บท 14
“นี่คือกฎของวิหาร”
จุดสำคัญ บทเรียนที่เอาไปใช้ได้จริงจากนิมิตเรื่องวิหารทั้งในสมัยของเอเสเคียลและในสมัยของเราในทุกวันนี้
1, 2. (ก) ในบท 13 เราได้เรียนอะไรเกี่ยวกับนิมิตของเอเสเคียลเรื่องวิหาร? (ข) ในบทนี้เราจะพิจารณาคำถาม 2 ข้ออะไร?
วิหารที่เอเสเคียลเห็นไม่ใช่วิหารโดยนัยที่ยิ่งใหญ่ซึ่งเปาโลพูดถึงในอีกหลายร้อยปีต่อมา เราเรียนเรื่องนี้ไปแล้วในบท 13 นิมิตนี้ช่วยให้ประชาชนของพระเจ้าเห็นความสำคัญของมาตรฐานที่พระยะโฮวากำหนดเกี่ยวกับการนมัสการบริสุทธิ์ ประชาชนต้องทำตามมาตรฐานเหล่านั้นจึงจะกลับมามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระยะโฮวาได้ นี่สำคัญจริง ๆ เพราะพระยะโฮวาเน้นเรื่องนี้ถึง 2 ครั้งในข้อคัมภีร์ข้อเดียว พระองค์พูดว่า “นี่คือกฎของวิหาร”—อ่านเอเสเคียล 43:12
2 ตอนนี้มีคำถาม 2 ข้อที่เราต้องหาคำตอบ ข้อแรก ชาวยิวในสมัยเอเสเคียลอาจได้เรียนอะไรจากนิมิตเรื่องวิหาร ซึ่งเป็นบทเรียนเกี่ยวกับมาตรฐานของพระยะโฮวาเรื่องการนมัสการบริสุทธิ์? คำตอบของคำถามนี้จะทำให้เกิดคำถามข้อสองคือ นิมิตเรื่องวิหารเกี่ยวข้องอย่างไรกับพวกเราในสมัยสุดท้ายที่ยากลำบากนี้?
นิมิตนี้ให้บทเรียนอะไรในสมัยโบราณ?
3. นิมิตที่เห็นวิหารตั้งอยู่บนภูเขาสูงอาจทำให้ประชาชนรู้สึกอับอายอย่างไร?
3 เพื่อจะได้คำตอบ ให้เรามองไปที่ลักษณะพิเศษบางอย่างซึ่งพูดถึงในนิมิตเรื่องวิหาร ภูเขาสูง ชาวยิวที่เป็นเชลยคงเชื่อมโยงนิมิตของเอเสเคียลกับคำพยากรณ์เกี่ยวกับการฟื้นฟูที่น่าอบอุ่นใจของอิสยาห์ (อสย. 2:2) แต่การมองเห็นวิหารของพระยะโฮวาอยู่บนภูเขาสูงให้บทเรียนอะไรกับพวกเขา? เรื่องนี้สอนพวกเขาว่าการนมัสการที่บริสุทธิ์ควรได้รับการยกย่องให้สูงเด่นเหนือสิ่งอื่น ๆ ทั้งหมด ที่จริงการนมัสการบริสุทธิ์ก็สูงส่งอยู่แล้ว เพราะพระเจ้าผู้ “ได้รับการยกย่องเหนือพระอื่นทั้งหมด” เป็นผู้จัดเตรียมการนมัสการนี้ (สด. 97:9) แต่ประชาชนไม่ได้ทำสิ่งที่ต้องทำ หลายร้อยปีมาแล้วที่พวกเขาปล่อยให้การนมัสการที่บริสุทธิ์ตกต่ำ ถูกละทิ้ง และแปดเปื้อน ภาพวิหารของพระเจ้าที่ได้รับการยกย่องเชิดชูให้อยู่ในตำแหน่งที่มีเกียรติและยิ่งใหญ่คงทำให้คนที่มีหัวใจดีรู้สึกอับอายแน่ ๆ
4, 5. คนที่ฟังเอเสเคียลอาจได้บทเรียนอะไรจากเรื่องซุ้มประตูที่สูงใหญ่ของวิหาร?
