เหตุใดคุณจึงอุทิศตัวแด่พระยะโฮวา?
เหตุใดคุณจึงอุทิศตัวแด่พระยะโฮวา?
“เมื่อคืนนี้ทูตสวรรค์ของพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของตัวข้าพเจ้า . . . ได้มายืนใกล้ ๆ ข้าพเจ้า.”—กิจ. 27:23
1. คนที่ขอรับบัพติสมาได้ทำตามขั้นตอนอะไรไปแล้ว และนั่นทำให้เกิดคำถามอะไรบ้าง?
“โดยอาศัยเครื่องบูชาไถ่ของพระเยซูคริสต์ คุณได้กลับใจจากบาปของคุณ และอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาเพื่อทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์ไหม?” คำถามนี้เป็นหนึ่งในสองคำถามที่ผู้ประสงค์จะรับบัพติสมาตอบในตอนท้ายคำบรรยายบัพติสมา. เหตุใดคริสเตียนจึงจำเป็นต้องอุทิศตัวแด่พระยะโฮวา? การอุทิศตัวแด่พระเจ้าเป็นประโยชน์แก่เราอย่างไร? เหตุใดเราไม่อาจนมัสการพระเจ้าอย่างที่พระองค์ทรงยอมรับถ้าไม่อุทิศตัวแด่พระองค์? เพื่อจะเข้าใจคำตอบ เราต้องพิจารณาก่อนว่าการอุทิศตัวคืออะไร.
2. การอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาหมายถึงอะไร?
2 การอุทิศตัวแด่พระเจ้าหมายถึงอะไร? ขอให้สังเกตว่าอัครสาวกเปาโลพรรณนาความสัมพันธ์ของท่านกับพระเจ้าไว้อย่างไร. ท่านเรียกพระยะโฮวาต่อหน้าคนอื่น ๆ หลายคนบนเรือที่กำลังจะอับปางว่า “พระเจ้าผู้เป็นเจ้าของตัวข้าพเจ้า.” (อ่านกิจการ 27:22-24) คริสเตียนแท้ทุกคนเป็นคนของพระยะโฮวา. ในทางตรงกันข้าม โลกโดยทั่วไป “อยู่ในอำนาจตัวชั่วร้าย.” (1 โย. 5:19) คริสเตียนเป็นคนของพระยะโฮวาเมื่อพวกเขาอุทิศตัวแด่พระองค์อย่างที่ทรงยอมรับได้ด้วยการอธิษฐาน. การอุทิศตัวเช่นนั้นเป็นการให้คำปฏิญาณเป็นส่วนตัว. การรับบัพติสมาในน้ำทำหลังจากได้อุทิศตัวแล้ว.
3. การรับบัพติสมาของพระเยซูเป็นเครื่องหมายแสดงถึงอะไร และเหล่าสาวกของพระองค์สามารถเลียนแบบพระองค์โดยวิธีใด?
3 พระเยซูทรงวางแบบอย่างไว้ให้เราทำตามเมื่อพระองค์ทรงเลือกด้วยพระองค์เองที่จะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า. เนื่องจากพระองค์ประสูติในชาติอิสราเอลซึ่งเป็นชาติที่อุทิศตัวแด่พระเจ้า พระองค์จึงทรงอุทิศตัวแด่พระเจ้าอยู่แล้ว. ถึงกระนั้น เมื่อพระองค์รับบัพติสมาพระองค์ทรงทำอะไรบางอย่างมากกว่าที่พระบัญญัติกำหนดไว้. พระคำของพระเจ้าบอกว่าพระองค์ตรัสว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้ามา . . . เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์.” (ฮีบรู 10:7; ลูกา 3:21) ดังนั้น การรับบัพติสมาของพระเยซูเป็นเครื่องหมายแสดงถึงการเสนอพระองค์เองแด่พระเจ้าเพื่อจะทำตามพระประสงค์ของพระบิดา. เหล่าสาวกของพระองค์เลียนแบบตัวอย่างของพระองค์เมื่อพวกเขาขอรับบัพติสมา. อย่างไรก็ตาม ในกรณีของพวกเขา การรับบัพติสมาในน้ำเป็นการแสดงให้ผู้คนทั่วไปเห็นว่าพวกเขาได้อุทิศตัวแด่พระเจ้าด้วยการอธิษฐานแล้ว.
การอุทิศตัวเป็นประโยชน์แก่เราอย่างไร?
