บท 11
การชำระด้านศีลธรรมให้สะอาด—แสดงถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้า
ลองนึกภาพว่าคุณกำลังเดินมาถึงประตูทางเข้าลานวิหารอันสูงส่งของพระยะโฮวา
1. ยะเอศเคลเห็นอะไรที่ทำให้เรารู้สึกเกรงขามจริง ๆ?
คุณจะรู้สึกอย่างไรถ้าคุณมีประสบการณ์เหมือนกับผู้พยากรณ์ยะเอศเคลที่มีชีวิตอยู่ประมาณ 2,500 ปีก่อนโน้น? ลองนึกภาพว่า คุณกำลังจะเข้าไปในวิหารที่ยิ่งใหญ่และดูสว่างสุกใส ทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์ยืนรออยู่เพื่อพาคุณชมวิหารที่งดงามนั้น! พอขึ้นไปถึงบันไดขั้นที่เจ็ด คุณก็เห็นประตูชั้นนอกที่ใหญ่โตมโหฬารดูน่าเกรงขาม วิหารนี้มีประตูทางเข้า 3 ประตูสูงราว ๆ 30 เมตร (ประมาณตึก 10 ชั้น) พอเข้ามาแล้วคุณก็จะเห็นห้องยาม a และเห็นเสาสูงที่ถูกสร้างและออกแบบเหมือนต้นอินทผลัมหรือต้นปาล์มขนาดยักษ์—ยเอศ. 40:1-4, 10, 14, 16, 22; 41:20
2. (ก) วิหารในนิมิตนั้นหมายถึงอะไร? (ดูเชิงอรรถ) (ข) เราจะเรียนอะไรได้เกี่ยวกับประตูทางเข้าของวิหารนี้?
2 นี่เป็นภาพแสดงถึงวิหารที่สูงส่งของพระเจ้าซึ่งก็คือ สิ่งที่พระยะโฮวาจัดเตรียมไว้เพื่อจะนมัสการพระองค์อย่างถูกต้อง ยะเอศเคลอธิบายภาพนี้ไว้อย่างชัดเจนในบทที่ 40-48 ของหนังสือคำพยากรณ์ที่เขาเขียน ทุกรายละเอียดที่ยะเอศเคลบอกไว้สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการนมัสการในสมัยสุดท้ายนี้ b ประตูที่สูงตระหง่านหมายถึงอะไร? ประตูนี้เตือนใจเราว่า ใครก็ตามที่อยากเข้ามานมัสการพระยะโฮวาต้องทำตามมาตรฐานที่สูงส่งของพระองค์ แม้แต่เสาที่สลักเป็นรูปต้นปาล์มก็มีความหมายแบบเดียวกันด้วย เพราะเมื่อคัมภีร์ไบเบิลพูดถึงต้นปาล์ม บางครั้งก็หมายถึงความถูกต้องชอบธรรม (เพลง. 92:12) แล้วห้องยามนั้นหมายถึงอะไรล่ะ? แน่นอนว่า คนที่ไม่ได้ทำตามมาตรฐานของพระเจ้าจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในประตูสู่การนมัสการแท้ซึ่งทำให้ได้รับชีวิต—ยเอศ. 44:9
3. ทำไมพระคริสต์ยังต้องชำระผู้ติดตามท่านให้สะอาดต่อ ๆ ไป?
3 นิมิตที่ยะเอศเคลเห็นเกิดขึ้นจริงอย่างไร? ตามที่เราได้เรียนในบท 2 พระยะโฮวาใช้พระคริสต์ให้ชำระประชาชนของพระองค์ให้สะอาดตั้งแต่ปี 1914 ถึงต้นปี 1919 การชำระนั้นเสร็จสิ้นหรือยัง? ยัง! ตลอด 100 ปีที่ผ่านมา พระคริสต์ยังดูแลผู้ติดตามท่านให้รักษามาตรฐานที่สูงส่งของพระยะโฮวาในเรื่องความประพฤติเสมอมา ท่านยังต้องชำระพวกเขาต่อ ๆ ไป และรวบรวมพวกเขาออกจากโลกที่เสื่อมศีลธรรม เพราะซาตานก็ไม่เคยล้มเลิกความพยายามที่จะดึงพวกเขากลับลงสู่ความสกปรกโสมม (อ่าน 2 เปโตร 2:20-22) ให้เรามาดู 3 ขอบเขตที่พระคริสต์ยังชำระคริสเตียนแท้ให้สะอาดขึ้นเรื่อย ๆ อย่างแรกคือ การชำระด้านศีลธรรม อย่างที่สองคือมาตรการที่ช่วยให้ประชาคมคริสเตียนสะอาดอยู่เสมอ และสุดท้ายคือเรื่องครอบครัว
การชำระด้านศีลธรรมตลอดหลายปีที่ผ่านมา
4, 5. ซาตานยังใช้แผนชั่วอะไรอยู่จนถึงทุกวันนี้ และแผนของมันสำเร็จอย่างไร?