4 ซุ้มประตูที่สูงใหญ่ ช่วงต้นของนิมิต เอเสเคียลเห็นทูตสวรรค์ที่พาเขาชมวิหารกำลังวัดซุ้มประตูอยู่ ซุ้มประตูเหล่านั้นสูงถึง 30 เมตร! (อสค. 40:14) มีห้องยามที่ซุ้มประตูเหล่านั้นด้วย คนที่ศึกษาแบบแปลนนี้น่าจะได้บทเรียนอะไร? พระยะโฮวาบอกเอเสเคียลว่า “เจ้าต้องสังเกตทางเข้าออกทั้งหมดของวิหารให้ดี” ทำไมต้องสังเกต? เพราะมีประชาชนพาคนที่ “ไม่ได้เข้าสุหนัตที่หัวใจและร่างกาย” เข้าไปในวิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ผลเป็นอย่างไร? พระยะโฮวาบอกว่า “พวกเขาทำให้วิหารของเราแปดเปื้อน”—อสค. 44:5, 7
5 คนที่ “ไม่ได้เข้าสุหนัตที่ . . . ร่างกาย” ไม่ได้ทำตามคำสั่งชัดเจนที่พระเจ้าบอกไว้ตั้งแต่สมัยอับราฮัม (ปฐก. 17:9, 10; ลนต. 12:1-3) แต่คนที่ “ไม่ได้เข้าสุหนัตที่หัวใจ” เลวร้ายยิ่งกว่า พวกเขาขัดขืนดื้อด้านต่อคำสั่งและการชี้นำของพระยะโฮวา คนแบบนั้นไม่ควรได้รับอนุญาตให้เข้าวิหารของพระยะโฮวา! พระยะโฮวาเกลียดการเสแสร้ง แต่ประชาชนของพระองค์กลับปล่อยให้มีการเสแสร้งมากมายในวิหารของพระองค์ ซุ้มประตูและห้องยามของวิหารในนิมิตให้บทเรียนที่ชัดเจนว่าจะไม่มีการทำชั่วแบบนั้นอีกต่อไป! คนที่เข้าไปในวิหารของพระยะโฮวาต้องทำตามมาตรฐานที่สูงส่งของพระองค์ การนมัสการของพวกเขาจึงจะได้รับการอวยพร
6, 7. (ก) พระยะโฮวาใช้กำแพงที่อยู่ไกลจากตัววิหารเพื่อบอกอะไรกับประชาชน? (ข) ประชาชนเคยทำอะไรกับวิหารของพระยะโฮวา? (ดูเชิงอรรถ)
6 แนวกำแพง กำแพงที่ล้อมรอบพื้นที่ทั้งหมดของวิหารก็โดดเด่นมาก เอเสเคียลบอกว่ากำแพงแต่ละด้านยาว 500 ไม้วัด เท่ากับ 1,555 เมตร หรือ 1.6 กิโลเมตร! (อสค. 42:15-20) แต่ตัวอาคารของวิหารและลานวิหารเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสซึ่งแต่ละด้านยาว 500 ศอก หรือ 259 เมตรเท่านั้น แสดงว่า ระหว่างตัววิหารกับแนวกำแพงมีพื้นที่กว้างใหญ่มาก * ทำไมต้องมีพื้นที่กว้างขนาดนี้?
7 พระยะโฮวาบอกว่า “ให้พวกเขาเลิกทำตัวไม่ซื่อสัตย์และเอาซากศพกษัตริย์ของพวกเขาไปให้ห่างจากเรา แล้วเราจะอยู่กับพวกเขาตลอดไป” (อสค. 43:9) คำว่า “ซากศพกษัตริย์ของพวกเขา” อาจหมายถึงรูปเคารพต่าง ๆ ดังนั้น พระยะโฮวาให้วิหารในนิมิตของเอเสเคียลมีแนวกำแพงอยู่ไกลมากเพื่อบอกประชาชนให้ “เอาความสกปรกโสมมไปไกล ๆ อย่าให้มันมาอยู่ใกล้เรา” ถ้าประชาชนทำให้การนมัสการของพวกเขาบริสุทธิ์อยู่เสมอ พระองค์ก็จะอยู่กับพวกเขาและพวกเขาจะได้รับพร
8, 9. ประชาชนอาจได้เรียนอะไรจากการที่พระยะโฮวาให้คำแนะนำอย่างตรงไปตรงมากับผู้ชายที่มีหน้าที่รับผิดชอบ?
