จงพูดความจริงกับเพื่อนบ้าน
จงพูดความจริงกับเพื่อนบ้าน
“เมื่อท่านทั้งหลายเลิกพูดมุสาแล้ว ให้พวกท่านแต่ละคนพูดความจริง กับเพื่อนบ้าน.”—เอเฟ. 4:25
1, 2. ผู้คนมากมายมีทัศนะอย่างไรในเรื่องความจริง?
ความจริงเป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันมาช้านาน. ในศตวรรษที่หกก่อนสากลศักราช อัลซีอุส กวีชาวกรีกได้กล่าวไว้ว่า “ความจริงมีอยู่ในเหล้าองุ่น.” คำกล่าวนี้บอกเป็นนัย ๆ ว่าความจริงจะถูกเปิดเผยออกมาก็ต่อเมื่อคนเราดื่มเหล้าองุ่นมากเกินไป เพราะถึงตอนนั้นเขาอาจพูดมากกว่าในยามปกติ. ปอนติอุสปีลาต ผู้ว่าราชการโรมันในศตวรรษแรก ก็แสดงให้เห็นด้วยว่าเขามีทัศนะที่ผิดเพี้ยนในเรื่องความจริง เมื่อเขาถามพระเยซูอย่างเย้ยหยันว่า “ความจริงคืออะไร?”—โย. 18:38
2 ในสมัยของเรา มีทัศนะมากมายหลากหลายที่ขัดแย้งกันในเรื่องความจริง. หลายคนกล่าวว่าคำว่า “ความจริง” มีความหมายได้หลายอย่าง หรือความจริงในความคิดของคนหนึ่งย่อมแตกต่างไปจากอีกคนหนึ่ง. ส่วนคนอื่น ๆ จะพูดความจริงก็ต่อเมื่อสะดวกหรือเป็นประโยชน์สำหรับตัวเองเท่านั้น. หนังสือความสำคัญของการโกหก (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า “ความซื่อสัตย์อาจเป็นอุดมคติที่สูงส่ง แต่ว่ามีค่าน้อยมากในการดิ้นรนอย่างสุดชีวิตเพื่อจะอยู่รอดและมั่นคง. คนเรามีทางเลือกน้อยมากในเรื่องนี้—เขาจำเป็นต้องโกหกเพื่อจะมีชีวิตอยู่ได้.”
3. เหตุใดตัวอย่างของพระเยซูในเรื่องการพูดความจริงจึงนับว่าโดดเด่น?
3 ช่างแตกต่างจริง ๆ เมื่อเทียบกับเหล่าสาวกของพระคริสต์! ทัศนะของพระเยซูในเรื่องความจริงไม่ได้เป็นในเชิงปรัชญา. พระองค์ตรัสความจริงเสมอ. แม้แต่ศัตรูของพระองค์ก็ยังยอมรับว่า “ท่านอาจารย์ พวกเรารู้ว่าท่านพูดแต่ความจริงและสอนทางของพระเจ้าตามความจริง.” (มัด. 22:16) เช่นเดียวกันในปัจจุบัน คริสเตียนแท้ทำตามแบบอย่างของพระเยซู. พวกเขาไม่ลังเลที่จะพูดความจริง. พวกเขาเห็นด้วยอย่างสุดหัวใจกับอัครสาวกเปาโล ซึ่งแนะเตือนเพื่อนร่วมความเชื่อว่า “เมื่อท่านทั้งหลายเลิกพูดมุสาแล้ว ให้พวกท่านแต่ละคนพูดความจริงกับเพื่อนบ้าน.” (เอเฟ. 4:25) ให้เรามาพิจารณาสามแง่มุมในคำพูดของเปาโล. ประการแรก ใครคือเพื่อนบ้านของเรา? ประการที่สอง การพูดความจริงหมายความอย่างไร? และประการที่สาม เราจะใช้เรื่องนี้กับชีวิตประจำวันของเราได้โดยวิธีใด?
ใครคือเพื่อนบ้านของเรา?
4. ไม่เหมือนกับผู้นำชาวยิวในศตวรรษแรก พระเยซูทรงสะท้อนให้เห็นทัศนะของพระยะโฮวาอย่างไรว่าใครคือเพื่อนบ้านของเรา?
