บท 16
ประชุมร่วมกันเพื่อนมัสการพระเจ้า
1. ตอนที่สาวกมารวมตัวกัน พวกเขาได้รับอะไร และทำไมสิ่งนี้จำเป็นสำหรับพวกเขา?
ไม่นานหลังจากพระเยซูได้รับการปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตาย สาวกของท่านมารวมตัวเพื่อให้กำลังใจกัน พวกเขาปิดประตูลงกลอนเพราะกลัวพวกศัตรู แต่พวกเขาคงหายกลัวเมื่อพระเยซูปรากฏตัวขึ้นและพูดกับพวกเขาว่า “รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด”! (อ่านโยฮัน 20:19-22) จากนั้น สาวกก็มารวมตัวกันอีก และพระยะโฮวาได้เทพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงเหนือพวกเขา ซึ่งช่วยให้พวกเขามีกำลังมากพอที่จะทำงานประกาศที่รออยู่ข้างหน้า!—กิจ. 2:1-7
2. (ก) ทำไมเราต้องการกำลังจากพระยะโฮวา และพระองค์ให้กำลังเราโดยวิธีใด? (ข) ทำไมการนมัสการประจำครอบครัวจึงสำคัญมาก? (ดูเชิงอรรถและกรอบ “ การนมัสการประจำครอบครัว”)
2 พวกเราก็เจอปัญหาแบบเดียวกับพี่น้องในศตวรรษแรก (1 เป. 5:9) บางครั้ง เราก็กลัวคนอื่นและเราต้องการกำลังจากพระยะโฮวาเพื่อจะอดทนและทำงานประกาศต่อไปได้ (เอเฟ. 6:10) ส่วนใหญ่แล้ว พระยะโฮวาให้กำลังเราโดยทางการประชุมต่าง ๆ ทุกวันนี้เรามีโอกาสเข้าร่วมการประชุมที่สอนเราสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ครั้งหนึ่งคือ การประชุมสาธารณะและการศึกษาหอสังเกตการณ์ ส่วนอีกครั้งหนึ่งเป็นการประชุมกลางสัปดาห์ที่เรียกว่าการประชุมชีวิตและงานรับใช้ของคริสเตียน a เรายังมีการประชุมประจำปีอีก 4 ครั้ง คือ การประชุมภูมิภาค การประชุมหมวด 2 ครั้ง และการประชุมอนุสรณ์เพื่อระลึกถึงการเสียชีวิตของพระคริสต์ ทำไมการเข้าร่วมประชุมทุกรายการจึงสำคัญมากสำหรับเรา? การประชุมในทุกวันนี้มีความเป็นมาอย่างไร? และความรู้สึกที่เรามีต่อการประชุมเปิดเผยอะไรเกี่ยวกับตัวเรา?
ทำไมเราประชุมกัน?
