ข้ามไปยังเนื้อหา

ข้ามไปยังสารบัญ

ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้ามานานกว่า 70 ปี

ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้ามานานกว่า 70 ปี

ซื่อ​สัตย์​ต่อ​พระเจ้า​มา​นาน​กว่า 70 ปี

เล่า​โดย​โจเซฟีน เอเลียส

“อย่า​กังวล” สามี​ฉัน​กระซิบ​ผ่าน​ลูก​กรง​ห้อง​ขัง. “ไม่​ว่า​เขา​จะ​ฆ่า​หรือ​ปล่อย​ผม​ไป ผม​ก็​จะ​ยัง​คง​สัตย์​ซื่อ​ต่อ​พระ​ยะโฮวา.” ดิฉัน​ก็​เช่น​กัน​แน่วแน่​ที่​จะ​รักษา​ความ​ซื่อ​สัตย์​ต่อ​ไป. ทุก​วัน​นี้​ดิฉัน​ก็​ยัง​คง​รู้สึก​เช่น​เดิม.

ดิฉัน​เกิด​ปี 1916 ที่​เมือง​ซู​กา​บู​มิ เมือง​เล็ก ๆ บน​เทือก​เขา​แห่ง​ชวา​ตะวัน​ตก อินโดนีเซีย. พ่อ​แม่​เป็น​ชาว​จีน​ที่​มั่งคั่ง​อยู่​ใน​บ้าน​หลัง​ใหญ่​พร้อม​ด้วย​คน​รับใช้. ดิฉัน​มี​พี่​ชาย​สาม​คน น้อง​ชาย​อีก​สอง​คน. ดิฉัน​เป็น​ลูก​สาว​คน​เดียว และ​มี​นิสัย​คล้าย​เด็ก​ผู้​ชาย. ดิฉัน​ชอบ​ปีน​หลังคา​และ​ชอบ​เล่น​กีฬา. กระนั้น ก็​ยัง​มี​เรื่อง​หนึ่ง​ที่​ดิฉัน​กังวล​มาก.

ดิฉัน​กลัว​จะ​ตก​นรก. ครู​เคย​พูด​ว่า เด็ก​ดื้อ​จะ​ต้อง​ตก​นรก. และ​เนื่อง​จาก​ดิฉัน​เป็น​เด็ก​ดื้อ ดิฉัน​คิด​ว่า​คง​ต้อง​ไป​นรก​แน่ ๆ. ต่อ​มา ดิฉัน​ล้ม​ป่วย​ระหว่าง​ที่​เรียน​ชั้น​มัธยม​ที่​จาการ์ตา (ตอน​นั้น​เรียก​ว่า​ปัตตาเวีย). หมอ​คิด​ว่า​ดิฉัน​คง​ไม่​รอด เจ้าของ​บ้าน​เช่า​จึง​ปลอบ​ใจ​ดิฉัน​ว่า อีก​ไม่​นาน​ดิฉัน​จะ​ได้​ไป​สวรรค์. อย่าง​ไร​ก็​ดี ดิฉัน​กลัว​ว่า​พระเจ้า​ได้​กำหนด​ไว้​แล้ว​ให้​ดิฉัน​ไป​นรก.

คัง เนียว​แม่​ดิฉัน และ​โดโด​พี่​ชาย​ได้​รีบ​ไป​รับ​ดิฉัน​ที่​จาการ์ตา. ขณะ​เดิน​ทาง​กลับ​บ้าน โดโด​ถาม​ว่า “เธอ​รู้​ไหม พระ​คัมภีร์​ไม่​ได้​สอน​ว่า​มี​นรก?”

ดิฉัน​ถาม​ว่า “พี่​รู้​ได้​อย่าง​ไร?” แม่​จึง​ได้​เปิด​พระ​คัมภีร์​อ่าน​ข้อ​ที่​แสดง​ว่า​คน​ตาย​ไม่​รู้​อะไร​เลย และ​รอ​ที่​จะ​ได้​รับ​การ​ปลุก​ให้​เป็น​ขึ้น​จาก​ตาย. (ท่าน​ผู้​ประกาศ 9:5, 10; โยฮัน 5:28, 29) แม่​กับ​โดโด​บอก​ว่า “เรา​รู้​เรื่อง​นี้​จาก​พยาน​พระ​ยะโฮวา” แล้ว​ก็​ยื่น​หนังสือ​เล่ม​เล็ก​ให้​ดิฉัน ชื่อ​คน​ตาย​อยู่​ที่​ไหน? ดิฉัน​จึง​เริ่ม​อ่าน​ทันที. * ก่อน​จะ​ถึง​บ้าน ดิฉัน​ร้อง​ออก​มา​ว่า “นี่​แหละ​คือ​ความ​จริง!”

