ราชอาณาจักรของพระเจ้าเหนือกว่าในทุกประการ
พระเยซูคริสต์ทรงสอนเหล่าสาวกว่า “ท่านทั้งหลายจงอธิษฐานตามอย่างนี้ว่า โอพระบิดาแห่งข้าพเจ้าทั้งหลายผู้สถิตในสวรรค์. ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์. ขอให้แผ่นดิน [“ราชอาณาจักร,” ล.ม.] ของพระองค์มาตั้งอยู่. พระทัยของพระองค์สำเร็จในสวรรค์อย่างไร, ก็ให้สำเร็จในแผ่นดินโลกเหมือนกัน.” (มัดธาย 6:9, 10) คำอธิษฐานนี้ซึ่งหลายคนรู้จักว่าบทสวดข้าแต่พระบิดา หรือคำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้า อธิบายจุดประสงค์ของราชอาณาจักรของพระเจ้า.
โดยทางราชอาณาจักร พระนามของพระเจ้าจะได้รับการทำให้เป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์. ราชอาณาจักรนี้จะขจัดการหลู่เกียรติทั้งสิ้นที่ได้ทับถมพระนามนั้นเนื่องจากการกบฏของซาตานและมนุษย์. เรื่องนี้สำคัญยิ่ง. ความสุขของสิ่งทรงสร้างที่มีเชาวน์ปัญญาทั้งสิ้นขึ้นอยู่กับการถือว่าพระนามของพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์และการเต็มใจยอมรับสิทธิของพระองค์ที่จะปกครอง.—วิวรณ์ 4:11.
นอกจากนี้ การจัดตั้งราชอาณาจักรก็เพื่อดำเนินการ “ให้พระทัยของ [พระเจ้า] สำเร็จในสวรรค์อย่างไร, ก็ให้สำเร็จในแผ่นดินโลกเหมือนกัน.” และพระทัยที่ว่านั้นคืออย่างไร? นั่นคือที่จะทำให้สัมพันธภาพระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ซึ่งอาดามได้ทำให้เสียไปนั้นกลับดีดังเดิม. ราชอาณาจักรนี้จะส่งเสริมจุดมุ่งหมายของพระยะโฮวาองค์บรมมหิศรแห่งเอกภพด้วย ที่จะตั้งอุทยานบนแผ่นดินโลกที่ซึ่งคนดีสามารถมีชีวิตอยู่ตลอดไป. ใช่แล้ว ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะกำจัดผลเสียหายทั้งสิ้นที่เกิดจากบาปแรกเดิมและจะทำให้พระประสงค์อันเปี่ยมด้วยความรักของพระเจ้าที่มีต่อแผ่นดินโลกเป็นจริง. (1 โยฮัน 3:8) ที่จริง ราชอาณาจักรนี้และสิ่งที่ราชอาณาจักรจะทำให้สำเร็จ เป็นข่าวสารสำคัญของคัมภีร์ไบเบิล.
เหนือกว่าในทางใดบ้าง?
ราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นรัฐบาลจริง ๆ ที่มีอำนาจใหญ่ยิ่ง. ผู้พยากรณ์ดานิเอลทำให้เราเห็นภาพแวบหนึ่งที่แสดงว่าราชอาณาจักรนี้มีอำนาจสักเพียงไร. ท่านได้บอกล่วงหน้านานมาแล้วว่า “พระเจ้าแห่งสรวงสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรอันหนึ่งขึ้น, ซึ่ง . . . จะทำลายอาณาจักรอื่น ๆ [ของมนุษย์] ลงให้ย่อยยับและเผาผลาญเสียสิ้น.” นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับรัฐบาลของมนุษย์ ซึ่งรุ่งเรืองแล้วก็ล่มจมตลอดประวัติศาสตร์ ราชอาณาจักรของพระเจ้า “จะไม่มีวันทำลายเสียได้.” (ดานิเอล 2:44) ความเหนือกว่าของราชอาณาจักรนั้นไม่ได้มีแค่นี้. ในทุก ๆ แง่มุม ราชอาณาจักรนี้เหนือกว่ารัฐบาลใด ๆ ของมนุษย์มากนัก.