4 ในศตวรรษแรกแห่งสากลศักราช ผู้นำชาวยิวบางคนสอนว่าเฉพาะเพื่อนร่วมชาติชาวยิวหรือเพื่อนสนิทเท่านั้นที่เรียกได้ว่าเป็น “เพื่อนบ้าน.” อย่างไรก็ตาม พระเยซูทรงสะท้อนให้เห็นบุคลิกภาพและทัศนะของพระบิดาอย่างสมบูรณ์แบบ. (โย. 14:9) น่าสังเกตว่า พระองค์ทรงแสดงให้เหล่าสาวกเห็นว่าพระเจ้าไม่ทรงโปรดปรานชาติหนึ่งมากกว่าอีกชาติหนึ่ง. (โย. 4:5-26) นอกจากนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังเปิดเผยกับอัครสาวกเปโตรด้วยว่า “พระเจ้าไม่ทรงลำเอียง แต่พระองค์ทรงชอบพระทัยคนที่ยำเกรงพระองค์และประพฤติชอบธรรมไม่ว่าจะเป็นคนชาติใด.” (กิจ. 10:28, 34, 35) ด้วยเหตุนั้น เราควรถือว่าทุกคนเป็นเพื่อนบ้านของเรา และแสดงความรักแม้แต่คนที่วางตัวเป็นศัตรูกับเรา.—มัด. 5:43-45
5. การพูดความจริงกับเพื่อนบ้านหมายความอย่างไร?
5 เปาโลหมายความอย่างไรเมื่อท่านกล่าวว่าเราควรพูดความจริงกับเพื่อนบ้านของเรา? การพูดความจริงหมายรวมถึงการบอกข้อเท็จจริงโดยไม่หลอกลวง. คริสเตียนแท้โรม 12:9) โดยเลียนแบบ “พระเจ้าแห่งความสัตย์จริง” เราควรพยายามเป็นคนซื่อสัตย์และตรงไปตรงมาในทุกสิ่งที่เราพูดและทำ. (เพลง. 15:1, 2; 31:5) ด้วยการเลือกคำพูดอย่างระมัดระวัง เราจะแก้ปัญหาอย่างผ่อนหนักผ่อนเบาได้โดยไม่ต้องโกหกหรือใช้เล่ห์เหลี่ยม แม้แต่ในสถานการณ์ที่ทำให้อึดอัดหรือกระอักกระอ่วน.—อ่านโกโลซาย 3:9, 10
ไม่บิดเบือนหรือเสนอข้อเท็จจริงอย่างผิด ๆ เพื่อชักนำผู้อื่นให้เข้าใจไปอีกทาง. พวกเขา “เกลียดสิ่งชั่ว” และ “ยึดมั่นกับสิ่งดี.” (6, 7. (ก) การพูดความจริงหมายความว่าเราต้องเปิดเผยแม้กระทั่งรายละเอียดส่วนตัวกับทุกคนที่ถามเราไหม? จงอธิบาย. (ข) เราสามารถไว้วางใจและบอกความจริงกับใครอย่างครบถ้วน?
6 การพูดความจริงกับคนอื่นหมายความไหมว่าเราต้องเปิดเผยรายละเอียดทุกอย่างกับใครก็ตามที่ถามเรา? ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น. ขณะทรงอยู่บนแผ่นดินโลก พระเยซูทรงแสดงให้เห็นว่ามีบางคนที่เราไม่สมควรจะตอบตรง ๆ หรือให้ข้อมูลบางอย่างแก่เขา. เมื่อพวกหัวหน้าศาสนาที่หน้าซื่อใจคดถามว่าพระองค์ทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ด้วยอำนาจอะไร พระเยซูตรัสว่า “เราจะถามพวกเจ้าข้อหนึ่ง. จงตอบเราแล้วเราจะบอกพวกเจ้าว่าเราทำสิ่งเหล่านั้นด้วยอำนาจอะไร.” เมื่อพวกอาลักษณ์และพวกผู้เฒ่าผู้แก่ไม่ยอมตอบ พระเยซูก็ตรัสว่า “เราก็จะไม่บอกพวกเจ้าเช่นกันว่าเราทำสิ่งเหล่านั้นด้วยอำนาจอะไร.” (มโก. 11:27-33) พระองค์ไม่ได้คิดว่าจำเป็นต้องตอบคำถามนั้น เนื่องจากทรงพิจารณาเห็นการกระทำอันเสื่อมทรามและตัวอย่างไม่ดีของพวกเขาที่ขาดความเชื่อ. (มัด. 12:10-13; 23:27, 28) คล้ายกันในปัจจุบัน ประชาชนของพระยะโฮวาจำเป็นต้องตื่นตัวคอยระวังพวกออกหากและคนชั่วร้ายอื่น ๆ ที่ใช้กลอุบายหรือเล่ห์เหลี่ยมโดยมีจุดประสงค์ที่เห็นแก่ตัว.—มัด. 10:16; เอเฟ. 4:14