ประกาศ​ความ​เชื่อ

พอ​ถึง​ตอน​นั้น ครอบครัว​ของ​เรา​ได้​ย้าย​ไป​เมือง​บันดุง เมือง​ใหญ่​ใน​ชวา​ตะวัน​ตก. ที่​นั่น ดิฉัน​ค่อย ๆ หาย​จาก​อาการ​ป่วย. ใน​เดือน​มีนาคม 1937 เค​ลม เด​ชอง พยาน​ฯ ชาว​ออสเตรเลีย​ซึ่ง​รับใช้​ใน​จาการ์ตา​ได้​มา​เยี่ยม​เรา. ระหว่าง​การ​เยี่ยม​ของ​เขา แม่, พี่​ชาย​ของ​ดิฉัน คือ​ฟีลิกซ์, โดโด, และ​เพ็ง รวม​ทั้ง​ดิฉัน​ด้วย​ได้​รับ​บัพติสมา​เป็น​เครื่องหมาย​การ​อุทิศ​ตัว​แด่​พระเจ้า. ต่อ​มา น้อง​ชาย​ของ​ดิฉัน​คือ​ฮาร์​ตัน​โต​และ​ยู​ซัก พร้อม​ด้วย​ตัน กิม ฮก พ่อ​ของ​ดิฉัน​ก็​เข้า​มา​เป็น​พยาน​ฯ เช่น​กัน. *

หลัง​จาก​เรา​รับ​บัพติสมา เรา​ร่วม​กับ​เค​ลม​ใน​การ​รณรงค์​พิเศษ​เพื่อ​งาน​ประกาศ​เป็น​เวลา​เก้า​วัน. เขา​สอน​วิธี​ประกาศ​ให้​เรา​โดย​ใช้​บัตร​ให้​คำ​พยาน​ซึ่ง​มี​ข่าวสาร​สั้น ๆ จาก​คัมภีร์​ไบเบิล​ใน​สาม​ภาษา. เรา​ยัง​ได้​ประกาศ​อย่าง​ไม่​เป็น​ทาง​การ​แก่​ญาติ​และ​เพื่อน​ด้วย. ไม่​นาน​กลุ่ม​เล็ก ๆ ของ​เรา​ใน​บันดุง​ได้​กลาย​เป็น​ประชาคม ซึ่ง​เป็น​ประชาคม​ที่​สอง​ใน​ประเทศ​อินโดนีเซีย.

ต่อ​มา ใน​ปี​นั้น​ครอบครัว​ของ​เรา​ย้าย​ไป​จาการ์ตา​เพื่อ​ประกาศ​ท่ามกลาง​ชาว​จีน 80,000 คน​ใน​นคร​แห่ง​นี้. ดิฉัน​กับ​แม่​และ​ฟีลิกซ์​เริ่ม​เป็น​ไพโอเนียร์​คือ​คริสเตียน​ผู้​เผยแพร่​เต็ม​เวลา. นอก​จาก​นั้น ดิฉัน​ประกาศ​ใน​บันดุง, ซู​ราบา​ยา, และ​ที่​อื่น ๆ ด้วย. ส่วน​ใหญ่​แล้ว​ดิฉัน​ประกาศ​คน​เดียว. ดิฉัน​ยัง​สาว แข็งแรง​และ​มี​ความ​สุข​ที่​จะ​รับใช้​พระเจ้า. อย่าง​ไร​ก็​ตาม สงคราม​เริ่ม​ก่อ​เค้า​และ​อีก​ไม่​นาน​ความ​เชื่อ​ของ​ดิฉัน​จะ​ถูก​ทดสอบ.

