จงรักษาทัศนคติอย่างที่พระคริสต์ทรงมี
จงรักษาทัศนคติอย่างที่พระคริสต์ทรงมี
“[จง]มีทัศนคติอย่างที่พระคริสต์เยซูทรงมี.”—โรม 15:5
1. เหตุใดเราควรพยายามมีทัศนคติแบบเดียวกับพระคริสต์?
พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “จงมาหาเราเถิด . . . และเรียนจากเรา เพราะเราเป็นคนอ่อนโยนและถ่อมใจ แล้วเจ้าทั้งหลายจะสดชื่น.” (มัด. 11:28, 29) คำเชิญที่อบอุ่นนี้แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีถึงทัศนคติอันเปี่ยมด้วยความรักของพระเยซู. ไม่มีมนุษย์คนใดเป็นตัวอย่างที่ดีกว่าพระองค์ที่เราจะเลียนแบบได้. แม้ว่าทรงเป็นพระบุตรองค์ทรงฤทธิ์ของพระเจ้า พระเยซูทรงแสดงความเห็นอกเห็นใจและความอ่อนโยน โดยเฉพาะต่อคนที่ทุกข์ยากลำบาก.
2. เราจะพิจารณาแง่มุมใดบ้างเกี่ยวกับทัศนคติของพระเยซู?
2 ในบทความนี้และอีกสองบทความถัดไป เราจะพิจารณาวิธีที่เราสามารถพัฒนาและรักษาทัศนคติแบบเดียวกับพระเยซูและสะท้อน “จิตใจอย่างพระคริสต์” ในชีวิตเรา. (1 โค. 2:16) ส่วนใหญ่เราจะเน้นห้าแง่มุมต่อไปนี้: ความอ่อนโยนและความถ่อม, ความกรุณา, การเชื่อฟังพระเจ้า, ความกล้าหาญ, และความรักที่ไม่มีวันล้มเหลวของพระเยซู.
จงเรียนจากความอ่อนโยนของพระคริสต์
3. (ก) พระเยซูทรงสอนบทเรียนอะไรแก่เหล่าสาวกในเรื่องความถ่อมใจ? (ข) พระเยซูทรงแสดงปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเหล่าสาวกแสดงความอ่อนแอ?
3 พระเยซู พระบุตรที่สมบูรณ์ของพระเจ้า ทรงเต็มพระทัยมายังแผ่นดินโลกเพื่อรับใช้ในหมู่ผู้คนที่ไม่สมบูรณ์และผิดบาป. ในภายหลัง คนเหล่านี้บางคนจะฆ่าพระองค์. ถึงกระนั้น พระเยซูทรงรักษาความยินดีและทรงควบคุมตัวเองไว้เสมอ. (1 เป. 2:21-23) ‘การเพ่งมอง’ ตัวอย่างของพระเยซูสามารถช่วยเราให้ทำอย่างเดียวกันเมื่อข้อผิดพลาดและข้อบกพร่องของคนอื่น ๆ มีผลกระทบต่อเรา. (ฮีบรู 12:2) พระเยซูทรงเชิญเหล่าสาวกให้เทียมแอกด้วยกันกับพระองค์ แล้วก็เรียนรู้จากพระองค์โดยวิธีนี้. (มัด. 11:29) พวกเขาอาจเรียนอะไรได้บ้าง? สิ่งหนึ่งก็คือ เรียนรู้ว่าพระเยซูทรงมีจิตใจอ่อนโยน และพระองค์ทรงอดทนกับเหล่าสาวกแม้ว่าพวกเขามีข้อผิดพลาด. ในคืนก่อนพระองค์สิ้นพระชนม์ พระเยซูทรงล้างเท้าพวกเขา และโดยวิธีนั้นเป็นการสอนบทเรียนที่พวกเขาคงไม่มีวันลืมในเรื่องการเป็นคน “ถ่อมใจ.” (อ่านโยฮัน 13:14-17) ในภายหลัง เมื่อเปโตร, ยาโกโบ, และโยฮันไม่ได้ “เฝ้าระวัง” พระเยซูทรงยอมรับในเรื่องความอ่อนแอของพวกเขาอย่างเห็นอกเห็นใจ. พระองค์ทรงถามว่า “ซีโมน เจ้าหลับอยู่หรือ?” แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า “จงเฝ้าระวังและอธิษฐานอยู่เสมอเพื่อเจ้าทั้งหลายจะไม่พ่ายแพ้การล่อใจ. ใจกระตือรือร้นก็จริง แต่กายนั้นอ่อนแอ.”—มโก. 14:32-38
4, 5. ตัวอย่างของพระเยซูช่วยเราได้อย่างไรให้แสดงปฏิกิริยาอย่างเหมาะสมต่อข้อบกพร่องของคนอื่น?