7 เปาโลแสดงให้เห็นคล้าย ๆ กันว่าบางคนไม่สมควรได้รับคำตอบอย่างครบถ้วนจากเรา. ท่านกล่าวว่า “คนชอบซุบซิบนินทาและเข้าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น” เป็นคนที่ “พูดเรื่องที่ไม่ควรพูด.” (1 ติโม. 5:13) ดังนั้น คนที่สอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่นหรือคนที่ไว้ใจไม่ได้ว่าจะเก็บความลับอาจพบว่าคนอื่น ๆ ไม่อยากบอกเรื่องส่วนตัวบางอย่างกับเขา. นับว่าดีกว่ามากที่จะเอาใจใส่คำแนะนำที่มีขึ้นโดยการดลใจของเปาโล ที่ว่า “ให้พวกท่านตั้งเป้าหมายที่จะอยู่อย่างสงบ อย่าเข้าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น.” (1 เทส. 4:11) อย่างไรก็ตาม บางครั้งผู้ปกครองประชาคมอาจจำเป็นต้องถามเรื่องส่วนตัวเพื่อจะทำหน้าที่ซึ่งเขาได้รับมอบหมาย. เมื่อเราให้ความร่วมมือด้วยการพูดความจริง ผู้ปกครองจะรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่ง และจะช่วยงานของพวกเขาได้มาก.—1 เป. 5:2
จงพูดความจริงในครอบครัว
8. การพูดความจริงช่วยสมาชิกในครอบครัวให้ใกล้ชิดกันอย่างไร?
8 ตามปกติแล้วเรามีความผูกพันใกล้ชิดที่สุดกับครอบครัวของเรา. เพื่อจะให้ความผูกพันนี้เหนียวแน่นยิ่งขึ้น นับว่าสำคัญที่เราจะพูดความจริงต่อกัน. ปัญหาและข้อเข้าใจผิดมากมายอาจลดลงหรือขจัดให้หมดไปได้ด้วยการพูดจากันอย่างเปิดเผย, ซื่อสัตย์, และกรุณา. ตัวอย่างเช่น เมื่อเราทำผิดพลาดเรื่องหนึ่ง เราลังเลไหมที่จะยอมรับข้อผิดพลาดนั้นกับคู่สมรส, บุตร, หรือสมาชิกคนอื่น ๆ ที่ใกล้ชิด1 เปโตร 3:8-10
ในครอบครัว? การขอโทษอย่างจริงใจช่วยส่งเสริมสันติสุขและเอกภาพภายในครอบครัว.—อ่าน9. เหตุใดการพูดความจริงไม่ได้หมายความว่าเราจำเป็นต้องพูดแบบขวานผ่าซากหรือหยาบคาย?
9 การพูดความจริงไม่ได้หมายความว่าเราควรพูดแบบขวานผ่าซากและไม่จำเป็นต้องผ่อนหนักผ่อนเบา. การพูดแบบนั้นไม่ทำให้ความจริงมีค่าหรือมีพลังมากขึ้น. เปาโลกล่าวว่า “ให้ท่านทั้งหลายขจัดความขุ่นแค้น ความโกรธ การเดือดดาล การตวาด และการพูดหยาบหยามออกไปเสียให้หมดพร้อมกับการชั่วทั้งปวง. แต่จงกรุณาต่อกัน แสดงความเห็นใจกัน ให้อภัยกันอย่างใจกว้างอย่างที่พระเจ้าทรงให้อภัยท่านทั้งหลายอย่างใจกว้างโดยพระคริสต์เช่นกัน.” (เอเฟ. 4:31, 32) เมื่อเราพูดด้วยท่าทีที่กรุณาและน่านับถือ นั่นทำให้คำพูดของเรามีค่ามากขึ้นและเป็นการแสดงความนับถือต่อคนที่เราพูดด้วย.—มัด. 23:12
จงพูดความจริงในประชาคม
10. คริสเตียนผู้ปกครองจะเรียนอะไรได้จากตัวอย่างที่ดีเยี่ยมของพระเยซูในเรื่องการพูดความจริง?