4 ประชาชนของพระยะโฮวาใส่ใจเรื่องศีลธรรมและความประพฤติที่ดีมาตลอด พวกเขาจึงเห็นค่าคำแนะนำที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้เราดูบางตัวอย่างด้วยกัน
5 ศีลธรรมทางเพศ พระยะโฮวาอยากให้การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรสเป็นสิ่งที่สะอาดและสวยงาม แต่ซาตานหลอกล่อประชาชนของพระยะโฮวาให้ใช้ความสัมพันธ์ทางเพศในแบบที่สกปรกเพื่อพวกเขาจะไม่เป็นที่ยอมรับของพระเจ้าอีกต่อไป ซาตานเอาแผนชั่วที่เคยใช้ได้ผลมาแล้วในสมัยบีละอัมกลับมาอีกในสมัยสุดท้ายนี้ และเลวร้ายยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ—อาฤ. 25:1-3, 9; วิ. 2:14
6. (ก) คำปฏิญาณอะไรที่ลงในหอสังเกตการณ์ 15 มิถุนายน 1908? (ข) มีการกล่าวคำปฏิญาณนี้ที่ไหนและบ่อยแค่ไหน? (ดูเชิงอรรถ) (ค) ทำไมจึงยกเลิกการกล่าวคำปฏิญาณนี้?
6 เพื่อต้านทานแผนชั่วของซาตาน หอสังเกตการณ์ 15 มิถุนายน 1908 ได้พิมพ์คำปฏิญาณที่บอกว่า “ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หรือเวลาใด เมื่ออยู่กับเพศตรงข้ามสองต่อสอง ผม (ดิฉัน) จะประพฤติตัวอย่างดีเหมือนอยู่ในที่สาธารณะ” c แม้การปฏิญาณเช่นนี้ไม่ได้เป็นข้อเรียกร้อง แต่พี่น้องหลายคนก็ปฏิญาณและขอให้ลงชื่อของเขาไว้ในหอสังเกตการณ์ การกล่าวคำปฏิญาณแบบนี้ดูเหมือนเป็นประโยชน์อยู่ช่วงหนึ่ง แต่พอเวลาผ่านไปก็กลายเป็นแค่พิธีเท่านั้น ในที่สุดคำปฏิญาณนี้จึงถูกยกเลิก แต่หลักการที่สูงส่งด้านศีลธรรมก็ยังคงอยู่และได้รับการสนับสนุนมาตลอด
7. หอสังเกตการณ์ ปี 1935 พูดถึงปัญหาอะไร และยังย้ำเรื่องอะไรอีก?
7 ซาตานโจมตีพี่น้องหนักมาก หอสังเกตการณ์ 1 มีนาคม 1935 พูดอย่างตรงไปตรงมาถึงปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับประชาชนของพระเจ้า ดูเหมือนบางคนคิดว่า การเป็นผู้ประกาศทำให้พวกเขาได้รับการยกเว้นไม่ต้องใช้ชีวิตตามมาตรฐานด้านศีลธรรมของพระยะโฮวา หอสังเกตการณ์ ฉบับนั้นพูดชัดเจนว่า “อย่าลืมว่าพยานพระยะโฮวาเป็นตัวแทนของพระเจ้าและราชอาณาจักรของพระองค์ และสิ่งที่พระเจ้าเรียกร้องจากเราไม่ได้มีแค่งานประกาศเท่านั้น” บทความนั้นยังให้คำแนะนำที่ชัดเจนเรื่องการสมรสและศีลธรรมทางเพศ ซึ่งช่วยประชาชนของพระเจ้าให้ “หลีกหนีจากการผิดประเวณี”—1 โค. 6:18
8. ทำไมหอสังเกตการณ์ จึงเน้นแล้วเน้นอีกเกี่ยวกับความหมายที่ถูกต้องของคำภาษากรีกที่หมายถึงการผิดศีลธรรมทางเพศ?
8 เมื่อไม่กี่สิบปีมานี้ หอสังเกตการณ์ ได้เน้นแล้วเน้นอีกถึงความหมายที่ถูกต้องของคำพอร์เนีย ซึ่งเป็นคำที่ใช้ในพระคัมภีร์ภาคภาษากรีกเพื่อหมายถึงการทำผิดศีลธรรมทางเพศ คำพอร์เนีย ไม่ได้หมายถึงการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทำผิดศีลธรรมหลากหลายรูปแบบ และมักจะครอบคลุมพฤติกรรมที่ลามกอนาจารด้วย ผู้ติดตามพระคริสต์จึงได้รับการปกป้องจากอิทธิพล ที่วิปริตทางเพศ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนมากมายในโลกทุกวันนี้—อ่านเอเฟโซส์ 4:17-19
9, 10. (ก) เรื่องศีลธรรมที่หอสังเกตการณ์ ปี 1935 พูดถึงคือเรื่องอะไร? (ข) คำตอบที่มีเหตุผลจากคัมภีร์ไบเบิลเรื่องการดื่มเหล้าคืออะไร?
9 การดื่มจัด หอสังเกตการณ์ 1 มีนาคม 1935 ได้พูดถึงเรื่องศีลธรรมอีกเรื่องหนึ่งว่า “มีการสังเกตว่า บางคนยังอยู่ในสภาพมึนเมาขณะที่ออกไปประกาศและทำงานรับใช้อื่น ๆ ขององค์การ ถ้าอย่างนั้น ดื่มตอนไหนล่ะถึงจะไม่ผิดหลักพระคัมภีร์? ในช่วงที่ทำงานรับใช้ในองค์การขององค์พระผู้เป็นเจ้า เหมาะไหมที่ใคร ๆ จะดื่มไวน์ดื่มเหล้าจนเสียงานเสียการ?”
