บท 15
สู้เพื่อเสรีภาพในการนมัสการพระเจ้า
1, 2. (ก) อะไรคือหลักฐานที่แสดงว่าคุณเป็นประชาชนของรัฐบาลพระเจ้า? (ข) ทำไมบางครั้งพยานพระยะโฮวาต้องต่อสู้เพื่อเสรีภาพทางศาสนา?
คุณเป็นประชาชนของรัฐบาลพระเจ้าไหม? ถ้าคุณเป็นพยานพระยะโฮวา คุณก็เป็นแน่นอน! แล้วอะไรคือหลักฐานที่แสดงว่าคุณเป็นประชาชนของพระองค์? ไม่ใช่หนังสือเดินทางหรือเอกสารราชการบางอย่าง แต่เป็นวิธีที่คุณนมัสการพระยะโฮวาพระเจ้า การนมัสการแท้ไม่ได้หมายถึงการมีความเชื่อในพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิ่งที่คุณทำด้วย ซึ่งก็คือการเชื่อฟังกฎหมายของรัฐบาลพระเจ้า สำหรับพวกเราทุกคน การนมัสการเกี่ยวข้องกับทุกแง่ทุกมุมในชีวิตของเรา รวมทั้งวิธีที่เราเอาใจใส่ดูแลครอบครัว และแม้แต่วิธีที่เราดูแลรักษาสุขภาพ
2 การเป็นประชาชนของรัฐบาลพระเจ้าถือว่าเป็นสิ่งที่มีเกียรติ แต่ไม่ใช่ทุกคนคิดเหมือนเรา คนส่วนใหญ่ไม่ได้นับถือข้อเรียกร้องต่าง ๆ ของพระเจ้า รัฐบาลบางประเทศพยายามวางข้อจำกัดหรือถึงกับอยากกวาดล้างการนมัสการของเราด้วยซ้ำ บางครั้งประชาชนของพระคริสต์ก็ต้องต่อสู้เพื่อจะมีเสรีภาพในการใช้ชีวิตตามกฎหมายของกษัตริย์มาซีฮา นี่เป็นเรื่องแปลกไหม? ไม่! ประชาชนของพระยะโฮวาในสมัยคัมภีร์ไบเบิลก็มักจะต้องต่อสู้เพื่อเสรีภาพในการนมัสการพระองค์
3. ประชาชนของพระเจ้าในสมัยราชินีเอศเธระเจอปัญหาอะไรที่ทำให้พวกเขาต้องลุกขึ้นสู้?
3 ตัวอย่างเช่น ในสมัยของราชินีเอศเธระ ประชาชนของพระเจ้าต้องต่อสู้เพื่อปกป้องชีวิตของตัวเอง ทำไม? ฮามานมหาเสนาบดีของเปอร์เซียได้แนะนำกษัตริย์อะหัศวะโรศให้ฆ่าชาวยิวที่อยู่ในอาณาจักรของเขาให้หมด เพราะชาวยิวมี “กฎหมาย . . . ต่างกับกฎหมายของชนชาติอื่นทั้งสิ้น” (เอศ. 3:8, 9, 13, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน ) พระยะโฮวาทอดทิ้งผู้รับใช้ของพระองค์ไหม? ไม่เลย! พระเจ้าอวยพรความพยายามของเอศเธระกับมาระดะคายขณะที่พวกเขาร้องขอกษัตริย์เปอร์เซียให้ช่วยปกป้องประชาชนของพระเจ้า—เอศ. 9:20-22
4. เราจะเรียนอะไรในบทนี้?
4 แล้วปัจจุบันล่ะ? ในบทก่อนเราได้เรียนว่า บางครั้งผู้มีอำนาจในโลกนี้ก็ต่อต้านพยานพระยะโฮวา ในบทนี้ เราจะเรียนรู้ว่ารัฐบาลแบบนั้นใช้วิธีใดบ้างเพื่อพยายามวางข้อจำกัดเกี่ยวกับการนมัสการของเรา เราจะพูดถึง 3 ขอบ เขตใหญ่ ๆ คือ (1) สิทธิที่จะมีองค์การและสิทธิในการนมัสการตามที่เราเลือกเอง (2) เสรีภาพในการเลือกวิธีรักษาทางแพทย์แบบที่สอดคล้องกับหลักการในพระคัมภีร์ (3) สิทธิที่พ่อแม่จะเลี้ยงดูลูกตามมาตรฐานของพระยะโฮวา ในแต่ละขอบเขต เราจะเห็นว่าประชาชนที่ภักดีต่อรัฐบาลมาซีฮาได้พยายามต่อสู้อย่างกล้าหาญเพื่อปกป้องสิทธิในการเป็นพลเมืองของพระเจ้า และพระเจ้าก็อวยพรความพยายามของพวกเขา
ต่อสู้เพื่อเสรีภาพขั้นพื้นฐานและการรับรองทางกฎหมาย
5. การรับรองทางกฎหมายมีประโยชน์ต่อคริสเตียนแท้อย่างไร?
5 เราจำเป็นต้องได้รับการรับรองทางกฎหมายจากรัฐบาลมนุษย์ไหมเพื่อจะนมัสการพระยะโฮวา? ไม่! การรับรองทางกฎหมายเพียงแต่ช่วยให้เรานมัสการพระยะโฮวาได้สะดวกขึ้น เช่น เราพบปะกันได้อย่างเสรีที่หอประชุมหรือที่การประชุมใหญ่ พิมพ์และนำเข้าหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล หรือบอกข่าวดีกับเพื่อนบ้านได้อย่างเปิดเผยโดยไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ในหลายประเทศ พยานพระยะโฮวาได้จดทะเบียนเป็นองค์การศาสนาอย่างถูกต้อง และมีเสรีภาพในการนมัสการแบบเดียวกับศาสนาอื่น ๆ ที่ได้รับการรับรองทางกฎหมาย แต่เกิดอะไรขึ้นเมื่อบางรัฐบาลไม่รับรองสิทธิ์ของเรา หรือพยายามจำกัดเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่เราควรได้รับ?