10 พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกด้วยกิริยาท่าทีเรียบง่ายและตรงไปตรงมา. คำแนะนำของพระองค์เปี่ยมด้วยความรักเสมอ แต่พระองค์ไม่ทำให้ความจริงมีน้ำหนักอ่อนลงเพื่อเอาใจผู้ฟัง. (โย. 15:9-12) ตัวอย่างเช่น เมื่อเหล่าอัครสาวกเถียงกันครั้งแล้วครั้งเล่าว่าใครจะเป็นใหญ่กว่าใคร พระเยซูทรงช่วยพวกเขาอย่างหนักแน่นแต่ด้วยความอดทนให้เข้าใจว่าพวกเขาจำเป็นต้องถ่อมใจ. (มโก. 9:33-37; ลูกา 9:46-48; 22:24-27; โย. 13:14) คล้ายกัน แม้ว่าคริสเตียนผู้ปกครองในปัจจุบันต้องมีความหนักแน่นเพื่อความชอบธรรม แต่พวกเขาไม่ทำตัวเป็นนายเหนือฝูงแกะของพระเจ้า. (มโก. 10:42-44) พวกเขาเลียนแบบพระคริสต์โดยที่ “กรุณาต่อกัน” และ “แสดงความเห็นใจกัน” ในการปฏิบัติต่อคนอื่น ๆ.
11. ความรักที่เรามีต่อพี่น้องควรกระตุ้นเราให้ทำอะไรเมื่อเราพูด?
11 ด้วยการพูดอย่างตรงไปตรงมากับพี่น้องของเราแต่ไม่ตรงเกินไป เราก็จะแสดงความคิดของเราได้โดยไม่ทำให้ใครขุ่นเคือง. ที่จริง ไม่ว่าในเวลาใด เราไม่ต้องการให้ปากของเรา “เหมือนมีดโกนคมกริบ” ด้วยการกล่าวถ้อยคำหยาบหยามที่ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ. (เพลง. 52:2; สุภา. 12:18) ความรักที่เรามีต่อพี่น้องจะกระตุ้นเราให้ ‘ระวังลิ้นของเราจากความชั่วและไม่ให้ริมฝีปากพูดเป็นอุบายล่อลวง.’ (เพลง. 34:13, ฉบับ R73) โดยวิธีนี้ เราทำให้พระเจ้าได้รับเกียรติและส่งเสริมเอกภาพในประชาคม.
12. เมื่อไรจึงจะจำเป็นต้องมีการพิจารณาตัดสินความในกรณีที่มีการโกหก? จงอธิบาย.
12 ผู้ปกครองพยายามอย่างขยันขันแข็งเพื่อปกป้องประชาคมไว้จากพวกคนที่กล่าวคำโกหกแบบประสงค์ร้าย. (อ่านยาโกโบ 3:14-16) คนที่กล่าวคำโกหกแบบประสงค์ร้ายตั้งใจจะทำให้ใครคนหนึ่งได้รับความเสียหาย; เจตนาก็คือเพื่อให้คนนั้นเป็นทุกข์ในทางใดทางหนึ่ง. การโกหกแบบประสงค์ร้ายไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การพูดที่ทำให้เข้าใจไขว้เขวเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือการขยายเรื่องให้เกินจริง. แน่นอน การโกหกทุกชนิดเป็นเรื่องผิด แต่ไม่ใช่ทุกกรณีที่มีการพูดไม่จริงจำเป็นต้องมีการพิจารณาตัดสินความ. ดังนั้น ผู้ปกครองจำเป็น ต้องใช้ความสมดุล, ความมีเหตุผล, และวิจารณญาณที่ดีเมื่อจะตัดสินว่าคนที่พูดอะไรบางอย่างที่ไม่เป็นความจริงนั้นจงใจโกหกแบบประสงค์ร้ายจนเป็นนิสัยไหม ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็จำเป็นต้องมีการพิจารณาตัดสินความ. หรือการตักเตือนอย่างหนักแน่นด้วยความรักโดยใช้พระคัมภีร์ก็อาจพอเพียงแล้วไหม?
จงพูดความจริงในการทำธุรกิจ
13, 14. (ก) บางคนไม่พูดความจริงกับนายจ้างอย่างไร? (ข) การเป็นคนซื่อสัตย์และพูดความจริง ณ ที่ทำงานก่อผลดีอะไร?