4 เราแสดงปฏิกิริยาอย่างไรถ้าเพื่อนร่วมความเชื่อคนหนึ่งเป็นคนชอบชิงดีชิงเด่น, ขัดเคืองใจง่าย, หรือช้าในการตอบรับคำแนะนำจากผู้ปกครองหรือ “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม”? (มัด. 24:45-47) แม้ว่าเราอาจพร้อมจะยอมรับว่าลักษณะนิสัยแบบโลกที่มีอยู่ในโลกของซาตานเป็นเรื่องปกติ แต่เราอาจรู้สึกว่าการให้อภัยข้อบกพร่องของพี่น้องเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเป็นพิเศษ. ถ้าข้อบกพร่องของคนอื่นทำให้เราหงุดหงิดได้ง่าย เราจำเป็นต้องถามตัวเองว่า ‘ฉันจะเลียนแบบ “จิตใจอย่างพระคริสต์” ให้ดีขึ้นได้อย่างไร?’ จงพยายามจำไว้ว่าพระเยซูไม่ทรงรู้สึกรำคาญพระทัยเหล่าสาวก แม้แต่เมื่อพวกเขาแสดงความอ่อนแอฝ่ายวิญญาณออกมาให้เห็น.
5 ขอให้พิจารณากรณีของอัครสาวกเปโตร. เมื่อพระเยซูทรงเชิญเปโตรให้ก้าวออกจากเรือแล้วเดินบนน้ำมาหาพระองค์ เปโตรทำตามคำเชิญนั้นจริง ๆ ได้ครู่หนึ่ง. แต่แล้วมัด. 14:28-31) ถ้าพี่น้องคนหนึ่งดูเหมือนว่าขาดความเชื่อ เราจะพยายามช่วยเขาให้มีความเชื่อมากขึ้นได้ไหมเช่นเดียวกับที่พระเยซูทรงยื่นพระหัตถ์ออกไปช่วยเปโตร? แน่นอน นั่นเป็นบทเรียนที่เราเห็นได้จากการกระทำอันอ่อนโยนของพระเยซูต่อเปโตร.
เปโตรก็มองไปที่พายุและเริ่มจะจมน้ำ. พระเยซูทรงพิโรธและตรัสกับเขาไหมว่า “สมน้ำหน้า! จงให้เรื่องนี้เป็นบทเรียนสำหรับเจ้า”? ไม่เลย! “พระเยซูทรงยื่นพระหัตถ์จับเขาไว้ทันทีและตรัสกับเขาว่า ‘เจ้าผู้มีความเชื่อน้อย เจ้าสงสัยทำไม?’ ” (6. พระเยซูทรงสอนอะไรแก่เหล่าอัครสาวกในเรื่องที่พวกเขาอยากเด่นกว่าคนอื่น?