3, 4. พระยะโฮวาต้องการให้ประชาชนของพระองค์ทำอะไร? ขอให้อธิบาย
3 นานมาแล้วที่พระยะโฮวาต้องการให้ประชาชนของพระองค์มาประชุมกันเพื่อนมัสการพระองค์ ตัวอย่างเช่น ในปี 1513 ก่อน ค.ศ. พระยะโฮวาให้กฎหมายแก่ชาติอิสราเอล และกฎหมายนั้นรวมถึงคำสั่งที่ให้ถือวันซะบาโตประจำสัปดาห์ เพื่อทุกครอบครัวจะได้นมัสการพระองค์และเรียนรู้ข้อกฎหมายของพระองค์ด้วย (บัญ. 5:12; 6:4-9) เมื่อชาวอิสราเอลทำตามคำสั่งนี้ ครอบครัวของพวกเขาก็มั่นคง ทั้งชาติก็สะอาดในสายตาของพระเจ้าและมีความเชื่อ ที่เข้มแข็ง แต่เมื่อพวกเขาไม่ทำตามกฎหมายของพระเจ้า เช่น ละเลยคำสั่งที่ให้ประชุมร่วมกันเป็นประจำเพื่อนมัสการพระยะโฮวา พวกเขาก็ไม่ได้เป็นที่รักของพระเจ้าอีกต่อไป—เลวี. 10:11; 26:31-35; 2 โคร. 36:20, 21
4 ลองนึกถึงตัวอย่างของพระเยซูด้วย ท่านมักจะไปที่ธรรมศาลาทุกวันซะบาโต (ลูกา 4:16) หลังจากพระเยซูได้รับการปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตาย สาวกของท่านก็ยังประชุมร่วมกันเป็นประจำ แม้ว่าตอนนั้นพวกเขาไม่ได้ถือกฎหมายเรื่องวันซะบาโตอีกต่อไปแล้ว (กิจ. 1:6, 12-14; 2:1-4; โรม 14:5; โกโล. 2:13, 14) คริสเตียนในศตวรรษแรกไม่เพียงได้รับการสอนและการหนุนใจจากการประชุม แต่พวกเขายังได้สรรเสริญพระเจ้าเมื่ออธิษฐาน ออกความคิดเห็น และร้องเพลง—โกโล. 3:16; ฮีบรู 13:15
สาวกของพระเยซูมารวมตัวกันเพื่อเสริมกำลังและให้กำลังใจกัน
5. ทำไมเราเข้าร่วมประชุมทุกสัปดาห์และเข้าร่วมการประชุมใหญ่ทุกปี? (ดูกรอบ “ การประชุมประจำปีที่รวมประชาชนของพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียว”)
5 คล้ายกันกับพวกเขา เมื่อเข้าร่วมประชุมทุกสัปดาห์และเข้าร่วมการประชุมใหญ่ทุกปี เราแสดงให้เห็นว่าเราสนับสนุนราชอาณาจักรของพระเจ้า เราได้รับกำลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และคนอื่นก็ได้รับกำลังใจเมื่อเห็นว่าเรามีความเชื่อ สำคัญยิ่งกว่านั้น เรามีโอกาสนมัสการพระยะโฮวาเมื่ออธิษฐาน ออกความคิดเห็น และร้องเพลง แม้การประชุมที่เราจัดขึ้นอาจมีรูปแบบต่างจากการประชุมของคริสเตียนในศตวรรษแรก แต่ก็มีความสำคัญเท่ากัน ให้เรามาดูว่าการประชุมของเราในทุกวันนี้มีความเป็นมาอย่างไร
การประชุมประจำสัปดาห์ที่ทำให้ “เกิดความรักและการดี”
6, 7. (ก) จุดมุ่งหมายของการประชุมคืออะไร? (ข) การประชุมของนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลแต่ละกลุ่มแตกต่างกันอย่างไร?
6 เมื่อพี่น้องชาลส์ เทซ รัสเซลล์เริ่มค้นหาความจริงจากคัมภีร์ไบเบิล เขาเห็นว่าการพบปะกับคนที่มีเป้าหมายเดียวกันเป็นสิ่งที่จำเป็น ในปี ค.ศ. 1879 รัสเซลล์เขียนว่า “ผมกับเพื่อน ๆ ในเมืองพิตส์เบิร์กได้ตั้งกลุ่มเพื่อศึกษาค้นคว้าพระคัมภีร์ ซึ่งประชุมกันทุกวันอาทิตย์” ผู้อ่านหอสังเกตการณ์ ก็ได้รับการสนับสนุนให้มาพบปะกันด้วย พอถึงปี 1881 พี่น้องเหล่านั้นก็เริ่มจัดการประชุมทุกวันอาทิตย์และวันพุธที่เมืองพิตส์เบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย หอสังเกตการณ์ พฤศจิกายน 1895 บอกว่า จุดมุ่งหมายของการประชุมก็คือ เพื่อปลูกฝัง “มิตรภาพ ความรัก และความสามัคคีระหว่างพี่น้องคริสเตียน” และเพื่อทุกคนที่มาร่วมประชุมจะได้มีโอกาสหนุนใจกัน—อ่านฮีบรู 10:24, 25
