บท 2
ราชอาณาจักรของพระเจ้าก่อตั้งในสวรรค์
1, 2. เหตุการณ์ครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์คืออะไรและทำไมจึงไม่แปลกที่มนุษย์ไม่เห็นเหตุการณ์นี้?
คุณเคยสงสัยไหมว่า ถ้าคุณอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประวัติศาสตร์จะเป็นอย่างไร? หลายคนเคยสงสัยเรื่องนี้ แต่ถึงคุณจะอยู่ในช่วงเวลาสำคัญนั้นจริง ๆ คุณจะได้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เป็นชนวนของการเปลี่ยนแปลงกับตาตัวเองไหม? ก็คงไม่! เหตุการณ์สำคัญที่พลิกประวัติศาสตร์ อย่างเช่น การล้มล้างการปกครองซึ่งมักจะมีการตกลงกันอย่างลับ ๆ ถึงแม้คนส่วนใหญ่ไม่เห็น แต่ก็ส่งผลกระทบต่อคนเป็นล้าน ๆ
2 แล้วเหตุการณ์ครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ล่ะ? เหตุการณ์นั้นส่งผลกระทบต่อมนุษย์หลายล้านคน แต่ก็ไม่มีใครได้เห็นเพราะเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในสวรรค์ ซึ่งก็คือการก่อตั้งรัฐบาลมาซีฮาที่พระเจ้าสัญญาไว้นานมาแล้ว รัฐบาลนี้จะทำลายระบบโลกทั้งสิ้นในไม่ช้า (อ่านดานิเอล 2:34, 35, 44, 45) เนื่องจากไม่มีใครได้เห็นการก่อตั้งราชอาณาจักร นี่หมายความว่าพระยะโฮวาปิดบังไม่ให้มนุษย์ได้รู้เห็นไหม? หรือพระองค์ได้เตรียมประชาชนที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ให้พร้อมก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น? ให้เรามาดูกัน
“ทูตของเรา . . . จะเตรียมทางไว้สำหรับเรา”
3-5. (ก) ใครคือ “ทูตตามสัญญา” ในมาลาคี 3:1? (ข) เกิดอะไรขึ้นก่อนที่ “ทูตตามสัญญา” จะมาที่วิหาร?
3 ตั้งแต่สมัยโบราณ พระยะโฮวาตั้งใจเตรียมประชาชนของพระองค์ให้พร้อมสำหรับการก่อตั้งรัฐบาลมาซีฮา ตัวอย่างเช่น คำพยากรณ์ในมาลาคี 3:1 (ล.ม.) บอกว่า “คอยดูนะ เราจะส่งทูตของเราออกไปและเขาจะเตรียมทางไว้สำหรับเรา แล้วตอนที่ไม่มีใครคาดคิด พระเจ้าเที่ยงแท้ที่พวกเจ้าแสวงหาอยู่นั้นจะมาที่วิหารของพระองค์ และทูตตามสัญญาที่เจ้ารอคอยด้วยความยินดีจะมาด้วย”
4 ตอนที่คำพยากรณ์นี้เป็นจริงในปัจจุบัน พระยะโฮวา “พระเจ้าเที่ยงแท้” ได้มาตรวจดู “วิหารของพระองค์” เมื่อไร? การตรวจดูนี้เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1914 คำพยากรณ์บอกว่าตอนนั้นพระยะโฮวากับ “ทูตตามสัญญา” จะมาที่วิหาร ทูต นั้นคือใคร? กษัตริย์มาซีฮาหรือพระเยซูคริสต์นั่นเอง! (ลูกา 1:68-73) พระเยซูเป็นผู้ปกครองที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้ง ท่านจะตรวจดูและถลุงผู้รับใช้ของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกซึ่งเปรียบเหมือนอยู่ในลานวิหารของพระองค์—1 เป. 4:17
5 แล้วใครคือ “ทูต” อีกคนหนึ่งในมาลาคี 3:1? ทูตคนนี้ต้องมา “เตรียมทาง” ก่อนถึงสมัยที่กษัตริย์มาซีฮาจะกลับมา ในช่วงหลายสิบปีก่อนถึงปี 1914 มีใครมา “เตรียมทาง” ไว้จริง ๆ ไหม?
6. ใครคือ “ทูต” ตามที่มีบอกไว้ล่วงหน้า ซึ่งมาเพื่อเตรียมประชาชนไว้ให้พร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น?
6 เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ เราจะได้คำตอบสำหรับคำถามต่าง ๆ เกี่ยวกับราชอาณาจักรของพระเจ้า โดยดูจากประวัติศาสตร์ที่น่าตื่นเต้นของประชาชนของพระยะโฮวา ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 มีคนซื่อสัตย์กลุ่มเล็ก ๆ ที่เป็นคริสเตียนแท้กลุ่มเดียวท่ามกลางคริสเตียนปลอมมากมาย ต่อมา คนกลุ่มนี้เป็นที่รู้จักในชื่อนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ผู้นำกลุ่มนี้คือชาลส์ ที. รัสเซลล์และเพื่อนร่วมงานที่ใกล้ชิดของเขา พวกเขาทำหน้าที่เป็น “ทูต” ตามที่มีบอกไว้ล่วงหน้า โดยชี้นำและเตรียมประชาชนของพระเจ้าให้พร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ให้เรามาดูกันว่า “ทูต” นี้ทำสิ่งสำคัญ 4 อย่างอะไรเพื่อเตรียมทางไว้?
นมัสการด้วยความจริง
7, 8. (ก) ประมาณปี 1850 ใครเริ่มเปิดโปงคำสอนเท็จเรื่องวิญญาณอมตะ? (ข) ซี. ที. รัสเซลล์และเพื่อนร่วมงานของเขาเปิดโปงคำสอนเท็จเรื่องอะไรอีกบ้าง?