8 คำแนะนำที่ตรงไปตรงมาสำหรับผู้ชายที่มีหน้าที่รับผิดชอบ พระยะโฮวาให้คำแนะนำที่ตรงไปตรงมาด้วยความรักกับพวกผู้ชายที่มีหน้าที่รับผิดชอบสำคัญในการดูแลประชาชน พระองค์ว่ากล่าวแก้ไขคนเลวีอย่างแรงเพราะพวกเขาทิ้งพระองค์ไปตอนที่ประชาชนหันไปไหว้รูปเคารพ แต่พระองค์ชมเชยลูกหลานของศาโดก พระองค์บอกว่าพวกเขา “ดูแลงานต่าง ๆ ในวิหารของเราตอนที่ชาวอิสราเอลทิ้งเราไป” พระองค์ยุติธรรมและเมตตาต่อคนทุกกลุ่ม ขึ้นอยู่กับการกระทำของพวกเขา (อสค. 44:10, 12-16) เราเห็นได้ว่า พวกหัวหน้าของอิสราเอลก็ถูกว่ากล่าวแก้ไขอย่างแรงเช่นกัน—อสค. 45:9
9 พระยะโฮวาบอกตรง ๆ ว่าผู้ชายที่มีตำแหน่งสูงและมีอำนาจในการดูแลเรื่องต่าง ๆ ต้องตอบพระองค์ให้ได้ว่าเขาทำหน้าที่รับผิดชอบอย่างดีหรือไม่ พวกเขาจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำ การว่ากล่าวแก้ไข และการสั่งสอนเหมือนกัน ยิ่งกว่านั้น พวกเขาต้องนำหน้าในการทำตามมาตรฐานของพระยะโฮวาด้วย!
10, 11. มีหลักฐานอะไรที่ทำให้รู้ว่าเชลยที่กลับบ้านเกิดได้ใช้บทเรียนจากนิมิตของเอเสเคียล?
10 เชลยที่ได้กลับบ้านเกิดนำบทเรียนจากนิมิตของเอเสเคียลไปใช้ไหม? เราไม่รู้ว่าคนที่ซื่อสัตย์ในสมัยนั้นคิดอย่างไรจริง ๆ กับนิมิตที่โดดเด่นนี้ อย่างไรก็ตาม คัมภีร์ไบเบิลบอกเราหลายอย่างเกี่ยวกับเชลยที่ได้กลับบ้านเกิด ทั้งสิ่งที่พวกเขาทำและความคิดที่พวกเขามีต่อการนมัสการที่บริสุทธิ์ของพระยะโฮวา แล้วพวกเขานำหลักการที่ได้จากนิมิตนี้ไปใช้ไหม? พวกเขาคงเอาไปใช้มากพอสมควรถ้าเทียบกับบรรพบุรุษของพวกเขาที่กบฏต่อพระเจ้าก่อนที่จะเป็นเชลยในบาบิโลน
11 คนที่ซื่อสัตย์เช่น ผู้พยากรณ์ฮักกัยและเศคาริยาห์ เอสราซึ่งเป็นปุโรหิตและผู้คัดลอก และผู้ว่าราชการเนหะมีย์ พยายามมากเพื่อสอนประชาชนให้รู้หลักการแบบที่บอกไว้ในนิมิตของเอเสเคียลเรื่องวิหาร (อสร. 5:1, 2) พวกเขาสอนประชาชนว่าต้องยกย่องการนมัสการบริสุทธิ์และให้ความสำคัญมาก กว่าเรื่องวัตถุหรือความต้องการของตัวเอง (ฮกก. 1:3, 4) พวกเขาย้ำว่าถ้าใครอยากนมัสการบริสุทธิ์ก็ต้องนับถือและทำตามมาตรฐานสูงของพระเจ้า ตัวอย่างเช่น เอสรากับเนหะมีย์ให้คำแนะนำที่หนักแน่นว่าผู้ชายต้องแยกทางกับภรรยาที่เป็นคนต่างชาติเพราะคนเหล่านั้นทำให้ความเชื่อของพวกเขาอ่อนลง (อ่านเอสรา 10:10, 11; นหม. 13:23-27, 30) แล้วพวกเขาเลิกไหว้รูปเคารพไหม? เมื่อพ้นจากการเป็นเชลยแล้ว ดูเหมือนว่าในที่สุดชาติอิสราเอลก็เกลียดการไหว้รูปเคารพ ซึ่งในอดีตพวกเขาพลาดทำบาปในเรื่องนี้อยู่บ่อย ๆ แล้วพวกปุโรหิต พวกหัวหน้า หรือพวกเจ้านายล่ะ? นิมิตของเอเสเคียลบอกว่าพวกเขาก็อยู่ในกลุ่มที่ได้รับคำแนะนำและการว่ากล่าวแก้ไขจากพระยะโฮวา (นหม. 13:22, 28) หลายคนถ่อมตัวทำตามคำแนะนำเหล่านั้น—อสร. 10:7-9, 12-14; นหม. 9:1-3, 38
เนหะมีย์สอนประชาชนเกี่ยวกับการนมัสการที่บริสุทธิ์ตอนที่ทำงานร่วมกับพวกเขา (ดูข้อ 11)
12. พระยะโฮวาอวยพรเชลยที่ได้กลับบ้านเกิดอย่างไรบ้าง?