ราชอาณาจักรของพระเจ้ามีพระมหากษัตริย์ที่เหนือกว่า.
ขอพิจารณาว่าพระมหากษัตริย์องค์นี้คือผู้ใด. ใน “ความฝันและนิมิต” ที่ได้ประทานแก่ดานิเอล ท่านได้เห็นผู้ปกครองแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็น “ผู้หนึ่งรูปร่างดังบุตรของมนุษย์” ถูกพามาเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการและได้รับ “รัช, และเกียรติยศและอาณาจักร” ถาวร. (ดานิเอล 7:1, ฉบับแปลใหม่, 13, 14) บุตรของมนุษย์ผู้นี้จะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮา. (มัดธาย 16:13-17) พระยะโฮวาพระเจ้าได้ทรงแต่งตั้งพระเยซู พระบุตรของพระองค์เองให้เป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรของพระองค์. ขณะที่อยู่บนแผ่นดินโลก พระเยซูได้ตรัสแก่พวกฟาริซายที่ชั่วร้ายว่า “ราชอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ท่ามกลางเจ้าทั้งหลาย” หมายความว่าพระองค์ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ในอนาคตของราชอาณาจักรนั้นอยู่ท่ามกลางพวกเขา.—ลูกา 17:21, ล.ม.
มีผู้ใดจากท่ามกลางมนุษยชาติไหมที่จะมีคุณสมบัติฐานะมัดธาย 4:23; มาระโก 1:40, 41; 6:31-34; ลูกา 7:11-17) นอกจากนี้ พระเยซูผู้ได้รับการปลุกให้คืนพระชนม์ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจความตายหรือมีขีดจำกัดอื่น ๆ อย่างมนุษย์.—ยะซายา 9:6, 7.
เป็นผู้ปกครองเท่าเทียมกับพระเยซู? พระเยซูได้ทรงพิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้นำที่ชอบธรรม, เชื่อถือได้, และมีความเมตตาสงสารอย่างแท้จริง. พระธรรมกิตติคุณทั้งสี่พรรณนาพระองค์ฐานะเป็นบุรุษผู้เอาการเอางานและมีความรู้สึกอันลึกซึ้งซึ่งทั้งอ่อนโยนและอบอุ่นด้วย. (พระยะโฮวาได้ทรงแต่งตั้งพระเยซูคริสต์เป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรของพระองค์
พระเยซูและผู้เป็นกษัตริย์ร่วมกับพระองค์ปกครองจากตำแหน่งที่เหนือกว่า.
ในนิมิตฝันของดานิเอล ท่านได้เห็นอีกด้วยว่า “อาณาจักรและเกียรติยศ, รัช . . . ถูกมอบไว้แก่เหล่าผู้บริสุทธิ์.” (ดานิเอล 7:27) พระเยซูมิได้ปกครองแต่ผู้เดียว. มีคนอื่นซึ่งจะปกครองเป็นกษัตริย์และรับใช้ฐานะปุโรหิตร่วมกับพระองค์. (วิวรณ์ 5:9, 10; 20:6) อัครสาวกโยฮันได้เขียนเกี่ยวกับพวกเขาว่า “ข้าพเจ้าได้แลดูเห็นพระเมษโปดกนั้นทรงยืนอยู่ที่ภูเขาซีโอน, และผู้ที่อยู่กับพระองค์มีจำนวนแสนสี่หมื่นสี่พันคน . . . ที่ทรงไถ่ไว้แล้วจากแผ่นดินโลก.”—วิวรณ์ 14:1-3.