7 นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อช่วยให้เขาเข้าใจเรื่องที่จะศึกษา ลงความเห็น รวบรวม และจัดพิมพ์หลักความจริงที่ชัดเจน เป็นเวลาหลายร้อยปีที่คริสต์ศาสนจักรอยู่ในความมืด คือพวกเขาไม่เข้าใจความจริงของพระเจ้า คำสอนหลายเรื่องของคริสต์ศาสนจักรมีต้นตอมาจากลัทธินอกศาสนา ตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนคือคำสอนเรื่องวิญญาณอมตะ ประมาณปี 1850 คนที่จริงใจ เช่น เฮนรี กรูว์, จอร์จ สเตทสัน และจอร์จ สตอรร์ ได้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและพบว่าพระคัมภีร์ไม่ได้สอนเรื่องวิญญาณอมตะ พวกเขาเขียนและบรรยายเรื่องนี้อย่างกล้าหาญ เปิดโปงคำโกหกที่มาจากซาตาน a งานเขียนของพวกเขาช่วยให้ ซี. ที. รัสเซลล์และเพื่อน ๆ เข้าใจข้อคัมภีร์ต่าง ๆ มากขึ้น
8 นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกลุ่มเล็ก ๆ พบว่า หลักคำสอนอื่นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องวิญญาณอมตะก็เป็นคำสอนเท็จและทำให้ผู้คนสับสนด้วย เช่น คำสอนที่ว่าคนดีทุกคนไปสวรรค์ หรือคำสอนที่ว่าพระเจ้าทรมานวิญญาณคนชั่วในไฟนรกตลอดกาล รัสเซลล์และเพื่อนร่วมงานของเขาเปิดโปงคำโกหกเหล่านี้ โดยจัดพิมพ์บทความ หนังสือ ใบปลิว แผ่นพับ และคำเทศน์ในหนังสือพิมพ์
9. หอสังเกตการณ์ เปิดโปงคำสอนเท็จเรื่องตรีเอกานุภาพอย่างไร?
9 นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเปิดโปงคำสอนเท็จเรื่องตรีเอกานุภาพที่แพร่หลายไปทั่ว วารสารหอสังเกตการณ์แห่งซีโอน b ปี 1887 บอกว่า “ข้อคัมภีร์ต่าง ๆ อธิบายชัดเจนว่าพระยะโฮวาและพระเยซูไม่ใช่บุคคลเดียวกัน พระยะโฮวาเป็นพ่อ และพระเยซูเป็นลูก” หลังจากนั้นบทความนี้ก็ชี้ให้เห็นว่า แปลกมากที่ “คนทั่วไปยอมรับและถือว่าแนวคิดเรื่องพระเจ้า 3 องค์รวมเป็นหนึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ทั้ง ๆ ที่คำสอนนี้ไม่มีในพระคัมภีร์เลย แต่นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกคริสต์ศาสนจักรหลับหูหลับตาไม่สนใจความจริงระหว่างที่ซาตานแพร่คำสอนเท็จนี้”
10. หอสังเกตการณ์ ชี้ว่าปี 1914 สำคัญอย่างไร?
10 วารสารหอสังเกตการณ์แห่งซีโอน มีชื่อเต็มว่า หอสังเกตการณ์แห่งซีโอนและผู้ป่าวประกาศถึงสมัยที่พระคริสต์กลับมา วารสารนี้เน้นถึงคำพยากรณ์ที่เกี่ยวข้องกับสมัยที่พระคริสต์จะกลับมา ผู้เขียนวารสารซึ่งเป็นผู้ถูกเจิมที่ซื่อสัตย์เข้าใจว่าคำพยากรณ์ของดานิเอลเรื่อง “เจ็ดวาระ” ชี้ถึงเวลาที่พระเจ้าจะตั้งรัฐบาลมาซีฮา พอถึงปี 1876 ก็มีการระบุว่าปี 1914 จะเป็นปีที่เจ็ดวาระนั้นสิ้นสุดลง (ดานิ. 4:25; ลูกา 21:24) ถึงแม้ว่าพี่น้องในสมัยนั้นยังไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าปีนั้นจะเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ประกาศสิ่งที่พวกเขาได้รู้ออกไปอย่างกว้างไกล และยังส่งผลมาจนถึงทุกวันนี้
11, 12. (ก) พี่น้องรัสเซลล์ให้เกียรติใครสำหรับสิ่งที่เขาสอน? (ข) งานที่รัสเซลล์และเพื่อน ๆ ได้ทำเพื่อปกป้องความจริงตลอดหลายสิบปีก่อนจะถึงปี 1914 สำคัญขนาดไหน?
11 รัสเซลล์และเพื่อนร่วมงานที่ซื่อสัตย์ไม่ได้ยกย่องตัวเองว่าเป็นคนที่พบความจริงสำคัญในคัมภีร์ไบเบิล ส่วนใหญ่แล้วรัสเซลล์ให้เกียรติคนที่ค้นหาความจริงก่อนหน้าเขา แต่สำคัญที่สุดคือ เขาให้เกียรติพระยะโฮวาพระเจ้าว่าเป็นผู้ที่สอนประชาชนของพระองค์ให้รู้สิ่งที่ควรรู้ในเวลาที่เหมาะสม เห็นได้ชัดว่า พระยะโฮวาอวยพรความพยายามของรัสเซลล์และเพื่อน ๆ ในการแยกความจริงออกจากความเท็จ ยิ่งเวลาผ่านไป พวกเขาก็ยิ่งแตกต่างและแยกตัวจากคริสต์ศาสนจักรมากขึ้น
พี่น้องรัสเซลล์และเพื่อนร่วมงานของเขาปกป้องความจริงในคัมภีร์ไบเบิล
12 น่าทึ่งจริง ๆ ที่ผู้ซื่อสัตย์เหล่านี้ได้ปกป้องความจริงตลอดหลายสิบปีก่อนจะถึงปี 1914! หอสังเกตการณ์ 1 พฤศจิกายน 1917 บอกว่า “หลายล้านคนในทุกวันนี้หลุดพ้นจากความกลัวที่เกิดจากคำสอนเรื่องไฟนรกและคำสอนเท็จเรื่องอื่น ๆ . . . ความจริงเป็นเหมือนคลื่นในทะเลที่เริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อ 40 กว่าปีก่อน คลื่นนี้สูงขึ้นเรื่อย ๆ และจะสูงขึ้นจนเต็มทั่วทั้งโลก ศัตรูของความจริงไม่มีทางสกัดกั้นคลื่นยักษ์นี้ได้ ความจริงจะต้องแพร่ไปทั่วทุกมุมโลก”
13, 14. (ก) “ทูต” ได้มาเตรียมทางไว้ให้กษัตริย์มาซีฮาอย่างไร? (ข) เราจะเรียนอะไรได้จากพี่น้องของเราที่มีชีวิตอยู่เมื่อ 100 กว่าปีก่อน?