13 เราอยู่ในสมัยที่ความไม่ซื่อสัตย์แพร่ไปทั่ว จึงอาจเป็นเรื่องยากที่จะต้านทานการล่อใจให้ทำอะไรที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อนายจ้าง. เมื่อไปสมัครงาน หลายคนโกหกอย่างปราศจากความละอาย. ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจพรรณนาประสบการณ์หรือการศึกษาของตนในประวัติย่ออย่างที่เกินจริงเพื่อจะได้งานที่ดีกว่าหรือรายได้สูงกว่า. ในอีกด้านหนึ่ง ลูกจ้างหลายคนอ้างว่ากำลังทำงานให้นายจ้าง แต่ที่จริงกำลังทำเรื่องส่วนตัว แม้ว่านั่นขัดกับระเบียบของบริษัท. พวกเขาอาจอ่านเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงาน, โทรศัพท์เรื่องส่วนตัว, ส่งข้อความอิเล็กทรอนิกส์ส่วนตัว, หรือท่องอินเทอร์เน็ต.
14 คริสเตียนแท้ไม่ถือว่าการเป็นคนซื่อสัตย์และพูดความจริงเป็นเพียงทางเลือกอย่างหนึ่ง. (อ่านสุภาษิต 6:16-19) เปาโลกล่าวว่า “เราปรารถนาจะประพฤติตัวซื่อสัตย์ในทุกสิ่ง.” (ฮีบรู 13:18) ด้วยเหตุนั้น ในเมื่อคริสเตียนได้รับค่าจ้างเต็มวันเขาจึงทำงานให้นายจ้างเต็มวัน. (เอเฟ. 6:5-8) การเป็นคนงานที่สำนึกในหน้าที่ยังอาจทำให้พระบิดาของเราผู้อยู่ในสวรรค์ได้รับคำสรรเสริญด้วย. (1 เป. 2:12) ตัวอย่างเช่น นายจ้างของโรเบร์โตซึ่งอยู่ในประเทศสเปนชมเชยเขาว่าเป็นคนงานที่ซื่อสัตย์และเอาใจใส่การงานดี. ผลจากการประพฤติที่ดีของโรเบร์โตก็คือ บริษัทนี้ได้จ้างพยานฯ เพิ่ม. พี่น้องเหล่านี้ก็เป็นคนงานที่ดีเยี่ยมด้วย. ในช่วงหลายปีที่ผ่านไป โรเบร์โตได้หางานให้พี่น้องชายที่รับบัพติสมาแล้ว 23 คน รวมถึงนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอีก 8 คน!
15. คริสเตียนที่เป็นนักธุรกิจควรแสดงให้เห็นอย่างไรว่าเขาพูดความจริง?
15 ถ้าเราทำธุรกิจของตัวเอง เราพูดความจริงในการติดต่อทางธุรกิจทุกอย่างไหม หรือว่าบางครั้งเราไม่ได้พูดความจริงกับเพื่อนบ้านของเรา? คริสเตียนที่เป็นนักธุรกิจไม่ควรเสนอสินค้าหรือบริการโดยให้ข้อมูลอย่างผิด ๆ เพื่อจะขายสินค้าได้โดยเร็ว; และเขาก็ไม่ควรให้สินบนหรือรับสินบน. เราต้องการปฏิบัติต่อผู้อื่นแบบเดียวกับที่เราอยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา.—สุภา. 11:1; ลูกา 6:31
จงพูดความจริงกับเจ้าหน้าที่รัฐบาล
16. คริสเตียนคืนอะไรให้แก่ (ก) เจ้าหน้าที่รัฐบาล? (ข) พระยะโฮวา?
16 พระเยซูตรัสว่า “ฉะนั้น ของของซีซาร์จงคืนให้ซีซาร์ แต่ของของพระเจ้าจงคืนให้พระเจ้า.” (มัด. 22:21) “ของ” แบบไหนที่เราเป็นหนี้ซีซาร์ ซึ่งหมายถึงเจ้าหน้าที่รัฐบาล? ตอนที่พระเยซูตรัสถ้อยคำดังกล่าว กำลังมีการพิจารณากันในเรื่องภาษี. ดังนั้น เพื่อรักษาสติรู้สึกผิดชอบที่สะอาดจำเพาะพระเจ้าและมนุษย์ คริสเตียนปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศ รวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวกับการเสียภาษี. (โรม 13:5, 6) แต่เรายอมรับว่าพระยะโฮวาทรงเป็นองค์บรมมหิศร พระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว ซึ่งเรารักด้วยสุดหัวใจ, สุดชีวิต, สุดความคิด, และสุดกำลัง. (มโก. 12:30; วิ. 4:11) ด้วยเหตุนั้น เรายอมตัวอยู่ใต้อำนาจของพระยะโฮวาพระเจ้าโดยไม่สงวนตัว.—อ่านบทเพลงสรรเสริญ 86:11, 12
17. ประชาชนของพระยะโฮวามีทัศนะอย่างไรในเรื่องการรับความช่วยเหลือจากรัฐ?
