วัยรุ่น—เตรียมตัวเพื่อจะเป็นผู้ใหญ่
วัยรุ่น—เตรียมตัวเพื่อจะเป็นผู้ใหญ่
ลองนึกภาพว่าคุณเพิ่งเดินทางจากเกาะเขตร้อนสู่เขตขั้วโลกเหนือ. ทันทีที่คุณก้าวออกมาจากเครื่องบิน คุณก็รู้ตัวว่าอยู่ในเขตที่หนาวจัด. คุณจะอยู่ได้ไหม? ได้สิ แต่คุณต้องปรับตัว.
เรื่องนี้คล้ายกับสิ่งที่คุณประสบเมื่อลูกของคุณโตเป็นวัยรุ่น. ราวกับว่าสภาพอากาศเปลี่ยนไปเพียงชั่วข้ามคืน. เด็กชายที่ไม่ยอมอยู่ห่างจากคุณตอนนี้กลับชอบอยู่กับเพื่อน ๆ มากกว่า. เด็กหญิงที่กระตือรือร้นอยากเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้คุณฟังตอนนี้กลับตอบคุณเพียงไม่กี่คำ.
“ที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง?” คุณถาม.
“ก็ดีค่ะ” ลูกของคุณตอบ.
เงียบ.
“ลูกคิดอะไรอยู่?” คุณถาม.
“เปล่านี่คะ” ลูกตอบ.
แล้วก็เงียบอีก.
เกิดอะไรขึ้น? หนังสือถอดรหัส (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า ไม่นานก่อนหน้านี้ “ลูกจะเล่าทุกสิ่งในชีวิตเขาให้คุณฟัง เปรียบเหมือนกับคุณมีบัตรผ่านเข้าไปหลังเวทีการแสดงคอนเสิร์ต. แต่ตอนนี้คุณอาจรู้สึกว่าได้แต่ดูลูกวัยรุ่นเติบโตขึ้นและไม่มีโอกาสช่วยเขาได้ เหมือนกับคุณต้องไปนั่งในหมู่ผู้ชม ทั้งยังเป็นที่นั่งที่ไม่ค่อยดีนัก.”
คุณจำต้องยอมรับสภาพว่าลูกห่างเหินจากคุณไปแล้วอย่างนั้นไหม? ไม่เลย. คุณยังสนิทสนมกับลูกของคุณได้ขณะที่เขาเป็นวัยรุ่น. แต่ก่อนอื่น คุณต้องเข้าใจว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างในช่วงวัยที่น่าทึ่งแต่บางครั้งก็สับสนนี้.
จากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่
นักวิจัยเคยคิดกันว่าสมองของเด็กพัฒนาเกือบเต็มที่แล้วตั้งแต่อายุห้าขวบ. ปัจจุบัน พวกเขาเชื่อว่าแม้ขนาด ของสมองแทบไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ห้าขวบ แต่การทำงาน ของสมองไม่ได้เป็นอย่างนั้น. เมื่อเด็กเข้าสู่วัยแรกรุ่น จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่กับระดับฮอร์โมนซึ่งทำให้วิธีคิดของเด็กเปลี่ยนไป. เพื่อเป็นตัวอย่าง ขณะที่เด็กเล็กมองทุกสิ่งเป็นรูปธรรมหรือแบบแคบ ๆ แต่วัยรุ่นมักจะมีแนวคิดเชิงนามธรรมและมองลึกไปถึงแก่นของเรื่อง. (1 โครินท์ 13:11) วัยรุ่นมีความคิดของตัวเอง และพวกเขาไม่กลัวที่จะแสดงความเห็นออกมา.
ปาโอโลซึ่งอยู่ที่อิตาลีเห็นการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ในตัวลูกวัยรุ่นของเขา. เขาพูดว่า “เมื่อผมมองลูกชายของผม ผมรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กอีกต่อไป. ไม่ใช่เพราะร่างกายของเขาเปลี่ยนไปเท่านั้น. สิ่งที่ทำให้ผมทึ่งที่สุดคือความคิดความอ่านของเขา. เขาไม่กลัวที่จะแสดงความเห็นของตัวเองและชี้แจงเหตุผลสำหรับความเห็นนั้น!”
