วิวัฒนาการ—นิยายและข้อเท็จจริง
ศาสตราจารย์ริชาร์ด ดอว์กินส์ นักวิทยาศาสตร์ด้านวิวัฒนาการที่มีชื่อเสียงกล่าวว่า “วิวัฒนาการเป็นเรื่องจริงเหมือนกับที่ดวงอาทิตย์ร้อนจริง.”16 แน่นอน การทดลองและการสังเกตโดยตรงพิสูจน์แล้วว่าดวงอาทิตย์ร้อน. แต่มีการทดลองหรือการสังเกตโดยตรงใด ๆ ไหมที่สนับสนุนคำสอนเรื่องวิวัฒนาการอย่างที่ไม่มีข้อโต้แย้งได้เช่นนั้น?
ก่อนจะตอบคำถามข้อนี้ เราต้องชี้แจงเรื่องหนึ่งให้ชัดเจนเสียก่อน. นักวิทยาศาสตร์หลายคนได้สังเกตว่า เมื่อเวลาผ่านไป ลูกหลานของสิ่งมีชีวิตอาจเปลี่ยนแปลงไปบ้างเล็กน้อย. ตัวอย่างเช่น คนเราอาจเลือกผสมพันธุ์สุนัขเพื่อให้ได้ลูกสุนัขที่ขาสั้นหรือมีขนยาวกว่าสุนัขรุ่นก่อน ๆ. a นักวิทยาศาสตร์บางคนเรียกการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ว่า “การวิวัฒนาการระดับจุลภาค” (microevolution).
อย่างไรก็ตาม นักวิวัฒนาการสอนว่า การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตลอดช่วงเวลาหลายพันล้านปีจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ที่จำเป็นเพื่อทำให้ปลากลายเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ และทำให้สัตว์คล้ายลิงกลายเป็นคน. สมมุติฐานเรื่องการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่นี้ถูกเรียกว่า “การวิวัฒนาการระดับมหภาค” (macroevolution).
17 เขาคิดว่า เมื่อเวลาผ่านไปนานมาก สิ่งที่มีอยู่ตั้งแต่แรกเดิมนี้ หรือที่เรียกกันว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียบง่าย ได้วิวัฒนาการไปอย่างช้า ๆ โดย “ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อย” จนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตหลายล้านรูปแบบบนโลก.18
ตัวอย่างเช่น ชาลส์ ดาร์วินสอนว่า การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราสังเกตเห็นได้นั้นบอกเป็นนัยว่า การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่กว่าซึ่งไม่มีใครเห็นนั้นก็ย่อมเกิดขึ้นได้ด้วย.หลายคนคิดว่า ข้ออ้างนี้มีเหตุผลดี. พวกเขาคิดว่า ‘ถ้าการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันได้ แล้วทำไมการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในช่วงเวลาที่ยาวนานมากจะเกิดขึ้นไม่ได้ล่ะ?’ b แต่จริง ๆ แล้ว คำสอนเรื่องวิวัฒนาการอาศัยนิยายสามเรื่อง. ขอพิจารณาเรื่องต่อไปนี้.
นิยายเรื่องที่ 1. การกลายพันธุ์ก่อให้เกิดสิ่งที่จำเป็นต่อการสร้างสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่. คำสอนเรื่องการวิวัฒนาการระดับมหภาคอาศัยข้ออ้างที่ว่า การกลายพันธุ์ หรือการเปลี่ยนแปลงที่บังเอิญเกิดขึ้นในรหัสพันธุกรรมของพืชและสัตว์ ไม่เพียงทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ได้เท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดพืชและสัตว์วงศ์ใหม่ได้ด้วย.19
ข้อเท็จจริง. ลักษณะเฉพาะหลายอย่างของพืชหรือสัตว์ถูกกำหนดโดยคำสั่งในรหัสพันธุกรรมหรือแบบพิมพ์เขียว ซึ่งอยู่ในนิวเคลียสของเซลล์แต่ละเซลล์. c นักวิจัยได้พบว่า การกลายพันธุ์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพืชและสัตว์รุ่นต่อ ๆ มาได้. แต่การกลายพันธุ์จะทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ขึ้นมาไหม? การศึกษาในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาในทางพันธุศาสตร์ได้เผยให้ทราบอะไร?