13 ลองนึกดูสิ ถ้าประชาชนของพระเจ้าแยกไม่ออกว่าพระเยซูเป็นลูกและพระยะโฮวาเป็นพ่อ พวกเขาจะเตรียมพร้อมตอนที่พระคริสต์กลับมาได้อย่างไรล่ะ? ถ้าพวกเขาคิดว่าชีวิตอมตะเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องได้รับอยู่แล้ว ไม่ใช่ของขวัญที่พระเจ้าจะมอบให้เฉพาะคนจำนวนน้อยที่ติดตามพระเยซู หรือถ้าพวกเขาคิดว่าพระเจ้าทรมานผู้คนตลอดกาลในไฟนรก พวกเขาจะเตรียมพร้อมได้ไหม? ไม่ได้แน่ ๆ! เห็นได้ชัดว่า “ทูต” ได้มาเตรียมทางไว้ให้กษัตริย์มาซีฮา!
14 แล้วพวกเราในทุกวันนี้ล่ะ? เราจะเรียนอะไรได้จากพี่น้องของเราที่มีชีวิตอยู่เมื่อ 100 กว่าปีก่อน? เราต้องขยันอ่านและศึกษาคำสอนของพระเจ้าเหมือนพวกเขา (โย. 17:3) ในขณะที่โลกมีแต่คนที่นิยมวัตถุและไม่สนใจความรู้ของพระเจ้า ขอให้เราเป็นคนที่หิวกระหายอยากได้ความรู้ของพระองค์มากขึ้นเรื่อย ๆ!—อ่าน 1 ติโมเธียว 4:15
“ประชาชนของเรา จงออกมาจากเมืองนี้”
15. นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลค่อย ๆ เข้าใจเรื่องอะไร? (ดูเชิงอรรถ)
15 นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลสอนว่าต้องออกจากคริสต์ศาสนจักร หอสังเกตการณ์ ปี 1879 พูดถึง “ศาสนาคริสต์นิกายต่าง ๆ ของบาบิโลน” นี่หมายถึงอำนาจของโปปไหม? หรือคริสตจักรคาทอลิกไหม? คนที่เป็นโปรเตสแตนต์บอกว่า คำว่าบาบิโลนในคัมภีร์ไบเบิลมีความหมายอย่างนั้น แต่นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลค่อย ๆ เข้าใจว่า “บาบิโลน” ในสมัยปัจจุบันก็คือคริสต์ศาสนจักรทุก นิกาย ทำไมล่ะ? เพราะพวกเขาสอนเรื่องโกหกต่าง ๆ ที่เราได้อ่านไปแล้ว c ต่อมาหนังสือของเราก็พูดชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่าคนที่จริงใจควรลาออกจากการเป็นสมาชิกของศาสนาที่มาจากบาบิโลน
16, 17. (ก) หนังสือรุ่งอรุณแห่งรัชสมัยพันปี เล่ม 3 และหอสังเกตการณ์ สนับสนุนคนที่เป็นสมาชิกของศาสนาเท็จให้ทำอะไร? (ข) อะไรทำให้คำเตือนในสมัยนั้นไม่ค่อยได้ผล? (ดูเชิงอรรถ)
16 ตัวอย่างเช่น ในปี 1891 หนังสือรุ่งอรุณแห่งรัชสมัยพันปี (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 3 บอกว่า พระเจ้าไม่ยอมรับบาบิโลนในสมัยปัจจุบัน และเรียกคนที่ ‘ไม่เห็นด้วยกับคำสอนเท็จและพิธีศาสนาของบาบิโลนให้ออกมา’
17 เพื่อช่วยคนที่ยังไม่ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกของคริสต์ศาสนจักรและยังแก้ตัวโดยอ้างว่า “ฉันรู้ว่านี่เป็นความจริง และฉันก็แทบไม่ได้ไปโบสถ์เลย” หอสังเกตการณ์ มกราคม 1900 จึงตั้งคำถามว่า ‘ถูกต้องไหมที่จะมัวแต่เหยียบเรือสองแคมไม่ยอมออกจากบาบิโลน? พระเจ้าพอใจ ยอมรับ และเรียกร้องการเชื่อฟังแบบนั้นไหม? ไม่! คน [ที่เป็นสมาชิกโบสถ์] ทำสัญญา อย่างเป็นทางการว่าเขาเป็นสมาชิก และเขาก็ต้องทำตามเงื่อนไขต่าง ๆ ในสัญญานั้นอย่างซื่อสัตย์จนกว่าจะ . . . ประกาศยกเลิกการเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการ’ เมื่อเวลาผ่านไป คำแนะนำก็ชัดเจนขึ้น d ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาต้องลาออกและไม่ยุ่งเกี่ยวกับศาสนาเท็จเด็ดขาด
18. ทำไมผู้คนต้องออกมาจากบาบิโลนใหญ่?
18 ถ้าไม่ได้เตือนเป็นประจำว่าให้ออกมาจากบาบิโลนใหญ่ กลุ่มผู้รับใช้ที่เป็นผู้ถูกเจิมบนโลกก็คงไม่พร้อมตอนที่พระคริสต์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ เฉพาะคริสเตียนที่ไม่เกี่ยวข้องกับบาบิโลนใหญ่เท่านั้นที่สามารถนมัสการพระยะโฮวา “ด้วยพระวิญญาณและความจริง” (โย. 4:24) พวกเราในทุกวันนี้ตั้งใจแน่วแน่ที่จะไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาเท็จเหมือนพวกเขาไหม? ขอให้เราเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าต่อ ๆ ไปที่บอกว่า “ประชาชนของเรา จงออกมาจากเมืองนี้”!—อ่านวิวรณ์ 18:4
นมัสการร่วมกัน
19, 20. เพื่อสนับสนุนประชาชนของพระเจ้าให้มานมัสการร่วมกัน หอสังเกตการณ์ แนะนำอย่างไร?
