ได้รับการฝึกอบรมเพื่อให้คำพยานอย่างถี่ถ้วน
ได้รับการฝึกอบรมเพื่อให้คำพยานอย่างถี่ถ้วน
“ท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงยะรูซาเลม, สิ้นทั้งมณฑลยูดาย, มณฑลซะมาเรีย, และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก.”—กิจการ 1:8.
1, 2. งานมอบหมายของเปโตรคืออะไร และใครมอบหมายงานนั้นแก่ท่าน?
“พระเยซูชาวนาซาเร็ธ . . . ได้ทรงสั่งเราทั้งหลายให้ประกาศแก่คนทั้งปวงและเป็นพยานว่าพระเจ้าได้ทรงเจิมพระองค์ไว้เป็นผู้พิพากษาคนทั้งหลายทั้งคนเป็นและคนตาย.” (กิจการ 10:38, 42) ด้วยถ้อยคำเหล่านี้ อัครสาวกเปโตรชี้แจงแก่โกระเนเลียวและครอบครัวของเขาว่าท่านได้รับมอบหมายเป็นผู้เผยแพร่ข่าวดี.
2 พระเยซูมอบหมายงานดังกล่าวเมื่อไร? ดูเหมือนว่าขณะนั้นเปโตรคงคิดถึงสิ่งที่พระเยซูผู้ถูกปลุกให้คืนพระชนม์ได้ตรัสไว้ไม่นานก่อนเสด็จสู่สวรรค์. ในคราวนั้น พระเยซูบอกแก่สาวกที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ว่า “ท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงยะรูซาเลม, สิ้นทั้งมณฑลยูดาย, มณฑลซะมาเรีย, และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก.” (กิจการ 1:8) อย่างไรก็ตาม เปโตรรู้ก่อนหน้านั้นนานแล้วว่า ในฐานะสาวกของพระเยซู ท่านจะต้องบอกคนอื่น ๆ เกี่ยวกับความเชื่อของท่านในพระเยซู.
ช่วงสามปีของการฝึกอบรม
3. พระเยซูทำการอัศจรรย์อะไร และพระองค์ให้คำเชิญอะไรแก่เปโตรกับอันดะเรอา?
3 ช่วงสองสามเดือนหลังจากบัพติสมาในปี ส.ศ. 29 พระเยซูประกาศในเขตที่เปโตรกับอันดะเรอาน้องชายทำงานเป็นชาวประมงที่ทะเลแกลิลี. ทั้งสองทอดอวนมาแล้วตลอดทั้งคืนแต่ไม่ได้ปลาเลย. กระนั้น พระเยซูก็ยังบอกพวกเขาว่า “จงถอยออกไปที่น้ำลึกหย่อนอวนลงจับปลา.” เมื่อทำตามคำของพระองค์ พวกเขา “ก็ล้อมปลาไว้เป็นอันมาก, จนอวนของลูกา 5:4-10.
เขากำลังขาดอยู่.” เมื่อเปโตรเห็นการอัศจรรย์นั้นก็รู้สึกกลัว แต่พระเยซูกล่าวปลอบโยนท่านว่า “อย่ากลัวเลย, ตั้งแต่นี้ไปท่านจะเป็นผู้จับคน.”—4. (ก) พระเยซูเตรียมสาวกของพระองค์อย่างไรสำหรับงานให้คำพยาน? (ข) งานรับใช้ของบรรดาสาวกของพระเยซูเมื่อเทียบกับของพระองค์เองแล้วจะเป็นอย่างไร?