ในช่วงปลายทศวรรษ 1930 นักวิทยาศาสตร์ยอมรับแนวคิดใหม่นี้กันอย่างเต็มอกเต็มใจ. พวกเขาคิดไว้แล้วว่าการคัดเลือกโดยธรรมชาติ—คือกระบวนการซึ่งทำให้สิ่งมีชีวิตที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมของมันที่สุดอยู่รอดและเกิดลูกหลานได้—สามารถทำให้เกิดพืชชนิดใหม่ได้โดยการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ. ดังนั้น ตอนนี้พวกเขาจึงคิดว่า การคัดเลือกโดยมนุษย์ น่าจะทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ได้แต่แข็งแรงกว่าเดิม. โวลฟ์-เอคเคฮาร์ด เลินนิก นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันมักซ์พลังก์เพื่อการค้นคว้าด้านการผสมพันธุ์พืชในเยอรมนี d กล่าวว่า “เหล่านักชีววิทยาทั่วไป และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักพันธุศาสตร์และนักผสมพันธุ์พืชและสัตว์รู้สึกตื่นเต้นดีใจมาก.” ทำไมจึงตื่นเต้นดีใจกันเช่นนั้น? เลินนิก ซึ่งใช้เวลาประมาณ 30 ปีในการศึกษาพันธุศาสตร์การกลายพันธุ์ในพืชได้กล่าว ว่า “นักวิจัยเหล่านั้นคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่จะปฏิวัติวิธีผสมพันธุ์พืชและสัตว์แบบที่เคยทำกันมาก่อน. พวกเขาคิดว่า โดยการกระตุ้นและเลือกตัวกลายพันธุ์ที่ดี พวกเขาจะเพาะพืชและสัตว์สายพันธุ์ใหม่ที่ดีกว่าเดิมได้.”20 ที่จริง บางคนหวังว่าจะสร้างสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่เลยทีเดียว.
นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐ, เอเชีย, และยุโรปได้ริเริ่มโครงการวิจัยที่ได้รับทุนสนับสนุนอย่างดี โดยใช้วิธีการต่าง ๆ ซึ่งหวังกันว่าจะเร่งการวิวัฒนาการให้เร็วขึ้น. กว่า 40 ปีหลังจากที่มีการวิจัยอย่างจริงจัง ผลเป็นอย่างไร? เพเตอร์ ฟอน เซงบุช นักวิจัยคนหนึ่ง กล่าวว่า “ทั้ง ๆ ที่ทุ่มเงินไปมากมาย แต่ความพยายามในการเพาะพันธุ์พืชที่ให้ผลผลิตได้มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยการฉายรังสี [เพื่อทำให้เกิดการกลายพันธุ์] ก็ปรากฏชัดแล้วว่าล้มเหลว.”21 เลินนิกกล่าวว่า “พอถึงทศวรรษ 1980 ความหวังและความตื่นเต้นยินดีท่ามกลางเหล่านักวิทยาศาสตร์ก็หมดสิ้นไปเพราะความล้มเหลวที่เกิดขึ้นทั่วโลก. การเพาะพันธุ์โดยวิธีกระตุ้นให้เกิดการกลายพันธุ์ซึ่งเป็นโครงการวิจัยที่แยกย่อยออกมาก็ไม่ได้รับการเหลียวแลจากประเทศแถบตะวันตกอีกต่อไป. ตัวกลายพันธุ์แทบทั้งหมด . . . ตายไปหรือไม่ก็อ่อนแอกว่าพันธุ์ที่พบในธรรมชาติ.” e
กระนั้น ข้อมูลที่ตอนนี้รวบรวมได้จากการวิจัยทั่วไปด้านการกลายพันธุ์เป็นเวลาราว ๆ 100 ปี และการวิจัยเฉพาะการผสมพันธุ์ของตัวกลายพันธุ์เป็นเวลา 70 ปีนั้น ทำให้นักวิทยาศาสตร์ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับศักยภาพของการกลายพันธุ์ที่จะก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่. หลังจากพิจารณาหลักฐานแล้ว เลินนิกได้สรุปว่า “การกลายพันธุ์ไม่สามารถทำให้ชนิดดั้งเดิม [ของพืชหรือสัตว์] กลายเป็นชนิดใหม่ได้. การลงความเห็นเช่นนี้สอดคล้องกับประสบการณ์และผลการวิจัยทั้งหมดในศตวรรษที่ 20 ที่เกี่ยวกับการกลายพันธุ์ รวมถึงหลักความน่าจะเป็นด้วย.”