12 พระยะโฮวาอวยพรพวกเขาเป็นการตอบแทน ชาติอิสราเอลกลับมามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระยะโฮวา มีความสุขความยินดี และอยู่กันอย่างมีระเบียบเรียบร้อย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว (อสร. 6:19-22; นหม. 8:9-12; 12:27-30, 43) ทำไมถึงเป็นแบบนี้? เพราะในที่สุดประชาชนก็กลับมานมัสการบริสุทธิ์ตามมาตรฐานที่ถูกต้องชอบธรรมของพระยะโฮวา บทเรียนจากเรื่องวิหารในนิมิตเข้าถึงหัวใจคนที่พร้อมจะตอบรับ เราสรุปได้ว่าพวกเชลยได้รับประโยชน์จากนิมิตเรื่องวิหารใน 2 ทางที่สำคัญคือ (1) พวกเขาได้รับบทเรียนที่ใช้ได้จริงเกี่ยวกับมาตรฐานของการนมัสการบริสุทธิ์และสิ่งที่พวกเขาควรทำเพื่อรักษามาตรฐานนั้น (2) พวกเขาสามารถมั่นใจว่าการนมัสการที่บริสุทธิ์จะได้รับการฟื้นฟู และตราบใดที่ประชาชนของพระยะโฮวานมัสการบริสุทธิ์ พระองค์ก็จะอวยพรพวกเขา อย่างไรก็ตามพวกเราในปัจจุบันก็อยากรู้ว่านิมิตนี้กำลังเกิดขึ้นจริงอยู่ไหม?
สิ่งที่เราเรียนจากนิมิตของเอเสเคียล
13, 14. (ก) เรารู้ได้อย่างไรว่านิมิตของเอเสเคียลเรื่องวิหารเกิดขึ้นจริงในสมัยของเรา? (ข) ประโยชน์สองอย่างที่เราได้จากนิมิตนี้คืออะไร? (ดูกรอบ 13ก “ต่างวิหาร ต่างบทเรียน”)
13 เราจะมั่นใจได้ไหมว่านิมิตของเอเสเคียลเรื่องวิหารให้บทเรียนกับเราในทุกวันนี้? ได้! ขอให้นึกถึงสิ่งที่คล้ายกันระหว่างวิหารที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าในนิมิตของเอเสเคียลที่อยู่บน “ภูเขาลูกหนึ่งที่สูงมาก” กับคำพยากรณ์ของอิสยาห์ที่บอกว่า “ภูเขาที่มีวิหารของพระยะโฮวาตั้งอยู่ จะตั้งมั่นคงและสูงกว่าภูเขาอื่น ๆ” อิสยาห์บอกชัดเจนว่าคำพยากรณ์ของเขาจะเกิดขึ้นจริง “ในสมัยสุดท้าย” (อสค. 40:2; อสย. 2:2-4; ดูมีคาห์ 4:1-4 ด้วย) คำพยากรณ์เหล่านี้เกิดขึ้นจริงในสมัยสุดท้ายที่การนมัสการที่บริสุทธิ์ถูกยกให้สูงขึ้นและได้รับการฟื้นฟูตั้งแต่ปี 1919 เหมือนกับถูกตั้งไว้บนภูเขาที่สูงมาก *
14 แน่นอนว่านิมิตของเอเสเคียลเกี่ยวข้องกับการนมัสการบริสุทธิ์ในทุกวันนี้ด้วย พวกเราในปัจจุบันได้รับประโยชน์จากนิมิตนี้ใน 2 ทางเหมือนกับเชลยชาวยิวสมัยโบราณ คือ (1) เราได้รู้ว่าเราต้องทำอะไรบ้างเพื่อรักษามาตรฐานของพระยะโฮวาเรื่องการนมัสการบริสุทธิ์ (2) เราสามารถมั่นใจได้ว่าการนมัสการที่บริสุทธิ์จะได้รับการฟื้นฟู และเราจะได้รับพรจากพระยะโฮวา
มาตรฐานของการนมัสการบริสุทธิ์ในทุกวันนี้
15. เราไม่ควรลืมอะไรตอนที่เรากำลังมองหาบทเรียนจากวิหารในนิมิตของเอเสเคียล?
15 เรามาดูลักษณะเด่นบางอย่างในนิมิตของเอเสเคียลกัน ลองนึกภาพว่าคุณได้ไปเยี่ยมชมวิหารในนิมิตที่น่าประทับใจพร้อมกับเอเสเคียล แต่อย่าลืมว่าวิหารนี้ไม่ใช่วิหารโดยนัยที่ยิ่งใหญ่ ให้เรามาดูกันว่ามีบทเรียนอะไรบ้างที่ใช้ได้กับการนมัสการของเราในทุกวันนี้?
