ชีวิตที่น่าพอใจ ถึงแม้ปวดร้าว
เรื่องราวชีวิตจริง
ชีวิตที่น่าพอใจ ถึงแม้ปวดร้าว
เล่าโดยออเดรย์ ไฮด์
เมื่อหวนคิดถึงการรับใช้เต็มเวลากว่า 63 ปี—59 ปีที่สำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวา—พูดได้ทีเดียวว่าฉันมีชีวิตที่น่าพอใจ. ตามจริงแล้ว การเฝ้าดูสามีคนแรกตายอย่างช้า ๆ ด้วยโรคมะเร็ง และสามีคนที่สองก็ทนรับผลกระทบอันร้ายกาจของโรคอัลไซเมอร์นั้นน่าหดหู่. แต่ขอเล่าให้คุณฟังว่าฉันคงความยินดีได้อย่างไรทั้ง ๆ ที่มีความทุกข์ลำบาก.
ฉันเติบโตในฟาร์มบนทุ่งหญ้าที่ราบโล่งใกล้แฮกซ์ทันเมืองเล็ก ๆ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐโคโลราโด ใกล้กับเขตแดนรัฐเนแบรสกา. ฉันเป็นลูกคนที่ห้าในจำนวนหกคนของโอรีลและนีนา ม็อค. พี่ชายคือรัสเซลล์, เวย์น, พี่สาวคือคลาราและอาร์ดิส ซึ่งเกิดในช่วงระหว่างปี 1913 ถึงปี 1920 และฉันเกิดในปีถัดมา. เคอร์ติส น้องชายเกิดปี 1925.
ปี 1913 แม่ได้เข้ามาเป็นนักศึกษาพระคัมภีร์ ชื่อเรียกพยานพระยะโฮวาสมัยนั้น. ต่อมา ทุกคนในครอบครัวของเราก็มาเป็นพยานพระยะโฮวาเช่นเดียวกัน.
วิถีชีวิตในทุ่งกว้างก่อประโยชน์
พ่อเป็นคนหัวสมัยใหม่. สิ่งปลูกสร้างทุกหลังในฟาร์มของเรามีดวงไฟให้ความสว่าง ซึ่งสมัยนั้นไม่ค่อยมีใช้กัน. นอกจากนั้น เราได้ผลผลิตจากฟาร์ม เช่น ได้ไข่จากแม่ไก่ของเราเอง, และน้ำนม, หัวน้ำนม, เนยสดจากแม่โคที่เราเลี้ยงเอง. เราเอาคันไถเทียมม้าลากพลิกฟื้นดินและปลูกสตรอเบอร์รีและมันฝรั่ง อีกทั้งข้าวสาลีและข้าวโพด.
พ่อเชื่อว่าลูก ๆ ทุกคนควรรู้จักทำงานให้เป็น. ฉันได้รับการฝึกให้ทำงานในไร่นาก่อนเข้าโรงเรียนด้วยซ้ำ. ฉันจำวันแดดจ้าในฤดูร้อนได้ ฉันใช้จอบถางหญ้าเป็นแนวยาวในสวน
ของเรา. ‘เราจะทำไปจนสุดแนวไหมหนอ?’ ฉันสงสัย. เหงื่อเปียกชุ่มทั้งตัวแถมโดนผึ้งต่อย. บางครั้งฉันสงสารตัวเอง เพราะเด็กคนอื่น ๆ ไม่ต้องทำงานหนักเหมือนพวกเรา. แต่จริง ๆ แล้ว เมื่อนึกย้อนไปสมัยฉันเป็นเด็ก ฉันรู้สึกขอบคุณที่เราได้รับการฝึกให้ทำงาน.พวกเราถูกมอบหมายให้ทำงาน. อาร์ดิสรีดนมเก่งกว่าฉัน ฉะนั้น ฉันมีหน้าที่ชำระล้างคอกม้า ตักมูลสัตว์ออกไปทิ้ง. กระนั้น เราก็มีเวลาสนุกสนานและได้เล่นกีฬาด้วย. ฉันกับอาร์ดิสเล่นซอฟต์บอลในทีมประจำท้องถิ่น. ฉันเป็นคนประจำเบสที่ 3 ส่วนอาร์ดิสประจำเบสที่ 1.