10 บทความนั้นให้คำตอบที่มีเหตุผลจากคัมภีร์ไบเบิลเรื่องการดื่มเหล้า พระคัมภีร์ไม่เคยบอกว่าการดื่มเหล้าแบบพอประมาณเป็นสิ่งที่ผิด แต่ที่ตำหนิอย่างแรงก็คือ การเมาเหล้า (เพลง. 104:14, 15; 1 โค. 6:9, 10) แล้วจะว่าอย่างไรกับการรับใช้พระเจ้าขณะที่อยู่ในสภาพมึนเมา? ผู้รับใช้ของพระเจ้าได้บทเรียนจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกชายของอาโรน พวกเขาถูกพระเจ้าลงโทษถึงตายเพราะไม่ได้ใช้ไฟที่พระองค์กำหนดเมื่อเผาเครื่องหอม ตอนนั้นดูเหมือนว่าพวกเขาทำงานรับใช้ในขณะที่มึนเมา เพราะทันทีหลังจากที่พวกเขาถูกลงโทษ พระเจ้าได้ออกกฎหมายห้ามปุโรหิตทุกคนดื่มเหล้าขณะที่ทำงานรับใช้พระองค์ (เลวี. 10:1, 2, 8-11) โดยใช้หลักการนี้ สาวกของพระคริสต์ในทุกวันนี้ก็ต้องระวังที่จะไม่อยู่ในสภาพมึนเมาขณะที่รับใช้พระเจ้า
11. ทำไมความเข้าใจที่ชัดเจนเรื่องโรคพิษสุราเรื้อรัง จึงเป็นประโยชน์มากต่อประชาชนของพระเจ้า?
11 เมื่อไม่กี่สิบปีมานี้ พระเจ้าช่วยผู้ติดตามพระคริสต์ให้เข้าใจชัดเจนเรื่องโรคพิษสุราเรื้อรังหรือการติดเหล้า ความรู้ของพระเจ้าที่เหมาะกับเวลาช่วยคนที่เคยติดเหล้าให้เลิกได้ และไม่กลับไปเป็นทาสของมันอีก ส่วนคนอื่น ๆ ก็คงไม่มีทางติดเหล้าเพราะความรู้นี้ช่วยปกป้องพวกเขาไว้ พวกเราคงไม่อยากสูญเสียศักดิ์ศรี สูญเสียครอบครัวเพราะติดเหล้า และที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือสูญเสียโอกาสที่จะได้เข้าร่วมการนมัสการแท้ของพระยะโฮวา
“เป็นไปไม่ได้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจะมีกลิ่นบุหรี่ติดตัว และไม่มีวันที่ท่านจะทำให้ตัวเองเป็นมลทินด้วยการเอาสิ่งสกปรกเข้าปาก”—ซี. ที. รัสเซลล์
12. ผู้รับใช้ของพระคริสต์รู้สึกอย่างไรกับการใช้ยาสูบ แม้แต่ก่อนที่สมัยสุดท้ายจะเริ่มขึ้น?
12 การใช้ยาสูบ ตั้งแต่ก่อนที่สมัยสุดท้ายจะเริ่มขึ้น ผู้รับใช้ของพระคริสต์เริ่มรู้ว่าการใช้ยาสูบเป็นเรื่องน่าตำหนิ เมื่อหลายปีก่อน พี่น้องสูงอายุชื่อชาลส์ คาเพิน เล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่เขาพบชาลส์ เทซ รัสเซลล์เป็นครั้งแรกในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ตอนนั้น คาเพินอายุ 13 ปี เขากับพี่ชายและน้องชาย 3 คนอยู่บนบันไดสำนักงานไบเบิลเฮาส์ที่เมืองแอลเลเกนี รัฐเพนซิลเวเนีย พอรัสเซลล์เดินผ่านมา เขาก็ถามเด็ก ๆ ว่า “ใครสูบบุหรี่เหรอ? ผมได้กลิ่นนะ” พวกเขาก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ได้สูบ และรู้ทันทีว่ารัสเซลล์คิดอย่างไรกับการสูบบุหรี่ ในหอสังเกตการณ์ 1 สิงหาคม 1895 พี่น้องรัสเซลล์ได้พูดถึง 2 โครินท์ 7:1 ว่า “ผมไม่เห็นว่ามันจะทำให้พระเจ้าได้รับเกียรติตรงไหน หรือไม่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์อะไรเลยที่คริสเตียนจะใช้ยาสูบไม่ว่าแบบใด . . . เป็น ไปไม่ได้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจะมีกลิ่นบุหรี่ติดตัว และไม่มีวันที่ท่านจะทำให้ตัวเองเป็นมลทินด้วยการเอาสิ่งสกปรกเข้าปาก”
13. ในปี 1973 มีการชำระด้านศีลธรรมเรื่องอะไรอีก?