4. มิตรภาพระหว่างดาวิดกับโยนาธานช่วยให้เราเข้าใจอะไรในเรื่องพันธะ?
4 การอุทิศตัวของคริสเตียนเป็นเรื่องจริงจัง. การอุทิศตัวไม่ได้เป็นเพียงข้อตกลงธรรมดา หากแต่เป็นพันธะผูกมัดที่จริงจังที่สุด. อย่างไรก็ตาม การอุทิศตัวเป็นประโยชน์อย่างไรสำหรับเรา? ให้เรามาพิจารณาเปรียบเทียบกันว่าพันธะในสายสัมพันธ์ของมนุษย์เป็นประโยชน์อย่างไร. ตัวอย่างหนึ่งก็คือมิตรภาพ. เพื่อจะเป็นเพื่อนกับใครสักคน คุณต้องยอมรับภาระหน้าที่ของการเป็นเพื่อน. การยอมรับภาระหน้าที่ดังกล่าวเกี่ยวข้องกับพันธะ คือการที่คุณรู้สึกว่าจำเป็นต้องดูแลเพื่อน. มิตรภาพระหว่างดาวิดกับโยนาธานเป็นมิตรภาพหนึ่งที่โดดเด่นที่สุดเท่าที่มีการพรรณนาไว้ในคัมภีร์ไบเบิล. ทั้งสองถึงกับตั้งสัตย์ปฏิญาณว่าจะเป็นเพื่อนกัน. (อ่าน 1 ซามูเอล 17:57; 18:1, 3) แม้ว่ามิตรภาพที่ผูกพันลึกซึ้งถึงขนาดนั้นหาได้ยาก แต่มิตรภาพส่วนใหญ่ก็งอกงามเมื่อคนเรารู้สึกว่ามีพันธะต่อกัน.—สุภา. 17:17; 18:24
5. ทาสจะได้รับประโยชน์อย่างถาวรจากการเป็นทาสของนายที่ดีได้โดยวิธีใด?
5 พระบัญญัติที่พระเจ้าประทานแก่ชาติอิสราเอลพรรณนาความสัมพันธ์อีกแบบหนึ่งซึ่งผู้คนได้รับประโยชน์เมื่อมีพันธะผูกมัด. ถ้าทาสคนใดต้องการได้รับความมั่นคงในชีวิตด้วยการเป็นทาสของนายที่ดีอย่างถาวร เขาสามารถทำข้อตกลงที่ผูกมัดอย่างถาวรกับนายได้. พระบัญญัติกล่าวไว้ว่า “ถ้าทาสนั้นมากล่าวเป็นที่เข้าใจชัดเจนว่า, ‘ข้าพเจ้ายังรักนายและลูกเมียของข้าพเจ้าอยู่; ข้าพเจ้าไม่อยากออกไปเป็นไทย’ ให้นายพาทาสนั้นไปหาตุลาการ, พาเขาไปถึงประตู, หรือถึงเสาแม่ประตู, แล้วให้นายเจาะหูเขาด้วยเหล็กหมาด; แล้วเขาก็จะปรนนิบัตินายต่อไปจนชีวิตหาไม่.”—เอ็ก. 21:5, 6
6, 7. (ก) พันธะผูกมัดเป็นประโยชน์แก่ผู้คนอย่างไร? (ข) ข้อเท็จจริงนั้นชี้ให้เห็นอะไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระยะโฮวา?
6 การสมรสเป็นความสัมพันธ์ที่จำเป็นต้องอาศัยพันธะผูกมัดที่ลึกซึ้ง. พันธะดังกล่าวไม่ใช่ความรู้สึกผูกมัดที่ต้องทำตามข้อตกลงทางกฎหมาย แต่เป็นความรู้สึกผูกมัดต่อบุคคล. คนสองคนที่อยู่ด้วยกันโดยไม่แต่งงานไม่มีทางมีความมั่นคงอย่างแท้จริงได้; ลูก ๆ ของพวกเขาก็ไม่มีทางมีความมั่นคงอย่างแท้จริงด้วยเหมือนกัน. แต่คู่สมรสที่มีพันธะผูกมัดด้วยสายสมรสอันมีเกียรติมีเหตุผลตามหลักพระคัมภีร์ที่กระตุ้นทั้งสองให้พยายามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นโดยใช้ความรัก.—มัด. 19:5, 6; 1 โค. 13:7, 8; ฮีบรู 13:4
7 ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล ผู้คนได้รับประโยชน์จากการทำสัญญาผูกมัดในเรื่องธุรกิจและการจ้างงาน. (มัด. 20:1, 2, 8) ปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้นด้วย. ตัวอย่างเช่น เราได้รับประโยชน์จากการทำสัญญาผูกมัดเป็นลายลักษณ์อักษร ก่อนที่เราจะเริ่มทำธุรกิจหรือเริ่มทำงานเป็นลูกจ้างในบริษัท. ด้วยเหตุนั้น ถ้าพันธะผูกมัดช่วยเสริมสายสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน, คู่สมรส, และลูกจ้างกับนายจ้าง ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดที่การอุทิศตัวอย่างไม่มีเงื่อนไขแด่พระยะโฮวาจะช่วยเสริมสายสัมพันธ์ของเรากับพระองค์! ตอนนี้ ให้เรามาพิจารณาว่าผู้คนในสมัยอดีตได้รับประโยชน์จากการอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาพระเจ้าอย่างไร และการอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาไม่ได้เป็นเพียงแค่ข้อตกลงธรรมดาทั่วไปอย่างไร.