4 เปโตรกับอันดะเรอา พร้อมกับยาโกโบและโยฮันบุตรเซเบดาย ทิ้งเรือตามพระเยซูไปทันที. เป็นเวลาเกือบสามปี พวกเขาร่วมเดินทางกับพระเยซูไปในงานเผยแพร่และได้รับการฝึกอบรมเป็นผู้เผยแพร่ข่าวดี. (มัดธาย 10:7; มาระโก 1:16, 18, 20, 38; ลูกา 4:43; 10:9) ตอนท้ายของช่วงเวลาดังกล่าว ในวันที่ 14 ไนซาน ปี ส.ศ. 33 พระเยซูบอกพวกเขาว่า “ผู้ที่วางใจในเรา กิจการซึ่งเรากระทำนั้นเขาจะกระทำด้วย และเขาจะกระทำการใหญ่กว่านั้นอีก.” (โยฮัน 14:12) สาวกของพระเยซูจะให้คำพยานอย่างถี่ถ้วนเช่นเดียวกับที่พระเยซูกระทำ แต่จะทำในขอบเขตที่ใหญ่โตกว่า. ดังที่พวกเขาจะได้เรียนรู้ต่อจากนั้นอีกไม่นานว่า พวกเขากับผู้ที่จะเป็นสาวกในวันข้างหน้าทุกคนจะให้คำพยานใน “ทุกชาติ” เรื่อยไปจวบจนกระทั่ง “ช่วงอวสานแห่งระบบ.”—มัดธาย 28:19, 20, ล.ม.
5. เราจะได้รับประโยชน์จากการฝึกอบรมที่พระเยซูให้แก่สาวกของพระองค์โดยวิธีใด?
5 เรากำลังมีชีวิตอยู่ใน “ช่วงอวสานของระบบนี้.” (มัดธาย 24:3, ล.ม.) ต่างจากสาวกรุ่นแรก เราไม่สามารถร่วมเดินทางไปกับพระเยซูและสังเกตดูวิธีที่พระองค์ประกาศแก่ผู้คนได้. กระนั้น เราสามารถได้รับประโยชน์จากการฝึกอบรมของพระองค์โดยการอ่านดูในคัมภีร์ไบเบิลว่าพระองค์ประกาศอย่างไรและพระองค์ให้คำแนะนำอะไรแก่สาวกของพระองค์. (ลูกา 10:1-11) แต่บทความนี้จะพิจารณาอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก ซึ่งพระเยซูแสดงให้สาวกของพระองค์เห็น นั่นคือเจตคติที่ถูกต้องต่องานประกาศ.
ห่วงใยผู้คน
6, 7. คุณลักษณะอะไรของพระเยซูที่ทำให้งานรับใช้ของพระองค์บังเกิดผล และเราจะเลียนแบบพระองค์ในเรื่องนี้ได้อย่างไร?
6 เหตุใดคำพยานของพระเยซูจึงบังเกิดผลมาก? เหตุผลประการหนึ่งคือพระองค์สนพระทัยและห่วงใยผู้คนอย่างแท้จริง. ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญบอกล่วงหน้าว่า พระเยซูจะ “สงสารคนอนาถาและคนขัดสน.” (บทเพลงสรรเสริญ 72:13) พระองค์ทำให้คำพยากรณ์ดังกล่าวสำเร็จเป็นจริงอย่างแน่นอน. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงพระองค์ในโอกาสหนึ่งว่า “เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรงพระกรุณาเขา, ด้วยเขาอิดโรยกระจัดกระจายไปดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง.” (มัดธาย 9:36) แม้แต่คนบาปที่ฉาวโฉ่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกห่วงใยและถูกดึงดูดให้เข้ามาหาพระองค์.—มัดธาย 9:9-13; ลูกา 7:36-38; 19:1-10.
7 พวกเราในปัจจุบันจะบังเกิดผลในงานรับใช้หากเรามีความห่วงใยต่อผู้คนอย่างเดียวกันนั้น. ก่อนออกไปในงานรับใช้ เราน่าจะลองใช้เวลาคิดสักครู่หนึ่งว่าเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนสักเพียงไรที่ผู้คนต้องได้รับทราบข่าวสารที่เราจะนำไปให้เขา. คิดถึงปัญหาที่ผู้คนอาจมีซึ่งราชอาณาจักรเท่านั้นจะเป็นทางแก้. จงรักษาทัศนะในแง่ดีต่อผู้คนอยู่เสมอ เนื่องจากคุณไม่ทราบว่าใครจะตอบรับข่าวสาร. คนต่อไปที่คุณพบอาจเพิ่งได้อธิษฐานขอให้ใครสักคนอย่างคุณมาช่วยเขาก็ได้!