ฉะนั้น การกลายพันธุ์จะทำให้สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งวิวัฒนาการเป็นอีกชนิดหนึ่งเลยไหม? หลักฐานแสดงว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้น! เลินนิกทำการค้นคว้าจนได้ข้อสรุปว่า “สิ่งมีชีวิตที่ต่างชนิดกันอย่างชัดเจนมีขอบเขตที่การกลายพันธุ์โดยบังเอิญไม่อาจขจัดหรือก้าวล้ำได้.”22
ขอให้พิจารณาว่าข้อเท็จจริงข้างต้นนี้บ่งชี้ถึงอะไร. ถ้านักวิทยาศาสตร์ที่มีประสบการณ์สูงยังไม่สามารถทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ได้โดยใช้วิธีกระตุ้นให้เกิดการกลายพันธุ์และเลือกตัวกลายพันธุ์ที่ดี แล้วเป็นไปได้ไหมที่กระบวนการที่ปราศจากสติปัญญาจะทำได้ดีกว่านักวิทยาศาสตร์? ถ้าการวิจัยแสดงว่า การกลายพันธุ์ไม่สามารถทำให้สิ่งมีชีวิตชนิดดั้งเดิมเปลี่ยนเป็นชนิดใหม่จริง ๆ แล้วการวิวัฒนาการระดับมหภาคจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
นิยายเรื่องที่ 2. การคัดเลือกโดยธรรมชาติทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ ๆ. ดาร์วินเชื่อว่า สิ่งที่เขาเรียกว่าการคัดเลือกโดยธรรมชาติจะเอื้ออำนวยให้สิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมมากที่สุดรอดชีวิตอยู่ได้ ขณะที่สิ่งมีชีวิตที่มีความเหมาะสมน้อยกว่าจะค่อย ๆ สูญพันธุ์ไปในที่สุด. นักวิวัฒนาการสมัยใหม่สอนว่า ขณะที่สิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ แพร่พันธุ์ไปและอยู่โดดเดี่ยว การคัดเลือกโดยธรรมชาติจะเลือกตัวกลายพันธุ์ที่มีพันธุกรรมที่เหมาะกับการอยู่รอดในสภาพแวดล้อมใหม่มากที่สุด. ผลก็คือ นักวิวัฒนาการคาดว่า กลุ่มที่อยู่โดดเดี่ยวเหล่านี้ในที่สุดจะพัฒนาไปเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่โดยสิ้นเชิง.
ข้อเท็จจริง. ดังที่กล่าวก่อนหน้านี้ หลักฐานจากการวิจัยบ่งชี้อย่างหนักแน่นว่า การกลายพันธุ์ไม่สามารถทำให้เกิดพืชหรือสัตว์ชนิดใหม่โดยสิ้นเชิง. กระนั้น นักวิวัฒนาการมีข้อพิสูจน์อะไรที่จะสนับสนุนข้ออ้างที่ว่า การคัดเลือกโดยธรรมชาติได้เลือกตัวกลายพันธุ์ที่ดีเพื่อทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่? จุลสารฉบับหนึ่งที่จัดพิมพ์ในปี 1999 โดยสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (เอ็นเอเอส) ในสหรัฐ อ้างถึง “นกจาบปีกอ่อน 23