ท้องฟ้าโปร่งเหนือทุ่งหญ้ายามราตรีนั้นสวยเหลือเกิน. ดาวนับหมื่นนับแสนดวงเตือนใจฉันให้รำลึกถึงพระยะโฮวาพระเจ้า พระผู้สร้างของฉัน. แม้เป็นเด็ก ฉันจะนึกถึงบทเพลงสรรเสริญ 147:4 ที่อ่านว่า “พระองค์ [ยะโฮวา] ทรงนับดวงดาว; และทรงตั้งชื่อให้ดวงดาวทั้งปวง.” ตอนกลางคืนยามฟ้าโปร่ง หลายครั้งจัดจ์ สุนัขของเราอยู่เป็นเพื่อน มันนอนเอาหัวพาดตักฉัน. ตอนบ่าย ๆ ฉันมักจะนั่งเล่นที่ระเบียงและเพลิดเพลินกับการมองทุ่งข้าวสาลีเขียวชอุ่มสะบัดเป็นคลื่นพลิ้วไปตามลม สะท้อนแสงราวกับสีเงินกลางแดดจ้า.
แม่วางตัวอย่างที่ดี
แม่เป็นภรรยาที่รักและเชื่อฟังสามี. ส่วนพ่อวางตัวเป็นหัวหน้าครอบครัวเสมอ และแม่สอนพวกเราให้เคารพพ่อ. ปี 1939 พ่อได้มาเป็นพยานพระยะโฮวาเช่นกัน. พวกเรารู้ว่าพ่อรักเรา แม้ท่านให้พวกเราทำงานหนักและไม่พะเน้าพะนอ. บ่อยครั้งในฤดูหนาว พ่อผูกม้าสองตัวเทียมเลื่อนให้พวกเรานั่งและลากไปบนพื้นหิมะ. พวกเราสนุกเพลิดเพลินสักเพียงไรที่ได้เห็นประกายแสงจากหิมะ!
อย่างไรก็ตาม แม่เป็นผู้ที่ได้อบรมสั่งสอนพวกเราให้รักพระเจ้าและนับถือคัมภีร์ไบเบิล. พวกเราได้เรียนรู้ว่าพระนามพระเจ้าคือยะโฮวาและเรียนรู้ว่าพระองค์เป็นบ่อเกิดของชีวิต. (บทเพลงสรรเสริญ 36:9; 83:18) นอกจากนั้น ยังได้เรียนรู้ว่าพระองค์ทรงวางแนวทางชี้นำที่ไม่ได้ทำให้เราขาดความยินดี แต่เป็นคุณประโยชน์แก่เรา. (ยะซายา 48:17) แม่ย้ำเตือนพวกเราเสมอถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเรามีงานพิเศษต้องทำ. เราได้เรียนรู้ว่าพระเยซูตรัสสั่งเหล่าสาวกดังนี้: “ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรนี้จะได้รับการประกาศทั่วทั้งแผ่นดินโลกที่มีคนอาศัยอยู่ เพื่อให้คำพยานแก่ทุกชาติ; และครั้นแล้วอวสานจะมาถึง.”—มัดธาย 24:14, ล.ม.
สมัยฉันเป็นเด็ก เมื่อกลับจากโรงเรียนเวลาใดก็ตาม
หากแม่ไม่อยู่ในบ้าน ฉันก็จะออกตามหาแม่. คราวหนึ่ง ตอนอายุราว ๆ หกหรือเจ็ดขวบ ฉันเจอแม่อยู่ที่โรงนา. ครั้นแล้ว ฝนเริ่มตกหนักมาก. เราอยู่ชั้นบนที่เก็บหญ้าแห้ง และฉันถามแม่ว่าพระเจ้าจะให้น้ำท่วมโลกอีกครั้งหนึ่งหรือ. แม่พูดให้ฉันมั่นใจว่าพระเจ้าสัญญาจะไม่ทำลายแผ่นดินโลกโดยน้ำท่วมอีกเลย. ฉันยังจำได้ว่าเคยวิ่งหลบภัยพายุทอร์นาโดเข้าไปอยู่ในห้องใต้ดินบ่อย ๆ เนื่องจากพายุทอร์นาโดเป็นเรื่องปกติ.แม่มีส่วนร่วมในงานเผยแพร่ก่อนฉันเกิดด้วยซ้ำ. มีคนกลุ่มหนึ่งมาประชุมที่บ้านของเรา แต่ละคนมีความหวังจะอยู่กับพระคริสต์ในสวรรค์. แม้คุณแม่รู้สึกว่าการออกไปเผยแพร่ตามบ้านเป็นงานท้าทาย ทว่าความรักที่แม่มีต่อพระเจ้าได้ช่วยท่านเอาชนะความกลัว. แม่ซื่อสัตย์จนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 1969 เมื่ออายุ 84 ปี. ฉันกระซิบข้างหูแม่ว่า “แม่คะ แม่กำลังจะไปสวรรค์ และจะอยู่กับคนที่แม่รู้จักดี.” ฉันสุขใจเสียนี่กระไรที่ได้อยู่ใกล้แม่ ณ โอกาสนั้น และให้แม่รู้ว่าฉันมั่นใจในความหวังนั้นด้วย! แม่พูดแผ่วเบาว่า “คนดีของแม่.”