มีความรักเป็นแรงกระตุ้น
8. ในการทำตามแบบอย่างของพระเยซูนั้น อะไรที่กระตุ้นสาวกของพระองค์ให้ประกาศข่าวดี?
8 ข่าวดีที่พระเยซูประกาศเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำให้พระทัยประสงค์ของพระยะโฮวาสัมฤทธิผล, การทำให้พระนามของพระองค์เป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์, และการพิสูจน์ว่าพระองค์มีสิทธิปกครองเอกภพโดยชอบธรรม ซึ่งล้วนแต่เป็นประเด็นสำคัญยิ่งที่มนุษยชาติเผชิญ. (มัดธาย 6:9, 10) เนื่องจากมีความรักต่อพระบิดาเป็นแรงกระตุ้น พระเยซูจึงปรารถนาจะรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงจนถึงที่สุด และให้คำพยานอย่างถี่ถ้วนเรื่องราชอาณาจักร อันเป็นเครื่องมือที่จะยุติประเด็นเหล่านั้น. (โยฮัน 14:31) เนื่องจากสาวกของพระเยซูในปัจจุบันมีแรงกระตุ้นอย่างเดียวกันนั้น พวกเขาจึงขยันขันแข็งในงานรับใช้. อัครสาวกโยฮันกล่าวดังนี้: “นี่แหละเป็นความรักพระเจ้า, คือว่าให้เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์” ซึ่งก็รวมถึงพระบัญชาให้ประกาศข่าวดีและทำให้คนเป็นสาวก.—1 โยฮัน 5:3; มัดธาย 28:19, 20.
9, 10. นอกจากความรักต่อพระเจ้าแล้ว ยังมีความรักอื่นใดอีกที่กระตุ้นเราให้กล่าวคำพยานอย่างถี่ถ้วน?
9 พระเยซูบอกสาวกของพระองค์ว่า “ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา, ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา. ผู้ที่มีบัญญัติโยฮัน 14:15, 21) ฉะนั้น ความรักที่มีต่อพระเยซูควรกระตุ้นเราให้คำพยานเกี่ยวกับความจริงและทำตามพระบัญชาอื่น ๆ ของพระองค์. ในโอกาสหนึ่งที่พระเยซูปรากฏพระกายหลังจากคืนพระชนม์ พระองค์กำชับเปโตรว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด . . . จงเลี้ยงแกะเล็ก ๆ ของเราเถิด . . . จงเลี้ยงดูแกะเล็ก ๆ ของเราเถิด.” อะไรควรกระตุ้นเปโตรให้ทำเช่นนั้น? พระเยซูบ่งชี้ถึงคำตอบนั้นเมื่อทรงถามเปโตรซ้ำ ๆ ว่า ‘เจ้ารักเราหรือ? . . . เจ้ารักเราหรือ? . . . เจ้ามีความรักใคร่ต่อเราหรือ?’ ใช่แล้ว ความรักที่เปโตรมีต่อพระเยซู ความรักใคร่ที่ท่านมีต่อพระองค์ จะกระตุ้นท่านให้กล่าวคำพยานอย่างถี่ถ้วน, เสาะหา “แกะเล็ก ๆ” ของพระเยซู, และเมื่อพบแล้ว ก็ให้การบำรุงเลี้ยงแกะเหล่านั้นทางฝ่ายวิญญาณ.—โยฮัน 21:15-17, ล.ม.