การอุทิศตัวแด่พระเจ้าเป็นประโยชน์แก่ชาติอิสราเอลอย่างไร?
8. การอุทิศตัวแด่พระเจ้าหมายความอย่างไรสำหรับชาติอิสราเอล?
8 ชาติอิสราเอลทั้งชาติได้อุทิศตัวแด่พระยะโฮวาเมื่อพวกเขาให้สัตย์ปฏิญาณกับพระเจ้า. พระยะโฮวาทรงเรียกพวกเขาให้มารวมตัวกันใกล้ ๆ ภูเขาไซนาย และพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ถ้าเจ้าทั้งหลายจะฟังถ้อยคำของเราจริง ๆ, และรักษาคำสัญญาไมตรีของเราไว้, เจ้าจะเป็นทรัพย์ประเสริฐของเรายิ่งกว่าชาติทั้งปวง.” ประชาชนตอบอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า “สิ่งสารพัตรที่พระยะโฮวาตรัสนั้นข้าพเจ้าทั้งหลายจะกระทำตาม.” (เอ็ก. 19:4-8) การอุทิศตัวมีความหมายสำหรับชาวอิสราเอลมากยิ่งกว่าการที่พวกเขามีพันธะที่จะทำบางสิ่ง. การอุทิศตัวแด่พระเจ้าหมายถึงการที่พวกเขาเป็นคนของพระยะโฮวา และพระยะโฮวาทรงปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะ “ทรัพย์ประเสริฐ” ของพระองค์.
9. ชาติอิสราเอลได้รับประโยชน์อย่างไรจากการอุทิศตัวแด่พระเจ้า?
9 ชาวอิสราเอลได้รับประโยชน์จากการเป็นคนของพระยะโฮวา. พระองค์ทรงภักดีและทรงดูแลพวกเขาเหมือนยซา. 49:15) พระยะโฮวาประทานการชี้นำโดยทางพระบัญญัติ, การหนุนใจโดยทางผู้พยากรณ์, และการปกป้องโดยทางทูตสวรรค์. ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญเขียนดังนี้: “พระองค์ทรงประกาศพระวจนะของพระองค์แก่พวกยาโคบ, และทรงประทานข้อกฎหมายและข้อบัญญัติของพระองค์แก่พวกยิศราเอล. พระองค์หาได้ทรงกระทำอย่างนั้นแก่ชนประเทศใด ๆ ไม่.” (เพลง. 147:19, 20; อ่านบทเพลงสรรเสริญ 34:7, 19; 48:14) เช่นเดียวกับที่พระยะโฮวาทรงดูแลชาติที่เป็นของพระองค์ในสมัยอดีต พระองค์จะทรงดูแลคนที่อุทิศตัวแด่พระองค์ในสมัยปัจจุบันด้วย.
บิดามารดาที่เปี่ยมด้วยความรักดูแลลูก. พระเจ้าตรัสกับชาติอิสราเอลว่า “หญิงจะลืมลูกกำลังดูดนมอยู่และมิได้เมตตาแก่บุตรอันเกิดมาจากครรภ์ของตนได้หรือ? ถึงแม้ว่ามารดาจะลืมได้เราก็จะไม่ลืมเจ้าเลย.” (เหตุใดเราควรอุทิศตัวแด่พระเจ้า?
10, 11. เราเกิดมาในครอบครัวสากลของพระเจ้าไหม? จงอธิบาย.