6 เปโตรยังมีส่วนร่วมด้วยกับการโต้เถียงกันอยู่ตลอดในหมู่อัครสาวกด้วยเรื่องที่ว่าใครเป็นใหญ่ที่สุดในหมู่พวกเขา. ยาโกโบและโยฮันต้องการนั่งด้านขวาและด้านซ้ายพระหัตถ์ของพระเยซูในราชอาณาจักรของพระองค์. เมื่อเปโตรและอัครสาวกคนอื่น ๆ ได้ยินอย่างนั้น พวกเขาก็ไม่พอใจ. พระเยซูทรงรู้ว่าพวกเขาคงได้รับทัศนคติแบบนี้จากสังคมที่พวกเขาเติบโตขึ้นมา. เมื่อทรงเรียกพวกเขามาเฝ้า พระองค์ตรัสว่า “พวกเจ้ารู้ว่าผู้มีอำนาจปกครองของชนต่างชาติทำตัวเป็นนายเหนือพวกเขาและพวกคนใหญ่คนโตก็ใช้อำนาจกดขี่. แต่พวกเจ้าไม่เป็นเช่นนั้น ผู้ใดต้องการเป็นใหญ่ในหมู่พวกเจ้าต้องเป็นผู้รับใช้พวกเจ้า และผู้ใดต้องการเป็นเอกเป็นใหญ่ในหมู่พวกเจ้าต้องเป็นทาสของพวกเจ้า.” จากนั้น พระเยซูทรงชี้ถึงตัวอย่างของพระองค์เองว่า “เช่นเดียวกัน บุตรมนุษย์ไม่ได้มาให้คนอื่นรับใช้ แต่มารับใช้คนอื่น และสละชีวิตเป็นค่าไถ่เพื่อคนเป็นอันมาก.”—มัด. 20:20-28
7. เราแต่ละคนจะส่งเสริมให้มีเอกภาพในประชาคมได้อย่างไร?
7 การใคร่ครวญทัศนคติที่ถ่อมใจของพระเยซูจะช่วยเราให้ ‘ประพฤติตัวเป็นผู้เล็กน้อยท่ามกลางพี่น้องของเรา.’ (ลูกา 9:46-48) การทำอย่างนั้นส่งเสริมให้มีเอกภาพ. เช่นเดียวกับบิดาของครอบครัวใหญ่ พระยะโฮวาทรงประสงค์ให้เหล่าบุตรของพระองค์ “อาศัยอยู่พร้อมเพรียงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” และเข้ากันได้ดี. (เพลง. 133:1) พระเยซูทรงอธิษฐานขอพระบิดาให้คริสเตียนแท้มีเอกภาพ เพื่อว่า “โลกจะรู้ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาและรู้ว่าพระองค์ทรงรักพวกเขาอย่างที่พระองค์ทรงรักข้าพเจ้า.” (โย. 17:23) ด้วยเหตุนั้น เอกภาพในหมู่พวกเราช่วยระบุว่าเราเป็นสาวกของพระคริสต์. เพื่อจะมีเอกภาพเช่นนั้น เราต้องมองข้ออ่อนแอของคนอื่น ๆ แบบเดียวกับที่พระคริสต์ทรงมอง. พระเยซูทรงให้อภัย และพระองค์ทรงสอนว่าเฉพาะแต่เมื่อเราให้อภัยคนอื่นเท่านั้นเราจึงจะได้รับการให้อภัย.—อ่านมัดธาย 6:14, 15
8. เราอาจเรียนอะไรได้จากตัวอย่างของคนที่รับใช้พระเจ้ามานาน?