7 ตลอดหลายปีนั้น การประชุมยังไม่มีรูปแบบที่แน่นอน นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลแต่ละกลุ่มจึงกำหนดเองว่าจะประชุมอย่างไรและบ่อยแค่ไหน อย่างเช่น จดหมายจากนักศึกษากลุ่มหนึ่งในสหรัฐที่พิมพ์ในปี 1911 บอกว่า “เราจัดการประชุมอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 ครั้ง” พวกเขาประชุมกันวันจันทร์ วันพุธ วันศุกร์ และ 2 รอบในวันอาทิตย์ จดหมายจากนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอีกกลุ่มหนึ่งในแอฟริกาที่พิมพ์ในปี 1914 บอกว่า “เราประชุมวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เดือนละ 2 ครั้ง” ในที่สุด แต่ละกลุ่มก็เริ่มมีการประชุมที่คล้ายกับเราในทุกวันนี้ ให้เรามาดูคร่าว ๆ เกี่ยวกับความเป็นมาของการประชุมแต่ละรายการ
8. ในสมัยที่เพิ่งเริ่มจัดการประชุม คำบรรยายสาธารณะมีเรื่องอะไรบ้าง?
8 การประชุมสาธารณะ ในปี 1880 หนึ่งปีหลังจากที่พี่น้องรัสเซลล์เริ่มพิมพ์วารสารหอสังเกตการณ์ เขาทำตามตัวอย่างที่พระเยซูวางไว้โดยออกเดินทางเพื่อไปประกาศตามที่ต่าง ๆ (ลูกา 4:43) ระหว่างการเดินทาง พี่น้องรัสเซลล์วางรูปแบบของการประชุมอย่างหนึ่งไว้ ซึ่งตอนนี้เราเรียกว่าการประชุมสาธารณะ หอสังเกตการณ์ ได้ประกาศเรื่องการเดินทางรอบนั้นและบอกว่า รัสเซลล์ “ยินดีอธิบายเรื่องประชุมสาธารณะให้พี่น้องฟังในคำบรรยายเรื่อง ‘สิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับราชอาณาจักรของพระเจ้า’” ในปี 1911 หลังจากได้ตั้งชั้นเรียนหรือประชาคมต่าง ๆ ขึ้นในหลายประเทศ มีการสนับสนุนให้แต่ละประชาคมส่งผู้บรรยายไปในเขตรอบ ๆ นั้นเพื่อจัดคำบรรยายชุด 6 เรื่อง เช่น เรื่องการพิพากษาและค่าไถ่ เมื่อบรรยายแต่ละเรื่องจบก็จะประกาศชื่อผู้บรรยายและหัวเรื่องที่จะบรรยายในสัปดาห์ถัดไป
9. ตลอดหลายปีมานี้ การประชุมสาธารณะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง และคุณจะสนับสนุนการประชุมนี้อย่างไร?
9 ในปี 1945 หอสังเกตการณ์ ได้ประกาศเรื่องการประชุมสาธารณะชุดพิเศษที่จะเริ่มจัดขึ้นตามที่ต่าง ๆ ทั่วโลก โดยมีคำบรรยายชุดเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลรวม 8 เรื่องที่พูดถึง “ปัญหาเร่งด่วนของยุคนี้” เป็นเวลาหลายสิบปีที่ผู้บรรยายที่ได้รับมอบหมายบรรยายโดยใช้หัวเรื่องต่าง ๆ ที่มาจากทาสสัตย์ซื่อ รวมทั้งเรื่องที่เขาเขียนขึ้นเอง แต่ในปี 1981 มีคำแนะนำให้ผู้บรรยายทุกคนใช้โครงเรื่องคำบรรยายที่ส่งให้กับประชาคม b จนกระทั่งปี 1990 โครงเรื่องคำบรรยายสาธารณะบางเรื่องก็กำหนดให้ผู้ฟังมีส่วนร่วมหรือสาธิต แต่ในปีนั้นก็มีการปรับคำแนะนำใหม่โดยให้เหลือแต่คำบรรยายล้วน ๆ จากนั้น เดือน มกราคม 2008 ก็ปรับเปลี่ยนอีกครั้ง โดยลดเวลาจาก 45 นาทีเหลือ 30 นาที ถึงแม้ว่ารูปแบบจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่คำบรรยายสาธารณะที่เตรียมอย่างดีก็ยังเสริมสร้างความเชื่อในคัมภีร์ไบเบิลและให้ความรู้หลายอย่างเกี่ยวกับราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ต่อไป (1 ติโม. 4:13, 16) คุณกระตือรือร้นอยากชวนคนที่คุณกลับเยี่ยมและคนที่ไม่ได้เป็นพยานฯให้มาฟังคำบรรยายเรื่องสำคัญ ๆ จากคัมภีร์ไบเบิลไหม?