สงคราม​นำ​มา​ซึ่ง​ความ​ยาก​ลำบาก

ใน​เดือน​ธันวาคม 1941 เอเชีย​กระโจน​เข้า​สู่​สงคราม​โลก​ครั้ง​ที่ 2. กองทัพ​แห่ง​จักรพรรดิ​ญี่ปุ่น​ได้​ยึด​ครอง​อินโดนีเซีย. หนังสือ​ที่​อาศัย​คัมภีร์​ไบเบิล​ของ​เรา​ถูก​สั่ง​ห้าม​และ​เรา​ประกาศ​อย่าง​เปิด​เผย​ไม่​ได้. ดิฉัน​หิ้ว​กระดาน​หมากรุก​ไป​ด้วย​ขณะ​เยี่ยม​ผู้​สนใจ​ที่​บ้าน​เพื่อ​คน​อื่น​จะ​ได้​คิด​ว่า​ดิฉัน​แค่​มา​เล่น​หมากรุก.

ใน​ปี 1943 ดิฉัน​ได้​แต่งงาน​กับ​อังเดร ไพโอเนียร์​ผู้​กล้า​ที่​มี​น้ำ​เสียง​หนักแน่น จับ​ความ​สนใจ​ของ​ผู้​คน​ได้​ดี​ที​เดียว. เรา​สอง​คน​ร่วม​กัน​ลอบ​นำ​หนังสือ​ที่​อาศัย​คัมภีร์​ไบเบิล​ไป​ให้​พยาน​ฯ ทั่ว​เกาะ​ชวา. ถ้า​ถูก​จับ เรา​คง​ถูก​ทรมาน​และ​ถูก​ฆ่า. หลาย​ครั้ง​ที่​เรา​รอด​มา​ได้​อย่าง​หวุดหวิด.

มี​อยู่​ครั้ง​หนึ่ง ขณะ​จะ​ขึ้น​รถไฟ​ที่​ซู​กา​บู​มิ ดิฉัน​กับ​อังเดร​ได้​เผชิญ​หน้า​เคมเปไต หน่วย​สารวัตร​ทหาร​ของ​ญี่ปุ่น​ที่​น่า​กลัว. ดิฉัน​ใส่​หนังสือ​ที่​ถูก​สั่ง​ห้าม​ไว้​ที่​ก้น​กระเป๋า. สารวัตร​นาย​หนึ่ง​ถาม​ว่า “ใน​กระเป๋า​มี​อะไร?”

อังเดร​ตอบ “เสื้อ​ผ้า​ครับ.”

เขา​ถาม “แล้ว​ใต้​เสื้อ​ผ้า​ล่ะ​มี​อะไร?”

อังเดร​พูด​ว่า “ก็​เสื้อ​ผ้า​เหมือน​กัน​ครับ.”

เขา​ถาม​ต่อ​อีก​ว่า “แต่​ที่​ก้น​กระเป๋า​มี​อะไร?” ดิฉัน​กลั้น​หายใจ​และ​อธิษฐาน​ใน​ใจ​ต่อ​พระ​ยะโฮวา. อังเดร​ตอบ​ว่า “ตรวจ​ดู​เอง​เลย​ครับ.”

ผู้​ช่วย​ของ​เขา​เอา​มือ​ล้วง​ลง​ไป​ใน​กระเป๋า. ทันใด​นั้น เขา​ก็​ร้อง​ลั่น​และ​รีบ​ดึง​มือ​ออก. เขา​โดน​เข็ม​แทง​เข้า​แล้ว. สารวัตร​รู้สึก​ขายหน้า​จึง​สั่ง​ให้​เรา​ปิด​กระเป๋า​แล้ว​ขึ้น​รถไฟ​ไป.

ระหว่าง​การ​เดิน​ทาง​ไป​ซู​กา​บู​มิ​อีก​คราว​หนึ่ง พวก​เคมเปไต จำ​ได้​ว่า​ดิฉัน​เป็น​พยาน​ฯ จึง​เรียก​ตัว​ไป​ที่​สำนักงาน​ของ​พวก​เขา​ใน​เมือง​นั้น. อังเดร​กับ​ฟีลิกซ์​พี่​ชาย​ของ​ดิฉัน​ตาม​ไป​ด้วย. ที่​นั่น​อังเดร​ถูก​สอบสวน​ก่อน. พวก​นั้น​ระดม​คำ​ถาม​ใส่​เขา. “พยาน​พระ​ยะโฮวา​คือ​ใคร? พวก​แก​ต่อ​ต้าน​รัฐบาล​ญี่ปุ่น​หรือ​ไม่? เป็น​สาย​ลับ​หรือ​เปล่า?”