6. ในช่วงต้นทศวรรษ 1940 พยานพระยะโฮวาในออสเตรเลียเจอปัญหาอะไร?
6 ออสเตรเลีย ในช่วงต้นทศวรรษ 1940 ผู้สำเร็จราชการแทนกษัตริย์อังกฤษได้สั่งห้ามงานของพยานฯอย่างเป็นทางการ เพราะเขามองว่าความเชื่อของเรา “ขัด” ต่อความพยายามที่จะสนับสนุนสงคราม พยานฯจึงไม่สามารถประชุมและประกาศอย่างเปิดเผยได้ สำนักงานเบเธลถูกสั่งปิด หอประชุมก็ถูกยึด และยังห้ามไม่ให้ผู้ใดมีหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลด้วย หลังจากดำเนินการแบบลับ ๆ อยู่หลายปี ในวันที่ 14 มิถุนายน 1943 พยานฯในออสเตรเลียก็รับใช้พระเจ้าได้อย่างเสรีอีกครั้ง เมื่อศาลสูงสุดของออสเตรเลียกลับคำพิพากษาและยกเลิกการสั่งห้ามนั้น
7, 8. ตลอดหลายปี พี่น้องในรัสเซียต้องต่อสู้ขนาดไหนกว่าจะมีเสรีภาพทางศาสนา? ขอให้อธิบาย
7 รัสเซีย รัฐบาลคอมมิวนิสต์สั่งห้ามงานของพยานพระยะโฮวาเป็นเวลาหลายสิบปี แต่ในที่สุดเราก็จดทะเบียนได้ในปี 1991 หลังจากอดีตสหภาพโซเวียตล่มสลาย เราได้รับการรับรองทางกฎหมายในสหพันธรัฐรัสเซียในปี 1992 แต่ไม่นาน ศัตรูบางคนโดยเฉพาะพวกที่จับมือกับคริสตจักรออร์โทด็อกซ์ในรัสเซียก็เริ่มกังวลจนนั่งไม่ติดเมื่อเห็นจำนวนของพวกเราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกผู้ต่อต้านได้ยื่นฟ้องพยานพระยะโฮวาในคดีอาญา 5 ครั้งตั้งแต่ปี 1995-1998 แต่พนักงานอัยการก็เอาผิดเราไม่ได้เลยสักครั้ง พวกผู้ต่อต้านจึงเปลี่ยนแผนหันมาฟ้องคดีแพ่ง ในปี 1998 ตอนแรกพยานฯเป็นฝ่ายชนะ แต่ผู้ต่อต้านไม่ยอมรับคำตัดสินของศาล พวกเขายื่นอุทธรณ์ต่ออีกครั้งหนึ่ง แล้วพยานฯก็แพ้คดีในเดือนพฤษภาคมปี 2001 การพิจารณาคดีเริ่มขึ้นอีกในเดือนตุลาคมปี นั้น และดำเนินไปจนถึงปี 2004 ในที่สุด ศาลได้สั่งยุบและห้ามไม่ให้นิติบุคคลที่พยานฯใช้ในกรุงมอสโกทำกิจการใด ๆ อีกต่อไป
8 จากนั้น การต่อต้านก็โหมกระหน่ำเข้ามา (อ่าน 2 ติโมเธียว 3:12) พยานฯถูกโจมตีและถูกทำร้าย หนังสือที่เกี่ยวกับศาสนาถูกยึด การเช่าบ้านหรือการสร้างอาคารเพื่อเป็นสถานที่ประชุมก็มีข้อจำกัดที่เข้มงวดมาก ลองนึกภาพว่าพี่น้องจะรู้สึกอย่างไรเมื่อต้องเจอกับความทุกข์ยากแบบนี้! ในปี 2001 พยานฯได้อุทธรณ์ต่อศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป (ECHR) และได้ยื่นข้อมูลเพิ่มเติมในปี 2004 พอถึงปี 2010 ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปก็ตัดสินคดีนี้ ศาลพิจารณาและเห็นหลักฐานชัดเจนว่าการสั่งห้ามงานของพยานฯในรัสเซียเกิดจากอคติทางศาสนา เนื่องจากไม่มีหลักฐานว่าพยานฯคนใดทำผิด จึงไม่มีเหตุผลที่จะพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ศาลยังบอกอีกว่าการสั่งห้ามนี้มีเจตนากีดกันไม่ให้พยานฯได้รับสิทธิทางกฎหมาย คำตัดสินของศาลจึงทำให้พยานฯมีสิทธิเสรีภาพทางศาสนา แม้ว่าเจ้าหน้าที่รัสเซียหลายคนไม่ยอมทำตามคำสั่งของศาลนั้น แต่การชนะคดีอย่างนี้ทำให้ประชาชนของพระเจ้าในรัสเซียกล้าหาญขึ้นมาก
9-11. ประชาชนของพระยะโฮวาในกรีซต่อสู้อย่างไรเพื่อจะมีเสรีภาพในการนมัสการร่วมกัน และผลเป็นอย่างไร?