19 นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลสอนว่าทุกคนที่มีความเชื่อควรนมัสการร่วมกันในทุกที่ที่ทำได้ สำหรับคริสเตียนแท้ แค่ออกจากศาสนาเท็จยังไม่พอ พวกเขาต้องเข้าร่วมการนมัสการแท้ หอสังเกตการณ์ ตั้งแต่ฉบับแรก ๆ ก็สนับสนุนผู้อ่านให้นมัสการร่วมกัน ตัวอย่างเช่น ในเดือนกรกฎาคม 1880 พี่น้องรัสเซลล์รายงานว่า ตอนที่เดินทางไปบรรยายตามที่ต่าง ๆ เขาได้รับกำลังใจมากเมื่อเข้าร่วมประชุม เขากระตุ้นผู้อ่านให้เขียนข้อความมาสั้น ๆ เพื่อเล่าว่าพวกเขาก้าวหน้าไปถึงขั้นไหนแล้ว พี่น้องรัสเซลล์เลือกประสบการณ์ของบางคนมาลงในวารสาร เพื่อ “เราจะได้รู้ว่า . . . พระเจ้าอวยพรคุณอย่างไร และคุณได้ไปประชุมกับคนที่มีความเชื่อเข้มแข็งเป็นประจำหรือไม่”
ชาลส์ รัสเซลล์และกลุ่มนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลในสมัยแรก ๆ ที่เมืองโคเปนเฮเกน เดนมาร์ก ปี 1909
20 หอสังเกตการณ์ ปี 1882 ได้ลงบทความเรื่อง “มาประชุมร่วมกัน” ที่แนะนำให้คริสเตียนประชุม “เพื่อให้กำลังใจ ช่วยเสริมความเชื่อให้เข้มแข็ง และเป็นตัวอย่างที่ดีให้กัน” บทความนั้นบอกอีกว่า “ไม่สำคัญว่าใครจะมีความ รู้หรือความสามารถมากแค่ไหน ขอแค่เราแต่ละคนเอาคัมภีร์ไบเบิลของตัวเองมา เอากระดาษและดินสอมาด้วย พยายามใช้หนังสือศัพท์สัมพันธ์ของคัมภีร์ไบเบิลให้มากที่สุด . . . เท่าที่จะทำได้ เลือกหัวข้อที่คุณสนใจ อธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจ อ่าน คิด แล้วเอาข้อคัมภีร์ต่าง ๆ มาเทียบกัน และคุณก็จะได้พบความจริงแน่ ๆ”
21. นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลที่เมืองแอลเลเกนี รัฐเพนซิลเวเนีย วางตัวอย่างที่ดีในการประชุมและการบำรุงเลี้ยงอย่างไร?
21 นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองแอลเลเกนี รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา พวกเขาวางตัวอย่างที่ดีโดยประชุมร่วมกันที่นั่น ตามคำแนะนำที่พระเจ้าดลใจให้บันทึกไว้ในฮีบรู 10:24, 25 (อ่าน) หลายสิบปีผ่านไป พี่น้องสูงอายุคนหนึ่งชื่อ ชาลส์ คาเพิน เล่าถึงความรู้สึกของเขาเมื่อได้เข้าร่วมการประชุมตอนเป็นเด็กว่า “ผมยังไม่ลืมข้อคัมภีร์หนึ่งซึ่งเขียนไว้บนผนังหอประชุมใหญ่ของสมาคมที่ว่า ‘เจ้าทั้งหลายอย่าให้ผู้อื่นเรียกเจ้าว่า ‘อาจารย์’ เพราะเจ้าทั้งหลายมีอาจารย์เพียงผู้เดียว และพวกเจ้าทุกคนเป็นพี่น้องกัน’ ผมชอบข้อคัมภีร์นี้มาก ท่ามกลางประชาชนของพระยะโฮวาไม่มีการแบ่งชนชั้น ระหว่างนักบวชกับคนธรรมดา” (มัด. 23:8) พี่น้องคาเพินเล่าต่อไปว่าการประชุมนั้นทำให้สดชื่น อบอุ่น และมีกำลังใจ เขาจำได้ว่าพี่น้องรัสเซลล์บำรุงเลี้ยงพี่น้องแต่ละคนในประชาคมอย่างดีเสมอ
22. เมื่อมีการสนับสนุนให้เข้าร่วมการประชุมคริสเตียน คนที่ซื่อสัตย์ตอบรับอย่างไร และเราเรียนอะไรได้จากพวกเขา?
22 เมื่อได้เห็นตัวอย่างที่ดี คนที่ซื่อสัตย์ก็ทำตามคำแนะนำที่ได้รับ มีการตั้งประชาคมขึ้นในรัฐอื่น ๆ เช่น โอไฮโอและมิชิแกน ต่อมาก็ทั่วอเมริกาเหนือและในประเทศอื่น ๆ ด้วย ลองนึกดูสิว่า คนที่ซื่อสัตย์เหล่านี้จะพร้อมไหมเมื่อถึงสมัยที่พระคริสต์กลับมา ถ้าพวกเขาไม่ถูกฝึกสอนให้เชื่อฟังคำแนะนำจากพระเจ้าที่ให้มาประชุมเพื่อนมัสการร่วมกัน? คงไม่พร้อมแน่ ๆ! แล้วพวกเราในทุกวันนี้ล่ะ? เราก็ต้องตั้งใจเข้าร่วมการประชุมคริสเตียนเป็นประจำ หาโอกาสนมัสการร่วมกันเสมอ และพูดให้กำลังใจกันเพื่อทำให้ความเชื่อเข้มแข็งขึ้น
ขยันประกาศ
23. หอสังเกตการณ์ บอกว่าผู้ถูกเจิมทุกคนต้องทำอะไร?