ของเราและประพฤติตามบัญญัตินั้น, ผู้นั้นแหละรักเรา.” (10 ในทุกวันนี้ เราไม่ได้รู้จักคุ้นเคยกับพระเยซูโดยตรงเหมือนอย่างเปโตร. ถึงกระนั้น เราก็เข้าใจความหมายของสิ่งที่พระเยซูกระทำเพื่อเรา. ความรักใหญ่หลวงที่กระตุ้นพระองค์ให้ “ลิ้มรสความตายเพื่อมนุษย์ทุกคน” กระทบหัวใจเรา. (เฮ็บราย 2:9, ล.ม.; โยฮัน 15:13) เรารู้สึกเช่นเดียวกับเปาโลที่เขียนว่า “ความรักของพระคริสต์ผลักดันเราอยู่ . . . พระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อคนทั้งปวง เพื่อคนที่มีชีวิตจะไม่อยู่เพื่อตนเองอีกต่อไป แต่เพื่อพระองค์.” (2 โกรินโธ 5:14, 15, ล.ม.) เราแสดงให้เห็นว่าเราถือว่าความรักที่พระเยซูสำแดงต่อเรานั้นมีค่าสูง และแสดงให้เห็นว่าเรารักพระองค์สมกับที่พระองค์รักเรา โดยถือเอางานมอบหมายให้กล่าวคำพยานอย่างถี่ถ้วนเป็นเรื่องสำคัญ. (1 โยฮัน 2:3-5) เราไม่ต้องการทำงานประกาศแบบขอไปที ราวกับว่าการสละชีวิตของพระเยซูเป็นเครื่องบูชาไม่มีค่าอะไรมากสำหรับเรา.—เฮ็บราย 10:29.
ไม่ยอมให้สิ่งใดทำให้เขว
11, 12. อะไรคือจุดมุ่งหมายที่พระเยซูได้เข้ามาในโลก และพระองค์แสดงอย่างไรว่าทรงถือว่าสิ่งนั้นเป็นงานสำคัญที่สุดของพระองค์?
11 เมื่อพระเยซูอยู่ต่อหน้าปนเตียวปีลาต พระองค์ตรัสว่า “เพราะเหตุนี้เราจึงเกิดมา และเพราะเหตุนี้เราได้เข้ามาในโลก เพื่อเราจะให้คำพยานถึงความจริง.” (โยฮัน 18:37, ล.ม.) พระเยซูไม่ยอมให้สิ่งใดมาทำให้พระองค์เขวไปจากการให้คำพยานถึงความจริง. นั่นเป็นพระทัยประสงค์ของพระเจ้าที่มุ่งหมายให้พระองค์ทำ.
12 แน่นอน ซาตานได้ทดลองพระเยซูในเรื่องนี้. ไม่นานหลังจากพระเยซูรับบัพติสมา ซาตานเสนอว่าจะให้พระองค์เป็นใหญ่ในโลก จะยก “บรรดาประเทศในโลกทั้งสง่าราศีของประเทศเหล่านั้น” ให้พระองค์. (มัดธาย 4:8, 9) ต่อมา พวกยิวต้องการตั้งพระองค์เป็นกษัตริย์. (โยฮัน 6:15) บางคนอาจคิดว่ามนุษย์น่าจะได้ประโยชน์มากกว่าหากพระเยซูรับเอาข้อเสนอดังกล่าว บางทีอาจคิดหาเหตุผลว่าเมื่อดำรงตำแหน่งกษัตริย์ขณะที่เป็นมนุษย์ พระเยซูจะทำประโยชน์แก่มวลมนุษย์ได้มากมาย. แต่พระเยซูปฏิเสธความคิดเช่นนั้น. พระองค์ทรงถือว่าการให้คำพยานถึงความจริงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่พระองค์สามารถทำได้.
13, 14. (ก) อะไรไม่สามารถหันเหความสนพระทัยของพระเยซูไปจากจุดมุ่งหมายหลักของพระองค์? (ข) แม้ว่าพระเยซูยากจนฝ่ายวัตถุ พระองค์ทรงบรรลุผลสำเร็จในเรื่องใด?