9 กรีซ ในปี 1983 ทิทอส มานุสซาคิสเช่าห้องในเฮราคลีโอน เกาะครีต เพื่อพยานพระยะโฮวากลุ่มเล็ก ๆ จะใช้เป็นที่ประชุมและนมัสการร่วมกันได้ (ฮีบรู 10:24, 25) แต่ไม่นาน บาทหลวงของออร์โทด็อกซ์คนหนึ่งก็ยื่นฟ้องต่อเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อไม่ให้พยานฯใช้ห้องเช่านั้นสำหรับนมัสการพระเจ้า ทำไมล่ะ? เพียงเพราะพยานฯมีความเชื่อต่างจากพวกคริสตจักรออร์โทด็อกซ์! เจ้าหน้าที่เริ่มดำเนินคดีอาญากับทิทอส มานุสซาคิสและพยานฯในท้องถิ่นอีก 3 คน พวกเขาถูกปรับและถูกตัดสินจำคุก 2 เดือน พยานฯซึ่งเป็นประชาชนที่ภักดีต่อราชอาณาจักรของพระเจ้ามองว่าคำตัดสินของศาลละเมิดเสรีภาพในการนมัสการ พวกเขาจึงพยายามอุทธรณ์คดีนี้ต่อศาลต่าง ๆ ในประเทศไปจนถึงศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป
10 ในที่สุด พอถึงปี 1996 จู่ ๆ ศาลสิทธิมนุษยชนก็ทำให้พวกผู้ต่อต้านการนมัสการแท้งงเป็นไก่ตาแตก เพราะศาลแถลงว่า “พยานพระยะโฮวาอยู่ในเกณฑ์ของ ‘ศาสนาที่ผู้คนรู้จัก’ ตามคำนิยามในกฎหมายกรีซ” และคำตัดสินของศาลชั้นต้นก็ “มีผลกระทบโดยตรงต่อเสรีภาพทางศาสนาของผู้ยื่นคำร้อง” ศาลยังเห็นว่ารัฐบาลกรีซไม่มีหน้าที่ “ตัดสินว่าความเชื่อทางศาสนาหรือวิธีต่าง ๆ ที่พวกเขาใช้เพื่อแสดงออกทางความเชื่อเป็นเรื่องถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่” คำตัดสินต่าง ๆ ที่ให้พยานฯเป็นฝ่ายผิดจึงเป็นโมฆะ และพวกเขาก็ได้เสรีภาพในการนมัสการกลับคืนมา!
11 ชัยชนะครั้งนั้นทำให้ปัญหาในกรีซยุติลงไหม? ไม่! ในปี 2012 มีการตัดสินคดีคล้าย ๆ กันนี้ซึ่งต่อสู้กันมานานเกือบ 12 ปีที่เมืองคาซานเดรีย ประเทศ กรีซ ในคดีนี้ผู้ต่อต้านก็คือบิชอปคนหนึ่งของพวกออร์โทด็อกซ์ สภาแห่งชาติซึ่งเป็นศาลปกครองสูงสุดของกรีซตัดสินให้ประชาชนของพระเจ้าเป็นฝ่ายชนะ คำตัดสินนั้นได้อ้างถึงรัฐธรรมนูญของกรีซเองที่ให้การรับรองเรื่องเสรีภาพทางศาสนา และได้หักล้างข้อกล่าวหาเดิม ๆ ที่ว่าพยานพระยะโฮวาเป็นศาสนาที่ไม่มีใครรู้จัก ศาลได้กล่าวว่า “หลักคำสอนของ ‘พยานพระยะโฮวา’ ไม่ได้เป็นความลับ พวกเขาจึงนับถือศาสนาที่ผู้คนรู้จัก” ตอนนี้พี่น้องในประชาคมเล็ก ๆ ในคาซานเดรียดีใจที่พวกเขาสามารถจัดการประชุมเพื่อนมัสการพระเจ้าในหอประชุมของพวกเขาเอง
12, 13. พวกผู้ต่อต้านในฝรั่งเศสได้ใช้ยุทธวิธี “ออกกฎหมายประกอบการชั่วร้าย” อย่างไร และผลเป็นอย่างไร?
12 ฝรั่งเศส ผู้ต่อต้านประชาชนของพระเจ้าเคยใช้ยุทธวิธี “ออกกฎหมายประกอบการชั่วร้าย” (อ่านบทเพลงสรรเสริญ 94:20) อย่างเช่น กลางทศวรรษ 1990 เจ้าหน้าที่สรรพากรในฝรั่งเศสเริ่มตรวจสอบการเงินของนิติบุคคลหรือสมาคมหนึ่ง (Association Les Témoins de Jéhovah หรือ ATJ) ซึ่งพยานพระยะโฮวาใช้ทำกิจการต่าง ๆ ในฝรั่งเศส ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณพูดถึงจุดประสงค์จริง ๆ ของการตรวจสอบครั้งนี้ว่า “ผลของการตรวจสอบบัญชีอาจทำให้ศาลสั่งยุบสมาคมหรือดำเนินคดีอาญา . . . ซึ่งก็น่าจะทำให้สมาคมนี้ขาดความมั่นคงทางการเงินและต้องปิดกิจการในเขตของเรา” แม้ผลการตรวจสอบบัญชีจะไม่พบสิ่งผิดปกติใด ๆ แต่เจ้าหน้าที่สรรพากรก็เรียกเก็บภาษีจากนิติบุคคลนี้ในอัตราที่สูงมาก ถ้าแผนการนี้สำเร็จ พี่น้องของเราก็คงแทบไม่มีทางจะทำอะไรได้นอกจากปิดสำนักงานสาขา และขายอาคารต่าง ๆ เพื่อจ่ายภาษีจำนวนมหาศาลนั้น แต่ประชาชนของพระเจ้าก็สู้ไม่ถอยแม้จะเจอมรสุมอย่างหนัก พวกเขาร้องคัดค้านทันทีสำหรับความไม่เป็นธรรมในเรื่องนี้ ในที่สุด ปี 2005 คดีนี้ก็ไปถึงศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป
13 ศาลประกาศคำตัดสินในวันที่ 30 มิถุนายน 2011 โดยให้เหตุผลว่า สิทธิที่จะมีเสรีภาพทางศาสนาควรเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้รัฐเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องความเชื่อทางศาสนาหรือวิธีแสดงออกทางความเชื่อ เว้นแต่กรณีที่เป็นภัยร้ายแรงเท่านั้น ศาลยังกล่าวด้วยว่า “ในกรณีนี้ การเก็บภาษี . . . มีผลทำให้ทรัพย์สินที่จำเป็นของสมาคมนี้หมดไป สมาคมจึงไม่สามารถทำให้สมาชิกมั่นใจเรื่องเสรีภาพในการทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการนมัสการของพวกเขา” ศาลมีมติเป็นเอกฉันท์ให้พยานพระยะโฮวาชนะคดี! คำตัดสินนี้ทำให้ประชาชนของพระยะโฮวาดีใจมาก เพราะในที่สุดรัฐบาลฝรั่งเศสต้องคืนภาษีพร้อมดอกเบี้ยให้นิติบุคคลนั้น ศาลยังมีคำสั่งให้รัฐบาลคืนทรัพย์สินทั้งหมดที่เคยยึดหน่วงไว้ด้วย
คุณสามารถอธิษฐานเป็นประจำเผื่อพี่น้องที่ต้องทนทุกข์เพราะไม่ได้รับความเป็นธรรมทางกฎหมาย
14. คุณจะร่วมต่อสู้เพื่อเสรีภาพในการนมัสการพระยะโฮวาได้อย่างไร?