10 เมื่อใคร่ครวญเรื่องการอุทิศตัวและการรับบัพติสมาของคริสเตียน บางคนอาจสงสัยว่า ‘เหตุใดฉันจึงไม่อาจจะนมัสการพระเจ้าได้ถ้าไม่ได้อุทิศตัวแด่พระองค์?’ เราเข้าใจเหตุผลในเรื่องนี้ได้ชัดเจนเมื่อเราพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับฐานะของเราเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในขณะนี้. จำไว้ว่า เนื่องจากบาปที่เราได้รับจากอาดาม เราทุกคนจึงไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวพระเจ้าตั้งแต่เกิด. (โรม 3:23; 5:12) การอุทิศตัวแด่พระเจ้าเป็นข้อเรียกร้องสำคัญอย่างหนึ่งเพื่อจะได้รับการยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวสากลของพระองค์. ให้เรามาพิจารณาว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้น.
11 ไม่มีใครในพวกเรามีพ่อที่สามารถถ่ายทอดชีวิตที่สมบูรณ์ให้แก่เราได้อย่างที่พระเจ้าทรงประสงค์. (1 ติโม. 6:19) เราไม่ได้เกิดมาเป็นบุตรของพระเจ้า เพราะเมื่อมนุษย์คู่แรกทำบาปเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ถูกแยกให้อยู่ต่างหากจากพระบิดาและพระผู้สร้างผู้เปี่ยมด้วยความรัก. (เทียบกับพระบัญญัติ 32:5) นับแต่นั้นมา โลกแห่งมนุษยชาติก็มีชีวิตอยู่นอกครอบครัวสากลของพระยะโฮวาและเหินห่างจากพระเจ้า.
12. (ก) มนุษย์ไม่สมบูรณ์จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้าได้อย่างไร? (ข) เราต้องทำตามขั้นตอนอะไรบ้างก่อนที่จะรับบัพติสมา?
12 อย่างไรก็ตาม เราสามารถทูลขอเป็นส่วนตัวให้พระเจ้ายอมรับเราไว้ในครอบครัวแห่งผู้รับใช้ที่พระองค์ทรงพอพระทัย. * เป็นไปได้อย่างไรที่คนบาปอย่างเราจะได้รับการยอมรับอย่างนั้น? อัครสาวกเปาโลเขียนว่า “ตอนที่เราเป็นศัตรู เรายังได้คืนดีกับพระเจ้าโดยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระองค์.” (โรม 5:10) ตอนที่เรารับบัพติสมา เราขอให้พระเจ้าประทานสติรู้สึกผิดชอบที่ดีแก่เราเพื่อจะได้รับการยอมรับจากพระองค์. (1 เป. 3:21) แต่ก่อนจะรับบัพติสมา เราต้องทำตามขั้นตอนบางอย่าง. เราต้องเรียนรู้จักพระเจ้า, เรียนรู้ที่จะไว้วางใจพระองค์, กลับใจ, และเปลี่ยนแนวทางชีวิต. (โย. 17:3; กิจ. 3:19; ฮีบรู 11:6) และมีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำก่อนที่พระเจ้าจะทรงยอมรับให้เราเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระองค์. สิ่งนั้นคืออะไร?
13. เหตุใดจึงเป็นเรื่องเหมาะสมที่ใครคนหนึ่งจะปฏิญาณตนว่าจะอุทิศตัวแด่พระเจ้าเพื่อจะเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของผู้นมัสการที่พระองค์ทรงยอมรับได้?
13 ก่อนที่ใครคนหนึ่งซึ่งเหินห่างจากพระเจ้าจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงยอมรับได้ เขาต้องให้คำมั่นสัญญาที่จริงจังแก่พระยะโฮวา. เพื่อจะเข้าใจว่าทำไมจึงเป็นอย่างนี้ ขอให้นึกภาพบิดาคนหนึ่งซึ่งได้รับความนับถือจากผู้คน. ชายคนนี้รู้สึกเอ็นดูเด็กกำพร้าคนหนึ่งและประสงค์จะรับเขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว. บิดาคนนี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นคนดี. ถึงกระนั้น เมื่อจะรับเด็กคนนี้มาเป็นลูกบุญธรรม ชายผู้นี้ต้องการให้เด็กนั้นสัญญาก่อน. ดังนั้น ชายคนนี้กล่าวว่า “ก่อนที่ฉันจะรับเธอเป็นลูก ฉันต้องแน่ใจก่อนว่าเธอจะรักและนับถือฉันในฐานะพ่อของเธอ.” เด็กคนนี้ต้องเต็มใจจะให้คำมั่นสัญญาอย่างหนักแน่น ชายผู้นี้จึงจะรับเขาไว้ในครอบครัว. นั่นเป็นเรื่องที่สมเหตุผลมิใช่หรือ? ในทำนองเดียวกัน คนที่พระยะโฮวาทรงยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระองค์ต้องเป็นโรม 12:1, ฉบับเดอะ นิว อิงลิช ไบเบิล
คนที่เต็มใจจะปฏิญาณว่าเขาจะอุทิศตัวแด่พระองค์. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “จงถวายร่างกายของท่านเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ที่อุทิศตัว และที่พระองค์ทรงยอมรับได้.”—การอุทิศตัวแสดงถึงความรักและความเชื่อ
14. การอุทิศตัวแสดงถึงความรักอย่างไร?