16. การวัดทุกสิ่งในนิมิตของเอเสเคียลสอนอะไรเรา? (ดูภาพแรก)
16 ทำไมต้องวัดทุกสิ่ง? ตามที่เอเสเคียลเห็นทูตสวรรค์ที่ตัวเหมือนทองแดงกำลังวัดวิหารอย่างละเอียด ทั้งกำแพง ซุ้มประตู ห้องยาม ลานวิหาร และแท่นบูชา คนที่ได้อ่านคงจะรู้สึกทึ่งในรายละเอียดมากมาย (อสค. 40:1-42:20; 43:13, 14) สิ่งสำคัญที่เราได้เรียนจากรายละเอียดเหล่านั้นคือ พระยะโฮวาให้ความสำคัญกับมาตรฐานของพระองค์อย่างมาก พระองค์เป็นผู้กำหนดมาตรฐานไม่ใช่มนุษย์ ดังนั้น ถ้าใครคิดว่าจะนมัสการพระเจ้าอย่างไร ก็ได้เขาก็คิดผิดจริง ๆ ยิ่งกว่านั้น การวัดวิหารอย่างละเอียดเป็นการรับรองว่าการนมัสการที่บริสุทธิ์จะได้รับการฟื้นฟูแน่นอน การวัดอย่างแม่นยำช่วยให้มั่นใจว่าทุกสิ่งจะเกิดขึ้นตามที่พระเจ้าสัญญา ดังนั้น เอเสเคียลกำลังยืนยันว่าในสมัยสุดท้ายจะต้องมีการฟื้นฟูการนมัสการบริสุทธิ์!
คุณเรียนอะไรได้จากการวัดวิหารอย่างแม่นยำ? (ดูข้อ 16)
17. แนวกำแพงของวิหารเตือนใจเราอย่างไร?
17 แนวกำแพง ก่อนหน้านี้เอเสเคียลเห็นกำแพงล้อมรอบบริเวณทั้งหมดของวิหารในนิมิต เรื่องนี้เป็นคำเตือนที่จริงจังว่าประชาชนของพระเจ้าต้องเอาการนมัสการที่ไม่สะอาดออกไปให้ไกลจากการนมัสการที่บริสุทธิ์ และต้องไม่ทำให้วิหารของพระเจ้าแปดเปื้อน (อ่านเอเสเคียล 43:7-9) คำเตือนนี้เป็นประโยชน์กับพวกเราในปัจจุบันจริง ๆ! หลังจากที่ประชาชนของพระเจ้าพ้นจากการเป็นเชลยของบาบิโลนใหญ่ซึ่งยาวนานหลายร้อยปี พระคริสต์ก็ได้แต่งตั้งทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุมในปี 1919 ตั้งแต่นั้นมาประชาชนของพระเจ้าพยายามกำจัดคำสอนและพิธีกรรมของศาสนาเท็จที่เกี่ยวข้องกับการไหว้รูปเคารพออกไป พวกเราต้องคอยระวังไม่ให้การนมัสการที่ไม่สะอาดเข้ามาใกล้การนมัสการบริสุทธิ์ นอกจากนั้น เราจะไม่ทำธุรกิจหรือซื้อขายที่หอประชุม เราจะไม่เอาเรื่องเหล่านั้นมาปะปนการนมัสการของเรา—มก. 11:15, 16
18, 19. (ก) เราเรียนอะไรจากซุ้มประตูที่สูงใหญ่ของวิหารในนิมิต? (ข) เมื่อมีคนพยายามลดมาตรฐานสูงของพระยะโฮวา เราควรทำอย่างไร? ขอให้ยกตัวอย่าง
18 ซุ้มประตูที่สูงใหญ่ เราได้เรียนอะไรเมื่อคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับซุ้มประตูที่สูงใหญ่ที่เอเสเคียลเห็น? ซุ้มประตูนี้สอนให้เชลยชาวยิวได้รู้ว่าพระยะโฮวามีมาตรฐานทางศีลธรรมสูงมาก ถ้านั่นเป็นมาตรฐานสมัยโบราณ แล้วในสมัยของเราล่ะ? ตอนนี้เรากำลังนมัสการในวิหารโดยนัยที่ยิ่งใหญ่ของพระยะโฮวา ดังนั้น การประพฤติตัวอย่างถูกต้องโดยไม่เสแสร้งก็ยิ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก ในสมัยสุดท้าย พระยะโฮวาชี้นำประชาชนของพระองค์ต่อ ๆ ไปให้ยึดมั่นกับมาตรฐานทางศีลธรรมของพระองค์อย่างเคร่งครัด * เช่น พระองค์กำหนดว่าคนที่ทำผิดโดยไม่กลับใจจะถูกตัดออกจากประชาคม (รม. 12:9; 1 ปต. 1:14, 15) นอกจากนั้น ห้องยามตรงซุ้มประตูอาจเตือนเราในทุกวันนี้ว่า คนที่พระเจ้าไม่ยอมรับจะเข้ามาในอุทยานโดยนัยไม่ได้ ตัวอย่างเช่น คนที่ใช้ชีวิตแบบตีสองหน้าอาจมาที่หอประชุม แต่ถ้าเขาไม่ทำตามมาตรฐานของพระเจ้า พระองค์ก็ไม่ยอมรับเขา ซึ่งหมายความว่าเขาไม่ได้รับอนุญาตให้นมัสการในวิหารโดยนัยของพระเจ้า (ยก. 4:8) นี่เป็นการป้องกันที่ยอดเยี่ยมไม่ให้การนมัสการบริสุทธิ์ต้องตกต่ำในยุคสมัยที่ไร้ศีลธรรม!