14 ประชาชนของพระยะโฮวาในทุกวันนี้ก็เหมือนเอศเธระกับมาระดะคายในยุคโบราณที่ต้องต่อสู้เพื่อจะมีเสรีภาพในการนมัสการพระยะโฮวาตามที่พระองค์ สั่งไว้ (เอศ. 4:13-16) คุณจะมีส่วนร่วมได้ไหม? ได้สิ! คุณสามารถอธิษฐานเป็นประจำเผื่อพี่น้องที่ต้องทนทุกข์เพราะไม่ได้รับความเป็นธรรมทางกฎหมาย คำอธิษฐานแบบนี้มีพลังที่จะช่วยพี่น้องที่กำลังเดือดร้อนและถูกกดขี่ข่มเหงได้ (อ่านยาโกโบ 5:16) พระยะโฮวาทำตามที่เราอธิษฐานขอไหม? ชัยชนะในศาลเป็นข้อพิสูจน์ว่าพระองค์ทำจริง ๆ!—ฮีบรู 13:18, 19
เสรีภาพที่จะเลือกการรักษาทางการแพทย์แบบที่ไม่ขัดกับความเชื่อของเรา
15. ประชาชนของพระเจ้าคิดอย่างไรเรื่องการใช้เลือด?
15 ในบท 11 เราได้เรียนว่า ประชาชนของราชอาณาจักรได้รับการชี้นำจากพระคัมภีร์อย่างชัดเจนว่า พวกเขาต้องระวังที่จะไม่ใช้เลือดในทางที่ผิด ซึ่งกลายเป็นเรื่องปกติในทุกวันนี้ (เย. 9:5, 6; เลวี. 17:11; อ่านกิจการ 15:28, 29) แม้เราอยากให้ตัวเราและคนที่เรารักได้รับการรักษาที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่เราก็ไม่ยอมรับการถ่ายเลือดหรือการรักษาแบบที่ขัดกับกฎหมายของพระเจ้า ศาลสูงสุดในหลายประเทศรับรองว่าประชาชนมีสิทธิ์ที่จะเลือกหรือปฏิเสธวิธีรักษาตามความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและความเชื่อทางศาสนา แต่ในบางดินแดน ประชาชนของพระเจ้าต้องเจอกับข้อท้าทายที่หนักมากในเรื่องนี้ ให้เรามาดูบางตัวอย่างด้วยกัน
16, 17. (ก) หลังจากเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล พี่น้องหญิงคนหนึ่งในญี่ปุ่นได้รู้อะไรที่ทำให้เธอถึงกับช็อก? (ข) พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเธออย่างไร?
16 ญี่ปุ่น มิซาเอะ ทาเคดะแม่บ้านวัย 63 ปีในญี่ปุ่นต้องเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ เนื่องจากเธอเป็นประชาชนที่ภักดีต่อราชอาณาจักรของพระเจ้า เธอจึงย้ำกับหมอว่าต้องการผ่าตัดโดยไม่รับเลือด แต่หลายเดือนต่อมาเธอถึงกับช็อกเมื่อรู้ว่ามีการเติมเลือดให้เธอระหว่างผ่าตัด พี่น้องทาเคดะรู้สึกว่าตัวเองถูกละเมิดสิทธิและถูกหลอกลวง ในเดือนมิถุนายนปี 1993 เธอยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อเอาผิดกับหมอและโรงพยาบาล ผู้หญิงที่สุภาพและพูดจาอ่อนหวานคนนี้มีความเชื่อที่มั่นคงมาก เธอให้การอย่างกล้าหาญต่อหน้าผู้คนที่นั่งกันอยู่เต็มห้องพิจารณาคดี เธอยืนให้การตลอดหนึ่งชั่วโมงทั้ง ๆ ที่แทบไม่มีเรี่ยวแรง เธอไปให้การครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเสียชีวิตเพียงแค่เดือนเดียว ความกล้าหาญและความเชื่อของเธอน่าชื่นชมจริง ๆ พี่น้องทาเคดะเคยพูดว่า เธอวิงวอนขอให้พระยะโฮวาช่วยเธอครั้งแล้วครั้งเล่าสำหรับการสู้คดีนี้ เธอมั่นใจว่าพระเจ้าจะตอบคำอธิษฐานของเธอ แล้วพระองค์ตอบอย่างไรล่ะ?