23 นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลสอนว่าผู้ถูกเจิมทุกคนต้องเป็นผู้ประกาศความจริง ในปี 1885 หอสังเกตการณ์ บอกว่า “เราไม่ควรลืมว่าผู้ถูกเจิมทุกคนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ประกาศ (ยซา. 61:1) พวกเขาถูกเรียกให้มาทำงานรับใช้” ในฉบับปี 1888 มีข้อความที่กระตุ้นใจว่า “เราได้รับคำสั่งชัดเจน . . . ถ้าเราไม่สนใจและไม่อยากทำงานนี้ เราก็เป็นคนรับใช้ที่ขี้เกียจจริง ๆ และเราก็ไม่คู่ควรจะเป็นผู้ถูกเจิม”
24, 25. (ก) นอกจากสนับสนุนให้ทุกคนประกาศ พี่น้องรัสเซลล์และเพื่อนร่วมงานของเขายังทำอะไรอีก? (ข) คอลพอร์เทอร์คนหนึ่งเล่าว่าการประกาศสมัยของเขาเป็นอย่างไร?
24 พี่น้องรัสเซลล์และเพื่อนร่วมงานของเขาไม่เพียงสนับสนุนให้ทุกคนประกาศ แต่ยังเริ่มพิมพ์แผ่นพับซึ่งมีชื่อว่าแผ่นพับของนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล (ภาษาอังกฤษ) ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นคำสอนดั้งเดิมทางศาสนา ผู้อ่านหอสังเกตการณ์ จะได้รับแผ่นพับนี้และพวกเขาก็เอาไปแจกให้คนอื่นอ่านฟรี
เราควรถามตัวเองว่า ‘งานประกาศสำคัญที่สุดในชีวิตฉันไหม?’
25 คนที่ทุ่มเทตัวทำงานรับใช้เต็มเวลาเรียกว่าคอลพอร์เทอร์ (ปัจจุบันเรียกว่าไพโอเนียร์) ชาลส์ คาเพินที่พูดถึงก่อนหน้านี้ก็เป็นคอลพอร์เทอร์ด้วย เขาเล่าว่า “ผมใช้แผนที่ของสำนักงานธรณีวิทยาของสหรัฐเพื่อจะประกาศให้ทั่วทุกเขตในเพนซิลเวเนีย แผนที่นี้ละเอียดมากถึงขนาดที่ช่วยให้เดินไปถึงถนนทุกสายได้ บางครั้งหลังจากเดินทางไปในเขตชนบท 3 วัน ผมจะได้ยอดสั่งหนังสือการศึกษาพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) หลายชุด แล้วผมก็จ้างรถม้าคันเล็ก ๆ เพื่อไปส่งหนังสือ ผมมักจะพักค้างคืนกับชาวนา สมัยนั้นยังไม่ค่อยมีรถยนต์ใช้”
ภาพของคอลพอร์เทอร์คนหนึ่ง ขอให้สังเกตดู “แผนภูมิเกี่ยวกับยุคต่าง ๆ” ที่วาดอยู่ข้างรถม้า
26. (ก) ทำไมประชาชนของพระเจ้าต้องมีส่วนร่วมในงานประกาศ? (ข) เราน่าจะถามตัวเองว่าอะไร?
26 คนที่พยายามประกาศในช่วงแรก ๆ นั้นต้องกล้าหาญและขยันมาก ถ้าไม่มีใครสอนให้เข้าใจเรื่องความสำคัญของงานประกาศ คริสเตียนแท้จะเตรียมพร้อมสำหรับการปกครองของพระคริสต์ได้ไหม? ไม่ได้แน่ ๆ! งานประกาศทั่วโลกเป็นสัญญาณว่าพระคริสต์กลับมาแล้ว (มัด. 24:14) ประชาชนของพระเจ้าต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อทำให้งานช่วยชีวิตนี้เป็นงานสำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเขา ดังนั้น พวกเราน่าจะถามตัวเองว่า ‘งานประกาศสำคัญที่สุดในชีวิตฉันไหม? ฉันเสียสละอะไรบ้างเพื่อจะมีส่วนร่วมในงานนี้ได้อย่างเต็มที่?’
ราชอาณาจักรของพระเจ้าก่อตั้ง!
27, 28. (ก) อัครสาวกโยฮันเห็นอะไรในนิมิต? (ข) เมื่อราชอาณาจักรของพระเจ้าก่อตั้ง ซาตานกับผีปิศาจพรรคพวกของมันทำอย่างไร?
27 ในที่สุด ปี 1914 ปีที่สำคัญก็มาถึง ดังที่กล่าวในตอนต้นของบทนี้ ไม่มีมนุษย์คนไหนได้เห็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ในสวรรค์ แต่อัครสาวกโยฮันได้รับนิมิตที่แสดงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสวรรค์ ลองนึกดูสิ โยฮันได้เห็น “นิมิตสำคัญอย่างหนึ่ง” ในสวรรค์ “ผู้หญิง” ของพระเจ้าตั้งท้องและคลอดลูกชาย “ผู้หญิง” นี้หมายถึงองค์การของพระองค์ที่มีทูตสวรรค์มากมาย คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า อีกไม่นานเด็กคนนี้จะ “ปกครองชาติทั้งปวงด้วยคทาเหล็ก” แต่ตอนที่คลอดออกมา เขา “ถูกนำไปให้พระเจ้าที่ราชบัลลังก์ของพระองค์ทันที” แล้วก็มีเสียงดังในสวรรค์กล่าวว่า “บัดนี้ ความรอด ฤทธิ์เดช ราชอาณาจักรของพระเจ้า และอำนาจของพระคริสต์ของพระองค์ก็ปรากฏแล้ว”—วิ. 12:1, 5, 10
28 แน่นอนว่า สิ่งที่โยฮันได้เห็นในนิมิตก็คือการเกิดหรือการก่อตั้งรัฐบาลมาซีฮา เหตุการณ์นั้นสำคัญและยิ่งใหญ่มากจริง ๆ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะพอใจ ซาตานและผีปิศาจพรรคพวกของมันทำสงครามกับเหล่าทูตสวรรค์ที่ซื่อสัตย์ ซึ่งมีมิคาเอลหรือพระคริสต์เป็นผู้นำ ผลเป็นอย่างไร? คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “พญานาคใหญ่จึงถูกเหวี่ยงลงมา คืองูตัวแรกเดิมซึ่งถูกเรียกว่าพญามารและซาตาน ที่ชักนำทั้งโลกให้หลงผิด มันถูกเหวี่ยงลงมายังแผ่นดินโลก ทูตสวรรค์ที่อยู่ฝ่ายมันก็ถูกเหวี่ยงลงมาพร้อมกับมัน”—วิ. 12:7, 9
ในปี 1914 นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเพิ่งเข้าใจสัญญาณที่แสดงว่าพระคริสต์กลับมาแล้ว
29, 30. หลังจากรัฐบาลมาซีฮาก่อตั้ง สภาพการณ์เปลี่ยนไปอย่างไร (ก) บนโลก? (ข) บนสวรรค์?