อังเดร​ตอบ​ว่า “พวก​เรา​เป็น​ผู้​รับใช้​ของ​พระเจ้า​องค์​ทรง​ฤทธิ์​ใหญ่​ยิ่ง​และ​เรา​ไม่​ได้​ทำ​อะไร​ผิด.” หัวหน้า​จึง​คว้า​ดาบ​ซามูไร​ที่​แขวน​ไว้​บน​ผนัง​และ​เงื้อ​ขึ้น.

เขา​พูด​อย่าง​เกรี้ยวกราด​ว่า “ถ้า​ฉัน​ฆ่า​แก​ตอน​นี้​ล่ะ?” อังเดร​เอา​หัว​พาด​บน​โต๊ะ​และ​อธิษฐาน​ใน​ใจ. เงียบ​ไป​พัก​หนึ่ง หัวหน้า​ก็​ระเบิด​เสียง​หัวเราะ เขา​บอก​ว่า “แก​มัน​ใจ​กล้า​จริง ๆ!” เขา​จึง​ให้​อังเดร​ออก​จาก​ห้อง​แล้ว​เรียก​ดิฉัน​กับ​ฟีลิกซ์​เข้า​ไป. เมื่อ​คำ​ให้​การ​ของ​เรา​ตรง​กับ​ของ​อังเดร เขา​ก็​พูด​เสียง​ดัง​ว่า “พวก​แก​ไม่​ใช่​สาย​ลับ ออก​ไป​ให้​พ้น!”

เรา​สาม​คน​เดิน​กลับ​บ้าน สรรเสริญ​พระ​ยะโฮวา​ด้วย​ความ​ยินดี. ตอน​นั้น​เรา​ไม่​รู้​เลย​ว่า​อีก​ไม่​นาน​จะ​มี​ความ​ยาก​ลำบาก​มาก​ขึ้น.

ความ​เชื่อ​ถูก​ทดสอบ​มาก​ขึ้น

สอง​สาม​เดือน​ต่อ​มา อังเดร​ถูก “พี่​น้อง​จอม​ปลอม” ใส่​ร้าย​และ​พวก​เคมเปไต ได้​กัก​ขัง​เขา. (2 โครินท์ 11:26) ดิฉัน​ไป​เยี่ยม​เขา​ใน​เรือน​จำ. เขา​ผอม​มาก​และ​ไม่​มี​เรี่ยว​แรง. เขา​ประทัง​ชีวิต​ด้วย​การ​เก็บ​เศษ​อาหาร​จาก​ท่อ​ระบาย​น้ำ​ของ​เรือน​จำ. พวก​ผู้​คุม​ไม่​อาจ​ทำลาย​ความ​ซื่อ​สัตย์​มั่นคง​ของ​เขา​ได้. ดัง​ที่​กล่าว​ไว้​ตอน​ต้น เขา​กระซิบ​ผ่าน​ลูก​กรง​ห้อง​ขัง​ว่า “อย่า​กังวล. ไม่​ว่า​เขา​จะ​ฆ่า​หรือ​ปล่อย​ผม​ไป ผม​ก็​จะ​ยัง​คง​สัตย์​ซื่อ​ต่อ​พระ​ยะโฮวา. พวก​เขา​จะ​หาม​ศพ​ผม​ออก​ไป​ได้ แต่​ไม่​ใช่​อย่าง​คน​ทรยศ.”

หลัง​จาก​ถูก​ขัง​นาน​หก​เดือน อังเดร​ได้​ขึ้น​ศาล​แห่ง​จาการ์ตา. ครอบครัว​กับ​เพื่อน ๆ ของ​เรา​เข้า​มา​ฟัง​การ​พิจารณา​คดี​อยู่​เต็ม​ห้อง. บรรยากาศ​ตึงเครียด​มาก.

ผู้​พิพากษา​ถาม​ว่า “ทำไม​คุณ​ไม่​ร่วม​กองทัพ​ญี่ปุ่น?”

อังเดร​ตอบ​ว่า “ผม​เป็น​ทหาร​แห่ง​ราชอาณาจักร​ของ​พระเจ้า และ​ทหาร​จะ​อยู่​ใน​สอง​กองทัพ ณ เวลา​เดียว​กัน​ไม่​ได้.”