17 สามปีหลังจากพี่น้องทาเคดะเสียชีวิต ศาลสูงสุดของญี่ปุ่นตัดสินให้เธอเป็นฝ่ายชนะ ศาลเห็นว่าแพทย์และโรงพยาบาลมีความผิด เพราะการถ่ายเลือดเป็นสิ่งที่ขัดกับความต้องการของเธอซึ่งได้แจ้งไว้ล่วงหน้าแล้ว วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2000 ศาลตัดสินว่า “สิทธิในการตัดสินใจ” ในกรณีแบบนี้ “ต้องถือว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล” เนื่องจากพี่น้องทาเคดะตัดสินใจสู้คดีเพื่อจะมีเสรีภาพในการเลือกวิธีรักษาทางแพทย์ตามความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ได้เรียนจากคัมภีร์ ไบเบิล ตอนนี้พยานฯในญี่ปุ่นจึงเข้ารับการรักษาตามโรงพยาบาลได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกบังคับให้รับเลือด
18-20. (ก) ศาลอุทธรณ์รับรองสิทธิของคนที่ปฏิเสธการรับเลือดตามที่ระบุไว้ในเอกสารทางกฎหมายอย่างไร? (ข) แม้ตอนนี้เราอาจยังไม่มีปัญหาเรื่องเลือด แต่เราควรทำอะไรเพื่อแสดงว่าเรายอมให้พระคริสต์เป็นผู้ปกครองเรา?
18 อาร์เจนตินา ประชาชนของราชอาณาจักรเตรียมพร้อมอย่างไรในกรณีที่ต้องตัดสินใจเรื่องการรักษาในขณะที่หมดสติ? พวกเราแต่ละคนควรพกเอกสารทางกฎหมายติดตัวไว้และเอกสารนี้จะพูดแทนเรา เช่น กรณีของพาโบล อัลบาราสินี ในเดือนพฤษภาคมปี 2012 คนร้ายที่พยายามปล้นพาโบลได้ยิงปืนใส่เขาหลายนัด เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลขณะที่หมดสติ จึงไม่สามารถอธิบายจุดยืนในเรื่องเลือดได้ แต่เขามีหนังสือแสดงเจตนาเรื่องการรักษาพยาบาลติดตัวอยู่ ซึ่งเขาได้เซ็นชื่อไว้ก่อนหน้านั้นกว่า 4 ปีแล้ว พาโบลอาการหนักมาก และหมอบางคนก็เห็นว่าจำเป็นต้องให้เลือดแก่คนไข้เพื่อรักษาชีวิตเขา แต่ถึงอย่างนั้นบุคลากรทางการแพทย์ก็พร้อมที่จะทำตามความต้องการของพาโบล แต่พ่อที่ไม่ได้เป็นพยานพระยะโฮวาได้ขออำนาจศาลเพื่อสั่งยกเลิกการตัดสินใจของลูกชายตัวเอง
19 ทนายฝ่ายภรรยาของพาโบลยื่นอุทธรณ์ทันที ภายในไม่กี่ชั่วโมงศาลอุทธรณ์ก็กลับคำตัดสินของศาลชั้นต้น และสั่งให้ทำตามความต้องการของคนไข้ที่ระบุไว้ในเอกสารนั้น พ่อของพาโบลอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุดของอาร์เจนตินา แต่ศาลเห็นว่า “ไม่มีข้อสงสัยเลยว่า [คำสั่งของพาโบลเรื่องการไม่รับเลือดที่ระบุไว้ในเอกสารนั้น] เป็นสิ่งที่คนไข้เขียนหลังจากคิดอย่างรอบคอบ ด้วยความตั้งใจจริง และเป็นเสรีภาพของเขา” ศาลประกาศว่า “ผู้ใหญ่ทุกคนที่มีสมรรถภาพสามารถแสดงเจตนา [ของเขา] ในการรักษาพยาบาลไว้ล่วงหน้า และอาจยอมรับหรือปฏิเสธวิธีรักษาบางอย่างได้ . . . แพทย์ที่รักษาคนไข้คนนั้นก็ต้องทำตามสิ่งที่คนไข้ระบุไว้”
20 เมื่อพี่น้องพาโบลหายดีแล้ว เขากับภรรยารู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่ได้กรอกข้อมูลในเอกสารอย่างสมบูรณ์ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยากแต่ก็สำคัญมาก การทำขั้นตอนนี้แสดงว่าพาโบลยอมอยู่ใต้การปกครองของพระคริสต์โดยทางราชอาณาจักรของพระเจ้า คุณกับคนในครอบครัวกรอกเอกสารนี้หรือยัง?
21-24. (ก) ศาลสูงสุดของแคนาดาประกาศคำตัดสินที่น่าทึ่งอย่างไรในคดีเกี่ยวกับเด็กและการใช้เลือด? (ข) เด็กที่เป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวาอาจได้รับกำลังใจอย่างไรจากคดีนี้?