13 ชนิดที่ดาร์วินศึกษาบนหมู่เกาะกาลาปากอส ซึ่งปัจจุบันเรียกกันว่านกจาบปีกอ่อนของดาร์วิน.”ในทศวรรษ 1970 นักวิจัยกลุ่มหนึ่งนำโดยปีเตอร์ อาร์. และบี. โรสแมรี แกรนต์ แห่งมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน เริ่มศึกษานกจาบปีกอ่อนเหล่านี้และค้นพบว่า หลังจากหนึ่งปีที่หมู่เกาะนั้นเกิดภาวะแห้งแล้ง นกจาบปีกอ่อนชนิดที่มีปากใหญ่กว่าเล็กน้อยอยู่รอดได้ดีกว่าชนิดที่มีปากเล็กกว่า. เนื่องจากขนาดและรูปทรงของปากเป็นวิธีหลักอย่างหนึ่งที่ใช้ในการจำแนกชนิดของนกจาบทั้ง 13 ชนิด การค้นพบนี้จึงถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ. จุลสารของเอ็นเอเอสกล่าวต่อไปว่า “ปีเตอร์และโรสแมรี แกรนต์ ประเมินว่า ถ้าภาวะแห้งแล้งเกิดขึ้นประมาณหนึ่งครั้งในทุก ๆ 10 ปีบนหมู่เกาะนี้ นกจาบปีกอ่อนชนิดใหม่ก็อาจเกิดขึ้นภายในระยะเวลาเพียง 200 ปี.”24
อย่างไรก็ตาม จุลสารเล่มนั้นกลับไม่ยอมกล่าวถึงช่วงไม่กี่ปีหลังจากที่เกิดภาวะแห้งแล้ง ซึ่งปรากฏว่านกจาบปีกอ่อนที่มีปากเล็กกว่ากลับมีประชากรนกมากกว่าด้วยซ้ำ. นักวิจัยพบว่า เมื่อสภาพภูมิอากาศบนเกาะนี้เปลี่ยนไป นกจาบปีกอ่อนชนิดปากใหญ่จะมีจำนวนมากในช่วงหนึ่งปี แต่ต่อมาชนิดที่มีปากเล็กกว่ากลับมีจำนวนมากกว่า. พวกเขายังสังเกตด้วยว่า นกจาบปีกอ่อนที่ต่าง “ชนิด” กันบางชนิดผสมพันธุ์กันและเกิดลูกที่อยู่รอดได้ดีกว่าพ่อแม่. พวกเขาลงความเห็นว่า ถ้าการผสมข้ามพันธุ์ยังมีต่อไปเรื่อย ๆ ก็อาจทำให้นกสอง “ชนิด” รวมกันกลายเป็นชนิดเดียวกัน.25
ดังนั้น การคัดเลือกโดยธรรมชาติทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่จริง ๆ ไหม? เมื่อหลายสิบปีก่อน จอร์จ คริสโตเฟอร์ วิลเลียมส์ นักชีววิทยาวิวัฒนาการเริ่มสงสัยว่า การคัดเลือกโดยธรรมชาติสามารถทำได้ขนาดนั้นหรือไม่.26 ในปี 1999 นักทฤษฎีวิวัฒนาการชื่อเจฟฟรีย์ เอช. ชวาทซ์ เขียนว่า การคัดเลือกโดยธรรมชาติอาจกำลังช่วยให้สิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ ปรับตัวเข้ากับความจำเป็นที่เปลี่ยนไปเพื่อจะอยู่รอดได้ แต่ไม่ได้สร้างอะไรขึ้นใหม่.27
ที่จริง นกจาบปีกอ่อนของดาร์วินไม่ได้เปลี่ยนเป็น “อะไรใหม่.” มันยังเป็นนกจาบปีกอ่อนเหมือนเดิม. และข้อเท็จจริงที่ว่ามันยังผสมข้ามพันธุ์กันอยู่ก็ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับวิธีที่นักวิวัฒนาการบางคนใช้ในการกำหนดชนิดของนก. นอกจากนั้น ข้อมูลเกี่ยวกับนกชนิดนี้ยังเปิดเผยความจริงที่ว่า แม้แต่สถาบันทางวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงก็อาจมีอคติในการรายงานหลักฐานต่าง ๆ.