พระเมษโปดกคือพระเยซูคริสต์หลังจากที่พระองค์ได้รับการสถาปนาเป็นกษัตริย์แห่งราชอาณาจักร. (โยฮัน 1:29; วิวรณ์ 22:3) ภูเขาซีโอนนี้พาดพิงถึงสวรรค์. * (เฮ็บราย 12:22) พระเยซูและผู้สมทบกับพระองค์ 144,000 คนปกครองจากสวรรค์. เป็นการปกครองจากตำแหน่งที่ตั้งอันสูงส่งอะไรเช่นนี้! เนื่องจากอยู่ในสวรรค์ พวกเขาจึงมีมุมมองที่กว้างไกล. เนื่องจากตั้งอยู่ในสวรรค์ “แผ่นดิน [“ราชอาณาจักร,” ล.ม.] ของพระเจ้า” จึงถูกเรียกว่า “แผ่นดินสวรรค์ [“ราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์,” ล.ม.]” เช่นกัน. (ลูกา 8:10; มัดธาย 13:11) ไม่มีอาวุธใด แม้แต่การโจมตีด้วยนิวเคลียร์ก็ไม่สามารถคุกคามและโค่นล้มรัฐบาลฝ่ายสวรรค์นี้ได้. นี่เป็นรัฐบาลที่ไม่มีใครพิชิตได้และจะทำให้พระประสงค์ของพระยะโฮวาที่มีต่อรัฐบาลนี้สำเร็จเป็นจริง.—เฮ็บราย 12:28.
ราชอาณาจักรของพระเจ้ามีตัวแทนที่วางใจได้บนแผ่นดินโลก.
เราทราบเรื่องนี้อย่างไร? บทเพลงสรรเสริญ 45:16 (ล.ม.) กล่าวว่า “ท่านจะแต่งตั้ง . . . เจ้าชายทั่วแผ่นดินโลก.” “ท่าน” ในคำพยากรณ์นี้คือพระบุตรของพระเจ้า. (บทเพลงสรรเสริญ 45:6, 7; เฮ็บราย 1:7, 8) ฉะนั้น พระเยซูคริสต์เองจะทรงแต่งตั้งตัวแทนที่เป็นดุจเจ้าชาย. เราแน่ใจได้ว่าพวกเขาจะปฏิบัติตามการชี้นำของพระองค์อย่างซื่อสัตย์. แม้แต่ในทุกวันนี้ ผู้ชายที่มีคุณวุฒิซึ่งรับใช้ฐานะผู้ปกครองในประชาคมคริสเตียนก็ได้รับการสอนไม่ให้ “กดขี่บังคับบัญชา” เพื่อนร่วมความเชื่อของเขา แต่ให้ปกป้อง, ให้ความสดชื่น, และปลอบโยนพวกเขา.—มัดธาย 20:25-28; ยะซายา 32:2.
ราชอาณาจักรมีประชากรที่ชอบธรรม.
พวกเขาเป็นคนไร้ข้อตำหนิและซื่อตรงในสายพระเนตรของพระเจ้า. (สุภาษิต 2:21, 22) คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “คนทั้งหลายที่มีใจถ่อมลงจะได้แผ่นดินเป็นมฤดก, และเขาจะชื่นชมยินดีด้วยความสงบสุขอันบริบูรณ์.” (บทเพลงสรรเสริญ 37:11) ประชากรของราชอาณาจักรเป็นคนที่อ่อนน้อม นั่นคือ ว่านอนสอนง่ายและถ่อมใจ สุภาพและอ่อนโยน. ความสนใจอันดับแรกของพวกเขาคือเรื่องฝ่ายวิญญาณ. (มัดธาย 5:3) พวกเขาต้องการทำสิ่งที่ถูกต้องและตอบรับการชี้นำของพระเจ้า.
ราชอาณาจักรของพระเจ้าปกครองโดยกฎหมายที่เหนือกว่า.
กฎหมายและหลักการที่ใช้ปกครองราชอาณาจักรนั้นมาจากพระยะโฮวาพระเจ้าเอง. แทนที่จะเข้มงวดอย่างไม่เป็นธรรมกับเรา กฎหมายเหล่านั้นเป็นประโยชน์ต่อเรา. (บทเพลงสรรเสริญ 19:7-11) ผู้คนมากมายได้รับประโยชน์อยู่แล้วจากการดำเนินชีวิตตามข้อเรียกร้องอันชอบธรรมของพระยะโฮวา. ตัวอย่างเช่น การเอาใจใส่ฟังคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิลสำหรับสามี, ภรรยา, และบุตรทำให้ชีวิตครอบครัวของเราดีขึ้น. (เอเฟโซ 5:33–6:3) เมื่อเราเชื่อฟังพระบัญชาที่ให้ “สวมความรัก” ความสัมพันธ์ของเรากับคนอื่นก็ดีขึ้น. (โกโลซาย 3:13, 14) ขณะที่เราดำเนินชีวิตตามหลักพระคัมภีร์ เรายังปลูกฝังนิสัยที่ดีในการทำงานและทัศนะที่สมดุลในเรื่องเงินด้วย. (สุภาษิต 13:4; 1 ติโมเธียว 6:9, 10) การหลีกเลี่ยงการเมาเหล้า, การผิดศีลธรรมทางเพศ, ยาสูบ, และยาเสพติดช่วยรักษาสุขภาพของเรา.—สุภาษิต 7:21-23; 23:29, 30; 2 โกรินโธ 7:1.