21 แคนาดา โดยปกติแล้วศาลยอมรับว่าพ่อแม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเลือกการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับลูก บางครั้ง ศาลถึงกับตัดสินว่า ควรเคารพการตัดสินใจของเด็กที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่เมื่อเขาตัดสินใจเรื่องการรักษาทางการแพทย์ กรณีนี้เกิดขึ้นกับเอพริล คาโดรา ตอนที่อายุ 14 ปีเอพริลเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพราะมีอาการเลือดออกภายในร่างกาย ไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น เธอทำหนังสือหรือเอกสารที่แสดงเจตนาล่วงหน้าเรื่องการรักษาพยาบาลไว้แล้ว ซึ่งเธอระบุว่าห้ามถ่ายเลือดให้เธอโดยเด็ดขาดแม้ในกรณีฉุกเฉินก็ตาม แพทย์ที่รักษาเอพริลไม่ยอมทำตามความต้องการที่เธอระบุไว้ และได้ขอ อำนาจศาลเพื่อให้เลือดกับคนไข้ เธอจึงได้รับการถ่ายเลือดทั้ง ๆ ที่ไม่เต็มใจ ต่อมา เอพริลพูดถึงเรื่องนี้ว่ามันเหมือนกับการถูกข่มขืน
22 เอพริลกับพ่อแม่ของเธอจึงฟ้องร้องเพื่อขอความเป็นธรรมจากศาลต่าง ๆ หลังจากนั้น 2 ปี คดีก็ไปถึงศาลสูงสุดของแคนาดา แม้ว่าศาลไม่เห็นด้วยกับข้อคัดค้านของเอพริลที่ว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นละเมิดสิทธิของเธอตามรัฐธรรมนูญ แต่ศาลก็จ่ายค่าธรรมเนียมการฟ้องร้องให้เธอ และตัดสินให้เธอชนะคดี และให้เด็กทุกคนที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่มีสิทธิ์เลือกได้ว่าจะรับการรักษาทางการแพทย์แบบไหน ศาลกล่าวว่า “ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการรักษาทางการแพทย์ ควรเปิดโอกาสให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 16 ปีได้อธิบายเหตุผลที่เขาเลือกวิธีรักษาแบบใดแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่าเขามีความเป็นตัวของตัวเอง มีความคิด และมีความเป็นผู้ใหญ่พอสมควร”
23 จุดสำคัญของคดีนี้อยู่ตรงที่ศาลสูงสุดได้กล่าวถึงสิทธิตามรัฐธรรมนูญของเด็กที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ ก่อนที่จะมีคำตัดสินนี้ ศาลต่าง ๆ ในแคนาดาเคยมีสิทธิ์อนุมัติการรักษาทางการแพทย์ให้แก่เด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ตราบ เท่าที่ศาลเห็นว่าการรักษาด้วยวิธีนั้นเป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับเด็ก แต่หลังจากคำตัดสินครั้งนี้ ศาลไม่สามารถอนุมัติให้แพทย์ใช้วิธีรักษาที่ขัดต่อความต้องการของเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี โดยไม่เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงให้เห็นก่อนว่าเขาโตพอที่จะตัดสินใจได้ด้วยตัวเองหรือไม่
“ฉันมีความสุขมาก เมื่อรู้ว่าความพยายามเล็ก ๆ ของฉันมีส่วนทำให้ชื่อของพระเจ้าได้รับเกียรติและพิสูจน์ว่าซาตานเป็นจอมโกหก”
24 การต่อสู้ตลอด 3 ปีนั้นคุ้มไหม? เอพริลตอบว่า “คุ้ม!” ตอนนี้เอพริลเป็นไพโอเนียร์ประจำที่มีสุขภาพแข็งแรง เธอพูดว่า “ฉันมีความสุขมาก เมื่อรู้ว่าความพยายามเล็ก ๆ ของฉันมีส่วนทำให้ชื่อของพระเจ้าได้รับเกียรติและพิสูจน์ว่าซาตานเป็นจอมโกหก” ประสบการณ์ของเอพริลแสดงให้เห็นว่าเด็กหนุ่มสาวสามารถยืนหยัดอย่างกล้าหาญและพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นประชาชนของราชอาณาจักรจริง ๆ—มัด. 21:16
เสรีภาพในการเลี้ยงดูลูกตามมาตรฐานของพระยะโฮวา
25, 26. บางครั้งเกิดปัญหาอะไรขึ้นหลังจากที่พ่อแม่หย่าร้างกัน?
25 พระยะโฮวามอบหน้าที่ให้พ่อแม่เลี้ยงดูลูกตามมาตรฐานของพระองค์ (บัญ. 6:6-8; เอเฟ. 6:4) งานนี้ไม่ง่ายเลย และถ้าพ่อแม่หย่าร้างกัน การเลี้ยงดูลูกก็ยิ่งยากขึ้น เพราะพ่อกับแม่อาจคิดต่างกันในเรื่องการเลี้ยงดูลูก อย่างเช่น พ่อหรือแม่ที่เป็นพยานฯรู้สึกว่าต้องเลี้ยงลูกโดยใช้หลักการของคริสเตียน แต่อีกฝ่ายที่ไม่ได้เป็นพยานฯอาจไม่เห็นด้วย แน่นอนว่า พ่อหรือแม่ที่เป็นพยานฯต้องยอมรับจากใจจริงว่าการหย่าร้างอาจทำให้ทั้งคู่ขาดจากกัน แต่สายใยของความเป็นพ่อเป็นแม่ก็ยังคงอยู่
26 พ่อหรือแม่ที่ไม่ได้เป็นพยานฯอาจร้องขอต่อศาลเพื่อจะได้สิทธิในการเลี้ยงดูลูก และสิทธิในการตัดสินใจว่าจะใช้หลักคำสอนของศาสนาใดอบรมสั่งสอนลูก พ่อหรือแม่บางคนถึงกับอ้างว่าการเลี้ยงลูกแบบพยานพระยะโฮวาจะมีผลเสียต่อลูก เพราะเด็ก ๆ จะไม่ได้ฉลองวันเกิด ไม่ได้ฉลองเทศกาลต่าง ๆ ในวันหยุด และไม่สามารถรับเลือดซึ่งเป็นการ “ช่วยชีวิต” ลูกในกรณีฉุกเฉิน แต่น่าดีใจที่ศาลหลายแห่งมองว่าควรคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก แทนที่จะมัวแต่คิดว่าศาสนาของพ่อหรือแม่เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษต่อลูก ให้เรามาดูบางตัวอย่างด้วยกัน
27, 28. เมื่อมีการกล่าวหาว่าการเลี้ยงดูลูกให้เป็นพยานพระยะโฮวาก่อผลเสียหายต่อเด็ก ศาลสูงสุดของรัฐโอไฮโอตอบอย่างไร?