ผู้​พิพากษา​ถาม​ว่า “คุณ​จะ​ชักชวน​คน​อื่น​ไม่​ให้​ร่วม​กองทัพ​ด้วย​ไหม?”

อังเดร​ตอบ​ว่า “ไม่​ครับ นั่น​เป็น​เรื่อง​ที่​พวก​เขา​ต้อง​ตัดสิน​ใจ​เอง.”

อังเดร​ให้​การ​ต่อ​สู้​คดี​ต่อ​ไป​โดย​การ​ยก​ข้อ​ความ​หลาย​ตอน​จาก​คัมภีร์​ไบเบิล. ผู้​พิพากษา​ซึ่ง​เป็น​ชาว​มุสลิม​ที่​เคร่ง​ศาสนา​รู้สึก​ประทับใจ. เขา​กล่าว​ว่า “ความ​เชื่อ​ของ​เรา​อาจ​ต่าง​กัน แต่​ผม​จะ​ไม่​ฝืน​ใจ​ใคร​ให้​ทำ​สิ่ง​ที่​ขัด​ต่อ​สติ​รู้สึก​ผิด​ชอบ. คุณ​เป็น​อิสระ​แล้ว.”

แทบ​ทุก​คน​ใน​ห้อง​พิจารณา​คดี​รู้สึก​โล่ง​ใจ และ​ความ​ยินดี​เปี่ยม​ล้น​หัวใจ​ดิฉัน. อังเดร​เดิน​มา​หา​และ​จับ​มือ​ดิฉัน​ไว้. ครอบครัว​กับ​เพื่อน ๆ ที่​ตื่นเต้น​ดีใจ​พา​กัน​มา​รุม​ล้อม​และ​แสดง​ความ​ยินดี​กับ​เรา.

ประกาศ​เสรีภาพ​แท้

หลัง​สงคราม​โลก​ครั้ง​ที่ 2 สิ้น​สุด​ลง เกิด​การ​ปฏิวัติ​ต่อ​ต้าน​การ​ปกครอง​ของ​เนเธอร์แลนด์​ใน​อินโดนีเซีย​ซึ่ง​กิน​เวลา​ถึง​สี่​ปี. หลาย​พัน​คน​ถูก​ฆ่า และ​ใน​บาง​แห่ง​ผู้​คน​ทั้ง​หมู่​บ้าน​ต้อง​หนี​ออก​ไป​หมด. พวก​คลั่ง​ชาติ​บังคับ​ให้​เรา​ตะโกน​ว่า “เมอร์เดกา” ซึ่ง​หมาย​ถึง “อิสรภาพ.” แต่​เรา​บอก​พวก​เขา​ว่า เรา​เป็น​กลาง​ใน​ทาง​การ​เมือง.

ทั้ง ๆ ที่​มี​ความ​รุนแรง เรา​ก็​เริ่ม​งาน​ประกาศ​ตาม​บ้าน​อีก. เรา​ใช้​บัตร​ให้​คำ​พยาน​แบบ​เก่า​และ​สรรพหนังสือ​ที่​เก็บ​ไว้​ก่อน​เกิด​สงคราม. ใน​เดือน​พฤษภาคม 1948 เมื่อ​ความ​รุนแรง​สงบ​ลง​บ้าง ดิฉัน​กับ​อังเดร​กลับ​มา​ทำ​งาน​ไพโอเนียร์​อีก​ครั้ง จึง​มี​เพียง​เรา​สอง​คน​เป็น​ไพโอเนียร์​ใน​อินโดนีเซีย. สาม​ปี​ต่อ​มา เรา​ตื่นเต้น​ดีใจ​เหลือ​เกิน​ที่​ได้​ต้อนรับ​พยาน​ฯ 14 คน​มา​ร่วม​งาน​ที่​จาการ์ตา ทุก​คน​สำเร็จ​การ​ศึกษา​จาก​โรง​เรียน​ว็อชเทาเวอร์​ไบเบิล​แห่ง​กิเลียด​ใน​รัฐ​นิวยอร์ก​ตอน​เหนือ สหรัฐ. การ​ฝึก​อบรม​ที่​เรา​ได้​รับ​จาก​พี่​น้อง​เหล่า​นี้​ช่วย​เตรียม​เรา​สำหรับ​หน้า​ที่​รับผิดชอบ​ที่​เพิ่ม​ขึ้น.