19 คัมภีร์ไบเบิลบอกล่วงหน้าว่าโลกนี้จะเลวร้ายลงก่อนจะถึงจุดจบ เราได้รู้ว่า “คนชั่วและนักต้มตุ๋นจะยิ่งชั่วร้ายขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาจะหลอกลวงคนอื่นและตัวเขาเองก็จะถูกหลอกด้วย” (2 ทธ. 3:13) คนจำนวนมากในทุกวันนี้ถูกหลอกให้คิดว่ามาตรฐานสูงของพระยะโฮวาเข้มงวดเกินไป ล้าสมัย หรือเป็น มาตรฐานที่ผิด คุณจะถูกหลอกแบบนั้นไหม? ตัวอย่างเช่น ถ้าใครพยายามทำให้คุณคิดว่ามาตรฐานของพระเจ้าที่ห้ามการรักร่วมเพศเป็นมาตรฐานที่ไม่ถูกต้อง คุณจะเชื่อเขาไหม? หรือคุณจะเชื่อพระยะโฮวาพระเจ้า พระองค์บอกชัดเจนว่าการทำแบบนั้นเป็นการ “ทำสิ่งชั่วช้าลามกต่อกัน” พระเจ้าเตือนเราให้หลีกเลี่ยงการกระทำที่ผิดศีลธรรม (รม. 1:24-27, 32) เมื่อเราเจอปัญหาแบบนั้นให้เรานึกภาพวิหารในนิมิตของเอเสเคียลที่มีซุ้มประตูที่สูงใหญ่ และจำไว้ว่าถึงจะถูกโลกชั่วนี้กดดัน พระยะโฮวาก็จะไม่ลดมาตรฐานที่ถูกต้องชอบธรรมของพระองค์ เราจะเชื่อพ่อในสวรรค์และยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้องไหม?
เราถวาย “คำสรรเสริญพระเจ้า” เมื่อเราเข้าร่วมการนมัสการบริสุทธิ์
20. กลุ่ม “ชนฝูงใหญ่” ได้รับกำลังใจอย่างไรเมื่อเรียนเรื่องนิมิตของเอเสเคียล?
20 ลานวิหาร เมื่อเอเสเคียลเห็นลานวิหารด้านนอกที่กว้างใหญ่ เขาคงทึ่งเมื่อนึกภาพว่าลานที่กว้างใหญ่นี้จะจุคนที่มานมัสการพระยะโฮวาอย่างมีความสุขได้มากมายแค่ไหน ทุกวันนี้คริสเตียนนมัสการพระเจ้าในวิหารที่ยิ่งใหญ่กว่ามาก กลุ่ม “ชนฝูงใหญ่” ซึ่งนมัสการอยู่ที่ลานชั้นนอกของวิหารโดยนัยของพระยะโฮวา ได้รับกำลังใจหลายอย่างจากนิมิตของเอเสเคียล (วว. 7:9, 10, 14, 15) เอเสเคียลเห็นห้องอาหารอยู่รอบ ๆ ลานวิหาร คนที่มานมัสการจะได้กินเครื่องบูชาผูกมิตรที่พวกเขานำมาถวาย (อสค. 40:17) นี่หมายความว่าพวกเขาได้กินอาหารกับพระยะโฮวา แสดงถึงการมีความสัมพันธ์ที่ดี กับพระองค์! ทุกวันนี้ เราไม่ได้ถวายเครื่องบูชาตามกฎหมายของโมเสสแบบที่ชาวยิวทำ แต่เราถวาย “คำสรรเสริญพระเจ้า” เมื่อเราร่วมการนมัสการบริสุทธิ์ เช่น การออกความคิดเห็นและพูดเรื่องความเชื่อของเราในการประชุมหรือในการประกาศ (ฮบ. 13:15) พระยะโฮวาจัดเตรียมความรู้ต่าง ๆ ที่ทำให้ความเชื่อของเราเข้มแข็งด้วย เราคงรู้สึกแบบเดียวกับลูกหลานโคราห์ที่ร้องเพลงสรรเสริญพระยะโฮวาว่า “อยู่ในลานวิหารของพระองค์วันเดียวก็ดีกว่าอยู่ที่อื่นพันวัน”—สด. 84:10
21. คริสเตียนผู้ถูกเจิมอาจเรียนอะไรได้จากปุโรหิตในนิมิตของเอเสเคียล?