พวกเราเริ่มเผยแพร่
ปี 1939 รัสเซลล์เริ่มงานไพโอเนียร์ ชื่อเรียกพยานพระยะโฮวาผู้เผยแพร่เต็มเวลา. เขาทำงานฐานะไพโอเนียร์ในรัฐโอคลาโฮมาและรัฐเนแบรสกากระทั่งปี 1944 เมื่อถูกเรียกไปรับใช้ ณ สำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวา (เบเธล) ในบรุกลิน นิวยอร์ก. ส่วนฉันเริ่มงานไพโอเนียร์เมื่อวันที่ 20 เดือนกันยายน 1941 และทำงานเผยแพร่ในหลายท้องที่ในรัฐโคโลราโด, แคนซัส, และเนแบรสกา. ช่วงเวลาที่เป็นไพโอเนียร์นั้นฉันมีความสุขมาก ไม่เพียงแต่เพราะได้ช่วยคนอื่น ๆ ให้มาเรียนรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวา แต่เพราะฉันได้เรียนรู้ที่จะหมายพึ่งพระองค์อีกด้วย.
ประมาณเวลาเดียวกันที่รัสเซลล์เริ่มเป็นไพโอเนียร์ เวย์นเรียนที่มหาวิทยาลัยทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ หลังจากทำงานอาชีพระยะหนึ่งพอมีรายได้ช่วยตัวเอง. ต่อมา เขาก็ได้รับคำเชิญเข้าเบเธล. เขาทำงาน 11 ปีในฟาร์มของสมาคมใกล้เมืองอิทะกา รัฐนิวยอร์ก. ที่ฟาร์มนั้น มีการปลูกพืชผักเป็นอาหารสำหรับพวกที่รับมอบหมายให้ทำงานที่นั่นประมาณสามสิบคน และสำหรับคณะทำงานที่เบเธลในบรุกลินอีกประมาณ 200 คน. เวย์นใช้ทักษะและประสบการณ์ของตัวเองทำงานรับใช้พระยะโฮวากระทั่งสิ้นชีวิตในปี 1988.
พี่สาวฉัน อาร์ดิสแต่งงานกับเจมส์ คาร์น และสองคนนี้มีบุตรชายหญิงห้าคน. เธอเสียชีวิตปี 1997. คลารา พี่สาวอีกคนหนึ่งยังคงซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาตราบทุกวันนี้ และในช่วงพักร้อน ฉันยังคงแวะไปเยี่ยมเธอที่บ้านในรัฐโคโลราโด. เคอร์ติส น้องชายคนเล็กของเราเข้ามาทำงานที่เบเธลบรุกลินในช่วงกลางทศวรรษ 1940. เขาเป็นคนขับรถบรรทุกรับส่งสิ่งของเครื่องใช้ระหว่างฟาร์มกับบรุกลินรวมทั้งผลผลิตที่ได้จากฟาร์ม. เขาไม่เคยแต่งงานและเสียชีวิตในปี 1971.
ความปรารถนาของฉันคือการรับใช้ที่เบเธล
พวกพี่ชายเข้าทำงานที่เบเธลก่อนฉัน และเป็นความปรารถนาของฉันที่จะรับใช้ที่นั่นเหมือนกัน. ฉันแน่ใจว่าตัวอย่างที่ดีของพวกพี่ ๆ เป็นเหตุผลข้อหนึ่งที่ฉันได้รับคำเชิญ. การฟังแม่เล่าประวัติองค์การของพระเจ้า และเห็นด้วยตัวเองว่าคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับสมัยสุดท้ายได้สำเร็จเป็นจริง ล้วนเป็นการปลูกฝังความปรารถนาไว้ในตัว ทำให้ฉันอยากรับใช้ที่เบเธล. ฉันอธิษฐานและปฏิญาณต่อพระยะโฮวาว่าหากพระองค์ทรงให้ฉันรับใช้ที่เบเธล ฉันจะไม่ขอลาออกจากเบเธล นอกเสียจากว่าฉันมีพันธะที่ต้องปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบให้สำเร็จฐานะเป็นคริสเตียน.
ฉันมาถึงเบเธลเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 1945 และถูกมอบหมายให้ทำงานเป็นแม่บ้าน. แต่ละวัน ฉันต้องทำความสะอาด 13 ห้องนอน และปูเตียง 26 เตียง รวมถึงการทำความสะอาดทางเดินในตึก, บันได, และหน้าต่าง. งานหนักเอาการ. ทุกวันขณะทำงาน ฉันบอกตัวเองเสมอว่า ‘เราเหนื่อยก็จริง แต่เราอยู่ที่เบเธล นิเวศของพระเจ้านะ!’
แต่งงานกับนาทาน นอรร์
ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1920 สมาชิกครอบครัวเบเธลที่ประสงค์จะแต่งงานก็ต้องออกจากเบเธลและรับใช้เพื่อผลประโยชน์แห่งราชอาณาจักรในที่อื่น. แต่พอมาในต้นทศวรรษ 1950 มีบางคู่ซึ่งรับใช้ที่เบเธลไม่ต่ำกว่าสิบปีได้รับอนุมัติให้แต่งงานได้และอยู่ในเบเธลต่อไป. ดังนั้น เมื่อนาทาน เอช. นอรร์ ขณะนั้นเป็นผู้นำหน้ากิจกรรมราชอาณาจักรทั่วโลกแสดงความสนใจฉัน ฉันจึงคิดว่า ‘คนนี้จะอยู่ในเบเธลต่อไปอย่างแน่นอน!’
นาทานมีหน้าที่รับผิดชอบหลายอย่างในการดูแลกิจการของพยานพระยะโฮวาทั่วโลก. ดังนั้น เขาจึงเปิดเผยตรงไปตรงมากับฉันมาก ให้เหตุผลฉันหลายอย่างที่ว่าเหตุใดฉันควรตรึกตรองให้ดีก่อนตกลงรับปากจะแต่งงานกับเขา. สมัยนั้น นาทานเดินทางเยี่ยมสาขาประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกบ่อยมากและบางครั้งเป็นเวลาหลายสัปดาห์. ด้วยเหตุนี้ เขาจึงอธิบายว่าบางช่วงเราคงจะอยู่ห่างกันค่อนข้างนาน.
ตอนที่เป็นเด็กสาววัยรุ่น ฉันวาดมโนภาพวันแต่งงานในฤดูใบไม้ผลิและดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์บนเกาะฮาวายกลางมหาสมุทรแปซิฟิก. ที่แท้แล้ว เราแต่งงานในฤดูหนาวเมื่อวันที่ 31 มกราคม 1953 ในนิวยอร์กซึ่งอากาศหนาวมาก และเราดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์บ่ายวันเสาร์และวันอาทิตย์ที่นิวเจอร์ซี. พอถึงวันจันทร์เรากลับมาทำงานตามเดิม. แต่หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เราถึงได้ไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์นานหนึ่งสัปดาห์.
เพื่อนร่วมงานที่ขยันขันแข็ง
นาทานอายุ 18 ปีเมื่อเขาเริ่มรับใช้ที่เบเธลในปี 1923. เขาได้รับการฝึกอบรมที่เป็นประโยชน์จากโจเซฟ เอฟ. รัทเทอร์ฟอร์ด ผู้มากด้วยประสบการณ์ และผู้นำหน้าในกิจการ
ของเหล่าพยานฯ และโรเบิร์ต เจ. มาร์ติน ผู้จัดการฝ่ายการพิมพ์. เมื่อบราเดอร์มาร์ตินสิ้นชีวิตในเดือนกันยายน 1932 นาทานได้รับเอาหน้าที่ผู้จัดการฝ่ายการพิมพ์แทน. ปีถัดมา เมื่อบราเดอร์รัทเทอร์ฟอร์ดเดินทางเยี่ยมสาขาประเทศต่าง ๆ ของพยานพระยะโฮวาในยุโรปก็ได้พานาทานไปด้วย. ครั้นบราเดอร์รัทเทอร์ฟอร์ดเสียชีวิตในเดือนมกราคม 1942 นาทานได้รับเอาหน้าที่รับผิดชอบดูแลกิจการของพยานพระยะโฮวาทั่วโลก.นาทานเป็นคนหัวก้าวหน้า วางแผนล่วงหน้าเสมอสำหรับการเติบโตในอนาคต. บางคนคิดว่าการเช่นนี้ไม่เหมาะสม เนื่องจากเข้าใจกันว่าอวสานของระบบนี้ใกล้เข้ามามากแล้ว. อันที่จริง คนหนึ่งที่เห็นตารางกำหนดงานพิมพ์ของนาทานได้ถามว่า “บราเดอร์นอรร์ นี่มันอะไรกัน? คุณไม่มีความเชื่อเสียแล้วหรือ?” นาทานตอบว่า “ผมมีความเชื่อ แต่ถ้าอวสานไม่มาเร็วอย่างที่เราคาดหมาย เราก็ยังพร้อมจะทำงาน.”