คุณเห็นว่าลูกวัยรุ่นของคุณเป็นอย่างนี้ด้วยไหม? ตอนเป็นเด็ก เขาอาจทำตามคำสั่งอย่างเดียว. เพียงแค่คุณบอกว่า “เพราะพ่อแม่บอกอย่างนั้น” เขาก็จะทำตาม. ตอนนี้
พอเป็นวัยรุ่น เขาต้องการเหตุผล และบางทีถึงกับสงสัยในมาตรฐานด้านศีลธรรมของครอบครัว. บางครั้ง การที่เขายืนกรานทำให้เขาดูเหมือนกับคนขืนอำนาจ.แต่อย่าเพิ่งคิดว่าลูกไม่เห็นด้วยกับมาตรฐานด้านศีลธรรมของคุณ. เขาอาจกำลังต่อสู้กับตัวเองเพื่อจะยอมรับมาตรฐานนั้น. ยกตัวอย่าง สมมุติว่าคุณกำลังย้ายบ้านและเอาเครื่องเรือนไปด้วย. เป็นเรื่องง่ายไหมที่จะหามุมเหมาะ ๆ สำหรับเครื่องเรือนแต่ละชิ้น? คงไม่ง่าย. แต่ที่แน่นอนก็คือ คุณจะไม่ทิ้งของที่คุณถือว่ามีค่า.
ลูกวัยรุ่นของคุณเผชิญสถานการณ์คล้าย ๆ กันขณะที่เตรียมตัวสำหรับเวลาที่เขาต้อง “ละบิดามารดาของตน.” (เยเนซิศ 2:24) จริงอยู่ อาจยังอีกนานกว่าจะถึงวันนั้น เพราะลูกวัยรุ่นของคุณยังไม่ เป็นผู้ใหญ่. แต่ในบางแง่ เขากำลังเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้. ตลอดช่วงวัยรุ่น เขาตรวจสอบมาตรฐานทางศีลธรรมที่เขาถูกสอนมา และตัดสินใจว่าเรื่องใดที่เขาจะยอมรับเมื่อเขาโตเป็นผู้ใหญ่. *
คุณอาจกังวลเมื่อคิดว่าลูกต้องตัดสินใจในเรื่องนี้. แต่คุณแน่ใจได้ว่า เมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่ เขาจะยึดถือแต่มาตรฐานทางศีลธรรมที่ตัวเขาเอง ถือว่ามีค่า. ฉะนั้น ตอนที่ลูกวัยรุ่นยังอยู่กับคุณที่บ้านนี่แหละเป็นเวลาที่เขาต้องตรวจสอบให้ดีว่าเขาจะดำเนินชีวิตตามมาตรฐานแบบใด.—กิจการ 17:11
ที่จริง นับว่าเป็นประโยชน์ที่ลูกวัยรุ่นของคุณจะทำอย่างนั้น. เพราะถ้าตอนนี้เขายอมรับมาตรฐานของคุณ โดยไม่สงสัย ต่อไปเขาอาจยอมรับมาตรฐานของคนอื่น โดยไม่สงสัยเหมือนกัน. (เอ็กโซโด 23:2) คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงคนหนุ่มสาวเช่นนั้นว่าเป็นคนถูกล่อลวงได้ง่าย เพราะ “ไร้ความเข้าใจ.” (สุภาษิต 7:7) วัยรุ่นที่จิตใจไม่หนักแน่นอาจ “ถูกซัดไปซัดมาเหมือนโดนคลื่นและถูกพาไปทางนั้นบ้างทางนี้บ้างโดยลมแห่งคำสอนทุกอย่างด้วยกลอุบายของมนุษย์.”—เอเฟโซส์ 4:14
คุณจะป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องนี้กับลูกได้อย่างไร? จงช่วยให้เขามีสามสิ่งที่สำคัญต่อไปนี้:
1 วิจารณญาณ
อัครสาวกเปาโลเขียนว่า “คนที่เป็นผู้ใหญ่ . . . ฝึกใช้วิจารณญาณเพื่อจะแยกออกว่าอะไรถูกอะไรผิด.” (ฮีบรู 5:14) คุณอาจพูดว่า ‘แต่ฉันสอนลูกให้แยกออกว่าอะไรถูกอะไรผิดมาหลายปีแล้ว.’ แน่นอน การฝึกฝนนั้นเป็นประโยชน์กับเขาในขณะนั้นและเตรียมเขาให้พร้อมสำหรับวัยรุ่น. (2 ติโมเธียว 3:14) แต่กระนั้น เปาโลกล่าวว่าคนเราต้องฝึกใช้วิจารณญาณ. แม้เด็กเล็ก ๆ อาจรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่วัยรุ่นต้อง “มีความคิดความเข้าใจ อย่างผู้ซึ่งเติบโตเต็มที่.” (1 โครินท์ 14:20; สุภาษิต 1:4; 2:11) คุณคงต้องการให้ลูกวัยรุ่นใช้ความสามารถในการหาเหตุผลอย่างถี่ถ้วน ไม่ใช่เชื่อฟังโดยไม่คิด. (โรม 12:1, 2) คุณจะช่วยเขาทำอย่างนั้นได้อย่างไร?