13 นอกจากนั้น พระเยซูไม่เขวไปเนื่องด้วยการแสวงหาความมั่งคั่ง. ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงไม่ใช่คนมั่งมี. พระองค์ไม่มีบ้านของตนเองด้วยซ้ำ. ในโอกาสหนึ่งพระองค์ตรัสว่า “สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง, และนกในอากาศก็ยังมีรัง, แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ.” (มัดธาย 8:20) เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์ สมบัติมีค่าชิ้นเดียวของพระองค์ที่มีบันทึกไว้คือ ฉลองพระองค์ที่ทหารโรมันนำมาจับฉลากกัน. (โยฮัน 19:23, 24) ถ้าอย่างนั้น ชีวิตของพระองค์ล้มเหลวไหม? ไม่เลย!
14 พระเยซูบรรลุผลสำเร็จเกินกว่าที่เศรษฐีใจบุญผู้มั่งคั่งที่สุดจะทำได้. เปาโลกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายรู้จักพระกรุณาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเราว่า, ครั้นพระองค์มั่งคั่งอยู่แล้ว, พระองค์ยังทรงยอมเป็นคนยากจนเพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย, เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนมั่งมีเนื่องจากความยากจนของพระองค์.” (2 โกรินโธ 8:9; ฟิลิปปอย 2:5-8) แม้ว่ายากจนฝ่ายวัตถุ พระองค์ได้กระทำให้คนใจถ่อมมีโอกาสจะบรรลุชีวิตสมบูรณ์ตลอดไป. เราหยั่งรู้บุญคุณพระองค์สักเพียงไร! และเราปีติยินดีสักเพียงไรสำหรับบำเหน็จที่พระองค์ได้รับเนื่องจากพระองค์ได้จัดให้การทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของพระองค์!—บทเพลงสรรเสริญ 40:8; กิจการ 2:32, 33, 36.
15. อะไรที่มีค่ามากกว่าทรัพย์สมบัติ?
15 คริสเตียนในปัจจุบันที่พยายามเลียนแบบพระเยซูก็ไม่ยอมให้การแสวงหาความมั่งคั่งมาหันเหความสนใจของตนเช่นกัน. (1 ติโมเธียว 6:9, 10) พวกเขายอมรับว่าเงินทองอาจช่วยให้ชีวิตสะดวกสบาย แต่พวกเขารู้ว่าอนาคตถาวรไม่ได้ขึ้นอยู่กับความมั่งคั่งร่ำรวย. เมื่อคริสเตียนจบชีวิตลง ความมั่งมีฝ่ายวัตถุของเขาไม่มีค่าอะไรสำหรับตัวเขาพอ ๆ กับที่ฉลองพระองค์ของพระเยซูไม่มีค่าอะไรสำหรับพระองค์ในคราวสิ้นพระชนม์. (ท่านผู้ประกาศ 2:10, 11, 17-19; 7:12) เมื่อคริสเตียนล่วงลับไป สิ่งเดียวที่มีค่าอย่างแท้จริงที่เขามีคือ สัมพันธภาพระหว่างเขากับพระยะโฮวาและพระเยซูคริสต์.—มัดธาย 6:19-21; ลูกา 16:9.
ไม่ย่อท้อเพราะการต่อต้าน
16. พระเยซูเผชิญหน้าการต่อต้านด้วยท่าทีเช่นไร?
16 การต่อต้านไม่ทำให้พระเยซูเขวไปจากการให้คำพยานถึงความจริง. แม้รู้ว่างานรับใช้ทางแผ่นดินโลกของพระองค์จะจบลงด้วยการสิ้นพระชนม์เป็นเครื่องบูชา พระองค์ก็ไม่ท้อแท้. เปาโลกล่าวเกี่ยวกับพระเยซูว่า “เพราะเห็นแก่ความยินดีซึ่งมีอยู่ตรงหน้า พระองค์ยอมทนหลักทรมาน ไม่คำนึงถึงความละอาย แล้วพระองค์ได้เสด็จนั่งเบื้องขวาราชบัลลังก์ของพระเจ้า.” (เฮ็บราย 12:2, ล.ม.) ขอสังเกตว่าพระเยซู “ไม่คำนึงถึงความละอาย.” พระองค์ไม่เป็นห่วงกังวลว่าผู้ต่อต้านจะคิดอย่างไรเกี่ยวกับพระองค์. พระองค์จดจ่ออยู่กับการทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า.