ราชอาณาจักรของพระเจ้าคือรัฐบาลที่พระเจ้าทรงแต่ง
ตั้ง. พระมหากษัตริย์ของราชอาณาจักรนั้น ซึ่งก็คือพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮา และผู้ร่วมปกครองกับพระองค์ทั้งหมดมีหน้าที่รับผิดชอบต่อพระเจ้าที่จะสนับสนุนกฎหมายอันเที่ยงธรรมและหลักการที่เปี่ยมด้วยความรักของพระองค์. ประชากรของราชอาณาจักร รวมทั้งตัวแทนทางแผ่นดินโลก มีความยินดีในการดำเนินชีวิตตามกฎหมายของพระเจ้า. ด้วยเหตุนี้ ผู้ปกครองและประชากรของราชอาณาจักรจึงให้พระเจ้าอยู่ในความสำคัญอันดับแรก. ฉะนั้น ราชอาณาจักรเป็นการปกครองตามระบอบของพระเจ้าอย่างแท้จริง นั่นคือปกครองโดยพระเจ้า. จุดประสงค์ที่ราชอาณาจักรถูกตั้งขึ้นจะบรรลุผลสำเร็จอย่างแน่นอน. แต่เมื่อไรที่ราชอาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งเป็นที่รู้จักด้วยว่าราชอาณาจักรมาซีฮาเริ่มต้นการปกครอง?การปกครองของราชอาณาจักรเริ่มต้น
กุญแจไขความเข้าใจเรื่องที่ว่าราชอาณาจักรเริ่มต้นปกครองเมื่อไรนั้นพบได้ในคำตรัสของพระเยซู. พระองค์ตรัสว่า “คนต่างประเทศจะเหยียบย่ำกรุงยะรูซาเลม, จนกว่าเวลากำหนดของคนต่างประเทศนั้นจะครบถ้วน.” (ลูกา 21:24) กรุงเยรูซาเลมเป็นเมืองเดียวเท่านั้นในโลกที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับพระนามของพระเจ้า. (1 กษัตริย์ 11:36; มัดธาย 5:35) กรุงนี้เป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรทางแผ่นดินโลกที่พระเจ้าทรงพอพระทัย. เมืองนี้จะถูกเหยียบย่ำโดยคนต่างประเทศในแง่ที่ว่าการปกครองของพระเจ้าเหนือประชาชนของพระองค์ได้ถูกขัดจังหวะโดยรัฐบาลทางโลก. เหตุการณ์นี้จะเริ่มต้นเมื่อไร?
มีการแจ้งแก่กษัตริย์องค์สุดท้ายที่ประทับบนพระที่นั่งของพระยะโฮวาในกรุงเยรูซาเลมว่า “จงปลดผ้าโพกและถอดมงกุฎออกเสีย. . . . จะไม่มีเลยจนกว่าผู้มีสิทธิ์อันชอบธรรมจะมาถึงและเราจะประทานให้แก่ท่านผู้นั้น.” (ยะเอศเคล 21:25-27, ฉบับแปลใหม่) จะมีการถอดมงกุฎออกจากพระเศียรของกษัตริย์ และการปกครองของพระเจ้าเหนือประชาชนของพระองค์จะถูกขัดจังหวะ. เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นในปี 607 ก่อนสากลศักราช เมื่อชาวบาบิโลนทำลายกรุงเยรูซาเลม. ระหว่าง “เวลากำหนด” ที่จะดำเนินต่อไปนั้น พระเจ้าจะไม่มีรัฐบาลบนแผ่นดินโลกที่จะเป็นตัวแทนการปกครองของพระองค์. ต่อเมื่อถึงตอนจบของช่วงเวลาดังกล่าวเท่านั้น พระยะโฮวาจึงจะประทานอำนาจที่จะปกครองแก่ “ผู้มีสิทธิ์อันชอบธรรม” ซึ่งก็คือพระเยซูคริสต์. ช่วงเวลานั้นจะนานเท่าไร?