29 นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลบอกล่วงหน้านานแล้วว่าปี 1914 จะเป็นจุดเริ่มต้นของความทุกข์เดือดร้อนมากมาย แต่พวกเขาเองก็นึกไม่ออกว่าคำพยากรณ์นั้นจะเกิดขึ้นอย่างไรและจะถูกต้องแม่นยำขนาดไหน นิมิตของโยฮันแสดงว่า “แผ่นดินโลกและทะเลจะเกิดวิบัติเพราะพญามารได้ลงมายังพวกเจ้าแล้วและโกรธยิ่งนัก เพราะมันรู้ว่าเวลาของมันมีน้อย” (วิ. 12:12) นี่หมายความว่า เมื่อถึงตอนนั้นซาตานจะสร้างความเดือดร้อนให้กับมนุษย์มากขึ้น แล้วในปี 1914 สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เริ่มขึ้น เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกตามคำพยากรณ์แสดงว่าพระคริสต์กลับมาแล้ว และปกครองเป็นกษัตริย์ นั่นแสดงว่า “สมัยสุดท้าย” ของระบบนี้เริ่มขึ้นแล้ว—2 ติโม. 3:1
30 แต่ในสวรรค์มีความชื่นชมยินดี เพราะซาตานและพวกผีปิศาจถูกขับไล่และไม่มีวันกลับไปสวรรค์ได้อีก บันทึกของโยฮันบอกว่า “ด้วยเหตุนี้ สวรรค์และผู้ที่อยู่ในสวรรค์ จงยินดีเถิด!” (วิ. 12:12) เมื่อสวรรค์บริสุทธิ์สะอาดและมีพระเยซูเป็นกษัตริย์ รัฐบาลมาซีฮาก็พร้อมแล้วที่จะลงมือทำเพื่อประชาชนของพระเจ้าบนโลก รัฐบาลนี้จะทำอะไร? ตอนต้นของบทนี้บอกว่า สิ่งแรกที่พระคริสต์ซึ่งเป็น ‘ทูตตามสัญญา’ จะทำคือถลุงหรือชำระผู้รับใช้ของพระเจ้าบนโลกให้สะอาด นี่หมายความว่าอย่างไร?
เวลาของการทดสอบ
31. มาลาคีบอกล่วงหน้าอย่างไรเกี่ยวกับช่วงการถลุง และเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงอย่างไร? (ดูเชิงอรรถ)
31 มาลาคีบอกล่วงหน้าว่าขั้นตอนการถลุงไม่ใช่เรื่องง่าย เขาเขียนว่า “ผู้ใดจะรอหน้าอยู่ได้ในวันที่พระองค์เสด็จมา และผู้ใดจะเผชิญหน้าอยู่ได้เมื่อพระองค์มาปรากฏพระกาย เพราะว่าพระองค์เป็นประดุจดังไฟถลุงแร่และสบู่ของช่างซักฟอก” (มลคี. 3:2) แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ! เริ่มตั้งแต่ปี 1914 ประชาชนของพระเจ้าเจอความยากลำบากและการทดสอบความเชื่อที่หนักหนาสาหัสครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มขึ้น นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลหลายคนถูกข่มเหงอย่างทารุณและถูกจำคุก e
32. ในปี 1916 มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นภายในองค์การ?
32 มีปัญหาเกิดขึ้นภายในองค์การด้วย ในปี 1916 พี่น้องรัสเซลล์เสียชีวิตตอนอายุแค่ 64 ปี ประชาชนของพระเจ้าหลายคนตกใจจนทำอะไรไม่ถูก มีบางคนยกย่องผู้ชายที่เป็นแบบอย่างคนนี้มากเกินไป ทั้ง ๆ ที่พี่น้องรัสเซลล์ไม่เคยคิดจะให้ใครมาเคารพนับถือเขาแบบนั้น หลายคนคิดว่าคงไม่มีใครอีกแล้วที่จะเปิดเผยความจริงจากคัมภีร์ไบเบิลได้ และบางคนถึงกับขัดขวางไม่ให้งานขององค์การเดินหน้าต่อไป ความคิดแบบนี้ทำให้บางคนละทิ้งความเชื่อและกลายเป็นผู้ออกหากซึ่งทำให้องค์การแตกแยก
33. ประชาชนของพระเจ้าถูกทดสอบอย่างไร เมื่อเหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคาดหวัง?
33 การทดสอบอีกอย่างหนึ่งคือเหตุการณ์ที่ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง ถึงแม้หอสังเกตการณ์ ระบุอย่างถูกต้องว่าปี 1914 คือปีที่เวลากำหนดของคนต่างประเทศสิ้นสุดลง พี่น้องก็ยังไม่เข้าใจเต็มที่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในปีนั้น (ลูกา 21:24) พวกเขาคิดว่าในปี 1914 พระคริสต์จะรับเจ้าสาวที่ถูกเจิมขึ้นไปบนสวรรค์เพื่อปกครองร่วมกับท่าน แต่ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่พวกเขาคิด ตอนปลายปี 1917 หอสังเกตการณ์ ประกาศว่าฤดูเกี่ยวที่ยาวนาน 40 ปีจะสิ้นสุดลงในฤดูใบไม้ผลิปี 1918 แต่พอถึงเวลานั้น แทนที่งานจะเสร็จ กลับมีการประกาศต่อไปเรื่อย ๆ วารสารนั้นบอกว่าฤดูเกี่ยวได้สิ้นสุดลงแล้วจริง ๆ แต่ยังมีช่วงเวลาของการเก็บข้าวที่เหลืออยู่ในนา เรื่องนี้ทำให้หลายคนผิดหวังจนเลิกรับใช้พระยะโฮวา
34. ในปี 1918 มีการทดสอบที่น่ากลัวอะไร และทำไมคริสต์ศาสนจักรจึงคิดว่าประชาชนของพระเจ้า ‘ตายแล้ว’?