13 หอสังเกตการณ์ ปี 1935 เรียกยาสูบว่า “หญ้าโสโครก” และบอกว่าคนที่คิดจะสูบหรือเคี้ยวใบยานี้จะเป็นสมาชิกครอบครัวเบเธล เป็นไพโอเนียร์ หรือเป็นผู้ดูแลเดินทางในองค์การของพระเจ้าต่อไปไม่ได้ ต่อมาในปี 1973 ก็มีการชำระด้านศีลธรรมอีกเรื่องหนึ่ง หอสังเกตการณ์ 1 มิถุนายน อธิบายว่า พยานของพระยะโฮวาคนใดที่ยังเสพสิ่งสกปรกที่เป็นอันตรายถึงตาย และเป็นนิสัยที่ไม่ได้แสดงความรักต่อผู้อื่น จะอยู่ในประชาคมไม่ได้ คนที่ไม่ยอมเลิกใช้ยาสูบจะต้องถูกตัดสัมพันธ์ d พระคริสต์ได้ชำระผู้ติดตามท่านให้สะอาดขึ้นอีกระดับหนึ่งแล้ว
14. พระเจ้ามีมาตรฐานอะไรในเรื่องเลือด และการถ่ายเลือดกลายเป็นวิธีรักษาที่ใช้กันทั่วโลกได้อย่างไร?
14 การใช้เลือดในทางที่ผิด ในสมัยโนอาห์ พระเจ้าบอกว่าการกินเลือดเป็นสิ่งที่ผิด พระองค์ยังย้ำกับชาวอิสราเอลเกี่ยวกับจุดยืนเรื่องเลือดโดยให้เขียนไว้ในกฎหมายของพระองค์ และสั่งประชาคมคริสเตียนแบบเดียวกันว่า “ให้ละเว้น . . . จากเลือด” (กิจ. 15:20, 29; เย. 9:4; เลวี. 7:26) ซาตานก็เห็นช่องทางที่จะทำให้หลายคนในทุกวันนี้ละเลยมาตรฐานของพระเจ้าในเรื่องเลือด ในศตวรรษที่ 19 แพทย์บางคนเริ่มทดลองรักษาคนไข้ด้วยการถ่ายเลือด แต่หลังจากค้นพบว่ามีกรุ๊ปเลือด การรักษาด้วยวิธีนี้จึงแพร่หลายมากขึ้น ในปี 1937 เริ่มมีการเก็บสะสมเลือดไว้ในธนาคารเลือด และสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ยิ่งเป็นแรงผลักดันให้มีการใช้เลือดมากขึ้น และในไม่ช้าการถ่ายเลือดก็กลายเป็นวิธีรักษาที่ใช้กันทั่วโลก
15, 16. (ก) พยานพระยะโฮวาได้ยึดมั่นกับจุดยืนเรื่องการถ่ายเลือดอย่างไร? (ข) มีการจัดเตรียมอะไรเพื่อช่วยผู้ติดตามของพระคริสต์ในเรื่องการถ่ายเลือด รวมทั้งการรักษาแบบใดก็ตามที่เกี่ยวกับเลือด และผลเป็นอย่างไร?
15 ตั้งแต่ปี 1944 หอสังเกตการณ์ บอกว่า การถ่ายเลือดจริง ๆ แล้วก็คือการกินเลือด หอสังเกตการณ์ ในปีต่อมาก็ทำให้จุดยืนตามหลักพระคัมภีร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ชัดเจนและมีน้ำหนักมากขึ้น พอถึงปี 1951 มีการพิมพ์คำถามและคำตอบหลายข้อเพื่อช่วยประชาชนของพระเจ้าให้รู้วิธีพูดคุยกับพวกแพทย์ ผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ของพระคริสต์ตลอดทั่วโลกยึดมั่นกับจุดยืนเรื่องเลือดอย่างกล้าหาญ พวกเขามักถูกด่าว่า ถูกเกลียดชัง และถึงกับถูกข่มเหงด้วยซ้ำ แต่พระคริสต์ก็ขับเคลื่อนองค์การของท่านเพื่อช่วยเหลือพวกเขามาตลอด เช่น จัดพิมพ์จุลสารที่ค้นคว้าอย่างดีและบทความที่อธิบายเรื่องเลือดอย่างละเอียดหลายบทความ
16 ในปี 1979 ผู้ดูแลบางคนเริ่มไปพูดคุยกับแพทย์ตามโรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อทำให้พวกเขาเข้าใจพวกเราดีขึ้น ทั้งเรื่องจุดยืนของเรา เหตุผลตามหลักพระคัมภีร์ และทางเลือกอื่นที่อาจใช้แทนการถ่ายเลือด ในปี 1980 ผู้ดูแลจาก 39 เมืองในสหรัฐได้รับการอบรมพิเศษเพื่อทำงานนี้ ต่อมา คณะกรรมการปกครองได้อนุมัติให้ตั้งคณะกรรมการประสานงานกับโรงพยาบาลขึ้นทั่วโลก ตลอดหลายปีที่ผ่านมาโครงการนี้ได้ผลไหม? ตอนนี้มีบุคลากรทางการแพทย์หลายหมื่นคน ทั้งแพทย์ ศัลยแพทย์ และวิสัญญีแพทย์ซึ่งให้ความร่วมมือกับคนไข้ที่เป็นพยานพระยะโฮวา เมื่อเราเลือกวิธีรักษาโดยไม่ใช้เลือด พวกเขาก็นับถือการตัดสินใจของเรา มีโรงพยาบาลมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่รักษาโดยไม่ใช้เลือดและบางแห่งถึงกับบอกว่านี่เป็นวิธีรักษาที่ดีที่สุด น่าตื่นเต้นจริง ๆ เมื่อคิดถึงวิธีที่พระเยซูปกป้องผู้ติดตามท่านให้รอดพ้นจากความพยายามของซาตานที่จะทำให้พวกเขาด่างพร้อย—อ่านเอเฟโซส์ 5:25-27
มีโรงพยาบาลมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่รักษาโดยไม่ใช้เลือด และบางแห่งถึงกับบอกว่านี่เป็นวิธีรักษาที่ดีที่สุด
17. เราจะแสดงให้เห็นอย่างไรว่าเราเห็นคุณค่าวิธีที่พระคริสต์ได้ชำระผู้ติดตามท่านให้สะอาด?