นิยายเรื่องที่ 3. หลักฐานฟอสซิลแสดงว่ามีการวิวัฒนาการระดับมหภาค. จุลสารของเอ็นเอเอสที่กล่าวถึงข้างต้นทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่า ฟอสซิลที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบเป็นหลักฐานมากพอที่สนับสนุนเรื่องการวิวัฒนาการระดับมหภาค. จุลสารนั้นประกาศว่า “มีการค้นพบสิ่งมีชีวิตมากมายที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างปลาและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ รวมทั้งระหว่างสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำและสัตว์เลื้อยคลาน, ระหว่างสัตว์เลื้อยคลานกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม, และในสายพันธุ์ของลิงซึ่งมักเป็นเรื่องยากที่จะระบุให้แน่ชัดว่าการเปลี่ยนจากชนิดหนึ่งไปเป็นอีกชนิดหนึ่งนั้นเกิดขึ้นเมื่อไร.”ข้อเท็จจริง. คำกล่าวอย่างหนักแน่นในจุลสารเล่มนั้นเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจไม่น้อย. เพราะอะไร? ไนลส์ เอลเดรดจ์ นักวิวัฒนาการที่สนับสนุนทฤษฎีนี้อย่างเต็มที่กล่าวว่า หลักฐานฟอสซิลแสดงว่าไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่เป็นเวลานานทีเดียวที่ “แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางวิวัฒนาการใด ๆ เลยในสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่.” f29
ตามหลักฐานฟอสซิล สัตว์กลุ่มหลัก ๆ ทุกชนิดปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน และแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลย
จนถึงปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกได้ขุดค้นและทำบัญชีรายชื่อฟอสซิลขนาดใหญ่ประมาณ 200 ล้านชิ้นและฟอสซิลขนาดเล็กนับพันล้านชิ้น. นักวิจัยหลายคนเห็นพ้องกันว่า หลักฐานที่มากมายและละเอียดนี้แสดงว่าสัตว์กลุ่มหลักทั้งหมดดูเหมือนปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน และยังแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย และสัตว์หลายชนิดก็สูญหายไปอย่างกะทันหันเช่นเดียวกับตอนที่มันปรากฏขึ้น.
การยอมรับวิวัฒนาการต้องอาศัย “ความเชื่อ”
ทำไมนักวิวัฒนาการที่มีชื่อเสียงหลายคนยืนกรานว่าการวิวัฒนาการระดับมหภาคเป็นข้อเท็จจริง? นักวิวัฒนาการที่ได้รับความนับถือคนหนึ่งชื่อ ริชาร์ด เลวอนทิน เขียนอย่างตรงไปตรงมาว่า นักวิทยาศาสตร์หลายคนเต็มใจยอมรับข้ออ้างทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีข้อพิสูจน์เพราะพวกเขา “มีพันธะเก่า คือพันธะต่อสสารนิยม.” g นักวิทยาศาสตร์หลายคนไม่ยอมพิจารณาแม้แต่ความเป็นไปได้ที่ว่ามีผู้ออกแบบที่มีเชาวน์ปัญญา เพราะดังที่เลวอนทินเขียนไว้ “เราไม่อาจยอมรับได้แม้แต่น้อยว่ามีพระเจ้า.”30
ในเรื่องนี้ วารสารไซเยนติฟิก อเมริกัน อ้างถึงคำพูดของนักสังคมวิทยาชื่อรอดนีย์ สตาร์กที่ว่า “มีการโฆษณาชวนเชื่อมา 200 ปีว่า ถ้าคุณต้องการเป็นคนที่สนใจเรื่องวิทยาศาสตร์ คุณก็ต้องกำจัดโซ่ตรวนของศาสนาออกไป.” เขาเสริมว่า ในมหาวิทยาลัยที่มีการค้นคว้าวิจัย “คนเคร่งศาสนาจะปิดปากเงียบ.”31
ถ้าคุณยอมรับว่าคำสอนเรื่องการวิวัฒนาการระดับมหภาคเป็นเรื่องจริง คุณก็ต้องเชื่อด้วยว่า นักวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีศาสนาหรือที่เป็นนักอเทวนิยมจะไม่ยอมให้ความเชื่อส่วนตัวเข้ามามีอิทธิพลเหนือการตีความการค้นพบทางวิทยาศาสตร์. คุณก็ต้องเชื่อว่าการกลายพันธุ์และการคัดเลือกโดยธรรมชาติทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนทั้งมวล ทั้ง ๆ ที่การวิจัยตลอดหนึ่งศตวรรษแสดงให้เห็นว่า การกลายพันธุ์ไม่ได้เปลี่ยนสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งให้กลายเป็นชนิดใหม่เลยแม้แต่ครั้งเดียว. แล้วคุณต้องเชื่อว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหมดค่อย ๆ วิวัฒนาการจากบรรพบุรุษเดียวกันทั้ง ๆ ที่หลักฐานทางฟอสซิลบ่งชี้อย่างหนักแน่นว่า พืชและสัตว์ชนิดหลัก ๆ ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน และไม่ได้วิวัฒนาการเป็นชนิดอื่น แม้จะผ่านช่วงเวลานานชั่วกัปชั่วกัลป์. ความเชื่อแบบนี้ดูเหมือนอาศัยข้อเท็จจริงไหมหรืออาศัยนิยาย? จริง ๆ แล้ว การยอมรับวิวัฒนาการต้องอาศัย “ความเชื่อ.”