8 เราสามารถเรียนได้มากด้วยโดยเลียนแบบความเชื่อของคนที่ได้เลียนแบบพระคริสต์มาหลายปี. เช่นเดียวกับพระเยซู คนเหล่านี้มักแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเข้าใจเกี่ยวกับข้ออ่อนแอของคนอื่น. พวกเขาได้เรียนรู้ว่าการแสดงความสงสารแบบเดียวกับพระคริสต์ไม่เพียงแต่ช่วยเราให้ “อดทนและคอยช่วยคนที่อ่อนแอ” แต่ยังช่วยส่งเสริมเอกภาพด้วย. นอกจากนั้น นั่นยังสนับสนุนทั้งประชาคมให้เลียนแบบทัศนคติของพระคริสต์. พวกเขาต้องการให้พี่น้องมีทัศนคติแบบที่อัครสาวกเปาโลต้องการให้คริสเตียนในกรุงโรมมี อย่างที่ท่านเขียนว่า “ขอให้พระเจ้าผู้ประทานความเพียรอดทนและการชูใจทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายมีทัศนคติอย่างที่พระคริสต์เยซูทรงมี เพื่อพวกท่านจะพร้อมใจกันถวายคำสรรเสริญเป็นเสียงเดียวแด่พระองค์ผู้เป็นพระเจ้าและพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา.” (โรม 15:1, ) จริงทีเดียว การนมัสการของเราอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทำให้พระยะโฮวาได้รับคำสรรเสริญ. 5, 6
9. เหตุใดเราจำเป็นต้องมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อจะทำตามแบบอย่างของพระเยซู?
9 พระเยซูทรงเชื่อมโยงการเป็นคน “ถ่อมใจ” เข้ากับความอ่อนโยน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของผลพระวิญญาณของพระเจ้า. ด้วยเหตุนั้น เราจำเป็นต้องมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระยะโฮวา ควบคู่ไปกับการศึกษาตัวอย่างของพระเยซู เพื่อที่เราจะสามารถเลียนแบบตัวอย่างของพระองค์ได้อย่างถูกต้อง. เราควรอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าและพยายามพัฒนาผลของพระวิญญาณ ซึ่งได้แก่ “ความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดกลั้นไว้นาน ความกรุณา ความดี ความเชื่อ ความอ่อนโยน การควบคุมตนเอง.” (กลา. 5:22, 23) ด้วยการทำอย่างนั้นตามแบบแผนของความถ่อมใจและความอ่อนโยนที่พระเยซูทรงวางไว้ เราจะทำให้พระยะโฮวาพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์พอพระทัย.
พระเยซูทรงปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความกรุณา
10. พระเยซูทรงแสดงความกรุณาอย่างไร?
10 ความกรุณาเป็นส่วนหนึ่งในผลของพระวิญญาณด้วย. พระเยซูทรงปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความกรุณาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย. ทุกคนที่ตามหาพระเยซูอย่างจริงใจพบว่าพระองค์ “ทรงต้อนรับพวกเขาด้วยความกรุณา.” (อ่านลูกา 9:11) เราเรียนอะไรได้จากความกรุณาที่พระเยซูทรงแสดงให้เห็น? บุคคลที่กรุณามีความเป็นมิตร, อ่อนโยน, เห็นอกเห็นใจ, และสุภาพอ่อนน้อม. พระเยซูทรงมีลักษณะเหล่านี้. พระองค์ทรงรู้สึกสงสารผู้คน “เพราะพวกเขาถูกขูดรีดและถูกทิ้งขว้างเหมือนแกะไม่มีผู้เลี้ยง.”—มัด. 9:35, 36
11, 12. (ก) จงเล่าถึงตัวอย่างหนึ่งที่พระเยซูทรงแสดงความเมตตาสงสารในภาคปฏิบัติ. (ข) คุณเรียนอะไรได้จากตัวอย่างที่พิจารณาในที่นี้?
11 พระเยซูทรงแสดงความเมตตาสงสารในภาคปฏิบัติด้วย. ขอพิจารณาตัวอย่างหนึ่ง. หญิงคนหนึ่งทนทุกข์ด้วยอาการตกเลือดมานานถึง 12 ปี. เธอรู้ว่าตามพระบัญญัติของโมเซ อาการที่เธอเป็นอยู่ทำให้เธอและใครก็ตามที่ถูกต้องตัวเธอเป็นมลทิน. (เลวี. 15:25-27) ถึงกระนั้น ชื่อเสียงของพระเยซูและวิธีที่พระองค์ปฏิบัติต่อผู้คนคงต้องทำให้เธอเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงสามารถรักษาเธอ และพระองค์จะยินดีช่วยเธอ. เธอคิดในใจว่า “ถ้าเพียงฉันได้แตะฉลองพระองค์ ฉันก็จะหาย.” เมื่อรวบรวมความกล้าได้แล้ว เธอก็ทำอย่างที่คิดไว้และรู้สึกในทันทีว่าเธอได้รับการรักษาให้หายแล้ว.