10-12. (ก) มีการเปลี่ยนรูปแบบการศึกษาหอสังเกตการณ์ อย่างไรบ้าง? (ข) มีคำถามอะไรที่เราน่าจะถามตัวเอง?
10 การศึกษาหอสังเกตการณ์ สมาคมว็อชเทาเวอร์ได้ส่งผู้รับใช้ที่เรียกกันว่าพิลกริม (ผู้ดูแลเดินทาง) ไปบรรยายตามประชาคมต่าง ๆ และนำหน้าในงานประกาศ ในปี 1922 พวกเขาเสนอให้จัดการประชุมหนึ่งเป็นประจำเพื่อศึกษาหอสังเกตการณ์ สมาคมฯเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ และในช่วงแรกการศึกษาหอสังเกตการณ์ ได้จัดขึ้นกลางสัปดาห์หรือไม่ก็วันอาทิตย์
11 หอสังเกตการณ์ 15 มิถุนายน 1932 แนะนำเพิ่มเติมว่าควรจัดการประชุมนี้แบบเดียวกับที่ทำในครอบครัวเบเธล คือให้พี่น้องชายคนหนึ่งเป็นผู้นำการประชุม และให้พี่น้องชายอีก 3 คนมานั่งข้างหน้าแล้วผลัดกันอ่านคนละวรรค เนื่องจากบทความต่าง ๆ ในสมัยนั้นไม่ได้พิมพ์คำถามไว้ ผู้นำจึงเชิญให้ผู้ฟังตั้งคำถามเกี่ยวกับบทความที่กำลังเรียนอยู่ แล้วขอให้ผู้ฟังคนอื่น ๆ ช่วยกันตอบคำถามนั้น ถ้ามีจุดไหนที่ต้องอธิบายเพิ่มเติม ผู้นำก็ควรอธิบายแบบ “สั้น ๆ และตรงจุด”
การศึกษาหอสังเกตการณ์ ในกานา ปี 1931
12 ในตอนแรก แต่ละประชาคมได้รับอนุญาตให้เลือกเองว่าจะศึกษาวารสารฉบับไหน ซึ่งก็มักจะเป็นฉบับที่พี่น้องส่วนใหญ่อยากศึกษา แต่หอสังเกตการณ์ 15 เมษายน 1933 แนะนำให้ทุกประชาคมศึกษาวารสารฉบับล่าสุด เสมอ ในปี 1937 มีคำแนะนำให้ศึกษาหอสังเกตการณ์ ในวันอาทิตย์ และหอสังเกตการณ์ 1 ตุลาคม 1942 ก็มีคำแนะนำให้ปรับวิธีศึกษาอีกครั้ง ซึ่งเป็นแบบที่เราใช้มาจนถึงทุกวันนี้ เช่น ผู้นำควรใช้คำถามที่อยู่ท้ายหน้าแต่ละหน้าของบทความศึกษา การประชุมก็ไม่ควรเกิน 1 ชั่วโมง และผู้ฟังควรตอบคำถาม “เป็นคำพูดของตัวเอง” แทนที่จะอ่านจากวรรคนั้น ๆ การศึกษาหอสังเกตการณ์ เป็นการประชุมสำคัญที่ทาสสัตย์ซื่อได้จัดเตรียมความรู้จากพระเจ้าซึ่งเป็นเหมือนอาหารที่เหมาะกับเวลาให้เรามาโดยตลอด (มัด. 24:45) เราแต่ละคนน่าจะถามตัวเองว่า ‘ฉันเตรียมการศึกษาหอสังเกตการณ์ แต่ละสัปดาห์ไหม? ฉันพยายามออกความเห็นเท่าที่จะทำได้ไหม?’
