จงพัฒนาคุณลักษณะที่ช่วยคุณสอนคนให้เป็นสาวก
จงพัฒนาคุณลักษณะที่ช่วยคุณสอนคนให้เป็นสาวก
“จงไปสอนคนจากทุกชาติให้เป็นสาวก.”—มัดธาย 28:19.
1. ผู้รับใช้ของพระเจ้าบางคนในอดีตจำเป็นต้องมีความสามารถและทัศนคติเช่นไร?
บางครั้งผู้รับใช้ของพระยะโฮวาต้องพัฒนาความสามารถและเจตคติที่จะช่วยพวกเขาให้ทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์. ตัวอย่างเช่น เมื่อพระเจ้าทรงบัญชา อับราฮามและซาราห์ได้ออกจากเมืองอูร์ที่เจริญรุ่งเรือง และในที่สุดจำเป็นต้องพัฒนาคุณลักษณะและความสามารถอย่างที่ผู้อยู่อาศัยในเต็นท์จำเป็นต้องมี. (ฮีบรู 11:8, 9, 15) เพื่อจะสามารถนำชาติอิสราเอลเข้าสู่แผ่นดินที่ทรงสัญญา ยะโฮซูอะจำเป็นต้องมีความกล้าหาญ, ความเชื่อมั่นในพระยะโฮวา, และความรู้เกี่ยวกับพระบัญญัติของพระองค์. (ยะโฮซูอะ 1:7-9) และแม้ว่าบะซาเล็ลและอาโฮลีอาบอาจมีความชำนาญด้านช่างอยู่แล้วขนาดไหนก็ตาม พระวิญญาณของพระเจ้าได้ช่วยเสริมให้คนทั้งสองมีความชำนาญมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน เพื่อเขาจะสามารถช่วยสร้างพลับพลาและงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้สำเร็จอย่างดี.—เอ็กโซโด 31:1-11.
2. เราจะพิจารณาคำถามอะไรซึ่งเกี่ยวข้องกับงานสอนคนให้เป็นสาวก?
2 หลายศตวรรษต่อมา พระเยซูคริสต์ทรงบัญชาเหล่าสาวกว่า “จงไปสอนคนจากทุกชาติให้เป็นสาวก . . . สอนพวกเขาให้ปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เราสั่งพวกเจ้าไว้.” (มัดธาย 28:19, 20) ไม่เคยมีใครได้รับสิทธิพิเศษในการทำงานที่ใหญ่โตแบบนี้มาก่อน. คุณลักษณะอะไรบ้างที่จำเป็นต้องใช้ในงานสอนคนให้เป็นสาวก? เราจะพัฒนาคุณลักษณะเหล่านั้นได้โดยวิธีใด?
แสดงความรักอันลึกซึ้งต่อพระเจ้า
3. พระบัญชาที่ให้เราสอนคนให้เป็นสาวกเปิดโอกาสอะไรแก่เรา?
3 การเข้าไปพูดคุยกับผู้คนและพยายามเชิญชวนพวกเขาให้นมัสการพระเจ้าองค์เที่ยงแท้เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความรักอันลึกซึ้งที่เรามีต่อพระยะโฮวา. ชาวอิสราเอลสามารถพิสูจน์ว่าพวกเขารักพระเจ้าด้วยการเชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์อย่างสุดหัวใจ, ถวายเครื่องบูชาที่พระองค์ทรงยอมรับ, และยกย่องเชิดชูพระองค์ด้วยบทเพลง. (พระบัญญัติ 10:12, 13; 30:19, 20; บทเพลงสรรเสริญ 21:13; 96:1, 2; 138:5) ในฐานะผู้สอนคนให้เป็นสาวก เราปฏิบัติตามกฎหมายของพระเจ้าด้วย แต่นอกจากนั้นแล้วเรายังแสดงความรัก ต่อพระยะโฮวาโดยบอกคนอื่น ๆ เกี่ยวกับพระองค์และพระประสงค์ของพระองค์อีกด้วย. เราจำเป็นต้องพูดด้วยความเชื่อมั่น เลือกคำพูดที่เหมาะสมเพื่อแสดงความรู้สึกจากใจจริงของเราเกี่ยวกับความหวังที่พระเจ้าประทานแก่เรา.—1 เทสซาโลนิเก 1:5; 1 เปโตร 3:15.
