วิธีที่ความหิวกระหายฝ่ายวิญญาณของฉันได้รับการตอบสนอง
วิธีที่ความหิวกระหายฝ่ายวิญญาณของฉันได้รับการตอบสนอง
เล่าโดยลูชีอา มูซาเนตต์
ส่วนที่เบียดตัวอยู่ในเทือกเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี ใกล้หุบเขาแอลป์ของสวิสด้านที่ติดกับเทือกเขามองต์บลังซ์ที่ขึ้นชื่อของฝรั่งเศส คือเขตวัลเลดาออสตา. ฉันเกิดที่นั่นเมื่อปี 1941 ณ ชุมชนเล็ก ๆ แห่งชาลันต์ เซนต์ อันเซลม์.
ฉันเป็นคนโตในบรรดาลูกห้าคน น้องทั้งสี่คนเป็นผู้ชาย. แม่เป็นคาทอลิกที่ขยันขันแข็งและเคร่งศาสนา. ส่วนพ่อมาจากครอบครัวที่เคร่งศาสนาเช่นเดียวกัน. พี่สาวสองคนของพ่อบวชเป็นแม่ชี. พ่อแม่ของฉันสละหลายสิ่งเพื่อฉัน รวมทั้งส่งเสียฉันให้เรียนหนังสือ. ในชุมชนเล็ก ๆ ของเราไม่มีโรงเรียน ดังนั้น พออายุ 11 ขวบ พ่อแม่ส่งฉันเข้าโรงเรียนกินนอนซึ่งมีแม่ชีเป็นผู้อำนวยการ.
ที่โรงเรียน ฉันเรียนภาษาลาตินและฝรั่งเศส และรวมทั้งวิชาอื่น ๆ ด้วย. ครั้นอายุย่าง 15 ฉันเริ่มคิดอย่างจริงจังว่าจะรับใช้พระเจ้าอย่างไร. ฉันคิดหาเหตุผลว่าการเข้ามาอยู่ในสำนักชีน่าจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุด. อย่างไรก็ดี ทั้งพ่อและแม่ไม่ชอบแนวคิดนี้ เพราะนั่นจะทำให้แม่ต้องดูแลพวกน้อง ๆ เพียงลำพัง. พ่อแม่เคยหวังกันว่า การศึกษาจะช่วยให้ฉันได้งานที่ดีทำและมีรายได้มาช่วยจุนเจือครอบครัว.
แม้ปฏิกิริยาของพ่อแม่ทำให้ฉันรู้สึกเสียใจ แต่ฉันต้องการมีจุดมุ่งหมายที่แท้จริงในชีวิตและรู้สึกว่าพระเจ้าน่าจะอยู่ในอันดับแรก. ดังนั้น ปี 1961 ฉันก็เข้าสู่สำนักชีนิกายโรมันคาทอลิก.
ชีวิตฉันสมัยเป็นแม่ชี
ช่วงเดือนแรก ๆ ฉันเรียนรู้กฎข้อบังคับต่าง ๆ ของโบสถ์ แล้วก็ทำงานที่ต้องใช้แรงในสำนักชี. ในเดือนสิงหาคม 1961 ฉันเริ่มเป็นแม่ชีฝึกหัด และเริ่มสวมเครื่องแบบแม่ชี. นอกจากนั้น ฉันขอรับชื่อใหม่สำหรับตัวเองคืออิเนส ตามชื่อแม่. เมื่อได้รับอนุมัติแล้ว ใคร ๆ ก็เรียกฉันว่าซิสเตอร์อิเนส.
ถึงแม้แม่ชีฝึกหัดส่วนใหญ่ทำงานบ้านในสำนักชี แต่ฉันก็ได้ศึกษาเล่าเรียนจนมีวุฒิพอจะเป็นครูสอนชั้นประถมได้. สองปีต่อมา ในเดือนสิงหาคม 1963 ฉันได้ปฏิญาณตนเป็นแม่ชีตามระเบียบข้อบังคับแห่งสำนักชีซานจูเซปเป ในอาออสตา อิตาลี. ต่อมา ทางสำนักชีให้ทุนฉันเรียนต่อ โดยส่งไปศึกษาในมหาวิทยาลัยมาเรีย ซานติสซิมา อัสซุนตา ในกรุงโรม.