17 เราน่าจะถามตัวเองว่า ‘เมื่อเห็นวิธีที่พระคริสต์ชำระและฝึกอบรมผู้ติดตามท่านให้ยึดมั่นกับมาตรฐานด้านศีลธรรมที่สูงส่งของพระยะโฮวา เราเห็นค่าสิ่งที่ท่านทำเพื่อเราไหม?’ ถ้าอย่างนั้น ขอเราจำไว้ว่า ซาตานไม่เคยล้มเลิกความตั้งใจที่จะดึงเราให้ห่างเหินจากพระยะโฮวาและพระเยซู มันพยายามทำให้เราเลิกยึดมั่นกับมาตรฐานด้านศีลธรรมของพระเจ้า องค์การของพระยะโฮวาจึงเตือนเราด้วยความรักอยู่บ่อย ๆ เกี่ยวกับแนวทางที่ไร้ศีลธรรมของโลกนี้เพื่อเราจะต้านทานอิทธิพลของซาตานได้ ขอให้เราตื่นตัว ตอบรับ เชื่อฟังคำเตือนและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์เหล่านั้นเสมอ—สุภา. 19:20
ป้องกันไม่ให้ประชาคมเสื่อมเสีย
18. เมื่อมีบางคนจงใจไม่ยอมทำตามมาตรฐานของพระเจ้า ภาพวิหารในนิมิตของยะเอศเคลให้ข้อเตือนใจที่ชัดเจนเรื่องอะไร?
18 การชำระด้านศีลธรรมด้านที่ 2 หมายรวมถึงมาตรการต่าง ๆ ที่ช่วยปกป้องประชาคมคริสเตียนให้สะอาดอยู่เสมอ น่าเสียดาย บางคนเคยอุทิศตัวให้พระยะโฮวาและใช้ชีวิตตามมาตรฐานของพระองค์ แต่เขากลับจงใจไม่ทำตามมาตรฐานเหล่านั้นอีกต่อไป แล้วองค์การจะทำอย่างไรกับคนเหล่านี้? วิหารในนิมิตของยะเอศเคลที่พูดถึงในตอนต้นแสดงให้เห็นมาตรการหนึ่งที่อาจนำมาใช้ได้ ขอให้นึกถึงประตูทางเข้าที่สูงตระหง่านซึ่งมีห้องยาม คนยามจะกันคนที่ไม่ได้ “เข้าสุหนัตทางจิตใจ” ไม่ให้เข้ามาในวิหาร (ยเอศ. 44:9, ฉบับคิงเจมส์ ) นี่เป็นข้อเตือนใจที่ชัดเจนว่า คนที่พยายามทำตามมาตรฐานอันบริสุทธิ์สะอาดของพระยะโฮวาเท่านั้นที่คู่ควรกับการนมัสการแท้ และการคบหากับพี่น้องคริสเตียนก็ไม่ได้เปิดกว้างสำหรับทุกคนในเวลานี้ด้วย
19, 20. (ก) พระคริสต์ได้ทำอย่างไร เพื่อช่วยผู้ติดตามท่านให้ปรับวิธีแก้ปัญหาเมื่อมีการทำผิดร้ายแรง? (ข) อะไรคือเหตุผล 3 ข้อที่ต้องตัดสัมพันธ์คนทำผิดที่ไม่ยอมกลับใจ?