13, 14. การศึกษาพระคัมภีร์ประจำประชาคมมีความเป็นมาอย่างไร และคุณจะมีส่วนร่วมได้อย่างไร?
13 การศึกษาพระคัมภีร์ประจำประชาคม กลางทศวรรษ 1890 มีการออกหนังสือหลายเล่มในชุดรุ่งอรุณแห่งรัชสมัยพันปี (ภาษาอังกฤษ) พี่น้อง เอช. เอ็น. ราห์น นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งที่อยู่ในเมืองบัลติมอร์ รัฐแมรีแลนด์ สหรัฐอเมริกา ได้เสนอให้จัด “กลุ่มรุ่งอรุณ” เพื่อศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ตอนแรก กลุ่มเหล่านี้ลองจัดการประชุมที่บ้านของพี่น้องก่อน แต่พอถึงเดือนกันยายน 1895 กลุ่มรุ่งอรุณตามเมืองต่าง ๆ ในสหรัฐก็มีผู้เข้าร่วมการประชุมมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หอสังเกตการณ์ ในเดือนนั้นจึงแนะให้นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลทุกคนที่เรียนความจริงจัดการประชุมแบบนี้ด้วย วารสารฉบับนั้นยังแนะนำว่า ผู้นำการประชุมควรเป็นคนที่อ่านคล่อง เมื่ออ่านแต่ละประโยคจบแล้วควรรอให้ผู้เข้าร่วมประชุมออกความเห็น เมื่อจบแต่ละวรรคให้อ่านข้อคัมภีร์ที่อ้างถึงในวรรคด้วย เมื่อพิจารณาจบทั้งบทแล้ว ควรให้ผู้เข้าร่วมประชุมแต่ละคนสรุปสั้น ๆ เกี่ยวกับเนื้อหาที่ได้เรียนด้วยกัน
14 มีการเปลี่ยนชื่อการประชุมนี้หลายครั้ง ชื่อหนึ่งที่รู้จักกันดีคือกลุ่มเบอเรียนเพื่อการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งทำให้นึกถึงชาวเบโรยาในศตวรรษแรกที่ขยันค้นคว้าและตรวจสอบพระคัมภีร์ (กิจ. 17:11) ต่อมาได้เปลี่ยนชื่ออีกเป็น การศึกษาหนังสือประจำประชาคม ปัจจุบันเรียกว่าการศึกษาพระคัมภีร์ประจำประชาคม และพี่น้องทั้งหมดก็ไปประชุมร่วมกันที่หอประชุมแทนที่จะพบกันเป็นกลุ่ม ๆ ตามบ้าน ตลอดหลายสิบปี มีการศึกษาหนังสือหลายเล่ม จุลสาร และแม้แต่บทความในหอสังเกตการณ์ ด้วย ตั้งแต่สมัยแรก ๆ ทุกคนที่เข้าร่วมประชุมได้รับการสนับสนุนให้ออกความคิดเห็น การประชุมเหล่านี้ช่วยเราให้มีความรู้เกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลลึกซึ้งยิ่งขึ้น คุณเตรียมส่วนการประชุมและออกความคิดเห็นอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ไหม?
15. จุดมุ่งหมายของโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้าคืออะไร?