4. เหตุใดพระเยซูทรงชื่นชมยินดีในการสอนผู้คนเกี่ยวกับพระยะโฮวา?
4 เนื่องจากพระเยซูทรงมีความรักอันลึกซึ้งต่อพระยะโฮวา พระองค์ทรงยินดีอย่างยิ่งเมื่อตรัสถึงเรื่องพระประสงค์ของพระเจ้า, ราชอาณาจักร, และการนมัสการแท้. (ลูกา 8:1; โยฮัน 4:23, 24, 31) ที่จริง พระเยซูตรัสว่า “อาหารของเราคือการทำตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาและทำการของพระองค์ให้สำเร็จ.” (โยฮัน 4:34) ถ้อยคำต่อไปนี้ของผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญเล็งถึงพระเยซู: “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า, ข้าพเจ้ายินดีที่จะประพฤติตามน้ำพระทัยของพระองค์; แท้จริงพระบัญญัติของพระองค์อยู่ในใจของข้าพเจ้า. ข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวให้ชื่นชมยินดีถึงความชอบธรรมในที่ชุมนุมใหญ่; ข้าแต่พระยะโฮวา, พระองค์ทรงทราบแล้วว่า, ข้าพเจ้าจะไม่ปิดริมฝีปากของข้าพเจ้าเลย.”—บทเพลงสรรเสริญ 40:8, 9; ฮีบรู 10:7-10.
5, 6. คุณลักษณะสำคัญที่ผู้สอนคนให้เป็นสาวกต้องมีคืออะไร?
5 โดยได้รับแรงกระตุ้นจากความรักต่อพระเจ้า คนใหม่ ๆ ที่เพิ่งเรียนรู้ความจริงในคัมภีร์ไบเบิลบางครั้งพูดเกี่ยวกับพระยะโฮวาและราชอาณาจักรด้วยความเชื่อมั่นอย่างยิ่งจนคำพูดของเขามีน้ำหนักมากทีเดียวในการเชิญชวนคนอื่น ๆ ให้พิจารณาพระคัมภีร์. (โยฮัน 1:41) ความรักต่อพระเจ้าเป็นปัจจัยหลักที่กระตุ้นเราให้ร่วมในงานสอนคนให้เป็นสาวก. ด้วยเหตุนั้น ให้เรารักษาความรักนั้นไว้เสมอโดยอ่านและคิดรำพึงพระคำของพระเจ้าเป็นประจำ.—1 ติโมเธียว 4:6, 15; วิวรณ์ 2:4.
6 ไม่มีข้อสงสัยเลยว่า ความรักต่อพระยะโฮวาช่วยพระเยซูคริสต์ให้เป็นครูที่มีใจแรงกล้า. แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลเพียงอย่างเดียวที่ทำให้พระองค์เป็นผู้ประกาศราชอาณาจักรที่มีประสิทธิภาพ. ถ้าอย่างนั้น คุณลักษณะอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้พระเยซูเป็นผู้สอนคนให้เป็นสาวกที่ประสบความสำเร็จคืออะไร?
แสดงความห่วงใยรักใคร่ต่อผู้คน
7, 8. พระเยซูทรงมีทัศนะอย่างไรต่อผู้คน?