34 การทดสอบที่น่ากลัวเกิดขึ้นในปี 1918 เมื่อ เจ. เอฟ. รัทเทอร์ฟอร์ด ซึ่งนำหน้าประชาชนของพระเจ้าต่อจาก ซี. ที. รัสเซลล์ ถูกจับพร้อมกับพี่น้องที่ดูแลงานต่าง ๆ อีก 7 คน พวกเขาถูกตัดสินจำคุกนานหลายปีอย่างไม่เป็นธรรมที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ดูเหมือนว่างานของประชาชนของพระเจ้าหยุดชะงักไปช่วงหนึ่ง พวกนักเทศน์นักบวชของคริสต์ศาสนจักรพากันดีใจเมื่อเห็นคนที่นำหน้าประชาชนของพระเจ้าติดคุก สำนักงานใหญ่ที่บรุกลินก็ถูกปิด และงานประกาศก็ถูกต่อต้านทั้งในทวีปอเมริกาและยุโรป พวกนักเทศน์คิดเอาเองว่า นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลที่น่ารำคาญ ‘ตายแล้ว’ และจะไม่สร้างปัญหาให้พวกเขาอีกต่อไป (วิ. 11:3, 7-10) พวกเขาคิดผิด!
เวลาของการฟื้นฟู!
35. ทำไมพระเยซูปล่อยให้ประชาชนของท่านเจอกับความยากลำบาก และท่านทำอะไรเพื่อช่วยพวกเขา?
35 พวกศัตรูไม่รู้เลยว่าพวกเขาเข้าใจผิด ที่จริง พระเยซูปล่อยให้ประชาชนของท่านเจอกับความยากลำบากก็เพราะตอนนั้นพระยะโฮวากำลังหลอมประชาชนของพระองค์ “เหมือนช่างหลอมช่างถลุงเงิน” (มลคี. 3:3) พระยะโฮวาและลูกของพระองค์มั่นใจว่าคนที่ซื่อสัตย์จะผ่านการทดสอบที่รุนแรงเหมือนกับไฟ พวกเขาจะถูกถลุง ชำระให้บริสุทธิ์ และมีคุณสมบัติที่จะรับใช้กษัตริย์มากยิ่งกว่าแต่ก่อน ตั้งแต่ต้นปี 1919 มีหลักฐานชัดเจนว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทำสิ่งที่พวกศัตรูคิดว่าเป็นไปไม่ได้ คือ ทำให้กลุ่มคนที่ซื่อสัตย์ซึ่งดูเหมือนตายไปแล้วฟื้นกลับมาอีกครั้ง! (วิ. 11:11) ในตอนนั้น พระคริสต์ได้ทำให้สัญญาณสำคัญของสมัยสุดท้ายเกิดขึ้นจริงตามคำพยากรณ์ ท่านแต่งตั้ง “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม” ซึ่งก็คือผู้ถูกเจิมกลุ่มเล็ก ๆ ที่จะนำหน้าประชาชนของท่าน โดยให้อาหารที่เป็นความรู้และความจริงเกี่ยวกับพระเจ้าตามเวลาที่เหมาะสม—มัด. 24:45-47
36. อะไรแสดงว่าประชาชนของพระเจ้าได้รับการฟื้นฟู?
36 พี่น้องรัทเทอร์ฟอร์ดและเพื่อนร่วมงานของเขาถูกปล่อยตัวในวันที่ 26 มีนาคม 1919 พวกเขากำหนดว่าจะจัดการประชุมใหญ่ขึ้นในเดือนกันยายนปีนั้นเลย มีการทำงานหลายอย่างเพื่อจัดพิมพ์วารสารอีกฉบับหนึ่งเพื่อใช้ในงานประกาศ f วารสารนี้ชื่อว่าเดอะ โกลเดน เอจ (ปัจจุบันเรียกว่า ตื่นเถิด! ) ซึ่งจะออกคู่กับวารสารหอสังเกตการณ์ และในปีเดียวกันนั้นก็มีการจัดพิมพ์จดหมายข่าว (Bulletin) ฉบับแรก ปัจจุบันเรียกว่าชีวิตและงานรับใช้—คู่มือประชุม ซึ่งเป็นสิ่งพิมพ์ที่สนับสนุนงานประกาศมาตั้งแต่แรก ดังนั้น ตั้งแต่ปี 1919 เป็นต้นมา พี่น้องเห็นว่าการประกาศตามบ้านก็มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ
37. หลังปี 1919 บางคนแสดงให้เห็นอย่างไรว่าเขาไม่ซื่อสัตย์?
37 งานประกาศช่วยถลุงผู้รับใช้ของพระคริสต์ต่อ ๆ ไป งานนี้ต้องใช้ความถ่อมใจ ดังนั้น คนหยิ่งจึงไม่เต็มใจทำงานนี้ คนที่ไม่ยอมร่วมมือก็เลิกคบหากับผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ หลังปี 1919 มีอยู่ช่วงหนึ่งที่คนไม่ซื่อสัตย์บางคนหันมาโจมตีผู้รับใช้พระเจ้าด้วยความโกรธแค้น พวกเขาพูดใส่ร้าย หมิ่นประมาท และถึงกับสนับสนุนกลุ่มคนที่ข่มเหงผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระยะโฮวา
38. ความสำเร็จและชัยชนะทุกอย่างของผู้ติดตามพระคริสต์บนโลกทำให้เรามั่นใจเรื่องอะไร?