ใน​เดือน​มิถุนายน 1952 ดิฉัน​กับ​อังเดร​ตอบรับ​การ​มอบหมาย​เป็น​ไพโอเนียร์​พิเศษ​ใน​เซมา​รัง ตอน​กลาง​ของ​ชวา. ปี​ถัด​มา เรา​ได้​เข้า​ร่วม​โรง​เรียน​กิเลียด​รุ่น​ที่ 22. หลัง​จาก​สำเร็จ​การ​ศึกษา เรา​กลับ​มา​อินโดนีเซีย​และ​ได้​รับ​มอบหมาย​ไป​ที่​คู​ปัง ติมอร์. ต่อ​มา เรา​ได้​รับ​มอบหมาย​ไป​ซูลาเวสี​ใต้​และ​ซูลาเวสี​เหนือ. ที่​นั่น​เรา​ได้​เผชิญ​การ​ทดสอบ​ความ​เชื่อ​มาก​ขึ้น.

มี​การ​สั่ง​ห้าม​อีก

ใน​ปี 1965 การ​พยายาม​ทำ​รัฐประหาร​ทำ​ให้​คน​นับ​แสน​ต้อง​ตาย. นัก​เทศน์​นัก​บวช​บาง​คน​ของ​คริสต์​ศาสนจักร​เข้า​ไป​ร่วม​ใน​การ​ต่อ​สู้​ครั้ง​นั้น และ​กล่าวหา​ว่า​พยาน​พระ​ยะโฮวา​เป็น​คอมมิวนิสต์. แต่​ยัง​ดี​ที่​เจ้าหน้าที่​ไม่​หลง​เชื่อ​ง่าย ๆ. อย่าง​ไร​ก็​ตาม พวก​นัก​เทศน์​นัก​บวช​ไม่​ยอม​หยุด​กล่าว​ให้​ร้าย​พยาน​ฯ. ใน​ที่​สุด วัน​ที่ 25 ธันวาคม 1976 ก็​ได้​มี​การ​สั่ง​ห้าม​พยาน​พระ​ยะโฮวา.

ไม่​นาน​หลัง​การ​ประกาศ​สั่ง​ห้าม อัยการ​ใน​เมือง​มานาโด​เรียก​ตัว​อังเดร​ไป​ที่​สำนักงาน. เขา​ถาม​ว่า “คุณ​รู้​ไหม​ว่า​พยาน​พระ​ยะโฮวา​ถูก​สั่ง​ห้าม?”

อังเดร​ตอบ “รู้​ครับ.”

เขา​ถาม​ต่อ​ว่า “ตอน​นี้​คุณ​พร้อม​จะ​เปลี่ยน​ศาสนา​หรือ​ยัง?”

อังเดร​โน้ม​ตัว​มา​ข้าง​หน้า​และ​ตี​อก​ตัว​เอง​ด้วย​ท่า​ทาง​ที่​มุ่ง​มั่น. เขา​พูด​เสียง​ดัง​ว่า “คุณ​ควัก​หัวใจ​ผม​ออก​ไป​ได้ แต่​คุณ​ไม่​มี​วัน​จะ​ทำ​ให้​ผม​เปลี่ยน​ศาสนา​ได้.”

อัยการ​ถึง​กับ​ตกตะลึง และ​ถาม​ว่า “แล้ว​ผม​จะ​เขียน​รายงาน​อย่าง​ไร?”

อังเดร​ตอบ​ว่า “เขียน​ไป​เลย​ว่า​ผม​ยัง​เป็น​พยาน​พระ​ยะโฮวา และ​ผม​ไม่​ได้​ทำ​อะไร​ผิด.”

อัยการ​บอก​ว่า “ผม​ต้อง​ยึด​หนังสือ​ของ​คุณ.”

คืน​นั้น พยาน​ฯ หนุ่ม ๆ ได้​มา​ขน​หนังสือ​ไป​จาก​บ้าน​ของ​เรา เหลือ​ไว้​เพียง​กล่อง​เปล่า. เรา​ยัง​คง​ประกาศ​ต่อ​ไป​โดย​ใช้​คัมภีร์​ไบเบิล. ส่วน​อัยการ​คน​นั้น​ก็​ไม่​เคย​มา​ยุ่ง​กับ​เรา​อีก​เลย.