12 พระเยซูทรงรู้สึกว่ามีใครแตะต้องพระองค์ และพระองค์ทรงมองไปรอบ ๆ เพื่อดูว่าใครทำอย่างนั้น. หญิงคนนี้ ซึ่งคงต้องกลัวว่าจะถูกตำหนิเพราะเธอได้ฝ่าฝืนพระบัญญัติ ก็หมอบลงแทบพระบาทพระองค์ ตัวสั่นเทา และสารภาพความจริงออกมาหมด. พระเยซูทรงดุว่าหญิงผู้ทนทุกข์ที่น่าสงสารคนนี้ไหม? ไม่เลย! พระองค์ตรัสอย่างที่ทำให้เธอมั่นใจว่า “ลูกเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายโรค. จงไปอย่างมีความสุข.” (มโก. 5:25-34) เธอคงต้องสบายใจสักเพียงไรเมื่อได้ยินคำตรัสที่กรุณาอย่างนั้น!
13. (ก) ทัศนคติของพระเยซูแตกต่างอย่างไรกับทัศนคติของพวกฟาริซาย? (ข) พระเยซูทรงปฏิบัติต่อเด็ก ๆ อย่างไร?
13 ไม่เหมือนกับพวกฟาริซายที่ใจแข็งกระด้าง พระคริสต์ไม่เคยใช้อำนาจของพระองค์เพิ่มภาระหนักให้ผู้อื่น. (มัด. 23:4) ตรงกันข้าม พระองค์ทรงสอนคนอื่น ๆ อย่างกรุณาและอดทนในเรื่องแนวทางของพระยะโฮวา. พระเยซูทรงเป็นมิตรที่มีความรักใคร่ต่อเหล่าสาวก เป็นเพื่อนแท้ที่แสดงความรักและกรุณาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย. (สุภา. 17:17; โย. 15:11-15) แม้แต่เด็ก ๆ ก็รู้สึกสบายใจเมื่ออยู่กับพระเยซู และเห็นได้ชัดว่าพระองค์ทรงรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่กับเด็ก ๆ. พระองค์ไม่ทรงมีธุระยุ่งเกินไปจนไม่สามารถผละจากสิ่งที่พระองค์กำลังทำอยู่เพื่อใช้เวลากับเด็กเล็ก ๆ. ในโอกาสหนึ่ง เหล่าสาวกของพระองค์ ซึ่งยังคงมีความคิด ถือตัวเหมือนกับพวกหัวหน้าศาสนาที่อยู่รอบข้างพวกเขา พยายามกันผู้คนไว้ไม่ให้พาลูกเล็ก ๆ ของพวกเขามาให้พระเยซูจับต้อง. พระเยซูไม่พอพระทัยที่เหล่าสาวกทำอย่างนี้. พระองค์ทรงบอกพวกเขาว่า “ให้เด็กเล็ก ๆ เข้ามาหาเราเถิด อย่าห้ามพวกเขาเลย เพราะราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนอย่างนี้.” จากนั้น พระองค์ก็สอนบทเรียนสำคัญแก่เหล่าสาวกโดยยกเด็ก ๆ ขึ้นมาเป็นตัวอย่างว่า “เราบอกเจ้าทั้งหลายตามจริงว่า ผู้ใดไม่ยอมรับราชอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่ง ผู้นั้นจะไม่ได้เข้าราชอาณาจักรเลย.”—มโก. 10:13-15
14. เด็ก ๆ ได้รับประโยชน์อะไรจากการที่พี่น้องสนใจพวกเขา?