7 พระเยซูทรงห่วงใยและแสดงความสนใจอย่างยิ่งต่อผู้คน. แม้แต่ในช่วงก่อนที่พระองค์จะลงมาเป็นมนุษย์ ในฐานะ “นายช่าง” ของพระเจ้า พระองค์ทรงรักสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับมนุษยชาติ. (สุภาษิต 8:30, 31, ฉบับแปลใหม่) เมื่อทรงมาเป็นมนุษย์บนแผ่นดินโลก พระเยซูทรงเมตตาสงสารประชาชนและทรงทำให้คนที่มาหาพระองค์ได้รับความสดชื่น. (มัดธาย 11:28-30) พระเยซูทรงสะท้อนให้เห็นถึงความรักและความเมตตาสงสารของพระยะโฮวา และนั่นดึงดูดผู้คนให้นมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว. คนทุกชนิดฟังพระเยซูเพราะพระองค์ทรงแสดงความห่วงใยรักใคร่ต่อพวกเขาและทรงคำนึงถึงสภาพการณ์ของพวกเขา.—ลูกา 7:36-50; 18:15-17; 19:1-10.
8 เมื่อชายคนหนึ่งถามว่าเขาต้องทำอะไรจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์ “พระเยซูทรงมองดูเขาและทรงรู้สึกรัก.” (มาระโก 10:17-21) เราอ่านเกี่ยวกับบางคนที่พระเยซูทรงสอนที่หมู่บ้านเบทาเนียว่า “พระเยซูทรงรักมาร์ทากับน้องสาวและลาซะโรด้วย.” (โยฮัน 11:1, 5) พระเยซูทรงเป็นห่วงผู้คนมากถึงขนาดที่พระองค์ทรงงดการพักผ่อนที่จำเป็นสำหรับพระองค์เองเพื่อจะสอนพวกเขา. (มาระโก 6:30-34) ความห่วงใยรักใคร่อันลึกซึ้งเช่นนั้นที่ทรงมีต่อเพื่อนมนุษย์ทำให้พระเยซูทรงสามารถดึงดูดผู้คนให้มายังการนมัสการแท้มากยิ่งกว่าใคร ๆ.
9. เปาโลมีเจตคติเช่นไรในฐานะผู้สอนคนให้เป็นสาวก?
9 อัครสาวกเปาโลก็มีความห่วงใยอย่างลึกซึ้งต่อผู้คนที่ท่านประกาศเช่นเดียวกัน. ตัวอย่างเช่น ท่านบอกคนที่เข้ามาเป็นคริสเตียนในเมืองเทสซาโลนิเกว่า “เรารักพวกท่านอย่างยิ่ง เราจึงยินดีจะให้พวกท่านไม่เพียงแต่ข่าวดีของพระเจ้าเท่านั้น แต่ชีวิตของเราด้วย เพราะว่าพวกท่านเป็นที่รักของเรา.” ความพยายามอันเปี่ยมด้วยความรักของเปาโลยังผลให้บางคนในเมืองเทสซาโลนิเก ‘หันหนีจากรูปเคารพเพื่อเป็นทาสของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่.’ (1 เทสซาโลนิเก 1:9; 2:8) หากเรามีความห่วงใยแท้จริงต่อผู้คน เหมือนกับพระเยซูและเปาโล เราเองก็อาจมีความยินดีที่เห็นข่าวดีเข้าถึงหัวใจของคนเหล่านั้นที่ “เต็มใจตอบรับความจริงซึ่งทำให้ได้ชีวิตนิรันดร์.”—กิจการ 13:48.
แสดงน้ำใจเสียสละ
10, 11. เหตุใดจึงจำเป็นต้องมีน้ำใจเสียสละเมื่อเราพยายามสอนคนให้เป็นสาวก?
10 ผู้สอนคนให้เป็นสาวกที่มีประสิทธิภาพมีน้ำใจเสียสละ. เป็นเรื่องแน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทัศนะว่าความมั่งคั่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด. ที่จริง พระเยซูทรงบอกเหล่าสาวกว่า “คนมีเงินจะเข้าราชอาณาจักรของพระเจ้าก็ยากนัก!” เหล่าสาวกประหลาดใจที่ได้ยินอย่างนั้น แต่พระเยซูตรัสต่อไปอีกว่า “ลูกเอ๋ย ที่จะเข้าราชอาณาจักรของพระเจ้าก็ยากนัก! อูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าราชอาณาจักรของพระเจ้า.” (มาระโก 10:23-25) พระเยซูทรงสนับสนุนให้เหล่าสาวกใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายเพื่อพวกเขาจะมุ่งสนใจในงานสอนคนให้เป็นสาวก. (มัดธาย 6:22-24, 33) เหตุใดน้ำใจเสียสละช่วยเราในงานสอนคนให้เป็นสาวก?