14 การปฏิญาณตนว่าจะอุทิศตัวแด่พระเจ้าเป็นการแสดงความรักจากหัวใจที่เรามีต่อพระยะโฮวา. ในบางแง่ การปฏิญาณตนดังกล่าวคล้าย ๆ กับการกล่าวคำปฏิญาณในการสมรส. เจ้าบ่าวที่เป็นคริสเตียนแสดงความรักของเขาด้วยการกล่าวคำปฏิญาณว่าจะภักดีต่อเจ้าสาวไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม. นั่นเป็นคำมั่นสัญญาต่อบุคคล ไม่ใช่เป็นเพียงคำสัญญาว่าจะทำอะไรบางอย่าง. เจ้าบ่าวที่เป็นคริสเตียนเข้าใจว่าเขาไม่มีสิทธิ์ใช้ชีวิตคู่ด้วยกันกับเจ้าสาวถ้าเขาไม่ได้กล่าวคำปฏิญาณการสมรส. ในทำนองเดียวกัน เราไม่สามารถได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากการเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระยะโฮวาถ้าไม่ได้ปฏิญาณตนว่าจะอุทิศตัวแด่พระองค์. ดังนั้น แม้ว่าเราเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์ เราอุทิศตัวแด่พระเจ้าเพราะเราปรารถนาจะเป็นคนของพระองค์และตั้งใจแน่วแน่ว่าจะภักดีต่อพระองค์ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม.—มัด. 22:37
15. การอุทิศตัวแสดงให้เห็นว่าเรามีความเชื่ออย่างไร?
15 เมื่อเราอุทิศตัวแด่พระเจ้า เราแสดงให้เห็นว่าเรามีความเชื่อ. เหตุใดจึงเป็นอย่างนั้น? ความเชื่อในพระยะโฮวาทำให้เราเชื่อมั่นว่าการเข้าใกล้พระเจ้าเป็นเรื่องดีสำหรับเรา. (เพลง. 73:28) เรารู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไปที่จะดำเนินกับพระเจ้าขณะที่ดำเนินชีวิตท่ามกลาง “คนในยุคที่คดโกงและมีความคิดวิปริต” แต่เราไว้วางใจคำสัญญาของพระเจ้าที่จะทรงสนับสนุนความพยายามของเรา. (ฟิลิป. 2:15; 4:13) เรารู้ว่าเราไม่สมบูรณ์ แต่เราเชื่อมั่นว่าพระยะโฮวาจะทรงปฏิบัติต่อเราด้วยความเมตตาแม้แต่เมื่อเราทำผิดพลาด. (อ่านบทเพลงสรรเสริญ 103:13, 14; โรม 7:21-25) เรามีความเชื่อว่าพระยะโฮวาจะประทานบำเหน็จถ้าเราตั้งใจแน่วแน่ในการรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระองค์.—โยบ 27:5
การอุทิศตัวแด่พระเจ้าทำให้มีความสุข
16, 17. เหตุใดการอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาทำให้มีความสุข?