เมื่อกลับมาที่อาออสตาในปี 1967 หลังสำเร็จการศึกษาในกรุงโรม ฉันเริ่มสอนในระดับมัธยมศึกษา. ปี 1976 มีการเสนอให้ฉันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน. ถึงแม้ฉันยังคงสอนบางชั้นเรียนด้วย แต่ฉันก็ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ฝ่ายการบริหารโรงเรียน และได้เป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการโรงเรียนแห่งเขตวัลเลดาออสตา.
ความปรารถนาที่แท้จริงของฉันคือต้องการช่วยเหลือคนยากจน. ฉันสงสารพวกเขามาก. ฉะนั้น ฉันจึงตั้งโครงการด้านสังคมสงเคราะห์หลายโครงการ รวมถึงโครงการช่วยผู้ป่วยระยะสุดท้ายซึ่งไร้ญาติขาดมิตร. อนึ่ง ฉันจัดตั้งโครงการสอนหนังสือลูกหลานคนเข้าเมือง. นอกจากนี้ ฉันหางานและหาบ้านให้คนยากจนอยู่ และมีส่วนในการจัดหาเงินทุนเพื่อให้การรักษาทางการแพทย์แก่คนเหล่านั้นที่ขัดสน. ฉันพยายามดำเนินชีวิตประสานกับหลักศาสนาของคริสตจักร.
ตอนนั้น ฉันยอมรับหลักเทววิทยาฝ่ายคาทอลิก รวมถึงหลักคำสอนต่าง ๆ ของคริสตจักร อาทิ ตรีเอกานุภาพ, จิตวิญญาณเป็นอมตะ, และทัศนะของคาทอลิกต่ออนาคตของมนุษย์ที่ไม่รู้สิ้นสุด. ในเวลานั้น หลักเทววิทยาฝ่ายคาทอลิกยอมรับเอาแนวคิดต่าง ๆ เช่น การมีศาสนาหลายศาสนา ซึ่งหมายถึงการยอมรับและการอยู่ร่วมกันกับผู้คนที่นับถือศาสนาอื่นนั่นเอง.
เรื่องที่ทำให้ฉันเริ่มไม่สบายใจ
กระนั้น มีกิจกรรมบางอย่างในคริสตจักรคาทอลิกที่ทำให้ฉันไม่สบายใจ. ยกตัวอย่าง ก่อนพิธีล้างบาป (รับบัพติสมา) และรับศีลมหาสนิท เป็นที่คาดหมายให้พ่อแม่กับลูก ๆ ศึกษาเพื่อเข้าใจความหมายของขั้นตอนเหล่านี้. แต่ส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาไม่เคยเข้าห้องเรียน ส่วนคนอื่นก็ไม่ได้พยายามศึกษาหาความรู้เสียเลย. ยิ่งกว่านั้น บางคนที่ถูกปฏิเสธไม่ให้ทำพิธีล้างบาปและรับศีลในเขตหนึ่ง ก็เพียงแต่ไปอีกเขตหนึ่งเพื่อทำสิ่งเดียวกันนั้น. สำหรับฉัน นั่นเป็นแต่เปลือกนอกและเป็นการหลอกลวง.
บางครั้งฉันถามตัวเองและถามแม่ชีด้วยกันว่า “เราน่าจะออกไปเผยแพร่กิตติคุณมิใช่หรือ แทนที่จะอุทิศตัวทำกิจกรรมอื่น ๆ หลายอย่าง?” ฉันได้รับคำตอบว่า “เราเผยแพร่โดยการทำดี.”