15 โรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า พี่น้องแครีย์ บาร์เบอร์ซึ่งเคยทำงานรับใช้ในสำนักงานใหญ่ที่บรุกลิน นิวยอร์ก เล่าว่า “ในคืนวัน จันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 1942 สมาชิกครอบครัวเบเธลทุกคนในบรุกลินได้รับเชิญให้สมัครเป็นนักเรียนในโรงเรียนหนึ่ง ซึ่งตอนหลังเรียกว่าโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า” พี่น้องบาร์เบอร์ซึ่งต่อมาได้เป็นสมาชิกคณะกรรมการปกครอง พูดถึงโรงเรียนนี้ว่า “นี่เป็นสิ่งที่โดดเด่นที่สุดอย่างหนึ่งที่พระยะโฮวาเตรียมให้กับประชาชนของพระองค์ในปัจจุบัน” หลักสูตรของโรงเรียนนี้เยี่ยมจริง ๆ เพราะสามารถช่วยพี่น้องให้สอนและประกาศได้ดีขึ้น ดังนั้น ในปี 1943 องค์การจึงค่อย ๆ เริ่มส่งจุลสารหลักสูตรการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า (ภาษาอังกฤษ) ให้แก่ประชาคมต่าง ๆ ทั่วโลก หอสังเกตการณ์ 1 มิถุนายน 1943 บอกว่า โรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้ามีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยประชาชนของพระเจ้าให้ “ฝึกฝนตนเองเพื่อจะประกาศข่าวสารเรื่องราชอาณาจักรได้ดียิ่งขึ้น”—2 ติโม. 2:15
16, 17. โรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า สอนให้มีศิลปะในการพูดเท่านั้นไหม? ขอให้อธิบาย
16 ตอนแรก หลายคนรู้สึกเครียดมากที่ต้องยืนพูดต่อหน้าผู้ฟังกลุ่มใหญ่ พี่น้องเคลย์ตัน วูดเวิร์ท จูเนียร์ ซึ่งพ่อของเขาเคยถูกจำคุกอย่างไม่เป็นธรรมพร้อมกับพี่น้องรัทเทอร์ฟอร์ดและอีกหลายคนในปี 1918 เล่าถึงความรู้สึกตอนที่เป็นนักเรียนในโรงเรียนนี้ครั้งแรกในปี 1943 ว่า “การบรรยายเป็นเรื่องยากมากสำหรับผม ผมคอแห้งผาก ลิ้นพันกัน แถมเสียงก็เพี้ยนอีกต่างหาก” แต่เมื่อบรรยายเก่งขึ้น เคลย์ตันก็ได้รับมอบหมายให้บรรยายสาธารณะอีกหลายครั้ง โรงเรียนนี้ไม่ได้สอนแค่ศิลปะในการพูดเท่านั้น แต่ยังสอนให้เป็นคนถ่อมตัวด้วย และที่สำคัญคือสอนให้ไว้วางใจพระยะโฮวา เขาพูดว่า “สุดท้ายผมก็เข้าใจว่าสิ่งที่สำคัญไม่ใช่ตัวผู้บรรยาย แต่ถ้าเขาเตรียมตัวมาดี และวางใจในพระยะโฮวาเต็มที่ เขาก็จะดึงดูดใจผู้ฟังได้ แล้วผู้ฟังก็จะได้เรียนรู้อะไร ๆ หลายอย่าง”
17 ในปี 1959 พี่น้องหญิงได้รับเชิญให้สมัครในโรงเรียนนี้ด้วย พี่น้องเอ็ดนา เบาเออร์ เล่าถึงตอนที่เธอได้ยินคำประกาศนี้ที่การประชุมใหญ่ว่า “ฉันยังจำได้ว่าพวกพี่น้องหญิงดีใจกันใหญ่ ตอนนี้เป็นโอกาสของพวกเธอแล้ว” หลายปีที่ผ่านมา พี่น้องชายหญิงสมัครเป็นนักเรียนในโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า พวกเขาให้พระยะโฮวาสอนพวกเขา ในทุกวันนี้ พวกเราก็ยังได้รับการสอนแบบนั้นทางการประชุมกลางสัปดาห์—อ่านยะซายา 54:13 c
18, 19. (ก) เราได้รับการชี้นำที่ใช้ได้จริงอย่างไรในงานรับใช้? (ข) ทำไมการประชุมของเรามีการร้องเพลงด้วย? (ดูกรอบ “ การร้องเพลงแห่งความจริง”)