16 การอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาทำให้มีความสุขเพราะในแง่หนึ่งนั่นเป็นการให้ตัวเราเอง. พระเยซูตรัสถึงความจริงพื้นฐานนี้เมื่อพระองค์ตรัสว่า “การให้ทำให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ.” (กิจ. 20:35) พระเยซูทรงมีความสุขอย่างเต็มเปี่ยมจากการให้ระหว่างที่พระองค์ทรงรับใช้บนแผ่นดินโลก. เมื่อจำเป็น พระองค์ทรงงดเว้นการพักผ่อน, ไม่รับประทานอาหาร, และสละความสะดวกสบายเพื่อพระองค์จะสามารถช่วยคนอื่น ๆ ให้พบหนทางสู่ชีวิต. (โย. 4:34) พระเยซูทรงพบความสุขจากการทำให้พระทัยของพระบิดายินดี. พระเยซูตรัสว่า “เราทำสิ่งที่พระองค์ชอบพระทัยเสมอ.”—โย. 8:29; สุภา. 27:11
17 ดังนั้น พระเยซูทรงชี้ถึงวิธีที่เหล่าสาวกจะมีชีวิตที่อิ่มใจเมื่อพระองค์ตรัสว่า “ถ้าผู้ใดต้องการติดตามเรา ให้เขามัด. 16:24) การทำอย่างนั้นทำให้เราเข้าใกล้พระยะโฮวายิ่งขึ้น. เราจะฝากชีวิตของเราไว้ในมือใครได้อีกหรือซึ่งจะดูแลเราด้วยความรักยิ่งกว่าพระองค์?
ปฏิเสธตัวเอง.” (18. เหตุใดการดำเนินชีวิตสอดคล้องกับการอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาจึงทำให้เรามีความสุขยิ่งกว่าการอุทิศชีวิตเพื่อมนุษย์หรือสิ่งใด ๆ?
18 การอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาและหลังจากนั้นก็ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับการอุทิศตัวนั้นด้วยการทำตามพระประสงค์ของพระองค์จะทำให้มีความสุขยิ่งกว่าการอุทิศชีวิตเพื่อมนุษย์หรือสิ่งใด ๆ. ตัวอย่างเช่น หลายคนอุทิศชีวิตให้กับการมุ่งแสวงหาความมั่งคั่งร่ำรวยแต่ก็ไม่ได้รับความสุขและความอิ่มใจพอใจอย่างแท้จริง. อย่างไรก็ตาม คนที่อุทิศตัวเพื่อพระยะโฮวาได้รับความสุขที่ยั่งยืนนาน. (มัด. 6:24) การได้รับเกียรติในฐานะ “ผู้ร่วมงานกับพระเจ้า” ทำให้พวกเขามีความสุข แต่นั่นไม่ใช่การอุทิศตัวเพื่อจะทำงาน หากแต่เป็นการอุทิศตัวเพื่อพระเจ้าผู้ทรงเห็นคุณค่าพวกเรา. (1 โค. 3:9) ไม่มีใครจะเห็นค่าการเสียสละของพวกเขามากไปกว่าพระองค์. พระองค์จะทรงคืนความหนุ่มแน่นแก่ผู้ที่ภักดีต่อพระองค์ เพื่อพวกเขาจะสามารถได้รับประโยชน์จากการดูแลของพระองค์ได้ตลอดไป.—โยบ 33:25; อ่านฮีบรู 6:10
19. คนที่อุทิศตัวแด่พระยะโฮวาได้รับสิทธิพิเศษอะไร?
19 การอุทิศชีวิตแด่พระยะโฮวาทำให้คุณเข้ามามีสายสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับพระองค์. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “จงเข้าไปใกล้พระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงเข้ามาใกล้พวกท่าน.” (ยโก. 4:8; เพลง. 25:14) ในบทความถัดไป เราจะพิจารณาเหตุผลที่เรามั่นใจได้ในเรื่องการเลือกเป็นคนของพระยะโฮวา.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 12 “แกะอื่น” ของพระเยซูจะไม่ได้เป็นบุตรของพระเจ้าจนกว่าจะสิ้นรัชสมัยพันปี. อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพวกเขาได้อุทิศตัวแด่พระเจ้า พวกเขาจึงสามารถเรียกพระเจ้าได้อย่างเหมาะสมว่า “พระบิดา” และอาจถือได้อย่างถูกต้องว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวแห่งผู้นมัสการพระยะโฮวา.—โย. 10:16; ยซา. 64:8; มัด. 6:9; วิ. 20:5
คุณจะตอบอย่างไร?
• การอุทิศตัวแด่พระเจ้าหมายถึงอะไร?
• การอุทิศตัวแด่พระเจ้าเป็นประโยชน์อย่างไรสำหรับเรา?
• เหตุใดคริสเตียนจำเป็นต้องอุทิศตัวแด่พระยะโฮวา?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 6]
การดำเนินชีวิตสอดคล้องกับการอุทิศตัวของเราทำให้เรามีความสุขยั่งยืนนาน