นอกจากนี้ เป็นเรื่องลำบากใจสำหรับฉันที่จะเชื่อว่าต้องไปสารภาพบาปต่อบาทหลวง. ฉันหาเหตุผลว่าฉันน่าจะสามารถพูดเรื่องส่วนตัวเช่นนั้นกับพระเจ้า. นอกจากนั้น ฉันรู้สึกลำบากใจที่จะยอมรับแนวคิดเรื่องการท่องบทสวดซ้ำแล้วซ้ำอีก. และฉันยังรู้สึกลำบากใจที่จะเชื่อว่าโปปไม่มีทางผิดพลาด. ในที่สุด ฉันหาเหตุผลว่า ฉันจะยึดมั่นกับความเชื่อของฉันเองในเรื่องเหล่านี้ และเพียงแต่จะปฏิบัติตัวเป็นแม่ชีต่อไป.
ความปรารถนาจะได้ความรู้เกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล
ฉันมีความนับถือในคัมภีร์ไบเบิลอย่างลึกซึ้งและปรารถนาจะเข้าใจคัมภีร์ไบเบิลอยู่เสมอ. ยามใดที่ฉันต้องตัดสินใจ หรือรู้สึกว่าจำเป็นต้องได้รับการเกื้อหนุนจากพระเจ้า ฉันจะอ่านคัมภีร์ไบเบิล. ถึงแม้เราไม่เคยศึกษาคัมภีร์ไบเบิลในสำนักชี แต่ฉันอ่านด้วยตัวเอง. เรื่องที่ประทับใจฉันมาตลอดอยู่ในยะซายา 43:10-12 ซึ่งพระยะโฮวาพระเจ้าตรัสว่า “เจ้าทั้งหลายเป็นพยานของเรา.” อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจความหมายของถ้อยคำเหล่านี้อย่างถ่องแท้.
ตอนเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยในกรุงโรมช่วงกลางทศวรรษปี 1960 ฉันศึกษาเทววิทยาสี่ปีโดยได้รับทุนจากสำนักวาติกัน. แต่ไม่มีคัมภีร์ไบเบิลรวมอยู่ในตำราเรียนเลย. หลังจากกลับมาที่อาออสตาแล้ว ฉันเคยเข้าร่วมการประชุมใหญ่ของคริสต์ศาสนาทั้งมวลหลายครั้ง แม้แต่การประชุมที่ได้
รับการสนับสนุนโดยองค์กรศาสนาระหว่างชาติและองค์กรที่ไม่ใช่คริสตจักรคาทอลิกด้วยซ้ำ. นั่นยิ่งทำให้ฉันอยากรู้คำสอนต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลมากขึ้น. ช่างมีความสับสนปนเปมากมายเหลือเกินท่ามกลางนิกายต่าง ๆ ที่อ้างว่าสอนเกี่ยวกับพระคัมภีร์เล่มเดียวกัน!เรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล
ในปี 1982 พยานพระยะโฮวาคนหนึ่งแวะมาที่ศูนย์สังคมสงเคราะห์ที่ฉันทำงานอยู่ และพยายามชวนฉันสนทนาเรื่องคัมภีร์ไบเบิล. ถึงแม้ฉันจะยุ่งมาก แต่ความคิดเรื่องการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกระตุ้นความสนใจของฉัน. ฉันจึงบอกว่า “โปรดไปหาฉันที่โรงเรียน และเมื่อฉันมีชั่วโมงว่าง เราค่อยคุยกัน.”
แม้ว่าผู้หญิงคนนั้นได้มาเยี่ยมฉัน ทว่า ตารางเวลาของฉันไม่มี “ชั่วโมงว่าง” เลย. ต่อมา แม่ของฉันรู้ตัวว่าป่วยด้วยโรคมะเร็ง ดังนั้น ฉันต้องลางานเพื่อไปดูแลท่าน. ฉันกลับไปทำงานหลังจากที่แม่เสียชีวิตเมื่อเดือนเมษายน 1983 พอถึงตอนนั้นพวกพยานฯ ก็ไม่ได้มาหาฉันอีก. อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน พยานฯ วัย 20 เศษ ๆ อีกคนหนึ่งได้แวะมาคุยเรื่องคัมภีร์ไบเบิลกับฉัน. ฉันเคยอ่านพระธรรมวิวรณ์เป็นส่วนตัว. ฉะนั้น ฉันจึงถามเธอว่า “ใครคือชน 144,000 คนที่กล่าวไว้ในวิวรณ์บท 14?”