11 การสอนทุกสิ่งที่พระเยซูทรงบัญชาไว้ต้องอาศัยความพยายามอย่างมาก. ผู้สอนคนให้เป็นสาวกโดยทั่วไปแล้วพยายามอย่างมากเพื่อจะนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับผู้สนใจทุก ๆ สัปดาห์. เพื่อเพิ่มโอกาสจะพบคนที่มีหัวใจสุจริต ผู้ประกาศราชอาณาจักรบางคนได้เปลี่ยนจากงานเต็มเวลามาทำงานไม่เต็มเวลา. คริสเตียนมากมายได้เรียนอีกภาษาหนึ่งเพื่อจะประกาศกับกลุ่มคนอีกเชื้อชาติหนึ่งซึ่งอยู่ในเขตของพวกเขา. ผู้สอนคนให้เป็นสาวกคนอื่น ๆ ได้จากบ้าน ย้ายไปอยู่ในอีกเขตหนึ่งหรืออีกประเทศหนึ่งเพื่อร่วมในงานเก็บเกี่ยวเต็มที่ยิ่งขึ้น. (มัดธาย 9:37, 38) ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยน้ำใจเสียสละ. แต่จำเป็นต้องอาศัยอะไรบางอย่างมากกว่านี้เพื่อจะเป็นผู้สอนคนให้เป็นสาวกที่มีประสิทธิภาพ.
อดทน แต่อย่าเสียเวลา
12, 13. เหตุใดความเพียรอดทนจึงสำคัญมากในการสอนคนให้เป็นสาวก?
12 ความอดทนเป็นคุณลักษณะอีกอย่างหนึ่งที่ช่วยเราในการสอนคนให้เป็นสาวก. ข่าวสารของคริสเตียนที่เราประกาศเรียกร้องให้ลงมือทำโดยเร่งด่วน แต่การสอนคนให้เป็นสาวกมักต้องใช้เวลามากและจำเป็นต้องอดทน. (1 โครินท์ 7:29) พระเยซูทรงอดทนต่อยาโกโบน้องชายร่วมมารดาของพระองค์. แม้ดูเหมือนว่ายาโกโบคุ้นเคยดีกับงานประกาศของพระเยซู แต่มีบางสิ่งที่ยับยั้งเขาไว้จึงยังไม่ได้เข้ามาเป็นสาวกของพระองค์อยู่ระยะหนึ่ง. (โยฮัน 7:5) อย่างไรก็ตาม ในช่วงสั้น ๆ ระหว่างการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์กับวันเพนเทคอสต์ สากลศักราช 33 มีหลักฐานที่แสดงว่ายาโกโบเข้ามาเป็นสาวก เพราะพระคัมภีร์กล่าวถึงเขาว่าได้มาพบเพื่อจะอธิษฐานด้วยกันกับมารดาของเขา, พวกพี่น้อง, และเหล่าอัครสาวก. (กิจการ 1:13, 14) ยาโกโบทำความก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างดี และภายหลังได้รับเอาหน้าที่รับผิดชอบหนักในประชาคมคริสเตียน.—กิจการ 15:13; 1 โครินท์ 15:7.