19 ย้อนไปในปี 1892 หอสังเกตการณ์ พูดถึงเรื่องนี้ว่า “เรามีหน้าที่ตัดสัมพันธ์ (คริสเตียน) คนที่แสดงออกทั้งทางตรงและทางอ้อมว่าเขาปฏิเสธเรื่องค่าไถ่ของพระคริสต์ [ซึ่งมีค่าเท่าเทียมกัน] สำหรับทุกคน” (อ่าน 2 โยฮัน 10) ในปี 1904 หนังสือการสร้างขึ้นใหม่ (ภาษาอังกฤษ) บอกชัดเจนว่า คนที่ดื้อดึงไม่ยอมเลิกประพฤติผิดอาจทำให้ประชาคมเสื่อมเสียได้ ในสมัยนั้น เมื่อมีการทำผิดร้ายแรง พี่น้องทุกคนมีส่วนร่วมในการ “ตัดสินคดีภายในประชาคม” แต่กรณีแบบนี้ก็มีน้อยมาก หอสังเกตการณ์ ปี 1944 ชี้ให้เห็นว่า พี่น้องที่มีหน้าที่รับผิดชอบเท่านั้นที่ควรตัดสินเรื่องนี้ หอสังเกตการณ์ ปี 1952 ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับขั้นตอนต่าง ๆ ในการตัดสินความตามหลักพระคัมภีร์ โดยเน้นว่าเหตุผลสำคัญที่ต้องตัดสัมพันธ์คนที่ไม่ยอมกลับใจ คือ เพื่อปกป้องประชาคมให้สะอาด
20 ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา พระคริสต์ได้ช่วยผู้ติดตามท่านให้ปรับวิธีแก้ปัญหาเมื่อมีการทำผิดร้ายแรง คริสเตียนผู้ปกครองได้รับการฝึกอบรมอย่างดี เพื่อจะตัดสินความได้อย่างยุติธรรมและมีเมตตาตามแนวทางของพระยะโฮวา ทุกวันนี้ เราเห็นชัดเจนว่ามีเหตุผลอย่างน้อย 3 ข้อที่ต้องตัดสัมพันธ์คนทำผิดที่ไม่ยอมกลับใจ (1) เพื่อรักษาชื่อของพระยะโฮวาไม่ให้เสื่อมเสีย (2) เพื่อป้องกันไม่ให้อิทธิพลที่เสื่อมทรามแพร่กระจายไปในประชาคม (3) เพื่อกระตุ้นคนทำผิดให้สำนึกตัวและกลับใจ ถ้าเป็นไปได้
21. มาตรการตัดสัมพันธ์เป็นประโยชน์ต่อประชาชนของพระเจ้าในทุกวันนี้อย่างไร?
21 คุณเห็นไหมว่ามาตรการตัดสัมพันธ์เป็นประโยชน์ต่อผู้ติดตามพระคริสต์ในทุกวันนี้อย่างไร? ในสมัยโบราณ ชาวอิสราเอลที่ทำผิดมักจะเป็นแบบอย่างที่เลวทรามให้กับคนในชาติ บางครั้งคนเหล่านั้นมีมากกว่าคนที่รักพระยะโฮวาและพยายามทำสิ่งที่ถูกต้องด้วยซ้ำ ชาติอิสราเอลจึงทำให้ชื่อของพระยะโฮวาเสื่อมเสีย และพวกเขาก็ไม่ได้รับความรักจากพระองค์อีกต่อไป (ยิระ. ) ในทุกวันนี้ พระยะโฮวาไม่ได้เป็นพระเจ้าของคนชาติใดชาติหนึ่ง แต่เป็นพระเจ้าของ [กลุ่มคน] ทั้งชายและหญิงจากชาติต่าง ๆ ที่มีมิตรภาพกับพระองค์ เนื่องจากมีการตัดสัมพันธ์คนที่ไม่ยอมกลับใจ ซาตานจึงไม่สามารถใช้พวกเขาเป็นอาวุธที่จะทำลายพี่น้องได้อีก เพราะคนที่ถูกตัดสัมพันธ์แทบไม่มีอิทธิพลอะไรที่จะทำให้ประชาคมแปดเปื้อนได้ ดังนั้น เราจึงมั่นใจได้ว่าพระเจ้ายังรักประชาชนโดยรวมของพระองค์เสมอ ขอให้เราจำคำสัญญาของพระยะโฮวาที่ว่า “ไม่มีอาวุธชิ้นใดที่ต่อสู้เจ้าแล้วเอาชนะเจ้าได้” ( 7:23-28ยซา. 54:17, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย ) เมื่อผู้ปกครองในประชาคมทำหน้าที่ตัดสินความซึ่งเป็นงานที่หนักมาก เราสนับสนุนอย่างซื่อสัตย์ภักดีไหม?
การให้เกียรติแก่ “ผู้ซึ่งทุกครอบครัว . . . มีชื่อเนื่องด้วยพระองค์”
22, 23. (ก) ทำไมเรารู้สึกซึ้งใจและขอบคุณเพื่อนคริสเตียนที่อยู่ในช่วงต้น ๆ ของศตวรรษที่ 20? (ข) มีหลักฐานอะไรที่แสดงว่าพวกเขาต้องปรับเปลี่ยนความคิดเรื่องครอบครัวให้สมดุลมากขึ้น?
22 การชำระด้านที่ 3 คือเรื่องการสมรสและครอบครัว ซึ่งทำให้ผู้ติดตามพระคริสต์ได้รับประโยชน์มาตลอด เราได้ปรับเปลี่ยนความคิดของเราในเรื่องนี้อย่างไรตลอดหลายปีที่ผ่านมา? เมื่อเราอ่านเรื่องราวของผู้รับใช้พระเจ้าที่มีชีวิตอยู่ในช่วงต้น ๆ ของศตวรรษที่ 20 เรารู้สึกซึ้งใจมากและถึงกับทึ่งด้วยซ้ำเมื่อเห็นว่าพวกเขามีน้ำใจเสียสละขนาดไหน เรารู้สึกขอบคุณเหลือเกินเมื่อเห็นพวกเขาให้ความสำคัญกับงานรับใช้มากกว่าเรื่องอื่น ๆ ในชีวิต แต่เมื่อเรามองย้อนกลับไป เราก็เห็นว่าพี่น้องในสมัยนั้นต้องปรับเปลี่ยนความคิดให้สมดุลขึ้น อย่างไรล่ะ?