ฉันเคยถูกสอนว่า คนดีทุกคนจะไปสวรรค์ และฉันไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงได้แยกชน 144,000 คนไว้ต่างหากจากคนอื่น ๆ ในสวรรค์. ฉันนึกสงสัยว่า ‘ชน 144,000 คนเหล่านี้คือใคร? พวกเขามีหน้าที่อะไร?’ คำถามดังกล่าวยังคงค้างคาใจอยู่. ส่วนพยานฯ คนนั้นก็ยังพยายามมาหาฉันอยู่เรื่อย ทว่า ฉันไม่ค่อยอยู่ เราก็เลยไม่ได้พบกัน.
ในที่สุด พยานฯ คนนั้นให้ที่อยู่ของฉันแก่มาร์โค ผู้ปกครองในประชาคมที่เธอสมทบด้วย. ในที่สุด เดือนกุมภาพันธ์ 1985 เขาก็ได้พบฉัน. เราคุยกันเพียงไม่กี่นาที เนื่องจากฉันติดงานอยู่ แต่เรานัดหมายจะพบกันอีก. ต่อมา เขากับลีนาภรรยาได้เยี่ยมฉันเป็นประจำ และช่วยฉันให้เข้าใจคัมภีร์ไบเบิล. ชั่วเวลาสั้น ๆ ฉันก็เข้าใจได้ว่าหลักคำสอนพื้นฐานของคาทอลิก อย่างเช่น ตรีเอกานุภาพ, จิตวิญญาณเป็นอมตะ, และไฟนรก ล้วนแต่ไม่ได้อาศัยคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลัก.
การคบหาสมาคมกับเหล่าพยานฯ
เมื่อฉันไปยังการประชุมของพยานพระยะโฮวา ณ หอประชุมราชอาณาจักร ปรากฏว่าสภาพที่นั่นต่างไปจากคริสตจักรคาทอลิกอย่างเห็นได้ชัด. ทุกคนร้องเพลง ไม่เพียงแต่พวกนักร้องประสานเสียง. แล้วพวกเขาต่างมีส่วนร่วมในการประชุม. อนึ่ง ฉันเริ่มเข้าใจว่าทั้งองค์การประกอบด้วย “บราเดอร์” และ “ซิสเตอร์.” พวกเขาทุกคนต่างก็เอื้ออาทรกันอย่างแท้จริง. สิ่งเหล่านี้ล้วนประทับใจฉันทั้งนั้น.
ในช่วงนั้น ฉันยังคงสวมชุดแม่ชีไปร่วมประชุม. บางคนรู้สึกทึ่งมากที่เห็นแม่ชีอยู่ที่หอประชุมราชอาณาจักร. ฉันรู้สึกชื่นชมและพอใจยินดีเนื่องจากมีความรักจากครอบครัวใหญ่ห้อมล้อมฉันอยู่. นอกจากนั้น เมื่อได้ศึกษา ฉันเริ่มเข้าใจว่าหลักการหลายอย่างที่ฉันยึดเป็นแนวทางชีวิตนั้นไม่ประสานกับพระคำของพระเจ้า. ยกตัวอย่าง คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้บอกเลยว่าผู้รับใช้ของพระเจ้าต้องแต่งกายด้วยเครื่องแบบพิเศษ. คณะปกครองแห่งคริสตจักรและการประกอบพิธีที่โอ่อ่าหรูหรานั้นต่างกันมากกับสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลสอนเกี่ยวกับผู้ปกครองที่ถ่อมใจซึ่งนำหน้าในประชาคม.
ฉันรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังยืนอยู่บนทรายดูด บนพื้นดินที่อ่อนยวบไม่มั่นคง. ดูไม่น่าเป็นไปได้ที่ฉันยึดถือความเชื่อที่ผิดมานานถึง 24 ปี. กระนั้น ฉันเข้าใจชัดแจ้งแล้วว่าสิ่งที่เรียนรู้อยู่นี้เป็นความจริงจากคัมภีร์ไบเบิล. ฉันหวั่นกลัวเมื่อคิดว่าจะต้องเริ่มชีวิตใหม่ทั้งหมดอีกครั้งในวัย 44 ปี. แต่ฉันจะหลับหูหลับตาเดินต่อไปได้อย่างไรในเมื่อตอนนี้ฉันได้มาเข้าใจสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลสอนจริง ๆ?