14 ขอลองคิดดูว่าเด็กเหล่านั้นบางคนจะรู้สึกอย่างไรในภายหลังเมื่อพวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้วและระลึกว่าพระเยซูคริสต์ ‘เคยโอบพวกเขาไว้และอวยพรพวกเขา.’ (มโก. 10:16) เช่นเดียวกัน เด็ก ๆ ในทุกวันนี้ที่ได้รับความสนใจอย่างไม่เห็นแก่ตัวจากผู้ปกครองและคนอื่น ๆ ก็จะระลึกถึงพวกเขาด้วยความรักใคร่. ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ตั้งแต่ยังเยาว์วัย เด็ก ๆ ที่ได้รับความห่วงใยอย่างแท้จริงเช่นนั้นในประชาคมเรียนรู้ว่าพระวิญญาณของพระยะโฮวาสถิตอยู่กับประชาชนของพระองค์.
จงแสดงความกรุณาในโลกที่ขาดความกรุณา
15. เหตุใดเราไม่น่าจะแปลกใจที่ผู้คนในทุกวันนี้ขาดความกรุณา?
15 ผู้คนจำนวนมากในทุกวันนี้รู้สึกว่าพวกเขาไม่มีเวลาจะแสดงความกรุณาต่อคนอื่น ๆ. ด้วยเหตุนั้น ในแต่ละวันที่โรงเรียน, ในที่ทำงาน, ขณะเดินทาง, และในงานรับใช้ ประชาชนของพระยะโฮวาต้องเผชิญกับน้ำใจของผู้คนในโลก. ทัศนคติที่ขาดความกรุณาอาจทำให้เราผิดหวัง แต่ทัศนคติแบบนั้นไม่น่าจะทำให้เราแปลกใจ. พระยะโฮวาทรงดลใจให้เปาโลเตือนเราล่วงหน้าว่า ใน “สมัยสุดท้าย” อันวิกฤตินี้คริสเตียนแท้จะต้องติดต่อเกี่ยวข้องกับผู้คนที่เป็นคน “รักตัวเอง . . . ไม่มีความรักใคร่ตามธรรมชาติ.”—2 ติโม. 3:1-3
16. เราจะส่งเสริมความกรุณาแบบพระคริสต์ในประชาคมได้อย่างไร?
16 ในอีกด้านหนึ่ง บรรยากาศภายในประชาคมคริสเตียนแท้ต่างกันมากกับบรรยากาศในโลกที่ขาดความกรุณา. ด้วยการเลียนแบบพระเยซู เราแต่ละคนสามารถส่งเสริมให้มีบรรยากาศที่ดี. เราจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร? แรกทีเดียว หลายคนในประชาคมจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือและการหนุนใจจากเรา เพราะพวกเขามีปัญหาสุขภาพหรืออยู่ในสภาพการณ์ที่ยากลำบากอื่น ๆ. ใน “สมัยสุดท้าย” นี้ ปัญหาแบบนั้นอาจเพิ่มมากขึ้น แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหม่เลย. ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล คริสเตียนก็ประสบปัญหาคล้าย ๆ กัน. ดังนั้น การให้ความช่วยเหลือเป็นเรื่องเหมาะสมในเวลานี้เช่นเดียวกับที่เป็นเรื่องเหมาะสมสำหรับคริสเตียนในสมัยอดีต. ตัวอย่างเช่น เปาโลกระตุ้นเตือนคริสเตียนให้ “พูดปลอบโยนคนทุกข์ใจ ช่วยเหลือคนอ่อนแอ แสดงความอดกลั้นต่อคนทั้งปวง.” (1 เทส. 5:14) การทำอย่างนี้เกี่ยวข้องกับการแสดงความกรุณาแบบพระคริสต์ในภาคปฏิบัติ.
17, 18. มีวิธีใดบ้างที่เราสามารถเลียนแบบความกรุณาของพระเยซู?