21 ปุโรหิต เอเสเคียลเห็นซุ้มประตูทางเข้าลานวิหารชั้นในสำหรับปุโรหิตและคนเลวี เป็นแบบเดียวกับซุ้มประตูทางเข้าลานวิหารชั้นนอกสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในตระกูลปุโรหิต นี่เตือนพวกปุโรหิตว่าพวกเขาก็ต้องทำตามมาตรฐานของพระยะโฮวาเรื่องการนมัสการที่บริสุทธิ์ด้วย แล้วสมัยนี้ล่ะ? ตอนนี้ไม่มีตระกูลปุโรหิตแล้ว แต่คัมภีร์ไบเบิลบอกคริสเตียนผู้ถูกเจิมว่า “พวกคุณเป็น ‘เชื้อชาติที่ถูกเลือก เป็นปุโรหิตและเป็นกษัตริย์’” (1 ปต. 2:9) ปุโรหิตในสมัยอิสราเอลโบราณนมัสการที่ลานวิหารที่ถูกแยกต่างหาก ทุกวันนี้คริสเตียนผู้เจิมไม่ได้แยกอยู่ต่างหากจากคนอื่น ๆ ที่นมัสการพระเจ้า แต่พวกเขามีความสุขกับความสัมพันธ์พิเศษกับพระยะโฮวาในฐานะลูกของพระองค์ (กท. 4:4-6) ในขณะเดียวกัน ผู้ถูกเจิมก็ได้รับคำเตือนที่เป็นประโยชน์จากนิมิตของเอเสเคียล เช่น คำเตือนที่ว่าปุโรหิตก็ต้องทำตามคำแนะนำและต้องเชื่อฟังคำเตือนด้วย คริสเตียนทุกคนควรจำไว้ว่าเราทุกคนรวมกันเป็น “ฝูงเดียว” ซึ่งมี “คนเลี้ยงคนเดียว”—อ่านยอห์น 10:16
22, 23. (ก) คริสเตียนผู้ดูแลในทุกวันนี้ได้เรียนอะไรจากหัวหน้าในนิมิตของเอเสเคียล? (ข) มีสิ่งดีอะไรรอเราอยู่ในอนาคต?
22 หัวหน้า ในนิมิตของเอเสเคียล หัวหน้าเป็นคนที่สำคัญมาก เขาไม่ได้มาจากตระกูลปุโรหิต และเมื่ออยู่ที่วิหารเขาจะทำตามการชี้นำของปุโรหิต อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเขาทำหน้าที่ผู้ดูแลและคอยช่วยประชาชนในการถวายเครื่องบูชา (อสค. 44:2, 3; 45:16, 17; 46:2) ดังนั้น เขาเป็นตัวอย่างให้กับผู้ชายคริสเตียนในทุกวันนี้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในประชาคม นอกจากนั้น คริสเตียนผู้ดูแลรวมทั้งผู้ดูแลเดินทางก็ต้องยอมอยู่ใต้อำนาจของทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุม (ฮบ. 13:17) ผู้ดูแลทำงานหนักเพื่อช่วยประชาชนของพระเจ้าในการถวายเครื่องบูชาเป็นคำสรรเสริญทั้งในการประชุมและการประกาศ (อฟ. 4:11, 12) และผู้ดูแลต้องจำไว้ว่าพระยะโฮวาเคยตำหนิพวกหัวหน้าของอิสราเอลที่ใช้อำนาจอย่างผิด ๆ (อสค. 45:9) ผู้ดูแลไม่คิดว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องได้รับคำแนะนำและการว่ากล่าวแก้ไข แต่เขาถือว่าการสั่งสอนจากพระยะโฮวาเป็นสิ่งมีค่าเพื่อเขาจะเป็นผู้ดูแลและผู้บำรุงเลี้ยงที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น—อ่าน 1 เปโตร 5:1-3
23 ในโลกที่เป็นสวนอุทยานที่กำลังจะมาถึง พระยะโฮวาจะให้มีผู้ดูแลที่มีความสามารถและมีความรักต่อ ๆ ไป พระองค์กำลังฝึกอบรมผู้ดูแลหลายคนในทุกวันนี้ให้รู้วิธีดูแลฝูงแกะอย่างดีในอนาคต (สด. 45:16) น่าดีใจจริง ๆ ที่ในโลกใหม่พระยะโฮวาจะอวยพรเราโดยให้มีผู้ชายเหล่านี้คอยดูแล เมื่อถึงเวลาที่พระยะโฮวากำหนดไว้ เราจะเข้าใจนิมิตของเอเสเคียลและคำพยากรณ์เกี่ยวกับการฟื้นฟูชัดเจนขึ้นอีก ถึงแม้ตอนนี้เราจะนึกภาพไม่ค่อยออก แต่ในอนาคตเราคงได้เห็นคำพยากรณ์ที่น่าตื่นเต้นเกิดขึ้นจริง เราจะรอให้ถึงวันนั้น
ซุ้มประตูที่สูงใหญ่และลานวิหารสอนอะไรเกี่ยวกับการนมัสการของเรา? (ดูข้อ 18-21)
พระยะโฮวาอวยพรการนมัสการที่บริสุทธิ์
24, 25. นิมิตของเอเสเคียลทำให้เห็นอย่างไรว่าพระยะโฮวาจะอวยพรประชาชนถ้าพวกเขายึดมั่นกับการนมัสการที่บริสุทธิ์?