คำพยากรณ์ในพระธรรมดานิเอลกล่าวว่า “จงโค่นต้นไม้นั้นลงและทำลายเสีย; แต่ก็โค่นให้เหลือตอติดดินไว้, และให้สวมปลอกเหล็กและทองเหลือง [“ทองแดง,” ล.ม.] เสีย . . . จนครบเจ็ดปี [“วาระ,” ฉบับแปลใหม่].” (ดานิเอล 4:23) ดังที่เราจะเห็น “เจ็ดวาระ” ที่กล่าวถึงในที่นี้มีระยะเวลาเท่ากับ “เวลากำหนดของคนต่างประเทศ.”
ในคัมภีร์ไบเบิล บุคคล, ผู้ปกครอง, และอาณาจักรต่าง ๆ บางครั้งมีต้นไม้เป็นภาพเล็งถึง. (บทเพลงสรรเสริญ 1:3; ยิระมะยา 17:7, 8; ยะเอศเคลบท 31) ต้นไม้ที่มีความหมายเป็นนัยนี้ “มองเห็นได้จนกะทั่งจากปลายแผ่นดินโลก.” (ดานิเอล 4:11) ด้วยเหตุนี้ การปกครองที่มีต้นไม้เป็นภาพเล็งถึงซึ่งได้ถูกโค่นลงและสวมปลอกไว้ที่มีขอบเขตจนถึง “ปลายพิภพโลก” (ดานิเอล 4:17, 20, 22) จึงครอบคลุมอาณาจักรทั้งหมดของมนุษยชาติ. ฉะนั้น ต้นไม้จึงเป็นภาพเล็งถึงการปกครองสูงสุดของพระเจ้า โดยเฉพาะในความเกี่ยวพันกับแผ่นดินโลก. มีการสำแดงการปกครองนี้ชั่วระยะเวลาหนึ่งผ่านทางอาณาจักรที่พระยะโฮวาทรงตั้ง ขึ้นเหนือชาติอิสราเอล. ต้นไม้ที่เป็นนัยถูกตัดลง และมีการเอาปลอกเหล็กและปลอกทองแดงมาสวมตอไว้เพื่อป้องกันมิให้ต้นนั้นงอกขึ้น. นี่บ่งชี้ว่าการปกครองของผู้ที่เป็นตัวแทนของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกได้ยุติการดำเนินงาน ดังที่ได้เกิดขึ้นในปี 607 ก่อน ส.ศ.—แต่ไม่ใช่โดยไม่มีเวลากำหนด. ต้นไม้จะถูกสวมปลอกไว้จนกระทั่ง “เจ็ดวาระ” ได้ผ่านพ้นไป. ในตอนจบของช่วงเวลานั้น พระยะโฮวาจะทรงมอบการปกครองให้พระเยซูคริสต์รัชทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมาย. เห็นได้ชัด “เจ็ดวาระ” และ “เวลากำหนดของคนต่างประเทศ” หมายถึงช่วงเวลาเดียวกัน.
คัมภีร์ไบเบิลช่วยเราให้ทราบว่า “เจ็ดวาระ” นานเท่าไร. พระคัมภีร์แสดงว่า 1,260 วันเท่ากับ “วารหนึ่งและสองวารและครึ่งวาร” รวมเป็นสามวาระครึ่ง. (วิวรณ์ 12:6, 14, ฉบับแปลใหม่) นี่หมายความว่าจำนวนนี้คูณด้วยสอง หรือเจ็ดวาระคือ 2,520 วัน.