17 หลายประเทศเสนอโครงการหรือการบริการทางสังคมเพื่อช่วยคนที่ขาดแคลนสิ่งจำเป็นด้านวัตถุ. ไม่มีอะไรผิด
ที่คริสเตียนจะรับความช่วยเหลือแบบนั้น—ถ้าเขามีคุณสมบัติ. การพูดความจริงกับเพื่อนบ้านของเราย่อมหมายความว่าเราจะไม่บอกข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงหรือที่ทำให้เข้าใจผิดกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลเพื่อจะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ.ผลดีจากการพูดความจริง
18-20. มีผลดีอะไรที่เกิดจากการพูดความจริงกับเพื่อนบ้านของเรา?
18 ผลดีที่เกิดจากการพูดความจริงมีมากมาย. เรารักษาสติรู้สึกผิดชอบที่สะอาด ซึ่งทำให้ความคิดจิตใจเราสงบ. (สุภา. 14:30; ฟิลิป. 4:6, 7) การมีสติรู้สึกผิดชอบที่สะอาดนับว่ามีค่ามากในสายพระเนตรพระเจ้า. นอกจากนั้น เมื่อเราพูดความจริงเสมอ เราไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกคนอื่นจับได้หรือถูกเปิดโปง.—1 ติโม. 5:24
19 ขอให้นึกถึงผลดีอีกอย่างหนึ่ง. เปาโลกล่าวว่า “เราแนะนำตัวว่าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าในทุกวิถีทาง โดย . . . พูดความจริง.” (2 โค. 6:4, 7) เรื่องนี้นับว่าเป็นจริงอย่างแน่นอนในกรณีของพยานฯ คนหนึ่งที่อยู่ในบริเตน. เมื่อเขาพยายามจะขายรถยนต์ให้คนหนึ่งที่สนใจจะซื้อ เขาพรรณนาข้อดีทั้งหมดของรถคันนั้นรวมทั้งข้อบกพร่องต่าง ๆ ด้วย แม้แต่ข้อบกพร่องที่มองไม่เห็น. หลังจากเอารถไปขับทดสอบ คนที่สนใจจะซื้อถามพี่น้องคนนี้ว่าเขาเป็นพยานพระยะโฮวาใช่ไหม. ทำไมเขาจึงลงความเห็นอย่างนั้น? ชายคนนี้สังเกตเห็นความซื่อสัตย์และการแต่งกายที่เรียบร้อยของพี่น้องเรา. เมื่อพูดคุยกันต่อหลังจากนั้น พี่น้องคนนี้ก็มีโอกาสได้ให้คำพยานที่ดีกับชายคนนี้.
20 เราทำให้พระผู้สร้างของเราได้รับคำสรรเสริญคล้าย ๆ กันนั้นด้วยการรักษามาตรฐานที่ดีด้านศีลธรรมไหม? เปาโลกล่าวว่า “เราได้เลิกทำอะไร ๆ อย่างมีเล่ห์เหลี่ยมซึ่งเป็นสิ่งน่าละอาย ไม่ประพฤติอย่างฉลาดแกมโกง.” (2 โค. 4:2) ดังนั้น ให้เราพยายามเต็มที่เพื่อจะพูดความจริงกับเพื่อนบ้านของเรา. โดยทำอย่างนั้น เราจะทำให้พระบิดาของเราผู้อยู่ในสวรรค์และประชาชนของพระองค์ได้รับคำสรรเสริญ.
คุณจะตอบอย่างไร?
• ใครคือเพื่อนบ้านของเรา?
• การพูดความจริงกับเพื่อนบ้านของเราหมายถึงอะไร?
• การพูดความจริงทำให้พระเจ้าได้รับคำสรรเสริญอย่างไร?
• มีผลดีอะไรบ้างที่เกิดจากการพูดความจริง?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 17]
คุณพร้อมจะยอมรับข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไหม?
[ภาพหน้า 18]
คุณพูดความจริงไหมเมื่อสมัครงาน?