การตัดสินใจครั้งสำคัญ
ฉันรู้ว่าการออกจากสำนักชีย่อมหมายถึงการสิ้นเนื้อประดาตัว. อย่างไรก็ดี ฉันระลึกถึงถ้อยคำของดาวิดเกี่ยวกับคนชอบธรรม ‘ที่จะไม่ถูกละทิ้ง และพงศ์พันธุ์ของเขาไม่ต้องไปขอทาน.’ (บทเพลงสรรเสริญ 37:25) ฉันรู้ว่าฉันจะสูญเสียสถานะความมั่นคงทางกายไปบ้าง แต่ฉันไว้วางใจพระเจ้าและหาเหตุผลว่า ‘จริง ๆ แล้ว ฉันจะต้องกลัวไปไย?’
ครอบครัวของฉันคิดว่าฉันเป็นบ้าเสียแล้ว. ถึงแม้เรื่องนี้ทำให้ฉันไม่สบายใจ แต่ฉันนึกถึงคำตรัสของพระเยซูที่ว่า ‘คนใดที่รักบิดาหรือมารดายิ่งกว่ารักเราก็ไม่คู่ควรกับเรา.’ (มัดธาย 10:37) ขณะเดียวกัน กิริยาท่าทางที่เรียบร้อยซึ่ง พยานฯ แสดงออกมานั้นหนุนใจและเสริมกำลังฉัน. เมื่อฉันเดินไปตามถนนในชุดแม่ชี พวกเขาก็ยังเดินเข้ามาทักทายฉัน. สิ่งนี้ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกใกล้ชิดสังคมพี่น้องและเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพวกเขามากขึ้น.
ในที่สุด ฉันเข้าพบแม่ชีที่เป็นเจ้าอธิการ และชี้แจงเหตุผลที่ฉันตัดสินใจลาออกจากสำนักชี. แม้ว่าฉันได้เสนอที่จะชี้ให้เธอดูจากคัมภีร์ไบเบิลว่าทำไมฉันจึงตัดสินใจเช่นนี้ แต่เธอไม่ยอมฟัง แถมพูดว่า “ถ้าฉันอยากจะเข้าใจเรื่องใด ๆ ในคัมภีร์ไบเบิล ฉันจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านคัมภีร์ไบเบิลก็ได้!”
คริสตจักรคาทอลิกตกตะลึงกับการตัดสินใจของฉัน. พวกเขากล่าวหาฉันว่าทำผิดศีลธรรมและเสียสติไป. แต่คนที่รู้จักฉันรู้ว่าคำกล่าวหานั้นไม่เป็นความจริง. คนที่ฉันเคยร่วมงานด้วยต่างก็คิดกันไปต่าง ๆ นานา. บางคนเห็นว่าสิ่งที่ฉันทำเป็นการกระทำที่กล้าหาญ. ส่วนบางคนรู้สึกเจ็บปวดเพราะคิดว่าฉันกำลังเดินผิดทาง. บางคนถึงกับสงสารฉัน.
วันที่ 4 กรกฎาคม 1985 ฉันลาออกจากคริสตจักรคาทอลิก. เนื่องจากรู้ว่าคนอื่น ๆ ที่ทำอย่างนี้ต้องประสบอะไรบ้าง พวกพยานฯ จึงเป็นห่วงความปลอดภัยของฉันและซ่อนฉันไว้ราว ๆ หนึ่งเดือน. พวกเขารับฉันไปประชุมและขับรถไปส่งถึงที่ที่ฉันอยู่. ฉันเก็บตัวอยู่จนกระทั่งเรื่องเงียบไป. จากนั้น วันที่ 1 สิงหาคม 1985 ฉันเริ่มทำงานเผยแพร่ร่วมกับพยานพระยะโฮวา.