18 การประชุมการรับใช้ เริ่มมีการประชุมเพื่อการประกาศตั้งแต่ปี 1919 ตอนนั้นผู้เข้าร่วมประชุมคือคนที่จะออกไปแจกจ่ายหนังสือเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งประชาคม ในปี 1923 เกือบทั้งปีนั้น การประชุมการรับใช้มีเพียงเดือนละครั้ง และทุกคนในประชาคมก็ควรเข้าร่วม แต่พอถึงปี 1928 ประชาคมต่าง ๆ ได้รับการสนับสนุนให้จัดการประชุมนี้สัปดาห์ละครั้ง และในปี 1935 หอสังเกตการณ์ ได้สนับสนุนให้ทุกประชาคมจัดการประชุมนี้โดยใช้เนื้อหาที่ลงในผู้อำนวยการ (ต่อมาเรียกว่า ใบแจ้งข่าว, พระราชกิจของเรา และหลังจากนั้นเรียกว่า งานรับใช้พระเจ้า ) ไม่นานทุกประชาคมก็จัดการประชุมนี้
19 ในทุกวันนี้เราได้รับการชี้นำที่ใช้ได้จริงในงานรับใช้ผ่านทางการประชุมกลางสัปดาห์ (มัด. 10:5-13) ถ้าคุณได้รับคู่มือประชุม คุณอ่านและเอาคำแนะนำเหล่านั้นไปใช้ในงานประกาศไหม?
การประชุมที่สำคัญที่สุดในรอบปี
ตั้งแต่สมัยศตวรรษแรก คริสเตียนจะมาประชุมกันทุกปีเพื่อระลึกถึงการเสียชีวิตของพระเยซูคริสต์ (ดูวรรค 20)
20-22. (ก) ทำไมเราจัดการประชุมเพื่อระลึกถึงการเสียชีวิตของพระเยซู? (ข) คุณได้ประโยชน์อะไรจากการเข้าร่วมการประชุมอนุสรณ์ทุกปี?
20 พระเยซูบอกสาวกให้ระลึกถึงการเสียชีวิตของท่านจนกว่าท่านจะมาปกครองแผ่นดินโลก การประชุมอนุสรณ์เพื่อระลึกถึงการเสียชีวิตของพระคริสต์ก็จัดปีละครั้งเหมือนกับการฉลองปัศคา (1 โค. 11:23-26) มีหลายล้านคนเข้าร่วมการประชุมนี้ทุกปี การประชุมอนุสรณ์ช่วยเตือนใจผู้ถูกเจิมให้นึกถึงเกียรติที่พวกเขาได้รับ คือเป็นผู้รับมรดกร่วมกับพระเยซูในราชอาณาจักร (โรม 8:17) การประชุมนี้ช่วยแกะอื่นให้มีความนับถือและความภักดีต่อกษัตริย์ของราชอาณาจักรพระเจ้า—โย. 10:16
21 พี่น้องรัสเซลล์และเพื่อน ๆ รู้ว่าการฉลองอาหารมื้อเย็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเรื่องสำคัญ และควรจัดปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น หอสังเกตการณ์ เมษายน 1880 กล่าวว่า “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเราหลายคนในเมืองพิตส์เบิร์ก . . . ได้จัดการประชุมเพื่อระลึกถึงปัศคา [การประชุมอนุสรณ์] และได้กินสิ่งที่ใช้เป็นเครื่องหมายแทนร่างกายและเลือดขององค์พระผู้เป็นเจ้า” จากนั้นไม่นานก็มีการจัดการประชุมใหญ่พร้อมกับการประชุมอนุสรณ์ ครั้งแรกที่มีการจดบันทึกจำนวนผู้เข้าร่วมการประชุมแบบนี้ก็คือปี 1889 ตอนนั้นมีผู้เข้าร่วม 225 คนและมี 22 คนรับบัพติสมา
22 ทุกวันนี้ เราไม่ได้จัดการประชุมอนุสรณ์พร้อมกับการประชุมใหญ่แล้ว แต่เราก็เชิญทุกคนที่อยู่ในเขตหรือในชุมชนให้มาร่วมการประชุมอนุสรณ์กับเราได้ที่หอประชุม หรือในห้องประชุมที่เช่าเพื่อจัดงานนี้ ในปี 2013 มีมากกว่า 19 ล้านคนร่วมการประชุมเพื่อระลึกถึงการเสียชีวิตของพระเยซู เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมการประชุมอนุสรณ์และเชิญคนอื่น ๆ ให้มาประชุมกับเราในคืนที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดด้วย! คุณกระตือรือร้นที่จะชวนคนอื่น ๆ มาร่วมการประชุมนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ไหม?