a การเปลี่ยนแปลงที่ผู้เพาะพันธุ์สุนัขทำให้เกิดขึ้นมักจะเกิดจากการทำงานที่บกพร่องทางพันธุกรรม. ตัวอย่างเช่น ที่สุนัขพันธุ์ดัชชุนด์มีขนาดเล็กก็เพราะกระดูกอ่อนไม่สามารถพัฒนาได้ตามปกติ ทำให้เกิดภาวะแคระแกร็น.
b เยเนซิศบท 1 กล่าวว่า ทั้งพืชและสัตว์ถูกสร้าง “ตามชนิดของมัน.” (เยเนซิศ 1:12, 21, 24, 25) ขอสังเกตว่า คำเดิมในภาษาฮีบรูที่แปลว่า “ชนิด” มีความหมายกว้างกว่าคำ “ชนิด” ที่นักวิทยาศาสตร์ใช้. บ่อยครั้ง สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์จงใจเรียกว่า การวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ ก็เป็นเพียงเรื่องของความหลากหลายภายใน “ชนิด” เดียวกันตามความหมายที่ใช้ในหนังสือเยเนซิศ.
c การวิจัยแสดงว่า ไซโทพลาซึมของเซลล์, เยื่อหุ้มเซลล์, และโครงสร้างอื่น ๆ ก็มีส่วนในการกำหนดลักษณะของสิ่งมีชีวิตด้วย.
d เลินนิกเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตถูกสร้างขึ้น. ความเห็นของเลินนิกในบทความนี้เป็นความเห็นของเขาเอง และไม่ได้เป็นความเห็นของสถาบันมักซ์พลังก์เพื่อการค้นคว้าด้านการผสมพันธุ์พืช.
e การทดลองเกี่ยวกับการกลายพันธุ์ปรากฏผลออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าว่า จำนวนของตัวกลายพันธุ์ชนิดใหม่ ๆ ลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตัวกลายพันธุ์ชนิดเดิมจะมีให้เห็นอยู่เป็นประจำ. นอกจากนั้น มีพืชที่กลายพันธุ์ไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ถูกเลือกเพื่อใช้ในการวิจัยต่อไป และมีไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนนี้ที่พบว่าสามารถใช้เพื่อประโยชน์ทางการค้าได้. แต่ไม่มีการสร้างสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ขึ้นเลย. การผสมพันธุ์ของสัตว์ที่กลายพันธุ์ยิ่งประสบผลสำเร็จน้อยกว่าพืชเสียอีก และวิธีดังกล่าวก็ถูกล้มเลิกไปโดยสิ้นเชิง.
f แม้แต่ตัวอย่างไม่กี่ชิ้นจากหลักฐานฟอสซิลที่พวกนักวิจัยนำมาใช้เป็นข้อพิสูจน์เรื่องทฤษฎีวิวัฒนาการก็ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่. โปรดดูจุลสาร “ต้นกำเนิดชีวิต—ห้าคำถามที่น่าคิด” หน้า 22 ถึง 29 ซึ่งจัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา.
g “สสารนิยม” ในที่นี้หมายถึง ทฤษฎีที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในเอกภพ รวมทั้งชีวิตทั้งสิ้น เกิดขึ้นมาโดยไม่มีการแทรกแซงที่เหนือธรรมชาติ.