17. เราเรียนรู้อะไรได้จากความอดทนของพระเยซู?
17 เพื่อนำเอาบทเรียนเรื่องความอดทนของพระเยซูมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เปาโลสนับสนุนคริสเตียนดังนี้: “ท่านทั้งหลายจงพินิจคิดถึงพระองค์ผู้ได้ทรงทนเอาการติเตียนนินทาแห่งคนบาปต่อพระองค์มากเท่าใด, เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่อ่อนระอาใจไป.” (เฮ็บราย 12:3) จริงอยู่ อาจทำให้ท้อใจเมื่อเผชิญการต่อต้านหรือการเยาะเย้ยวันแล้ววันเล่า. อาจเหนื่อยอ่อนกับการคอยต้านทานอยู่เรื่อย ๆ ต่อสิ่งชักชวนให้เขวของโลก ซึ่งบางทีอาจเป็นการตำหนิวิจารณ์ที่แสดงความผิดหวังจากญาติพี่น้องที่ส่งเสริมเราให้ “หาความมีหน้ามีตา” สำหรับตัวเอง. กระนั้น เช่นเดียวกับพระเยซู เราพึ่งอาศัยการเกื้อหนุนจากพระยะโฮวาขณะที่เรามุ่งมั่นให้ราชอาณาจักรอยู่ในอันดับแรกในชีวิตของเรา.—มัดธาย 6:33; โรม 15:13; 1 โกรินโธ 2:4.
18. บทเรียนอันดีเยี่ยมอะไรที่เราเรียนได้จากถ้อยคำที่พระเยซูตรัสแก่เปโตร?
18 การที่พระเยซูไม่ยอมให้สิ่งใดมาทำให้พระองค์เขวไป เห็นได้ชัดในคราวที่พระองค์เริ่มบอกสาวกถึงความตายของพระองค์ที่คืบใกล้เข้ามา. เปโตรสนับสนุนให้พระเยซู “กรุณา” พระองค์เอง และรับรองแก่พระองค์ว่าพระองค์จะ “ไม่มัดธาย 16:21-23, ล.ม.) ขอเรามุ่งมั่นอย่างเดียวกันนั้นเสมอในการปฏิเสธความคิดของมนุษย์ และให้ความคิดของพระเจ้าชี้นำความคิดของเราอยู่เสมอ.
ประสบเหตุการณ์เช่นนั้นเลย.” พระเยซูไม่ยอมรับฟังคำพูดใด ๆ ที่อาจบั่นทอนความมุ่งมั่นของพระองค์ที่จะกระทำตามพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวา. พระองค์หันหลังให้เปโตร แล้วตรัสว่า “จงไปอยู่ข้างหลังเรา ซาตาน! เจ้าเป็นหินสะดุดแก่เรา เพราะที่เจ้าคิดนั้น ไม่ใช่ความคิดของพระเจ้า แต่เป็นความคิดของมนุษย์.” (ราชอาณาจักรจะอำนวยประโยชน์ถาวร
19. แม้พระเยซูเป็นผู้ทำการอัศจรรย์ แต่ส่วนสำคัญที่สุดในงานรับใช้ของพระองค์คืออะไร?