เมื่อเรานับจากปี 607 ก่อน ส.ศ. ไป 2,520 วันตามตัวอักษร เราก็มาถึงปี 600 ก่อน ส.ศ. อย่างไรก็ดี เจ็ดวาระนานกว่านั้นมากนัก. ช่วงเวลาดังกล่าวยังคงดำเนินอยู่คราวที่พระเยซูตรัสถึง “เวลากำหนดของคนต่างประเทศ.” เพราะฉะนั้น เจ็ดวาระจึงเป็นช่วงเวลาเชิงพยากรณ์. เนื่องจากเหตุนี้ เราต้องนำกฎของพระคัมภีร์มาใช้ที่ว่า “เอาวันเป็นปี.” (อาฤธโม 14:34; ยะเอศเคล 4:6) ในกรณีดังกล่าว เจ็ดวาระของการครอบครองแผ่นดินโลกโดยอำนาจทางโลกโดยที่พระเจ้าไม่เข้าแทรกแซงจึงเท่ากับ 2,520 ปี. เมื่อนับจากปี 607 ก่อน ส.ศ. ไป 2,520 ปี เราก็มาถึงปี ส.ศ. 1914. นั่นเป็นปีที่ “เวลากำหนดของคนต่างประเทศ” หรือเจ็ดวาระได้สิ้นสุดลง. นี่หมายความว่าพระเยซูคริสต์ได้เริ่มต้นปกครองฐานะพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าในปี 1914.
“ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่”
เนื่องจากราชอาณาจักรมาซีฮาได้สถาปนาขึ้นแล้วในสวรรค์ เรายังควรอธิษฐานขอให้ราชอาณาจักรนั้นมา ดังที่พระเยซูทรงสอนไว้ในคำอธิษฐานแบบอย่างนั้นไหม? (มัดธาย 6:9, 10) ใช่แล้ว. คำอ้อนวอนดังกล่าวนับว่าเหมาะสมและยังคงเป็นคำทูลขอที่ชอบด้วยเหตุผลอยู่. ในไม่ช้าราชอาณาจักรของพระเจ้าจะแสดงอำนาจครบถ้วนเหนือแผ่นดินโลกนี้.
มนุษยชาติที่ซื่อสัตย์จะประสบพระพรสักเพียงไรเมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น! คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “พระเจ้าเองจะดำรงอยู่กับเขา . . . และพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุก ๆ หยดจากตาของเขา ความตายจะไม่มีต่อไป การคร่ำครวญและร้องไห้และการเจ็บปวดอย่างหนึ่งอย่างใดจะไม่มีอีกเลย เพราะเหตุการณ์ที่ได้มีอยู่แต่ดั้งเดิมนั้นได้ล่วงพ้นไปแล้ว.” (วิวรณ์ 21:3, 4) ในตอนนั้น “จะไม่มีใครที่อาศัยอยู่ที่นั่นพูดว่า, ‘ข้าพเจ้าป่วยอยู่.’” (ยะซายา 33:24) คนเหล่านั้นที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัยจะได้รับชีวิตนิรันดร์. (โยฮัน 17:3) ขณะที่เราคอยท่าความสำเร็จเป็นจริงของคำพยากรณ์อันยอดเยี่ยมเหล่านี้และคำพยากรณ์อื่น ๆ ในคัมภีร์ไบเบิล ขอให้เรา “แสวงหาราชอาณาจักรและความชอบธรรมของ [พระเจ้า] ก่อนเสมอไป.”—มัดธาย 6:33, ล.ม.
^ วรรค 10 กษัตริย์ดาวิดแห่งอิสราเอลโบราณได้ยึดป้อมบนภูเขาซีโอนทางแผ่นดินโลกจากพวกเยบุสและตั้งเป็นเมืองหลวงของท่าน. (2 ซามูเอล 5:6, 7, 9) ท่านยังได้ย้ายหีบสัญญาไมตรีอันศักดิ์สิทธิ์ไปที่นั่นด้วย. (2 ซามูเอล 6:17) เนื่องจากหีบสัญญาไมตรีเกี่ยวข้องกับการประทับของพระยะโฮวา จึงมีการกล่าวถึงซีโอนว่าเป็นสถานที่พำนักของพระเจ้า ทำให้ซีโอนเป็นสัญลักษณ์ที่เหมาะสมสำหรับสวรรค์.—เอ็กโซโด 25:22; เลวีติโก 16:2; บทเพลงสรรเสริญ 9:11; วิวรณ์ 11:19.