ยาโกโบ 1:19; สุภาษิต 18:13) ยิ่งกว่านั้น พระเยซูตรัสว่า “ใจเต็มไปด้วยสิ่งใด ปากก็พูดตามนั้น.” (มัดธาย 12:34) ถ้าคุณฟัง คุณจะเข้าใจว่าที่แท้แล้วลูกวัยรุ่นกังวลเรื่องอะไร.
วิธีหนึ่งคือให้เขาพูดออกมาว่าเขารู้สึกอย่างไร. อย่าขัดจังหวะ และพยายามอย่าตีโพยตีพาย แม้เขาจะพูดอะไรที่คุณไม่อยากได้ยิน. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ทุกคนต้องไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ.” (เมื่อคุณพูด พยายามใช้คำถามแทนที่จะพูดเชิงบังคับ. บางครั้งพระเยซูถามว่า “เจ้าทั้งหลายคิดอย่างไร?” เพื่อให้ทั้งสาวกของพระองค์และคนที่ดื้อดึงพูดความรู้สึกของเขาออกมา. (มัดธาย 21:23, 28) คุณจะทำเช่นนั้นกับลูกวัยรุ่นได้ แม้แต่เมื่อเขาแสดงทัศนะที่ขัดแย้งกับความคิดของคุณ. ตัวอย่างเช่น:
ถ้าลูกวัยรุ่นพูดว่า: “ผมไม่รู้ว่าผมเชื่อพระเจ้าหรือเปล่า.”
แทนที่จะพูดว่า: “ลูกลืมที่พ่อแม่สอนได้อย่างไร ลูกก็เชื่อพระเจ้าอยู่แล้ว!”
คุณอาจพูดว่า: “อะไรทำให้ลูกรู้สึกอย่างนั้น?”
ทำไมคุณควรพยายามให้ลูกเล่าความรู้สึกของเขาออกมา? เพราะแม้คุณจะได้ยินแล้วว่าเขาพูด อะไร แต่คุณต้องพยายามรู้ว่าเขาคิด อะไร. (สุภาษิต 20:5) ลูกอาจไม่ได้สงสัยว่าพระเจ้ามีจริงไหม แต่อาจสงสัยเรื่องมาตรฐานของพระเจ้าก็ได้.
ตัวอย่างเช่น วัยรุ่นที่ถูกกดดันให้ฝ่าฝืนกฎหมายด้านศีลธรรมของพระเจ้าอาจพยายามทำให้ความประพฤติเช่นนั้นไม่ผิดโดยจงใจไม่เชื่อพระเจ้า. (บทเพลงสรรเสริญ 14:1) เขาอาจหาเหตุผลว่า ‘ถ้าพระเจ้าไม่มีจริง ฉันก็ไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานในคัมภีร์ไบเบิล.’
ถ้าลูกวัยรุ่นของคุณดูเหมือนคิดแบบนั้น อาจจำเป็นต้องหาเหตุผลกับเขาเกี่ยวกับคำถามที่ว่า ฉันเชื่อไหมว่ามาตรฐานของพระเจ้าเป็นประโยชน์กับฉันจริง ๆ? (ยะซายา 48:17, 18) ถ้าเขาเชื่อว่ามาตรฐานของพระเจ้าเป็นประโยชน์กับเขาอยู่แล้ว ก็ช่วยเขาให้เห็นว่าสวัสดิภาพของเขามีค่าคู่ควรที่จะปกป้องไว้.—กาลาเทีย 5:1
ถ้าลูกวัยรุ่นพูดว่า: “นี่เป็นศาสนาของพ่อกับแม่ แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นศาสนาของผม ด้วย.”