เมื่อฉันเข้าร่วมการประชุมภาคของพยานพระยะโฮวาตอนปลายเดือนสิงหาคมนั้น สำนักข่าวก็รู้เรื่องที่ฉันลาออกจากคริสตจักรและตีพิมพ์เรื่องนี้. ในที่สุด เมื่อฉันรับบัพติสมา ณ วันที่ 14 ธันวาคม 1985 สถานีโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นคิดว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดมาก จนพวกเขาแพร่ข่าวนี้อีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนจะทราบสิ่งที่ฉันได้ทำ.
เมื่อฉันออกจากสำนักชี ฉันไม่มีสมบัติอะไรเหลือเลย. ฉันไม่มีงานทำ, ไม่มีบ้านอยู่, และไม่มีเบี้ยบำนาญ. ดังนั้น ฉันจึงทำงานเป็นคนดูแลผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตคนหนึ่งราว ๆ หนึ่งปี. ในเดือนกรกฎาคม 1986 ฉันเริ่มเป็นไพโอเนียร์ ชื่อที่ใช้เรียกผู้เผยแพร่เต็มเวลาของพยานพระยะโฮวา. ฉันย้ายไปเขตหนึ่งที่มีประชาคมเล็ก ๆ เพิ่งตั้งขึ้น. ที่นั่น ฉันสอน
ภาษาแบบตัวต่อตัว และสอนวิชาอื่น ๆ ด้วย โดยใช้ประโยชน์จากการศึกษาที่ฉันได้ร่ำเรียนมา. สิ่งนี้เองทำให้ฉันมีตารางเวลาที่ยืดหยุ่นได้.รับใช้ในต่างแดน
ตอนนี้ เมื่อฉันได้เรียนรู้ความจริงของคัมภีร์ไบเบิลแล้ว ฉันอยากบอกความจริงนี้แก่ผู้คนให้มากเท่าที่จะทำได้. เนื่องจากฉันสามารถพูดภาษาฝรั่งเศส ฉันจึงคิดเรื่องการรับใช้ในประเทศแถบแอฟริกาที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส. แต่แล้วในปี 1992 พยานพระยะโฮวาในประเทศแอลเบเนียซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ได้รับการยอมรับตามกฎหมาย. สิ้นปีนั้นเอง ไพโอเนียร์กลุ่มเล็ก ๆ จากอิตาลีก็ได้รับมอบหมายให้ไปที่นั่น. ในกลุ่มนั้นก็มีมารีโอและคริสตีนา ฟาซีโอ จากประชาคมเดียวกันกับฉัน. ทั้งสองชวนฉันไปเยี่ยมพวกเขาและพิจารณาว่าจะรับใช้ในแอลเบเนียได้หรือไม่. ดังนั้น หลังจากคิดอย่างรอบคอบพร้อมกับการอธิษฐาน ฉันซึ่งตอนนั้นอายุ 52 ปี ก็ไปจากที่ซึ่งค่อนข้างมั่นคงปลอดภัยและกระโจนเข้าสู่โลกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงอีกครั้งหนึ่ง.
ตอนนั้นเป็นเดือนมีนาคม 1993. เมื่อไปถึง ฉันก็รู้ทันทีว่าแม้ไม่ได้อยู่ไกลจากประเทศบ้านเกิดมากนัก แต่ฉันก็อยู่ในโลกที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิง. ผู้คนไปไหนมาไหนด้วยการเดิน และพูดภาษาแอลเบเนีย ซึ่งฉันไม่เข้าใจแม้แต่น้อย. ประเทศนั้นกำลังมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ จากระบบการเมืองหนึ่งไปเป็นอีกระบบหนึ่ง. กระนั้น ผู้คนหิวกระหายความจริงจากคัมภีร์ไบเบิล และพวกเขาชอบอ่านชอบศึกษามากทีเดียว. นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณอย่างรวดเร็ว เรื่องนี้ทำให้ฉันอุ่นใจและช่วยให้ฉันปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้.