38 ทั้ง ๆ ที่มีการต่อต้านขนาดนั้น แต่ผู้ติดตามพระคริสต์บนโลกนี้ก็ยิ่งเติบโตและเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อย ๆ ความสำเร็จและชัยชนะทุกอย่างของพวกเขาตั้งแต่ตอนนั้นเป็นหลักฐานที่ทำให้มั่นใจได้ว่า ราชอาณาจักรของพระเจ้าปกครองแล้ว! ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนและการอวยพรจากพระเจ้าผ่านทางลูกของพระองค์และรัฐบาลมาซีฮา มนุษย์ไม่สมบูรณ์กลุ่มหนึ่งก็คงไม่มีทางได้ชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่าเหนือซาตานและระบบชั่วนี้!—อ่านยะซายา 54:17
ไม่กี่เดือนหลังจากถูกปล่อยตัวจากคุก พี่น้องรัทเทอร์ฟอร์ดบรรยายเรื่องที่น่าตื่นเต้นในการประชุมใหญ่
39, 40. (ก) หนังสือเล่มนี้มีลักษณะเด่นอะไรบ้าง? (ข) คุณจะได้รับประโยชน์อะไรจากการศึกษาหนังสือนี้?
39 ในบทอื่น ๆ ต่อจากนี้ เราจะได้เรียนว่าราชอาณาจักรของพระเจ้าที่ก่อตั้งเมื่อ 100 ปีก่อนได้ทำอะไรให้สำเร็จบนโลกไปแล้วบ้าง ในแต่ละตอนของหนังสือนี้เราจะพิจารณางานด้านต่าง ๆ ที่ราชอาณาจักรนี้ทำบนโลก ทุกบทมีกรอบคำถามทบทวนซึ่งจะช่วยเราแต่ละคนให้ตรวจสอบหลักฐานที่ทำให้มั่นใจว่าราชอาณาจักรของพระเจ้ามีอยู่จริง ในบทท้าย ๆ เราจะได้เรียนว่ามีสิ่งดี ๆ อะไรรออยู่ในอนาคตอันใกล้เมื่อราชอาณาจักรมาปกครอง ทำลายคนชั่ว และเปลี่ยนโลกให้เป็นอุทยาน แต่ตอนนี้ให้เรามาดูกันว่าคุณจะได้รับประโยชน์อะไรจากการศึกษาหนังสือนี้
40 ซาตานอยากทำให้ความเชื่อที่คุณมีในราชอาณาจักรของพระเจ้าค่อย ๆ อ่อนแอลง แต่พระยะโฮวาอยากเสริมความเชื่อของคุณ ซึ่งจะปกป้องและช่วยคุณให้เข้มแข็งเสมอ (เอเฟ. 6:16) ดังนั้น เราขอสนับสนุนคุณให้ตั้งใจอ่านและเรียนจากหนังสือนี้ อธิษฐานขอพระยะโฮวาช่วยคุณ ถามตัวเองอยู่เรื่อย ๆ ว่า ‘ฉันมั่นใจไหมว่าราชอาณาจักรของพระเจ้ามีอยู่จริง?’ ยิ่งเรามั่นใจในราชอาณาจักรมากเท่าไร เราก็มีโอกาสมากขึ้นที่จะได้อยู่ในโลกใหม่ และได้สนับสนุนการปกครองของพระเจ้าอย่างซื่อสัตย์ ตอนนั้นทุกคนที่มีชีวิตอยู่จะได้เห็นกับตาว่าราชอาณาจักรของพระเจ้ามีอยู่จริงและกำลังปกครองอยู่!
a เรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับ กรูว์, สเตทสัน และสตอรร์ จากหนังสือพยานพระยะโฮวา—ผู้ประกาศราชอาณาจักรของพระเจ้า (ภาษาอังกฤษ) หน้า 45-46
b วารสารหอสังเกตการณ์แห่งซีโอน (Zion’s Watch Tower) ปัจจุบันชื่อหอสังเกตการณ์ (The Watchtower) ได้เริ่มแปลเป็นภาษาไทยในปี 1947 ในหนังสือนี้เราจะใช้ชื่อหอสังเกตการณ์ ตลอดทั้งเล่ม
c แม้ว่านักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลรู้ว่าพวกเขาต้องออกจากองค์การศาสนาทั้งหมดที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบโลกนี้ แต่ตลอดหลายปีพวกเขาก็มองคนที่บอกว่าเชื่อในค่าไถ่และอุทิศตัวแด่พระเจ้าเป็นพี่น้องคริสเตียน ถึงแม้คนเหล่านั้นจะไม่ใช่นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลก็ตาม
d เหตุผลหนึ่งที่ทำให้คำเตือนนั้นไม่ค่อยได้ผลในช่วงแรก ๆ ก็คือ นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลคิดว่าคำเตือนนั้นใช้กับชน 144,000 คนเป็นหลัก บท 5 ของหนังสือนี้จะอธิบายว่า ก่อนปี 1935 พวกเขาเชื่อว่า “คนมากมาย” ที่กล่าวถึงในวิวรณ์ 7:9, 10, ฉบับคิงเจมส์ หมายถึงสมาชิกมากมายของคริสต์ศาสนจักรด้วย พวกเขาเชื่อว่า สมาชิกเหล่านั้นก็จะถูกแต่งตั้งเป็นชนฝ่ายสวรรค์อันดับรอง เพราะในท้ายที่สุดพวกเขาก็เปลี่ยนมาอยู่ฝ่ายพระคริสต์
e วารสารเดอะ โกลเดน เอจ กันยายน 1920 เป็นฉบับพิเศษที่เล่าถึงการข่มเหงในช่วงสงครามอย่างละเอียดทั้งในแคนาดา อังกฤษ เยอรมัน และสหรัฐ บางเรื่องก็น่าสยดสยองมาก แต่ในช่วงหลายสิบปีก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 แทบไม่มีการข่มเหงแบบนั้นเลย
f เป็นเวลาหลายปีที่หอสังเกตการณ์ ทำขึ้นเพื่อสอนสมาชิกของแกะฝูงน้อยโดยเฉพาะ