19 พระเยซูทำการอัศจรรย์หลายอย่างเพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์เป็นพระมาซีฮา. พระองค์กระทั่งปลุกคนตายให้คืนชีพ. การอัศจรรย์เหล่านั้นดึงดูดฝูงชน แต่พระเยซูไม่ได้เข้ามาในโลกเพียงเพื่อจะทำงานช่วยเหลือสังคม. พระองค์มาเพื่อจะให้คำพยานถึงความจริง. พระองค์รู้ว่าความช่วยเหลือใด ๆ ทางวัตถุที่พระองค์ให้นั้นมีประโยชน์เพียงชั่วคราว. แม้แต่คนที่กลับเป็นขึ้นจากตายก็จะตายอีกอยู่ดี. เฉพาะการให้คำพยานถึงความจริงเท่านั้นที่พระองค์จะช่วยผู้คนให้ได้รับชีวิตนิรันดร์.—ลูกา 18:28-30.
20, 21. คริสเตียนแท้รักษาความสมดุลอย่างไรในเรื่องการกระทำการดี?
20 ในทุกวันนี้ บางคนพยายามเลียนแบบการดีของพระเยซูด้วยการก่อตั้งสถานพยาบาลหรือทำงานบริการสังคมด้านอื่น ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ในโลก. ในบางกรณี พวกเขาทำเช่นนั้นโดยออกค่าใช้จ่ายเองจำนวนมาก และการกระทำด้วยความบริสุทธิ์ใจของพวกเขานั้นน่าชมเชย แต่ความช่วยเหลือใด ๆ ที่พวกเขาจัดให้นั้นมีประโยชน์เพียงชั่วคราว. ราชอาณาจักรเท่านั้นที่จะบรรเทาทุกข์ได้อย่างถาวร. เหตุฉะนั้น พยานพระยะโฮวาจึงมุ่งเน้นที่การให้คำพยานถึงความจริงเรื่องราชอาณาจักร เช่นเดียวกับที่พระเยซูกระทำ.
21 แน่นอน คริสเตียนแท้ย่อมจะกระทำการดีเพื่อช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก. เปาโลเขียนว่า “ตามที่เรามีโอกาสอยู่, ให้เรากระทำการดีแก่คนทั้งปวง, และที่สำคัญนั้นจงกระทำแก่ครอบครัวของความเชื่อ.” (ฆะลาเตีย 6:10) ในยามคับขันหรือเมื่อมีใครเดือดร้อน เราไม่รีรอที่จะ “ทำการดี” ต่อเพื่อนบ้านหรือพี่น้องคริสเตียนของเรา. กระนั้น เราให้ความสำคัญที่สุดกับงานที่พระเยซูให้ความสำคัญที่สุด นั่นก็คือการให้คำพยานถึงความจริง.
เรียนจากแบบอย่างของพระเยซู
22. เหตุใดคริสเตียนจึงประกาศข่าวดีแก่เพื่อนบ้านของตน?
22 เปาโลเขียนดังนี้: “ถ้าข้าพเจ้ามิได้ประกาศ [ข่าวดี], วิบัติจะเกิดแก่ข้าพเจ้า.” (1 โกรินโธ 9:16) เปาโลไม่ได้ทำงานประกาศข่าวดีแบบขอไปที เนื่องจากงานนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตของท่านและของผู้ที่ฟังท่าน. (1 ติโมเธียว 4:16) เรามี ทัศนะต่องานประกาศของเราแบบเดียวกันนั้น. เราต้องการช่วยเหลือเพื่อนบ้านของเรา. เราปรารถนาจะแสดงออกถึงความรักที่มีต่อพระยะโฮวา. เราต้องการพิสูจน์ถึงความรักที่เรามีต่อพระเยซู อีกทั้งความหยั่งรู้ค่าที่เรามีต่อความรักอันใหญ่หลวงที่พระองค์สำแดงต่อเรา. ด้วยเหตุนี้ เราจึงประกาศข่าวดี และดำเนินชีวิต “ไม่ใช่เพื่อความปรารถนาของมนุษย์อีกต่อไป แต่เพื่อพระทัยประสงค์ของพระเจ้า.”—1 เปโตร 4:1, 2, ล.ม.