ชีวิต​ที่​แสน​วิเศษ

ต่อ​มา ดิฉัน​กับ​อังเดร​ได้​เป็น​ไพโอเนียร์​ที่​ซูราบายา บน​เกาะ​ชวา, และ​เกาะ​บัง​กา ทาง​ตะวัน​ออก​เฉียง​ใต้​ของ​สุมาตรา. อย่าง​ไร​ก็​ตาม ใน​ปี 1982 สุขภาพ​ไม่​สู้​ดี​นัก​จึง​ทำ​ให้​เรา​ต้อง​กลับ​ไป​จาการ์ตา. ใน​ปี 2000 อังเดร​เสีย​ชีวิต​ที่​นี่​ใน​วัย 85 ปี เขา​เป็น​ไพโอเนียร์​ที่​กระตือรือร้น​จน​วัน​ตาย. หนึ่ง​ปี​หลัง​จาก​เขา​เสีย​ชีวิต คำ​สั่ง​ห้าม​ก็​ถูก​ยก​เลิก​ไป.

ดิฉัน​มี​ชีวิต​ที่​แสน​วิเศษ​อะไร​เช่น​นี้! ปัจจุบัน​ดิฉัน​อายุ 93 ปี​และ​เป็น​ไพโอเนียร์​มา​นาน​กว่า 70 ปี. ใน​ปี 1937 เมื่อ​ดิฉัน​รับ​บัพติสมา มี​พยาน​พระ​ยะโฮวา​เพียง 25 คน​ใน​อินโดนีเซีย. ทุก​วัน​นี้​มี​เกือบ 22,000 คน. ดิฉัน​ดีใจ​จริง ๆ ที่​มี​ส่วน​สนับสนุน​การ​เติบโต​นี้! แต่​การ​เดิน​ทาง​ของ​ดิฉัน​เพิ่ง​จะ​เริ่ม​ขึ้น. ดิฉัน​ต้องการ​รับใช้​พระเจ้า​อย่าง​ซื่อ​สัตย์​ชั่ว​กาล​นาน.

[เชิงอรรถ]

^ วรรค 7 จัด​พิมพ์​โดย​พยาน​พระ​ยะโฮวา​แต่​เดี๋ยว​นี้​งด​พิมพ์​แล้ว.

^ วรรค 9 ทั้ง​ครอบครัว​ได้​รักษา​ความ​ซื่อ​สัตย์​ต่อ​พระ​ยะโฮวา. โจ​เซ​ฟีน​และ​ยู​ซัก​เป็น​สอง​คน​สุด​ท้าย​ที่​มี​ชีวิต​อยู่ ยัง​คง​รับใช้​พระ​ยะโฮวา​อย่าง​กระตือรือร้น​ใน​จาการ์ตา.

[คำ​โปรย​หน้า 13]

“ผม​เป็น​ทหาร​แห่ง​ราชอาณาจักร​ของ​พระเจ้า และ​ทหาร​จะ​อยู่​ใน​สอง​กองทัพ ณ เวลา​เดียว​กัน​ไม่​ได้”

[คำ​โปรย​หน้า 14]

“คุณ​ควัก​หัวใจ​ผม​ออก​ไป​ได้ แต่​คุณ​ไม่​มี​วัน​จะ​ทำ​ให้​ผม​เปลี่ยน​ศาสนา​ได้”

[แผนที่​หน้า 15]

(ดู​ราย​ละเอียด​จาก​วารสาร)

ที่​ที่​เรา​เคย​อยู่​และ​เคย​ประกาศ

อินโดนีเซีย

ซูลาเวสี

มานาโด

สุมาตรา

บังกา

ชวา

จาการ์ตา

ซูกาบูมิ

บันดุง

เซมารัง

ซูราบายา

ติมอร์

คูปัง

[ภาพ​หน้า 15]

กับ​อังเดร​ใน​ทศวรรษ 1970

[ภาพ​หน้า 15]

ตอน​ที่​ดิฉัน​อายุ 15 ปี หนังสือ​เล่ม​เล็ก​ชื่อ “คน​ตาย​อยู่​ที่​ไหน?” ทำ​ให้​ดิฉัน​ตอบรับ​ความ​จริง​ใน​คัมภีร์​ไบเบิล