17 คริสเตียนมีความรับผิดชอบที่จะ ‘ต้อนรับพี่น้องด้วยใจอารี’ เพื่อจะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างที่พระเยซูคงจะปฏิบัติ3 โย. 5-8) เช่นเดียวกับที่พระเยซูทรงเป็นฝ่ายริเริ่มในการแสดงความเมตตาสงสารต่อคนอื่น ๆ เราก็ควรทำอย่างเดียวกัน และทำให้คนอื่นรู้สึกสดชื่นเสมอ.—ยซา. 32:2; มัด. 11:28-30
ต่อพวกเขา โดยแสดงความห่วงใยอย่างแท้จริงต่อคนที่เราอาจรู้จักมานาน รวมไปถึงคนที่เราอาจไม่เคยพบมาก่อน. (18 เราแต่ละคนสามารถแสดงความกรุณาด้วยการทำบางสิ่งที่แสดงว่าเราเป็นห่วงสวัสดิภาพของคนอื่น ๆ. จงมองหาวิธี และหาโอกาสที่จะทำอย่างนั้น. จงพยายาม! เปาโลกระตุ้นโดยกล่าวว่า “จงมีความรักใคร่อันอบอุ่นต่อกันฉันพี่น้อง” แล้วท่านก็เสริมอีกว่า “จงนำหน้าในการให้เกียรติกัน.” (โรม 12:10) นั่นหมายถึงการทำตามแบบอย่างที่พระคริสต์วางไว้ ปฏิบัติต่อคนอื่น ๆ อย่างอบอุ่นและกรุณา เรียนรู้ที่จะแสดง “ความรักที่ปราศจากมารยา.” (2 โค. 6:6) เปาโลพรรณนาความรักแบบพระคริสต์เช่นนั้นโดยบอกว่า “ความรักอดกลั้นไว้นานและแสดงความกรุณา. ความรักไม่อิจฉาริษยา ไม่อวดตัว ไม่ทะนงตัว.” (1 โค. 13:4) แทนที่จะผูกใจเจ็บพี่น้อง ขอให้เราเอาใจใส่คำเตือนที่ว่า “จงกรุณาต่อกัน แสดงความเห็นใจกัน ให้อภัยกันอย่างใจกว้างอย่างที่พระเจ้าทรงให้อภัยท่านทั้งหลายอย่างใจกว้างโดยพระคริสต์เช่นกัน.”—เอเฟ. 4:32
19. มีผลดีอะไรบ้างเมื่อเราแสดงความกรุณาแบบพระคริสต์?
19 การที่เราพยายามพัฒนาและแสดงความกรุณาแบบพระคริสต์ตลอดเวลาและในทุกสถานการณ์ทำให้เราได้รับบำเหน็จอันอุดม. พระวิญญาณของพระยะโฮวาจะสามารถดำเนินกิจอย่างเต็มที่ในประชาคม ช่วยให้เราทุกคนพัฒนาผลของพระวิญญาณ. นอกจากนั้น เมื่อเราทำตามแบบแผนที่พระเยซูทรงวางไว้และช่วยคนอื่น ๆ ให้ทำอย่างเดียวกัน การที่เรานมัสการอย่างมีความสุขและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันก็จะทำให้พระเจ้าเองทรงยินดี. ด้วยเหตุนั้น ขอให้เราพยายามสะท้อนความอ่อนโยนและความกรุณาของพระเยซูในการปฏิบัติต่อผู้อื่นเสมอ.
คุณอธิบายได้ไหม?
• พระเยซูทรงแสดงให้เห็นอย่างไรว่าพระองค์ทรง “อ่อนโยนและถ่อมใจ”?
• พระเยซูทรงแสดงความกรุณาอย่างไร?
• มีวิธีใดบ้างที่เราจะแสดงความอ่อนโยนและความกรุณาแบบพระคริสต์ในโลกที่ไม่สมบูรณ์นี้?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 8]
เมื่อความเชื่อของพี่น้องเราอ่อนลงไปเช่นเดียวกับเปโตร เราจะพยายามช่วยเขาได้ไหม?
[ภาพหน้า 10]
คุณจะช่วยให้ประชาคมเป็นที่พักพิงอันเปี่ยมด้วยความกรุณาได้อย่างไร?