13 เช่นเดียวกับกสิกร คริสเตียนกำลังเพาะสิ่งที่บ่อยครั้งเติบโตช้า ๆ ซึ่งได้แก่ความเข้าใจในพระคำของพระเจ้า, ความรักต่อพระยะโฮวา, และน้ำใจแบบพระคริสต์. การทำอย่างนี้ต้องอาศัยความเพียรอดทน. ยาโกโบเขียนดังนี้: “พี่น้องทั้งหลาย จงอดทนรอจนถึงเวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จประทับ. กสิกรเฝ้าคอยพืชผลอันล้ำค่าจากแผ่นดินโดยอดทนรอจนกว่าฝนต้นฤดูกับฝนปลายฤดูจะมา. ท่านทั้งหลายจงอดทนรอเช่นกัน จงทำใจให้มั่นคง เพราะการประทับขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาใกล้แล้ว.” (ยาโกโบ 5:7, 8) ยาโกโบกำลังกระตุ้นเพื่อนร่วมความเชื่อให้ “อดทนรอจนถึงเวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จประทับ.” เมื่อเหล่าสาวกไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง พระเยซูทรงอธิบายหรือไม่ก็ยก ตัวอย่างเปรียบเทียบอย่างอดทน. (มัดธาย 13:10-23; ลูกา 19:11; 21:7; กิจการ 1:6-8) ตอนนี้ ในเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จประทับแล้ว เราจำเป็นต้องเพียรอดทนคล้าย ๆ กันนั้นขณะที่เราพยายามสอนคนให้เป็นสาวก. คนที่เข้ามาเป็นสาวกของพระเยซูในสมัยของเราจำเป็นต้องได้รับการสอนอย่างอดทน.—โยฮัน 14:9.
14. แม้ว่าเรามีความอดทน แต่เราจะใช้เวลาของเราอย่างฉลาดสุขุมในการสอนคนให้เป็นสาวกได้โดยวิธีใด?
14 แม้ว่าเรามีความเพียรอดทน แต่คุณสมบัตินี้ก็ไม่ได้ทำให้เกิดผลกับคนส่วนใหญ่ที่เริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับเรา. (มัดธาย 13:18-23) ด้วยเหตุนั้น หลังจากที่ได้พยายามช่วยคนเหล่านี้มากพอสมควร คงดีกว่าที่เราจะไม่เสียเวลากับเขา และพยายามหาคนที่น่าจะเห็นคุณค่าของความจริงในคัมภีร์ไบเบิลมากกว่า. (ท่านผู้ประกาศ 3:1, 6) แน่นอน แม้แต่คนที่เห็นคุณค่าของความจริงก็อาจจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องเพื่อจะเปลี่ยนแปลงทัศนะ, เจตคติ, และสิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรกในชีวิตของเขา. ดังนั้น เราจึงอดทน เช่นเดียวกับที่พระเยซูทรงอดทนกับเหล่าสาวกที่มีปัญหาในการพัฒนาเจตคติที่ถูกต้อง.—มาระโก 9:33-37; 10:35-45.
พัฒนาศิลปะในการสอน
15, 16. เหตุใดความเรียบง่ายและการเตรียมตัวที่ดีจึงสำคัญเมื่อเราสอนคนให้เป็นสาวก?
15 ความรักต่อพระเจ้า, ความห่วงใยต่อผู้คน, น้ำใจเสียสละ, และความเพียรอดทนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการสอนคนให้เป็นสาวก. นอกจากนั้นแล้ว จำเป็นต้องพัฒนาความชำนาญในการสอนด้วย เพราะนั่นจะช่วยให้เราสามารถอธิบายเรื่องต่าง ๆ อย่างไม่ซับซ้อนและชัดเจน. ตัวอย่างเช่น คำตรัสมากมายของพระเยซูคริสต์ครูผู้ยิ่งใหญ่มีพลังเป็นพิเศษเพราะความเรียบง่ายของคำตรัสเหล่านั้น. คุณคงนึกออกถึงคำตรัสของพระเยซูอย่างเช่น “จงสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนในสวรรค์.” “อย่าให้สิ่งบริสุทธิ์แก่สุนัข.” “สติปัญญาก็ได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องโดยผลของสติปัญญานั้นเอง.” “ของของซีซาร์จงคืนให้ซีซาร์ แต่ของของพระเจ้าจงคืนให้พระเจ้า.” (มัดธาย 6:20; 7:6; 11:19; 22:21) แน่นอน พระเยซูไม่ได้ตรัสเฉพาะข้อความสั้น ๆ เท่านั้น. พระองค์ทรงสอนอย่างชัดเจนและอธิบายเรื่องต่าง ๆ เมื่อเหมาะสมที่จะทำอย่างนั้น. คุณจะทำตามแบบอย่างวิธีการสอนของพระเยซูได้อย่างไร?