27 สหรัฐ ในปี 1992 ศาลสูงสุดของรัฐโอไฮโอได้พิจารณาคดีหนึ่ง พ่อที่ไม่ได้เป็นพยานฯฟ้องต่อศาลว่าลูกชายที่ยังเล็กจะได้รับผลเสียหาย ถ้าเขาได้รับการเลี้ยงดูให้เป็นพยานพระยะโฮวา ศาลชั้นต้นเห็นด้วยและตัดสินให้พ่อเป็นฝ่ายดูแลลูก และให้เจนนิเฟอร์ เพเตอร์แม่ที่เป็นพยานฯมีสิทธิ์เยี่ยมลูกได้ แต่ศาลกำชับว่าห้าม “สอนหรือพูดเรื่องความเชื่อทางศาสนาของพยานพระยะโฮวากับลูกไม่ว่าจะแบบใด” คำสั่งนี้กว้างมากจนอาจตีความได้ว่าพี่น้องเจนนิเฟอร์ไม่อาจพูดกับบ็อบบีลูกชายของเธอได้ แม้แต่เรื่องคัมภีร์ไบเบิลหรือมาตรฐานทางศีลธรรม! คุณนึกภาพออกไหมว่าเจนนิเฟอร์จะรู้สึกอย่างไร? เธอ แทบหัวใจสลาย แต่เธอบอกว่าเธอได้ฝึกความอดทนและรอคอยความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา เจนนิเฟอร์เล่าว่า “พระยะโฮวาอยู่พร้อมที่จะช่วยฉันเสมอ” ทนายความส่วนตัวของเธอซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากองค์การของพระยะโฮวาก็ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุดของรัฐโอไฮโอ
28 ศาลนี้ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลชั้นต้น โดยกล่าวว่า “พ่อแม่มีสิทธิขั้นพื้นฐานที่จะให้การศึกษากับลูก รวมทั้งมีสิทธิ์ที่จะอบรมสั่งสอนเรื่องค่านิยมทางศีลธรรมและศาสนา” ศาลกล่าวว่า เว้นแต่จะมีหลักฐานที่พิสูจน์ให้เห็นว่าค่านิยมทางศาสนาที่พยานพระยะโฮวาสอนเป็นอันตรายต่อสวัสดิภาพด้านร่างกายและจิตใจของเด็ก ศาลไม่มีอำนาจที่จะจำกัดสิทธิของพ่อหรือแม่ในการเลี้ยงดูลูกเพียงเพราะเรื่องศาสนา ศาลไม่พบหลักฐานใด ๆ ที่พิสูจน์ว่าความเชื่อทางศาสนาของพยานฯก่อผลเสียหายต่อร่างกายและจิตใจของเด็ก
29-31. ทำไมพี่น้องหญิงในเดนมาร์กเสียสิทธิในการเลี้ยงดูลูก แต่ศาลสูงสุดของเดนมาร์กตัดสินเรื่องนี้อย่างไร?
29 เดนมาร์ก แอนนิตา ฮันเซนก็มีปัญหาคล้าย ๆ กัน สามีเก่าของเธอได้ยื่นฟ้องศาลเพื่อขอสิทธิในการเลี้ยงดูลูกสาววัย 7 ขวบชื่ออะมันดา แม้ว่าศาลแขวงได้ให้สิทธิ์นั้นแก่พี่น้องฮันเซนในปี 2000 แต่พ่อของอะมันดาก็อุทธรณ์ถึงศาลสูงซึ่งกลับคำตัดสินของศาลแขวง และตัดสินให้พ่อได้สิทธิในการเลี้ยงดูลูก ศาลสูงให้เหตุผลว่า เพราะพ่อแม่ต่างก็มีความคิดเห็นของตัวเองในเรื่องการใช้ชีวิตตามความเชื่อทางศาสนา พ่อจึงน่าจะเป็นคนที่จัดการกับข้อขัดแย้งได้ ดีกว่า นี่หมายความว่าศาลตัดสินให้พี่น้องฮันเซนเสียสิทธิในการเลี้ยงดูลูกเพียงเพราะเธอเป็นพยานพระยะโฮวา!
30 ตลอดช่วงที่ยุ่งยากนี้ บางครั้งพี่น้องฮันเซนก็รู้สึกท้อแท้จนไม่รู้ว่าจะอธิษฐานขออะไร แต่เธอเล่าว่า “ข้อคิดที่ได้จากโรม 8:26 และ 27 ช่วยปลอบใจฉันได้มาก ฉันรู้สึกว่าพระยะโฮวารู้ว่าฉันอยากจะพูดอะไร พระองค์เฝ้ามองมาที่ฉัน และพระองค์อยู่เคียงข้างฉันเสมอ”—อ่านบทเพลงสรรเสริญ 32:8; ยะซายา 41:10
31 พี่น้องฮันเซนยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุดของเดนมาร์ก ศาลมีคำตัดสินว่า “การประเมินว่าอะไรเป็นผลประโยชน์สูงสุดสำหรับเด็ก ควรเป็นหลักเกณฑ์ในการตัดสินว่าฝ่ายใดจะมีสิทธิในการเลี้ยงดูลูก” ศาลยังกล่าวต่อไปว่า การตัดสินให้ใครเป็นผู้เลี้ยงดูลูก ควรพิจารณาจากวิธีที่พ่อและแม่จัดการกับข้อขัดแย้ง ไม่ใช่พิจารณา “หลักคำสอนหรือจุดยืน” ของพยานพระยะโฮวา พี่น้องฮันเซนรู้สึกโล่งอกเมื่อศาลเห็นว่าเธอเหมาะที่จะเป็นผู้ดูแลอะมันดาและคืนสิทธิ์นั้นให้เธอ
32. ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปปกป้องพ่อแม่ที่เป็นพยานฯจากการเลือกปฏิบัติอย่างไร?