แทนที่จะพูดว่า: “นี่เป็นศาสนาของลูกด้วย. ลูกเป็นลูกของพ่อแม่ และลูกต้องเชื่ออย่างที่พ่อแม่บอกให้ลูกเชื่อ.”
คุณอาจพูดว่า: “ลูกคิดขนาดนั้นเลยหรือ? ถ้าลูกไม่ยอมรับสิ่งที่พ่อแม่เชื่อ ลูกก็ต้องมีความเชื่อแบบอื่น. แล้วลูกเชื่ออะไรล่ะ? ลูกคิดว่าเราควรปฏิบัติตามหลักการแบบไหน?”
ทำไมคุณควรพยายามให้ลูกเล่าความรู้สึกของเขาออกมา? เพราะการหาเหตุผลกับเขาเช่นนี้อาจช่วยเขาให้ตรวจสอบความคิดของตน. เขาอาจแปลกใจที่พบว่าสิ่งที่เขาเชื่อก็เหมือนกับที่คุณเชื่อ แต่ที่แท้แล้วเขากังวลกับเรื่องอื่นมากกว่า.
เพื่อเป็นตัวอย่าง ลูกวัยรุ่นอาจไม่รู้ว่าจะอธิบายความเชื่อของเขากับคนอื่นอย่างไร. (โกโลซาย 4:6; 1 เปโตร 3:15) หรือเขาอาจรู้สึกชอบเพศตรงข้ามคนหนึ่งที่มีความเชื่อต่าง ไปจากเขา. จงพยายามเข้าใจสาเหตุที่แท้จริง และช่วยลูกให้ทำอย่างนั้นด้วย. ยิ่งเขาใช้วิจารณญาณมากเท่าไร เขาก็ยิ่งพร้อมสำหรับการเป็นผู้ใหญ่มากเท่านั้น.
2 การชี้แนะจากผู้ใหญ่
ในบางวัฒนธรรมสมัยปัจจุบัน เราแทบไม่พบ “ปัญหาและความวุ่นวาย” ในวัยรุ่นซึ่งนักจิตวิทยาบางคนอ้างว่าเป็นเรื่องปกติ. นักวิจัยพบว่าวัยรุ่นในสังคมเช่นนั้นใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุยังน้อย. พวกเขาทำงานกับผู้ใหญ่ คบหากับผู้ใหญ่ และมีหน้าที่รับผิดชอบแบบผู้ใหญ่. สังคมเหล่านั้นไม่มีคำว่า “การกระทำผิดทางอาญาของเยาวชน” ในภาษาของเขา และไม่มีแม้แต่คำว่า “วัยรุ่น.”
ในทางตรงกันข้าม ขอให้คิดถึงสภาพการณ์ของวัยรุ่นในหลายดินแดน. พวกเขาต้องเข้าโรงเรียนที่มีนักเรียนมากเกินไป และคนที่พวกเขาจะคบหาได้ก็มีแต่วัยรุ่นด้วยกัน. เมื่อกลับถึงบ้าน ก็ไม่มีใครอยู่. ทั้งพ่อและแม่ไปทำงาน. ญาติ ๆ ก็อยู่ไกล. กลุ่มคนที่พวกเขาจะคบหาได้ง่ายที่สุดก็คือคนรุ่นเดียวกัน. * คุณมองเห็นอันตรายไหม? ปัญหาไม่ได้เกิดจากการคบเพื่อนที่ไม่ดีเท่านั้น. นักวิจัยพบว่าแม้แต่เยาวชนที่เป็นแบบอย่างที่ดีก็อาจประพฤติตัวเหลวไหลได้ ถ้าพวกเขาไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับผู้ใหญ่.
สังคมหนึ่งที่ไม่ได้แบ่งแยกระหว่างหนุ่มสาวกับผู้ใหญ่คือสังคมของชาวอิสราเอลโบราณ. * ยกตัวอย่าง คัมภีร์ไบเบิลเล่าเรื่องของอูซียาห์ซึ่งเป็นกษัตริย์ของยูดาห์ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น. อะไรช่วยอูซียาห์แบกรับหน้าที่อันหนักหน่วงนี้? ดูเหมือนว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะท่านได้รับผลกระทบจากผู้ใหญ่ที่ชื่อเซคาระยาห์ ซึ่งคัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงว่าเป็น “ผู้สอนให้รู้จักเกรงกลัวพระเจ้าองค์เที่ยงแท้.”—2 โครนิกา 26:5, ล.ม.