23 ตอนนั้น เป็นเรื่องปกติที่พี่น้องชายจะได้รับมอบหมายให้ไปทำงานรับใช้ในที่ต่าง ๆ หรือทำหน้าที่ผู้ดูแลเดินทาง ซึ่งบางครั้งเขาต้องจากบ้านหรือจากครอบครัวไปนานหลายเดือน และหลายครั้งพี่น้องก็พูดถึงการสมรสในแง่ลบจนเกินขอบเขตที่เขียนไว้ในคัมภีร์ไบเบิล ส่วนคำแนะนำที่ช่วยเสริมสร้างครอบครัวคริสเตียนให้มั่นคงก็มีน้อยมาก สภาพการณ์แบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับผู้ติดตามพระคริสต์ในปัจจุบันนี้ไหม? ไม่เลย!
คนที่ได้รับงานมอบหมายในองค์การของพระเจ้า ไม่ควรทำงานรับใช้มากจนถึงกับละเลยครอบครัวของตัวเอง
24. พระคริสต์ช่วยประชาชนที่ซื่อสัตย์ให้มีความคิดที่สมดุลมากขึ้นในเรื่องชีวิตคู่และครอบครัวอย่างไร?
24 ทุกวันนี้ คนที่ได้รับงานมอบหมายในองค์การของพระเจ้า ไม่ควรทำงานรับใช้มากจนถึงกับละเลยครอบครัวของตัวเอง (อ่าน 1 ติโมเธียว 5:8) นอกจากนี้ พระคริสต์ต้องการดูแลสาวกที่ซื่อสัตย์ของท่านบนแผ่นดินโลกให้ได้รับคำแนะนำที่สมดุลและเป็นประโยชน์เสมอในเรื่องชีวิตคู่และครอบครัว (เอเฟ. 3:14, 15) ในปี 1978 มีการออกหนังสือการทำให้ชีวิตครอบครัวของท่านมีความสุข หลังจากนั้นอีก 18 ปี ก็ออกหนังสือเคล็ดลับสำหรับความสุขในครอบครัว นอกจากนี้ หอสังเกตการณ์ ยังลงบทความหลายเรื่องสำหรับสามีภรรยาซึ่งช่วยพวกเขาให้นำหลักการในพระคัมภีร์ไปใช้ในชีวิตคู่
25-27. ทำไมเด็ก ๆ ทุกวัยต้องได้รับการเอาใจใส่มากยิ่งกว่าแต่ก่อน?
25 แล้วเด็ก ๆ ล่ะ? ตลอดหลายปีมานี้ เด็ก ๆ จำเป็นต้องได้รับการเอาใจใส่มากขึ้นเรื่อย ๆ นานมาแล้วที่องค์การของพระยะโฮวาได้เตรียมสิ่งดี ๆ ไว้สำหรับ เด็กทุกวัย ในช่วงแรกสิ่งเหล่านั้นค่อย ๆ ทยอยออกมา แต่ตอนนี้กลับมีมากมายเหมือนกระแสน้ำที่ไหลไม่ขาดสาย อย่างเช่น เดอะ โกลเดน เอจ ตั้งแต่ปี 1919-1921 มีบทความชื่อ “การศึกษาพระคัมภีร์สำหรับวัยรุ่น” นอกจากนั้นก็มีจุลสารเดอะ โกลเดน เอจ เอบีซี ในปี 1920 และหนังสือเด็กทั้งหลาย ในปี 1941 (ทั้งหมดนี้ไม่มีในภาษาไทย) ต่อมา ในทศวรรษ 1970 มีการออกหนังสือ 3 เล่ม คือ การรับฟังครูผู้ยิ่งใหญ่ การได้ประโยชน์มากที่สุดจากวัยหนุ่มสาว และหนังสือของฉันเกี่ยวด้วยเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ในปี 1982 ตื่นเถิด! ลงบทความชุด “หนุ่มสาวถามว่า” และตอนหลังได้รวมเล่มเป็นหนังสือชื่อ คำถามที่หนุ่มสาวถาม—คำตอบที่ได้ผล พิมพ์ในปี 1989
เด็ก ๆ มีความสุขที่ได้รับจุลสารเรื่องที่หนูเรียนจากพระคัมภีร์ ที่การประชุมใหญ่ในเยอรมนี
26 ปัจจุบันเรามีหนังสือหนุ่มสาวถาม 2 เล่ม และยังลงบทความตอนใหม่ ๆ ในเว็บไซต์ jw.org เรายังมีหนังสือจงเรียนจากครูผู้ยิ่งใหญ่ ด้วย เว็บไซต์ของเรามีสิ่งดี ๆ หลายอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อเด็ก ๆ รวมทั้งการ์ดบุคคลในไบเบิล กิจกรรมการศึกษาพระคัมภีร์ทั้งสำหรับเด็กโตและเด็กเล็ก เกมต่าง ๆ ที่ฝึกความ คิด วีดีโอ และการ์ตูนเล่าเรื่องจากไบเบิล รวมทั้งบทเรียนสำหรับเด็กที่อายุไม่เกิน 3 ขวบ เห็นได้ชัดว่า พระคริสต์รักและห่วงใยเด็ก ๆ ในสมัยนี้เหมือนกับเด็กในสมัยศตวรรษแรกที่ท่านเคยอุ้มและกอดไว้ในอ้อมแขน (มโก. 10:13-16) พระเยซูอยากให้เด็ก ๆ รู้สึกว่าท่านรักพวกเขาและอยากช่วยพวกเขาให้มีความเชื่อที่เข้มแข็ง
27 พระเยซูยังอยากให้เด็ก ๆ ได้รับการปกป้องจากอันตรายต่าง ๆ ด้วย ขณะที่สภาพทางศีลธรรมของโลกเสื่อมลงจนถึงขีดที่ชั่วช้าเลวทราม การฉวยประโยชน์และการทำร้ายเด็กทางเพศก็แพร่หลายมากขึ้น องค์การจึงจัดพิมพ์หนังสือที่ให้คำแนะนำอย่างชัดเจนและพูดอย่างตรงไปตรงมาเพื่อพ่อแม่จะสามารถปกป้องลูก ๆ ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของคนชั่ว e
28. (ก) ตามที่เราได้เรียนจากภาพวิหารในนิมิตของยะเอศเคล เราต้องทำอะไรบ้างถ้าเราอยากนมัสการพระเจ้าอย่างถูกต้อง? (ข) คุณตั้งใจจะทำอะไร?