23, 24. (ก) เราได้บทเรียนอะไรจากการอัศจรรย์เรื่องการจับปลา? (ข) ใครในทุกวันนี้ที่ให้คำพยานอย่างถี่ถ้วน?
23 เช่นเดียวกับพระเยซู เราไม่เขวไปจากงานหลักของเรา เมื่อผู้อื่นเยาะเย้ยหรือบอกปัดข่าวสารของเราด้วยความขุ่นเคือง. เราได้บทเรียนจากการอัศจรรย์ที่พระเยซูกระทำในคราวที่ทรงเรียกเปโตรกับอันดะเรอาให้ติดตามพระองค์. เราเห็นว่าหากเราเชื่อฟังพระเยซู และให้คำพยานถึงความจริงประหนึ่งหย่อนอวนลงแม้แต่ในแหล่งน้ำที่ดูเหมือนหาปลาได้ยาก เราก็อาจได้ปลา. ชาวประมงคริสเตียนหลายคนจับปลาได้จำนวนที่น่าพอใจหลังจากทำงานมาหลายปีในเขตที่เปรียบเหมือนแหล่งน้ำที่ไม่ค่อยมีปลา. บางคนสามารถย้ายไปยังน่านน้ำที่จับปลาได้มากกว่าและพวกเขาก็จับปลาได้มากมาย. แต่ไม่ว่าเราจะทำแบบไหน เราจะไม่เลิกหย่อนอวนของเรา. เรารู้ว่ายังไม่มีส่วนใดในโลกที่พระเยซูแถลงว่างานประกาศเสร็จสิ้นลงแล้ว.—มัดธาย 24:14.
24 พยานพระยะโฮวามากกว่าหกล้านคนในปัจจุบันกำลังให้คำพยานถึงความจริงอย่างแข็งขันในดินแดนต่าง ๆ มากกว่า 230 ดินแดน. วารสารหอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 กุมภาพันธ์ 2005 จะลงรายงานประจำปีเกี่ยวกับกิจกรรมของพวกเขาตลอดทั่วโลกระหว่างปีรับใช้ 2004. รายงานดังกล่าวจะแสดงให้เห็นว่าพระยะโฮวาอวยพรงานประกาศอย่างมากมาย. ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของระบบนี้ ขอเราใส่ใจต่อ ๆ ไปในถ้อยคำที่กระตุ้นใจของเปาโลที่ว่า “จงประกาศพระคำ จงทำอย่างรีบด่วน.” (2 ติโมเธียว 4:2, ล.ม.) ขอเราให้คำพยานอย่างถี่ถ้วนต่อ ๆ ไปจนกว่าพระยะโฮวาจะตรัสว่าพอแล้ว.
เริ่มตั้งแต่ปีนี้รายงานเกี่ยวกับปีรับใช้ของพยานพระยะโฮวาตลอดทั่วโลกจะไม่ตีพิมพ์ลงในหอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 มกราคม แต่จะลงในฉบับ 1 กุมภาพันธ์แทน.
คุณตอบได้ไหม?
• เราจะได้รับประโยชน์จากการฝึกอบรมที่พระเยซูให้แก่สาวกของพระองค์โดยวิธีใด?
• อะไรคือเจตคติที่พระเยซูมีต่อผู้คนที่พระองค์ประกาศให้เขาฟัง?
• อะไรกระตุ้นเราที่จะให้คำพยานอย่างถี่ถ้วน?
• เราจะแสดงให้เห็นในทางใดได้บ้างว่าการทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเราเช่นเดียวกับพระเยซู?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 15]
เราจะบังเกิดผลในงานรับใช้หากเราห่วงใยผู้คนเช่นเดียวกับพระเยซู
[ภาพหน้า 16, 17]
จุดมุ่งหมายหลักที่พระเยซูเข้ามาในโลกคือเพื่อให้คำพยานถึงความจริง
[ภาพหน้า 17]
พยานพระยะโฮวามุ่งเน้นที่การให้คำพยานอย่างถี่ถ้วน