16 การเตรียมตัวอย่างดีเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สอนได้อย่างเรียบง่ายและชัดเจน. ผู้ประกาศที่ขาดการเตรียมตัวมักพูดมากเกินไป. ผลก็คือเขาอาจทำให้ผู้ฟังมองไม่เห็นจุดสำคัญด้วยการพูดในลักษณะน้ำท่วมทุ่ง คือพูดทุกสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับเรื่องนั้น. ในทางตรงกันข้าม ผู้ประกาศที่เตรียมตัวอย่างดีจะคิดเกี่ยวกับคนที่เขากำลังสอน, ใคร่ครวญหัวข้อ, และเสนอเรื่องอย่างชัดเจนเฉพาะสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น. (สุภาษิต 15:28; 1 โครินท์ 2:1, 2) เขาจะพิจารณาว่านักศึกษารู้มากน้อยแค่ไหนแล้วและควรเน้นจุดใดบ้างในการศึกษา. ผู้ประกาศอาจรู้รายละเอียดที่น่าสนใจหลายอย่างเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่คำพูดของเราจะชัดเจนขึ้นเมื่อตัดข้อมูลที่ไม่จำเป็นทิ้งไป.
17. เราจะช่วยผู้คนให้หาเหตุผลในเรื่องพระคัมภีร์ได้โดยวิธีใด?
17 นอกจากนั้น พระเยซูทรงช่วยผู้คนให้หาเหตุผล แทนที่จะเพียงแต่ให้ข้อเท็จจริงต่าง ๆ แก่พวกเขา. ตัวอย่างเช่น ในโอกาสหนึ่งพระองค์ทรงถามว่า “ซีโมน เจ้าคิดอย่างไร? กษัตริย์ทั้งหลายเก็บภาษีอากรจากผู้ใด? จากโอรสหรือจากผู้อื่น?” (มัดธาย 17:25) เราอาจชอบอธิบายพระคัมภีร์มาก แต่เราต้องควบคุมตัวเองเพื่อให้นักศึกษาได้มีโอกาสแสดงความรู้สึกของตนเองหรืออธิบายเรื่องที่กำลังพิจารณากันระหว่างที่เราศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับเขา. แน่นอน เราไม่ควรทำให้นักศึกษาสับสนด้วยการตั้งคำถามมากมาย. แทนที่จะ ทำอย่างนั้น โดยใช้ตัวอย่างที่เหมาะสมอย่างผ่อนหนักผ่อนเบาและใช้คำถามที่ไตร่ตรองอย่างดี เราสามารถช่วยพวกเขาให้เข้าใจจุดต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ที่มีอยู่ในหนังสือของเราซึ่งอาศัยคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลัก.
18. การพัฒนา “ศิลปะในการสอน” เกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง?
18 พระคัมภีร์กล่าวถึง “ศิลปะในการสอน.” (2 ติโมเธียว 4:2; ทิทุส 1:9) ความสามารถในการสอนเช่นนั้นไม่ได้หมายถึงแค่ช่วยบางคนให้จำข้อเท็จจริงต่าง ๆ. เราควรพยายามช่วยนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลให้เข้าใจความแตกต่างระหว่างความจริงกับความเท็จ, สิ่งที่ดีกับสิ่งที่ไม่ดี, สติปัญญากับความเขลา. ขณะที่เราทำอย่างนั้นและบากบั่นพยายามในการปลูกฝังความรักต่อพระยะโฮวาไว้ในหัวใจของคนที่เราสอน เขาก็อาจจะเข้าใจเหตุผลที่ควรเชื่อฟังพระองค์.