นาทานมีแนวคิดหนึ่งซึ่งเขาเชื่อมั่นเต็มที่คือการตั้งโรงเรียนฝึกอบรมมิชชันนารี. ด้วยเหตุนี้ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1943 โรงเรียนมิชชันนารีจึงเริ่มขึ้นที่ฟาร์มใหญ่ ซึ่งตอนนั้นเวย์นพี่ชายของฉันรับใช้อยู่ที่นั่น. ถึงแม้โรงเรียนวางหลักสูตรเข้มข้นสำหรับการเรียนคัมภีร์ไบเบิลประมาณห้าเดือน ทว่า นาทานจะคอยดูแลให้นักเรียนมีนันทนาการบ้าง. ช่วงโรงเรียนปีแรก ๆ นาทานร่วมเล่นซอฟต์บอล แต่ภายหลังไม่เล่น เพราะเกรงว่าอาจได้รับบาดเจ็บแล้วจะไม่ได้ร่วมการประชุมภาคช่วงฤดูร้อน. เขาจึงเลือกทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสิน. พวกนักเรียนรู้สึกสนุกสนานเมื่อนาทานละเมิดกติกาโดยตัดสินเข้าข้างนักเรียนจากต่างประเทศ.
เดินทางกับนาทาน
ในที่สุด ฉันก็เริ่มเดินทางไปต่างประเทศกับนาทาน. ฉันชื่นชมประสบการณ์ที่อาสาสมัครของสาขาประเทศต่าง ๆ นำมาเล่าสู่กันฟังและที่ได้ฟังจากมิชชันนารีในต่างแดน. ฉันสามารถมองเห็นความรักและการเสียสละของพวกเขาด้วยตัวฉันเอง และได้เรียนรู้กิจวัตรและความเป็นอยู่ของพวกเขาในประเทศที่เขารับมอบหมายไปทำงานที่นั่น. ตลอดเวลาหลายปี ฉันได้รับจดหมายมิได้ขาดซึ่งแสดงความรู้สึกหยั่งรู้ค่าการเยือนของเรา.
เมื่อมองย้อนหลังคิดใคร่ครวญการเดินทางของเราในอดีต ฉันนึกถึงประสบการณ์หลายเรื่อง. ตัวอย่างเช่น เมื่อเราแวะเยือนประเทศโปแลนด์ พยานฯ หญิงสองคนกระซุบกระซิบกันต่อหน้าต่อตาฉัน. ฉันจึงถามว่า “ทำไมคุณกระซิบกัน?” คนทั้งสองกล่าวขอโทษ แถมอธิบายว่าเขากระซิบกันจนชินในช่วงที่มีการสั่งห้ามกิจกรรมของพยานพระยะโฮวาในโปแลนด์ และมีการติดเครื่องดักฟังที่บ้านของเขา.
ซิสเตอร์อาดาห์เป็นหนึ่งในหลายคนที่เคยทำงานในโปแลนด์ภายใต้คำสั่งห้าม. ผมเธอหยิกปรกหน้าผาก. ครั้งหนึ่งเธอเอามือตลบผมขึ้นให้ฉันดูรอยแผลลึกเนื่องจากคนที่ข่มเหงได้ทุบศีรษะเธอ. ฉันตกใจมากที่เห็นกับตาตัวเองถึงผลของการกระทำที่โหดร้ายซึ่งพี่น้องชายหญิงของเราต้องประสบ.
รองจากเบเธลฉันชอบฮาวาย. ฉันจำการประชุมใหญ่ในเมืองฮีโลปี 1957 ได้ดี. มันมีความหมายพิเศษซึ่งจะลืมเสียมิได้ และจำนวนผู้เข้าร่วมประชุมมีมากเกินจำนวนรวมของพยานฯ ในท้องถิ่น. นายกเทศมนตรีถึงกับได้มอบกุญแจเมืองแก่นาทาน. หลายคนเข้ามาทักทายต้อนรับและมอบพวงมาลัยให้เรา.