ลูกวัยรุ่นของคุณมีผู้ใหญ่ที่คอยให้คำปรึกษาไหม ซึ่งเป็นคนที่ยึดถือมาตรฐานทางศีลธรรมอย่างเดียวกับคุณ? อย่าอิจฉาที่คนนั้นคอยช่วยเหลือลูกของคุณ. เขาอาจช่วยลูกวัยรุ่นให้ทำสิ่งที่ถูกต้องได้. สุภาษิตในคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “คนที่เดินกับคนมีปัญญาจะกลายเป็นคนมีปัญญา.”—สุภาษิต 13:20, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน
3 การรู้จักรับผิดชอบ
ในบางดินแดน กฎหมายห้ามไม่ให้เยาวชนทำงานเกินกว่าจำนวนชั่วโมงที่กำหนดไว้ต่อสัปดาห์หรือไม่ให้ทำงานบางประเภท. มีการวางข้อจำกัดดังกล่าวเพื่อปกป้องเด็กไว้จากสภาพการทำงานที่เป็นอันตราย ซึ่งเป็นผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18 และ 19.
แม้กฎหมายแรงงานเด็กจะปกป้องเยาวชนไว้จากอันตรายและการถูกทำร้าย แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนอ้างว่าข้อจำกัดเหล่านี้ยังทำให้วัยรุ่นไม่รู้จักความรับผิดชอบอีกด้วย. หนังสือการหลุดพ้นจากวัยรุ่นที่ไม่รู้จักโต (ภาษาอังกฤษ)
กล่าวว่า ผลที่ตามมาก็คือ วัยรุ่นหลายคนกลายเป็น “คนเอาแต่ใจ และคิดว่าถ้าอยากได้อะไรคนอื่นต้องเอามาให้โดยที่ตัวเองไม่ต้องดิ้นรนหามา.” ผู้เขียนกล่าวว่า ดูเหมือนไม่แปลกที่วัยรุ่นจะเกิดความคิดแบบนี้ เนื่องจากพวกเขา “อยู่ในสังคมที่มุ่งเน้นให้วัยรุ่นหาความสนุกสนาน โดยแทบไม่ได้คาดหมายให้เขามีความรับผิดชอบใด ๆ เลย.”ในทางตรงกันข้าม คัมภีร์ไบเบิลมีเรื่องราวของหนุ่มสาวซึ่งรับหน้าที่รับผิดชอบสำคัญตั้งแต่อายุยังน้อย. ขอพิจารณาติโมเธียว ซึ่งคงเป็นวัยรุ่นเมื่อพบกับอัครสาวกเปาโล บุรุษผู้ก่อผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตของติโมเธียว. ครั้งหนึ่ง เปาโลบอกติโมเธียวให้ “กระตุ้นของประทานจากพระเจ้าซึ่งท่านได้รับ . . . ให้ลุกโพลงดังไฟ.” (2 ติโมเธียว 1:6) เมื่อติโมเธียวอายุราว ๆ 20 ปี ท่านจากบ้านเพื่อเดินทางร่วมกับอัครสาวกเปาโล ช่วยก่อตั้งประชาคมต่าง ๆ และเสริมกำลังพี่น้อง. พอทำงานร่วมกับติโมเธียวมาได้ราว ๆ สิบปี เปาโลก็พูดกับคริสเตียนในเมืองฟิลิปปอยได้ว่า “ข้าพเจ้าไม่มีใครที่มีน้ำใจเหมือนเขาซึ่งจะเอาใจใส่เรื่องของพวกท่านอย่างแท้จริง.”—ฟิลิปปอย 2:20
บ่อยครั้ง วัยรุ่นกระตือรือร้นจะรับหน้าที่รับผิดชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพวกเขารู้สึกว่านั่นเป็นงานที่สำคัญและมีประโยชน์. การทำเช่นนี้ไม่เพียงฝึกให้เขาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบในอนาคต แต่ยังเปิดโอกาสให้เขาแสดงคุณลักษณะที่ดีในตอนนี้ด้วย.