32 หลายประเทศในยุโรป บางครั้งมีการสู้คดีเรื่องสิทธิในการเลี้ยงดูลูกไปจนถึงศาลสูงสุดของประเทศ ส่วนบางคดีก็ไปถึงศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปด้วย ในคดีเหล่านั้น มีสองคดีที่ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปยอมรับว่าศาลชั้นต้นหลายแห่งภายในประเทศปฏิบัติต่อพ่อแม่ฝ่ายที่เป็นพยานฯกับฝ่ายที่ไม่ได้เป็นพยานฯแบบสองมาตรฐานเพียงเพราะเรื่องศาสนา และเรียกการกระทำแบบนั้นว่า “การเลือกปฏิบัติ” ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปตัดสินว่า การเลือกปฏิบัติโดย “อาศัยความแตกต่างทางศาสนาเป็นพื้นฐานเพียงอย่างเดียวถือว่าไม่อาจยอมรับได้” พยานฯคนหนึ่งที่เป็นแม่ซึ่งได้รับประโยชน์จากการตัดสินของศาลนี้ เล่าด้วยความรู้สึกโล่งอกว่า “ฉันเจ็บปวดมากที่ถูกกล่าวหาว่าทำร้ายลูก ๆ ทั้ง ๆ ที่ฉันพยายามทำอย่างดีที่สุดเพื่อเลี้ยงลูกให้เป็นคริสเตียน เพราะฉันคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา”
33. พ่อแม่ที่เป็นพยานฯจะนำหลักการในฟิลิปปอย 4:5 ไปใช้อย่างไร?
33 พ่อแม่ที่เป็นพยานฯซึ่งต้องต่อสู้ทางกฎหมายเพื่อจะได้สิทธิในการปลูกฝังมาตรฐานต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลไว้ในหัวใจของลูก ก็ต้องแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นคนมีเหตุผลด้วย (อ่านฟิลิปปอย 4:5) เมื่อฝ่ายที่เป็นพยานฯรู้สึกขอบคุณที่ได้รับสิทธิในการเลี้ยงดูลูกตามแนวทางของพระเจ้า เขาก็น่าจะยอมให้อีกฝ่ายได้มีส่วนทำหน้าที่ของตนด้วย ถ้าฝ่ายนั้นอยากทำ แล้วพ่อหรือแม่ที่เป็นพยานฯควรถือว่าหน้าที่อบรมสั่งสอนลูกเป็นเรื่องจริงจังแค่ไหน?
34. ทุกวันนี้ พ่อแม่ที่เป็นคริสเตียนได้รับประโยชน์อย่างไรจากตัวอย่างของชาวยิวในสมัยนะเฮมยาห์?
34 ตัวอย่างหนึ่งจากสมัยของนะเฮมยาห์ให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์มาก ชาวยิวต้องทำงานหนักตอนที่ซ่อมแซมและสร้างกำแพงเมืองเยรูซาเลมขึ้นใหม่ พวกเขารู้ว่าการทำอย่างนี้จะช่วยปกป้องตัวเขาและคนในครอบครัวให้พ้นจากศัตรูที่อยู่รอบข้าง ด้วยเหตุนี้นะเฮมยาห์จึงเตือนพวกเขาว่า “จงสู้รบป้องกัน ญาติพี่น้อง บุตรชาย บุตรหญิง ภรรยา และบ้านเรือนของตน” (นเฮม. 4:14) ชาวยิวมองว่าการสู้รบนั้นคุ้มค่ากับความพยายามจริง ๆ ทุกวันนี้ก็เหมือนกัน พ่อแม่ที่เป็นพยานฯต้องทำงานหนักเพื่อเลี้ยงลูกให้ใช้ชีวิตตามมาตรฐานของพระเจ้า พวกเขารู้ว่าลูก ๆ ต้องเจอกับอิทธิพลที่ไม่ดีรอบด้านเมื่อไปโรงเรียนหรือแม้แต่อยู่ในละแวกบ้าน อิทธิพลเหล่านั้นอาจถึงกับแทรกซึมเข้ามาในบ้านโดยทางสื่อต่าง ๆ พ่อแม่โปรดอย่าลืมว่า ความพยายามทุกอย่างที่คุณทุ่มเทเพื่อให้ลูก ๆ ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยซึ่งจะช่วยให้พวกเขามีสัมพันธภาพที่ดีกับพระเจ้า นับว่าคุ้มค่าจริง ๆ
มั่นใจว่าพระยะโฮวาจะสนับสนุนการนมัสการแท้
35, 36. พยานพระยะโฮวาได้รับประโยชน์อย่างไรจากการต่อสู้เพื่อสิทธิตามกฎหมาย และคุณตั้งใจจะทำอะไร?
35 แน่นอนว่า พระยะโฮวาอวยพรความพยายามขององค์การในทุกวันนี้ที่ต่อสู้เพื่อจะได้สิทธิเสรีภาพในการนมัสการ การสู้เพื่อสิทธิตามกฎหมายมักทำให้ประชาชนของพระเจ้ามีโอกาสพูดและให้เหตุผลเกี่ยวกับความเชื่อของเราทั้งต่อหน้าศาลและต่อหน้าสาธารณชน (โรม 1:8) ผลประโยชน์อีกอย่างหนึ่งจากชัยชนะในศาลคือ แม้แต่คนที่ไม่ได้เป็นพยานฯก็ได้รับสิทธิของพลเมืองอย่างเท่าเทียมกัน แต่พวกเราที่เป็นประชาชนของพระเจ้าไม่ใช่นักปฏิรูปสังคม และไม่ใช่พวกที่ห่วงแต่จะพิสูจน์ว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก เหตุผลสำคัญที่สุดที่พยานพระยะโฮวาต่อสู้คดีในศาลก็เพื่อจะได้สิทธิตามกฎหมาย ซึ่งเป็นความพยายามที่จะทำให้การนมัสการแท้ก้าวหน้าไปและมีกฎหมายรองรับ—อ่านฟิลิปปอย 1:7
36 ขอเราอย่ามองข้ามบทเรียนเรื่องความเชื่อที่เราได้รับจากคนเหล่านั้นที่สู้เพื่อเสรีภาพในการนมัสการพระยะโฮวา! ให้เรารักษาความซื่อสัตย์ไว้เสมอ และมั่นใจว่าพระยะโฮวาจะสนับสนุนงานของเรา รวมทั้งช่วยให้เรามีกำลังเรี่ยวแรงต่อ ๆ ไปเพื่อจะทำสิ่งที่พระองค์ต้องการให้เราทำ—ยซา. 54:17