น้ำตาลเพื่อชีวิต
น้ำตาลเพื่อชีวิต
น้ำตาล—คุณคงจะใส่มันลงในสิ่งต่าง ๆ นับตั้งแต่เค้กไปจนถึงกาแฟเพื่อให้มีรสหวาน. แต่คุณรู้ไหมว่าน้ำตาลอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ด้านชีววิทยาซึ่งอาจเทียบเท่ากับการค้นพบดีเอ็นเอ?
วารสารนิว ไซเยนติสต์ กล่าวว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาวิธีที่เซลล์ใช้น้ำตาลเชิงเดี่ยวอย่างเช่น กลูโคส ในการสร้างโมเลกุลขนาดยักษ์ “ซึ่งมีขนาดและความซับซ้อนพอ ๆ กับโมเลกุลของดีเอ็นเอและโปรตีน. น้ำตาลมีส่วนเกี่ยวข้องเกือบทุกแง่มุมในด้านชีววิทยา ตั้งแต่การระบุเชื้อโรค, การแข็งตัวของเลือด, ไปจนถึงความสามารถของอสุจิในการเจาะเข้าไปในไข่.” ในขณะที่ผลเสียจากการสังเคราะห์น้ำตาลเกี่ยวข้องกับการเป็นโรคต่าง ๆ เพิ่มขึ้น เช่น กล้ามเนื้อลีบและข้ออักเสบรูมาทอยด์. รายงานนั้นกล่าวว่า “นักชีววิทยาเพิ่งจะเริ่มเข้าใจผลกระทบต่าง ๆ ที่น้ำตาลมีต่อร่างกายมนุษย์เท่านั้น แต่เมื่อเริ่มเข้าใจ พวกเขาก็เห็นว่าต้องกลับไปทบทวนความคิดที่ยึดถือกันมานานในเรื่องที่ว่ากระบวนการต่าง ๆ ของชีวิตดำเนินไปอย่างไร.”
นักวิทยาศาสตร์คิดคำ “ไกลโคม” ขึ้นเพื่ออธิบายถึงน้ำตาลทุกชนิดที่เซลล์หรือสิ่งมีชีวิตสร้างขึ้น เช่นเดียวกับคำว่า “จีโนม” ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายครอบคลุมทุกด้านที่เกี่ยวกับยีน. อย่างไรก็ตาม อัดเชด วาร์กิ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านไกลโคไบโอโลจีแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ซานดิเอโก สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ไกลโคมของเซลล์อาจมี “ความซับซ้อนมากกว่าจีโนมหลายพันเท่า.” เหตุใดไกลโคมจึงมีความซับซ้อนมากขนาดนี้?
ภายในเซลล์ น้ำตาลเชิงเดี่ยว หรือโมโนแซ็กคาไรด์ จะเชื่อมต่อกันเป็นโพลิแซ็กคาไรด์. ผลก็คือ โมเลกุลเหล่านี้จะรวมตัวกันเป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ซึ่งอาจมีน้ำตาลเชิงเดี่ยวมากกว่า 200 หน่วย. เนื่องจากรูปแบบการเรียงตัวของน้ำตาลเชิงเดี่ยวเหล่านี้เป็นแบบสามมิติ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการทำหน้าที่ของมัน วารสารนิว ไซเยนติสต์ กล่าวว่า “น้ำตาลหนึ่งโมเลกุลที่ประกอบด้วยโมโนแซ็กคาไรด์เพียงหกหน่วยอาจมีโครงสร้างอันน่าทึ่งต่างกันถึง 12,000 ล้านแบบ.”
เมื่อกล่าวถึงข้อท้าทายอันน่าเกรงขามที่บรรดานักวิจัยต้องเผชิญเกี่ยวกับขอบเขตใหม่ของไกลโคไบโอโลจี วาร์กิกล่าวว่า “มันเหมือนกับว่าเราเพิ่งค้นพบทวีปอเมริกาเหนือ. แต่ตอนนี้เราได้แค่ส่งผู้ตรวจสอบไปสำรวจดูว่ามันใหญ่แค่ไหนเท่านั้น.”
เห็นได้ชัดว่า กลไกอันซับซ้อนของเซลล์ที่มีชีวิตบ่งชี้ถึงสติปัญญาอันยิ่งใหญ่. สำหรับหลายคนแล้ว ข้อเท็จจริงนี้ก่อให้เกิดความเคารพยำเกรงอย่างสุดซึ้ง. คุณรู้สึกอย่างนั้นไหม?—วิวรณ์ 4:11.