การประชุมใหญ่อีกแห่งหนึ่งที่น่าตื่นเต้นคือที่นครนือเรมแบร์ก เยอรมนี ในปี 1955 จัดขึ้น ณ ที่ฮิตเลอร์เคยใช้เป็นที่ตรวจพลดูการสวนสนาม. เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าฮิตเลอร์ได้ปฏิญาณไว้ว่าจะกำจัดประชาชนของพระยะโฮวาให้หมดไปจากเยอรมนี แต่บัดนี้กลับมีพยานพระยะโฮวา
อยู่เต็มสนาม! ฉันไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้. เวทีกว้างมากและมีเสาหินมหึมา 144 ต้นประกอบกันเป็นฉากหลังที่น่าทึ่ง. ฉันอยู่บนเวทีและสามารถมองเห็นฝูงชนมหาศาลกว่า 107,000 คน. ที่นั่งด้านหลังไกลออกไปมากจนฉันแทบมองไม่เห็นแถวสุดท้าย.เราสามารถรับรู้ถึงความซื่อสัตย์มั่นคงของพี่น้องชาวเยอรมันและความเข้มแข็งที่เขาได้จากพระยะโฮวาระหว่างการข่มเหงภายใต้ระบอบนาซี. ความซื่อสัตย์มั่นคงของพี่น้องช่วยเสริมการตัดสินใจแน่วแน่ของเราที่จะภักดีและรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระยะโฮวา. นาทานได้บรรยายปิดการประชุมและเมื่อจบการบรรยายเขาโบกมืออำลาหมู่ผู้ฟัง. พวกเขาโบกผ้าเช็ดหน้าตอบรับการอำลาทันที. มองดูคล้ายทุ่งดอกไม้ที่งดงาม.
อีกอย่างหนึ่งซึ่งจะลืมเสียไม่ได้ คือการเยือนโปรตุเกสในเดือนธันวาคม 1974. เราอยู่ในหมู่ผู้ฟัง ณ การประชุมของเหล่าพยานฯ ครั้งแรกในกรุงลิสบอน หลังจากงานประกาศของเราเป็นที่ยอมรับตามกฎหมาย. งานของเราถูกสั่งห้ามนานถึง 50 ปี! แม้ตอนนั้นในโปรตุเกสมีผู้ประกาศราชอาณาจักรเพียง 14,000 คน กระนั้น การจัดประชุมทั้งสองแห่งมีผู้เข้าร่วมประชุมมากกว่า 46,000 คน. ฉันถึงกับน้ำตาซึมเมื่อพี่น้องพูดว่า “พวกเราไม่ต้องแอบประชุมกันอีกต่อไป. เรามีอิสระแล้ว.”
จากสมัยที่ฉันเคยเดินทางร่วมกับนาทานตราบทุกวันนี้ ฉันชอบการให้คำพยานอย่างไม่เป็นทางการ อาทิ บนเครื่องบิน, ในร้านอาหาร, และข้างทางสัญจร. ฉันมักจะมีสรรพหนังสือติดตัว เพื่อเตรียมพร้อมให้คำพยานเสมอ. ครั้งหนึ่งเมื่อเรารอเครื่องบินที่ล่าช้า สตรีคนหนึ่งถามฉันทำงานที่ไหน. จากจุดนั้นนำสู่การสนทนากับเธอและคนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ และได้ยินการสนทนา. งานรับใช้ที่เบเธลและกิจกรรมการประกาศทำให้ฉันไม่มีเวลาว่างและรู้สึกสบายใจ.
การเจ็บป่วยและการหนุนใจยามจากไป
ปี 1976 นาทานล้มป่วยด้วยโรคมะเร็ง ฉันพร้อมทั้งสมาชิกครอบครัวเบเธลต่างก็ช่วยเขารับมือโรคร้ายนี้. แม้ว่าอาการเขาทรุดหนัก เราก็ได้เชิญสมาชิกจากสำนักงานสาขาทั่วโลกเข้ามาเยี่ยมที่ห้อง ซึ่งเวลานั้นเข้ามารับการฝึกอบรมในบรุกลิน. ฉันจำการเยี่ยมของดอนกับเอียลิน สตีล, ลอยด์กับเมลบา แบร์รี, ดักลาสกับแมรี เกสต์, มาร์ตินกับเกอร์ทรูด เพิทซิงเกอร์, ไพรซ์ ฮิวส์, และอีกหลายคน. คนเหล่านี้มักจะเล่าประสบการณ์ต่าง ๆ จากประเทศที่พวกเขาประจำอยู่ให้พวกเราฟัง. โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉันรู้สึกประทับใจประสบการณ์ที่เกี่ยวกับความมั่นคงแน่วแน่ของพี่น้องระหว่างที่งานถูกสั่งห้าม.