จงมีใจแรงกล้าในการสอนคนให้เป็นสาวก
19. คริสเตียนทุกคนมีส่วนช่วยอย่างไรในการสอนคนให้เป็นสาวก?
19 ประชาคมคริสเตียนเป็นองค์การที่สอนคนให้เป็นสาวก. เมื่อคนใหม่เข้ามาเป็นสาวกของพระเยซู พยานพระยะโฮวาที่พบเขาและช่วยเขาเรียนสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลสอนไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่มีเหตุผลจะยินดี. เมื่อผู้คนร่วมมือกันตามหาเด็กหาย อาจมีเพียงคนเดียวในกลุ่มที่หาเด็กคนนั้นพบจริง ๆ. แต่เมื่อเด็กนั้นกลับสู่อ้อมอกพ่อแม่ ทุกคนที่มีส่วนในการค้นหาต่างรู้สึกยินดี. (ลูกา 15:6, 7) คล้ายกัน การสอนคนให้เป็นสาวกเป็นงานที่ทำกันเป็นทีม. คริสเตียนทุกคนร่วมในการค้นหาคนที่อาจเข้ามาเป็นสาวกของพระเยซู. และเมื่อคนใหม่คนหนึ่งเริ่มเข้าร่วมการประชุมที่หอประชุมราชอาณาจักร คริสเตียนทุกคนที่อยู่ที่นั่นมีส่วนช่วยเสริมสร้างให้เขามีความหยั่งรู้ค่าต่อการนมัสการแท้. (1 โครินท์ 14:24, 25) ด้วยเหตุนั้น คริสเตียนทุกคนสามารถชื่นชมยินดีที่มีหลายแสนคนได้รับการช่วยให้เข้ามาเป็นสาวกใหม่ในแต่ละปี.
20. คุณควรทำอะไรหากคุณปรารถนาจะสอนความจริงในคัมภีร์ไบเบิลแก่ผู้อื่น?
20 คริสเตียนที่ซื่อสัตย์จำนวนมากมายยินดีที่จะสอนคนอื่นเกี่ยวกับพระยะโฮวาและการนมัสการแท้. แต่แม้ว่าเขาพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว เขาอาจจะยังไม่สามารถสอนใครบางคนได้. หากเป็นอย่างนั้นกับคุณ ขอให้พยายามต่อ ๆ ไปในการเสริมสร้างความรักที่คุณมีต่อพระยะโฮวาให้มั่นคงยิ่งขึ้น, ห่วงใยผู้คน, เสียสละ, เพียรอดทน, และพยายามเพิ่มความชำนาญในการสอนของคุณ. เหนือสิ่งอื่นใด เมื่อคุณอธิษฐานจงกล่าวถึงความปรารถนาของคุณที่จะสอนความจริง. (ท่านผู้ประกาศ 11:1) ขอให้มีกำลังใจมากขึ้นที่รู้ว่าทุกสิ่งที่คุณทำในการรับใช้พระยะโฮวามีส่วนส่งเสริมงานสอนคนให้เป็นสาวกซึ่งเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า.
คุณอธิบายได้ไหม?
• เหตุใดการสอนคนให้เป็นสาวกจึงเป็นการทดสอบความรักที่เรามีต่อพระเจ้า?
• คุณสมบัติอะไรบ้างที่ผู้สอนคนให้เป็นสาวกจำเป็นต้องมี?
• “ศิลปะในการสอน” เกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 21]
โดยสอนคนให้เป็นสาวก คริสเตียนแสดงความรักอย่างลึกซึ้งต่อพระเจ้า
[ภาพหน้า 23]
เหตุใดผู้สอนคนให้เป็นสาวกต้องสนใจผู้อื่น?
[ภาพหน้า 24]
คุณสมบัติอะไรบ้างที่ผู้สอนคนให้เป็นสาวกจำเป็นต้องมี?
[ภาพหน้า 25]
คริสเตียนทุกคนตื่นเต้นเมื่อเห็นผลที่ดีจากการสอนคนให้เป็นสาวก