24 ตอนท้ายนี้ ให้เรานึกถึงเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ในนิมิตของเอเสเคียล พระยะโฮวาเข้าไปในวิหารและสัญญาว่าพระองค์จะอยู่ที่นั่นตราบใดที่ประชาชนยังนมัสการบริสุทธิ์ตามมาตรฐานของพระองค์ (อสค. 43:4-9) ประชาชนและแผ่นดินของพวกเขาจะเป็นอย่างไรเมื่อพระยะโฮวาอยู่ด้วย?
25 นิมิตนี้มีภาพที่เป็นการพยากรณ์ 2 ภาพเกี่ยวกับการอวยพรจากพระเจ้าซึ่งน่าอบอุ่นใจคือ (1) แม่น้ำไหลออกมาจากที่ศักดิ์สิทธิ์ของวิหาร ช่วยฟื้นคืนชีวิตและทำให้แผ่นดินอุดมสมบูรณ์ และ (2) แผ่นดินถูกแบ่งอย่างเป็นระเบียบ เที่ยงตรง โดยมีวิหารกับพื้นที่รอบ ๆ ตัววิหารเป็นจุดศูนย์กลาง เราควรเข้าใจ 2 เรื่องนี้อย่างไร? ที่จริง ตอนนี้เราอยู่ในช่วงเวลาที่พระยะโฮวาเข้าไปในวิหารแล้ว และพระองค์ได้ถลุงการนมัสการแท้ให้บริสุทธิ์สะอาดจนเป็นวิหารโดยนัยที่ยิ่งใหญ่ซึ่งพระองค์ยอมรับ (มลค. 3:1-4) เราจะพิจารณาคำพยากรณ์ 2 เรื่องนี้ในบท 19 ถึง 21 ของหนังสือนี้
^ พระยะโฮวากำลังให้เราเห็นภาพที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ประชาชนเคยทำกับวิหารที่ศักดิ์สิทธิ์ พระองค์บอกว่า “พวกเขาสร้างธรณีประตูของตัวเองไว้ข้างธรณีประตูของเรา และทำกรอบประตูของตัวเองไว้ข้างกรอบประตูของเรา มีแต่กำแพงเท่านั้นที่กั้นระหว่างเรากับพวกเขา พวกเขาทำให้ชื่อที่บริสุทธิ์ของเรามัวหมองเพราะการกระทำที่น่าเกลียด” (อสค. 43:8) ในกรุงเยรูซาเล็มโบราณมีเพียงกำแพงเท่านั้นที่กั้นระหว่างวิหารกับบ้านเรือนของประชาชน เมื่อประชาชนทิ้งมาตรฐานที่ถูกต้องชอบธรรมของพระยะโฮวา โดยเอาสิ่งที่ไม่สะอาดและการไหว้รูปเคารพมาใกล้วิหาร พระองค์จึงยอมไม่ได้!
^ นิมิตของเอเสเคียลเรื่องวิหารยังเกี่ยวข้องกับคำพยากรณ์เรื่องการฟื้นฟูอีกหลายเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในสมัยสุดท้าย ตัวอย่างเช่น ขอสังเกตสิ่งที่คล้ายกันระหว่างเอเสเคียล 43:1-9 กับมาลาคี 3:1-5 และ เอเสเคียล 47:1-12 กับโยเอล 3:18
^ วิหารโดยนัยตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 29 ตอนที่พระเยซูรับบัพติศมาและเริ่มงานในฐานะมหาปุโรหิต อย่างไรก็ตาม หลังจากพวกอัครสาวกของพระเยซูเสียชีวิต การนมัสการแท้ตกต่ำเป็นเวลาเกือบสองพันปีจนกระทั่งถูกยกให้สูงขึ้นอีกครั้งในปี 1919