ความรู้สึกที่เรามีต่อการประชุมเปิดเผยอะไร?
23. คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับการไปประชุมร่วมกัน?
23 ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระยะโฮวาไม่ได้คิดว่าคำสั่งที่ให้ไปประชุมร่วมกันเป็นภาระ (ฮีบรู 10:24, 25; 1 โย. 5:3) อย่างเช่น กษัตริย์ดาวิดมีความสุขที่ได้ไปยังสถานนมัสการพระยะโฮวา (เพลง. 27:4) เขายังมีความสุขมากเป็นพิเศษที่ได้นมัสการร่วมกับคนที่รักพระเจ้าเหมือนกับเขา (เพลง. 35:18) และขอให้คิดถึงตัวอย่างของพระเยซูด้วย แม้แต่ตอนเป็นเด็ก ท่านก็อยากจะอยู่ในสถานนมัสการพระเจ้าผู้เป็นพ่อของท่าน—ลูกา 2:41-49
ยิ่งเราอยากไปประชุมมากเท่าไร ก็แสดงว่าราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นจริงสำหรับเรามากเท่านั้น
24. การไปประชุมเป็นโอกาสที่ดีอย่างไร?
24 เมื่อเราไปประชุม นั่นแสดงว่าเรารักพระยะโฮวาและอยากหนุนใจเพื่อนร่วมความเชื่อ และยังแสดงให้เห็นว่าเราอยากเรียนรู้วิธีที่จะเป็นประชาชนที่ดีของราชอาณาจักร เพราะการประชุมต่าง ๆ รวมถึงการประชุมใหญ่เป็นวิธีสำคัญที่เราจะได้รับการฝึกสอนอย่างนั้น การประชุมยังช่วยให้เรามีทักษะและมีกำลังพอที่จะทำงานสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของราชอาณาจักรในทุกวันนี้ได้ต่อ ๆ ไป ซึ่งก็คืองานสอนและช่วยคนให้มาเป็นสาวกของกษัตริย์เยซูคริสต์ (อ่านมัดธาย 28:19, 20) แน่นอนว่า ยิ่งเราอยากไปประชุมมากเท่าไร ก็แสดงว่าราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นจริงสำหรับเรามากเท่านั้น ขอให้เรามองว่าการประชุมร่วมกันมีค่ามากเสมอ!
a นอกจากจะมีการประชุมในประชาคมเป็นประจำทุกสัปดาห์แล้ว ยังมีการสนับสนุนให้ทุกคนจัดเวลาไว้ต่างหากเพื่อนมัสการประจำครอบครัวหรือศึกษาส่วนตัวด้วย
b พอถึงปี 2013 โครงเรื่องคำบรรยายสาธารณะที่เตรียมไว้สำหรับผู้บรรยายก็มีมากกว่า 180 เรื่อง
c ยะซายา 54:13 ฉบับคิงเจมส์ อ่านว่า “บุตรทั้งสิ้นของเจ้านั้นจะเรียนรู้จากพระเยโฮวาห์ และบุตรของเจ้าจะมีความปลอดภัยอย่างยิ่ง”