ดู​แล​เรื่อง​นี้. ตอน​นี้​ใน​กรุง​ที​เรเน​มี​ประชาคม​แห่ง​พยาน​พระ​ยะโฮวา 23 ประชาคม. ทั่ว​ประเทศ​มี 68 ประชาคม​และ​อีก​ประมาณ 22 กลุ่ม​ประกอบ​ด้วย​พยาน​ฯ 2,846 คน. การ​เติบโต​เช่น​นี้​เกิด​ขึ้น​ภาย​ใน​เวลา​เพียง​ไม่​กี่​ปี! และ​เรา​มี​ผู้​เข้า​ร่วม​อนุสรณ์​ใน​ปี 2002 ถึง 12,795 คน!

ใน​ช่วง​สิบ​ปี​ที่​อยู่​ใน​แอลเบเนีย นับ​ว่า​เป็น​สิทธิ​พิเศษ​อย่าง​มาก​ที่​ฉัน​ได้​ช่วย​อย่าง​น้อย 40 คน​ถึง​ขั้น​รับ​บัพติสมา. ตอน​นี้​พวก​เขา​หลาย​คน​รับใช้​เป็น​ไพโอเนียร์​และ​ทำ​งาน​รับใช้​เต็ม​เวลา​ใน​ด้าน​อื่น ๆ. ตลอด​หลาย​ปี ไพโอเนียร์​ชาว​อิตาลี​หก​กลุ่ม​ได้​รับ​มอบหมาย​ให้​ช่วย​งาน​ใน​แอลเบเนีย. แต่​ละ​กลุ่ม​ต้อง​เรียน​หลัก​สูตร​ภาษา​สาม​เดือน และ​ฉัน​ได้​รับ​เชิญ​ให้​สอน​สี่​ชั้น​สุด​ท้าย.

ตอน​แรก​เมื่อ​เพื่อน ๆ ได้​ข่าว​ว่า​ฉัน​ตัดสิน​ใจ​จะ​ลา​ออก​จาก​คริสตจักร พวก​เขา​แสดง​ปฏิกิริยา​รุนแรง​มาก. แต่​ตลอด​หลาย​ปี​ที่​ผ่าน​มา เจตคติ​ของ​พวก​เขา​อ่อน​ลง เมื่อ​พวก​เขา​เห็น​ว่า​ฉัน​สุขุม​เยือกเย็น​และ​มี​ใจ​สงบ. น่า​ยินดี ครอบครัว​ของ​ฉัน รวม​ทั้ง​คุณ​ป้า​วัย 93 ปี​ซึ่ง​ยัง​เป็น​แม่ชี​อยู่​ให้​การ​เกื้อ​หนุน​อย่าง​มาก.

ตั้ง​แต่​ฉัน​มา​รู้​จัก​พระ​ยะโฮวา พระองค์​ทรง​ดู​แล​ฉัน​ให้​ผ่าน​พ้น​สถานการณ์​หลาย​อย่าง​จริง ๆ! พระองค์​ชี้​นำ​ฉัน​ให้​ได้​พบ​กับ​องค์การ​ของ​พระองค์. เมื่อ​มอง​ย้อน​ไป​ใน​อดีต จำ​ได้​ว่า​ตอน​นั้น​ฉัน​ปรารถนา​จะ​ช่วย​คน​ยาก​จน, คน​ด้อย​โอกาส, และ​คน​ขัดสน และ​ฉัน​ต้องการ​หมกมุ่น​อยู่​กับ​งาน​รับใช้​พระเจ้า​อย่าง​เต็ม​ที่. นี่​แหละ​คือ​สาเหตุ​ที่​ฉัน​ขอบพระคุณ​พระ​ยะโฮวา เพราะ​พระองค์​ทรง​ดู​แล​ให้​ความ​หิว​กระหาย​ฝ่าย​วิญญาณ​ของ​ฉัน​ได้​รับ​การ​ตอบ​สนอง.

[ภาพ​หน้า 21]

ครอบครัว​ชาว​แอลเบเนีย​ที่​ศึกษา​คัมภีร์​ไบเบิล​กับ​ฉัน. สิบ​เอ็ด​คน​ได้​รับ​บัพติสมา

[ภาพ​หน้า 21]

ผู้​หญิง​เหล่า​นี้​ส่วน​ใหญ่​ซึ่ง​ศึกษา​คัมภีร์​ไบเบิล​กับ​ฉัน​ใน​แอลเบเนีย ขณะ​นี้​กำลัง​รับใช้​เต็ม​เวลา