ในปี 1993 เมื่อฉันมาถึงเมืองทีเรนา ซึ่งเป็นเมืองหลวง ตอนนั้นมีเพียงหนึ่งประชาคมในแอลเบเนีย และมีพยานฯ 100 กว่าคนกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ. ในเดือนนั้น ณ การประชุมพิเศษวันเดียวซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในกรุงทีเรเน มีผู้เข้าร่วม 585 คนและมีผู้รับบัพติสมา 42 คน. ถึงแม้ฉันไม่เข้าใจสักคำ แต่ก็รู้สึกซึ้งใจที่ได้ยินพยานฯ ร้องเพลงและเห็นว่าพวกเขาตั้งใจฟังมาก. การประชุมอนุสรณ์เพื่อระลึกถึงการวายพระชนม์ของพระเยซูคริสต์มีขึ้นในเดือนเมษายน และมี 1,318 คนเข้าร่วม! ตั้งแต่นั้น กิจกรรมของคริสเตียนในแอลเบเนียก็เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว.
ฉันเคยชมทิวทัศน์กรุงทีเรเนจากระเบียงชั้นสี่และนึกสงสัยว่า ‘เมื่อไรนะเราจะไปหาผู้คนเหล่านี้ทั้งหมดได้?’ พระยะโฮวาพระเจ้าทรงดูแลเรื่องนี้. ตอนนี้ในกรุงทีเรเนมีประชาคมแห่งพยานพระยะโฮวา 23 ประชาคม. ทั่วประเทศมี 68 ประชาคมและอีกประมาณ 22 กลุ่มประกอบด้วยพยานฯ 2,846 คน. การเติบโตเช่นนี้เกิดขึ้นภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี! และเรามีผู้เข้าร่วมอนุสรณ์ในปี 2002 ถึง 12,795 คน!
ในช่วงสิบปีที่อยู่ในแอลเบเนีย นับว่าเป็นสิทธิพิเศษอย่างมากที่ฉันได้ช่วยอย่างน้อย 40 คนถึงขั้นรับบัพติสมา. ตอนนี้พวกเขาหลายคนรับใช้เป็นไพโอเนียร์และทำงานรับใช้เต็มเวลาในด้านอื่น ๆ. ตลอดหลายปี ไพโอเนียร์ชาวอิตาลีหกกลุ่มได้รับมอบหมายให้ช่วยงานในแอลเบเนีย. แต่ละกลุ่มต้องเรียนหลักสูตรภาษาสามเดือน และฉันได้รับเชิญให้สอนสี่ชั้นสุดท้าย.
ตอนแรกเมื่อเพื่อน ๆ ได้ข่าวว่าฉันตัดสินใจจะลาออกจากคริสตจักร พวกเขาแสดงปฏิกิริยารุนแรงมาก. แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เจตคติของพวกเขาอ่อนลง เมื่อพวกเขาเห็นว่าฉันสุขุมเยือกเย็นและมีใจสงบ. น่ายินดี ครอบครัวของฉัน รวมทั้งคุณป้าวัย 93 ปีซึ่งยังเป็นแม่ชีอยู่ให้การเกื้อหนุนอย่างมาก.
ตั้งแต่ฉันมารู้จักพระยะโฮวา พระองค์ทรงดูแลฉันให้ผ่านพ้นสถานการณ์หลายอย่างจริง ๆ! พระองค์ชี้นำฉันให้ได้พบกับองค์การของพระองค์. เมื่อมองย้อนไปในอดีต จำได้ว่าตอนนั้นฉันปรารถนาจะช่วยคนยากจน, คนด้อยโอกาส, และคนขัดสน และฉันต้องการหมกมุ่นอยู่กับงานรับใช้พระเจ้าอย่างเต็มที่. นี่แหละคือสาเหตุที่ฉันขอบพระคุณพระยะโฮวา เพราะพระองค์ทรงดูแลให้ความหิวกระหายฝ่ายวิญญาณของฉันได้รับการตอบสนอง.
[ภาพหน้า 21]
ครอบครัวชาวแอลเบเนียที่ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับฉัน. สิบเอ็ดคนได้รับบัพติสมา
[ภาพหน้า 21]
ผู้หญิงเหล่านี้ส่วนใหญ่ซึ่งศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับฉันในแอลเบเนีย ขณะนี้กำลังรับใช้เต็มเวลา