เมื่อนาทานรู้ว่าความตายคืบใกล้เข้ามาทุกที เขาให้คำแนะนำดี ๆ บางอย่างเพื่อฉันจะรับมือกับการเป็นม่ายได้. เขาพูดว่า “ในชีวิตสมรส เรามีความสุข. หลายคนไม่เคยประสบแบบนี้.” สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรามีความสุขในชีวิตสมรสคือนาทานเป็นคนรอบคอบ คิดถึงคนอื่น. ยกตัวอย่าง เมื่อเราเจอผู้คนหลากหลายระหว่างการเดินทาง นาทานจะพูดกับฉันว่า “ออเดรย์, ถ้าบางครั้งผมไม่ได้แนะนำเขาให้รู้จักคุณ เพราะผมจำชื่อเขาไม่ได้.” ฉันดีใจที่เขาบอกไว้ล่วงหน้า.
นาทานเตือนใจฉันว่า “ภายหลังการตาย ความหวังของเราแน่นอน และเราจะไม่ต้องทนทุกข์อีก.” แล้วเขากระตุ้นเตือนฉันดังนี้: “มองไปข้างหน้า เพราะคุณจะรับบำเหน็จในอนาคต. อย่าจมอยู่กับอดีต—แม้ว่าความทรงจำของคุณจะยังคงมีอยู่. กาลเวลาจะช่วยเยียวยา. อย่ารู้สึกขมขื่นและเวทนาตัวเอง. จงชื่นใจยินดีที่คุณมีความสุขสนุกสนานและพระพรนานาประการ. ต่อไปอีกสักระยะหนึ่งคุณจะพบว่าความทรงจำทำให้คุณชื่นชมยินดี. ความทรงจำคือของประทานจากพระเจ้า.” เขาเสริมอีกว่า “จงยุ่งอยู่กับงาน ใช้ชีวิตทำประโยชน์แก่ผู้อื่น. นี่แหละจะช่วยคุณประสบความชื่นชมยินดีในชีวิต.” ในที่สุด พอวันที่ 8 มิถุนายน 1977 นาทานก็ลับไปจากฉากทางแผ่นดินโลก.
สมรสกับเกล็นน์ ไฮด์
นาทานเคยบอกว่าฉันจะมีชีวิตอยู่กับความทรงจำในอดีต หรืออาจสร้างชีวิตใหม่ก็ได้. ดังนั้น ในปี 1978 หลัง
จากย้ายไปทำงานที่ฟาร์มว็อชเทาเวอร์ในวอลล์คิลล์ รัฐนิวยอร์ก ฉันได้แต่งงานกับเกล็นน์ ไฮด์ เขาเป็นชายหน้าตาดี, นิสัยเงียบขรึม, และสุภาพอ่อนโยน. ก่อนเป็นพยานฯ เขารับราชการในกองทัพเรือสมัยสหรัฐประกาศสงครามกับญี่ปุ่น.เกล็นน์เคยประจำการบนเรือตอร์ปิโดขนาดเล็กและมีหน้าที่ควบคุมเครื่องยนต์. เนื่องจากเสียงดังของเครื่องยนต์ ความสามารถในการได้ยินจึงถูกทำลายไปบางส่วน. หลังสงคราม เขาหันไปทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ดับเพลิง. เนื่องจากประสบการณ์สมัยสงคราม เขาฝันร้ายอยู่นานหลายปี. เขาเรียนรู้ความจริงในคัมภีร์ไบเบิลจากเลขานุการซึ่งให้คำพยานแก่เขาอย่างไม่เป็นทางการ.
ต่อมา ในปี 1968 เกล็นน์ได้รับเชิญมาทำงานที่แผนกดับเพลิงเบเธลบรุกลิน. ครั้นแล้ว เมื่อฟาร์มว็อชเทาเวอร์ซื้อรถดับเพลิงไว้ใช้เอง เขาจึงถูกย้ายไปที่นั่นในปี 1975. ต่อมาเขาล้มป่วยด้วยโรคสมองฝ่อ. หลังจากสิบปีของชีวิตสมรส เกล็นน์ก็เสียชีวิต.