28 น่าตื่นเต้นจริง ๆ เมื่อคิดถึงวิธีที่พระคริสต์ยังชำระผู้ติดตามท่านเรื่อยมา ทั้งยังฝึกสอนพวกเขาให้รู้ว่าจะนับถือ ทำตาม และรับประโยชน์จากมาตรฐานด้านศีลธรรมที่สูงส่งของพระยะโฮวาอย่างไร ลองคิดถึงวิหารในนิมิตของยะเอศเคลซึ่งมีประตูทางเข้าที่สูงตระหง่าน ถึงแม้วิหารนั้นไม่ใช่สถานที่จริง ๆ แต่เราจะมองว่าวิหารนั้นมีอยู่จริงได้อย่างไร? การเข้าไปที่วิหารนั้น ไม่ใช่แค่ไปประชุม อ่านพระคัมภีร์ หรือไปประกาศตามบ้าน สิ่งเหล่านี้เป็นการกระทำที่ใคร ๆ ก็เห็นได้ และคนหน้าไหว้หลังหลอกก็อาจทำได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้เข้าไปในวิหารของพระเจ้าจริง ๆ แต่ถ้าเราทำกิจกรรมเหล่านี้ควบคู่กับการทำตามมาตรฐานด้านศีลธรรมที่สูงส่งของพระยะโฮวา นมัสการพระองค์ด้วยหัวใจและความคิดที่ถูกต้อง เราก็จะเข้าไปรับใช้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดได้ ซึ่งก็คือ สิ่งที่พระยะโฮวาจัดเตรียมไว้เพื่อจะนมัสการพระองค์อย่างถูกต้อง ขอให้เรารักษาเกียรตินี้ไว้เสมอ พยายามทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยยึดมั่นกับมาตรฐานที่ถูกต้องชอบธรรมเพื่อช่วยให้ผู้คนมองเห็นความบริสุทธิ์ของพระยะโฮวา!
a ยะเอศเคล 40:16 ฉบับคิงเจมส์ ใช้คำว่า “ห้องยาม”
b ในปี 1932 หนังสือเล่มหนึ่ง (Vindication Volume 2) แสดงให้เห็นเป็นครั้งแรกว่า คำพยากรณ์หลายเรื่องในพระคัมภีร์ที่เน้นว่าพระเจ้านำประชาชนของพระองค์กลับไปยังประเทศบ้านเกิดของตนก็ได้เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันกับอิสราเอลของพระเจ้า ไม่ใช่กับชาวอิสราเอลโดยกำเนิด คำพยากรณ์เหล่านั้นเน้นไปที่การฟื้นฟูการนมัสการแท้ หอสังเกตการณ์ 1 มีนาคม 1999 อธิบายว่า ภาพวิหารในนิมิตของยะเอศเคลเป็นหนึ่งในคำพยากรณ์ที่พูดถึงการฟื้นฟูด้วย ดังนั้น การฟื้นฟูการนมัสการแท้ที่สำคัญกว่าในอดีตต้องเกิดขึ้นจริงในสมัยสุดท้าย
c คำปฏิญาณนี้ห้ามไม่ให้ผู้ชายกับผู้หญิงอยู่ด้วยกันตามลำพังโดยไม่เปิดประตูไว้กว้าง ๆ เว้นแต่คู่สมรสหรือสมาชิกในครอบครัวเท่านั้น เป็นเวลาหลายปีที่พี่น้องในเบเธลต้องกล่าวคำปฏิญาณนี้ทุกวันในการนมัสการตอนเช้า
d การใช้ยาสูบ หมายรวมถึง การสูบบุหรี่ การเคี้ยวยาสูบยาเส้น หรือการปลูกต้นยาสูบเพื่อใช้ในทางที่ผิด
e เพื่อเป็นตัวอย่าง โปรดดูบท 32 ของหนังสือจงเรียนจากครูผู้ยิ่งใหญ่ และชุดบทความ “จงปกป้องลูกของคุณ!” ในตื่นเถิด! ตุลาคม 2007