ปรับตัวให้เข้ากับ “สภาพอากาศ” ใหม่
ดังที่กล่าวในตอนต้นของบทความ ถ้าคุณมีลูกวัยรุ่น คุณอาจรู้สึกราวกับว่า “สภาพอากาศ” ในตอนนี้ต่างไปจากเมื่อไม่กี่ปีก่อน. ขอให้วางใจว่าคุณสามารถปรับตัวได้ เหมือนที่คุณเคยปรับตัวมาแล้วระหว่างการเติบโตของลูกในแต่ละช่วง.
ให้มองช่วงวัยรุ่นของลูกว่าเป็นโอกาสที่คุณจะ (1) ช่วยเขาพัฒนาความสามารถในการใช้วิจารณญาณ (2) ช่วยให้เขาได้รับการชี้แนะจากผู้ใหญ่ และ (3) สอนให้ลูกรู้จักรับผิดชอบ. โดยการทำเช่นนี้ คุณจะเตรียมลูกวัยรุ่นให้พร้อมสำหรับการเป็นผู้ใหญ่.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 17 หนังสืออ้างอิงเล่มหนึ่งเปรียบช่วงวัยรุ่นเหมือนกับ “วันแห่งการลาจาก.” สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ดูหอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 พฤษภาคม 2009 หน้า 10-12 จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา.
^ วรรค 38 ความบันเทิงสำหรับวัยรุ่นมักจะใช้ประโยชน์จากแนวโน้มของวัยรุ่นที่ชอบอยู่กับเพื่อน ๆ และส่งเสริมแนวคิดที่ว่าหนุ่มสาวมีสังคมของตัวเองซึ่งผู้ใหญ่ไม่เข้าใจหรือเข้าไม่ถึง.
^ วรรค 39 คำว่า “วัยรุ่น” ไม่มีในคัมภีร์ไบเบิล. ดูเหมือนว่า ประชาชนของพระเจ้าที่เป็นหนุ่มสาวทั้งก่อนยุคคริสเตียนและในยุคคริสเตียนเริ่มใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่ตั้งแต่ตอนที่อายุยังน้อยเมื่อเทียบกับหนุ่มสาวในหลายวัฒนธรรมในปัจจุบัน.
[กรอบ/ภาพหน้า 20]
“ฉันมีพ่อแม่ที่ดีที่สุด”
โดยการสอนและการวางตัวอย่าง พ่อแม่ที่เป็นพยานพระยะโฮวาสอนลูก ๆ ให้ดำเนินชีวิตตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิล. (เอเฟโซส์ 6:4) อย่างไรก็ดี พวกเขาไม่บังคับลูกให้ทำตามหลักการนั้น. พ่อแม่ที่เป็นพยานฯ รู้ดีว่าเมื่อลูกแต่ละคนโตพอ เขาต้องตัดสินใจเองว่าจะดำเนินชีวิตตามมาตรฐานทางศีลธรรมแบบใด.
แอชลิน อายุ 18 ปี ดำเนินชีวิตตามที่พ่อแม่สอน. เธอบอกว่า “ฉันไม่ได้นับถือศาสนาแค่วันเดียวในสัปดาห์. ศาสนาเป็นวิถีชีวิตของฉัน. ศาสนามีผลต่อทุกสิ่งที่ฉันทำและการตัดสินใจทุกอย่างของฉัน ตั้งแต่เรื่องเพื่อน เรื่องการเรียนไปจนถึงหนังสือที่ฉันจะอ่าน.”
แอชลินเห็นคุณค่าการอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่เธอที่เป็นคริสเตียน. เธอพูดว่า “ฉันมีพ่อแม่ที่ดีที่สุด และน่าดีใจที่ท่านปลูกฝังให้ฉันอยากเป็นพยานพระยะโฮวา. พ่อแม่จะคอยชี้แนะฉันต่อไปตราบเท่าที่ฉันจะมีชีวิตอยู่.”
[ภาพหน้า 17]
เปิดโอกาสให้ลูกวัยรุ่นพูดออกมา
[ภาพหน้า 18]
ผู้ใหญ่ที่ให้คำปรึกษาก่อผลกระทบที่ดีต่อลูกได้
[ภาพหน้า 19]
งานที่มีประโยชน์ช่วยวัยรุ่นให้เป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