ฉันจะรับมืออย่างไร? สติปัญญาที่นาทานให้ฉันเมื่อเขารู้ตัวว่าใกล้จะตายกลายเป็นคำปลอบโยนฉันอีกครั้งหนึ่ง. ฉันมักจะเอาข้อความเรื่องการจัดการกับภาวะเป็นม่ายที่นาทานเขียนมอบให้ฉันขึ้นมาอ่านเสมอ. ฉันยังให้ข้อคิดเหล่านั้นแก่บุคคลที่เพิ่งสูญเสียคู่ครอง และพวกเขาต่างได้รับการปลอบประโลมโดยคำแนะนำของนาทานเช่นกัน. แน่นอน นับว่าเป็นคุณประโยชน์ที่จะมองไปข้างหน้าอย่างที่เขาสนับสนุนให้ฉันทำ.
ภราดรภาพที่ดีเลิศ
สิ่งที่เติมชีวิตฉันให้มีความสุขน่าพอใจได้แก่มิตรสหายที่รัก โดยเฉพาะในครอบครัวเบเธล. คนหนึ่งเป็นพิเศษคือเอสเทอร์ โลเปซ เธอจบหลักสูตรโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียดรุ่นที่สามในปี 1944. เธอหวนกลับสู่บรุกลินในเดือนกุมภาพันธ์ 1950 เพื่อปฏิบัติงานฐานะผู้แปลสรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาสเปน. บ่อยครั้งเมื่อนาทานต้องเดินทางไปไกล เอสเทอร์ก็เข้ามาเป็นเพื่อนคนสนิทของฉัน. เธออยู่ที่ว็อชเทาเวอร์ฟาร์มเหมือนกัน. ปัจจุบันอายุ 90 เศษ สุขภาพไม่แข็งแรง และรับการดูแลในห้องพยาบาลของเรา.
ว่ากันถึงพี่ ๆ น้องในครอบครัวฉัน รัสเซลล์และคลาราเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่. รัสเซลล์อายุ 90 กว่าและยังรับใช้อย่างซื่อสัตย์อยู่ที่เบเธลบรุกลิน. เขาเป็นหนึ่งในจำนวนผู้ได้รับอนุมัติให้อยู่ในเบเธลภายหลังแต่งงาน. เขาแต่งงานปี 1952 กับจีน ลาร์สันเพื่อนร่วมงานที่เบเธล. แมกซ์ น้องชายจีนเข้ามาอยู่ในเบเธลปี 1939 และรับช่วงงานดูแลฝ่ายการพิมพ์ต่อจากนาทานเมื่อปี 1942. แมกซ์ ปฏิบัติภารกิจซึ่งต้องรับผิดชอบอย่างมากที่เบเธลต่อไป รวมทั้งการช่วยดูแลเฮเลนภรรยาที่รักซึ่งรับมือกับโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งด้วย.
เมื่อมองย้อนหลังไปนานกว่า 63 ปีที่ได้รับใช้พระยะโฮวาเต็มเวลา ฉันสามารถกล่าวได้ว่าชีวิตของฉันเป็นชีวิตที่น่าพอใจอย่างแท้จริง. เบเธลกลายเป็นบ้านของฉัน และฉันยังคงรับใช้ที่นี่ต่อ ๆ ไปด้วยความปีติยินดี. คำสรรเสริญตกอยู่กับพ่อแม่ที่ท่านได้อบรมบ่มนิสัยพวกเราให้รักการทำงานที่ดีและความปรารถนาจะรับใช้พระยะโฮวา. แต่สิ่งที่ทำให้ชีวิตน่าพอใจจริง ๆ คือภราดรภาพอันแสนวิเศษและความหวังจะดำรงชีวิตร่วมกับพี่น้องชายหญิงของเราบนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน รับใช้พระยะโฮวาพระผู้สร้างองค์ใหญ่ยิ่ง พระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เดียวตลอดชั่วกาลนาน.
[ภาพหน้า 24]
พ่อกับแม่ในวันแต่งงาน มิถุนายน 1912
[ภาพหน้า 24]
จากซ้ายไปขวา: รัสเซลล์, เวย์น, คลารา, อาร์ดิส, ฉัน, และเคอร์ติส ในปี 1927
[ภาพหน้า 25]
ฉันยืนระหว่างฟรังเซสและบาร์บารา แมคนอทต์ ช่วงทำงานเป็นไพโอเนียร์ในปี 1944
[ภาพหน้า 25]
ที่เบเธล ปี 1951. จากซ้ายไปขวา: ฉัน, เอสเทอร์ โลเปซ, และจีน พี่สะใภ้
[ภาพหน้า 26]
กับนาทานและพ่อแม่ของเขา
[ภาพหน้า 26]
กับนาทาน ปี 1955
[ภาพหน้า 27]
กับนาทานที่ฮาวาย
[ภาพหน้า 29]
กับเกล็นน์ สามีคนที่สอง