ผู้ชายทั้งหลาย คุณอยู่ใต้อำนาจตำแหน่งประมุขของพระคริสต์ไหม?
ผู้ชายทั้งหลาย คุณอยู่ใต้อำนาจตำแหน่งประมุขของพระคริสต์ไหม?
“พระคริสต์ทรงเป็นประมุขของผู้ชายทุกคน.”—1 โค. 11:3
1. อะไรแสดงว่าพระยะโฮวาทรงเป็นพระเจ้าที่มีระเบียบ?
ที่วิวรณ์ 4:11 กล่าวว่า “พระยะโฮวา พระเจ้าของพวกข้าพเจ้า พระองค์ทรงคู่ควรจะได้รับเกียรติยศ ความนับถือ และอำนาจ เพราะพระองค์ทรงสร้างทุกสิ่ง สิ่งเหล่านั้นดำรงอยู่ และถูกสร้างขึ้นตามที่พระองค์ทรงประสงค์.” ข้อเท็จจริงที่ว่าพระยะโฮวา “ไม่ใช่พระเจ้าแห่งความยุ่งเหยิง แต่ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติสุข” เห็นได้จากวิธีที่พระองค์ได้ทรงจัดระเบียบครอบครัวของพระองค์ที่ประกอบด้วยเหล่าทูตสวรรค์.—1 โค. 14:33; ยซา. 6:1-3; ฮีบรู 12:22, 23
2, 3. (ก) พระเจ้าทรงสร้างใครเป็นอันดับแรก? (ข) พระบุตรหัวปีทรงอยู่ในฐานะเช่นไรเมื่อเทียบกับพระบิดา?
2 ก่อนที่จะสร้างสิ่งใด ๆ พระเจ้าทรงดำรงอยู่ด้วยพระองค์เองมาเป็นเวลานานจนไม่อาจนับได้. สิ่งทรงสร้างแรกสุดของพระองค์ได้แก่กายวิญญาณที่รู้จักกันในนาม “พระวาทะ” เนื่องจากทำหน้าที่เป็นโฆษกให้กับพระยะโฮวา. พระวาทะเป็นผู้ที่พระองค์ทรงใช้ให้สร้างสิ่งอื่น ๆ ทั้งหมด. ต่อมา พระวาทะได้มายังแผ่นดินโลกในสภาพที่เป็นมนุษย์สมบูรณ์และเป็นที่รู้จักในนามพระเยซูคริสต์.—อ่านโยฮัน 1:1-3, 14
3 คัมภีร์ไบเบิลกล่าวอย่างไรเกี่ยวกับฐานะที่มีความเกี่ยวข้องกันระหว่างพระเจ้ากับพระบุตรหัวปีของพระองค์? ในข้อเขียนที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า อัครสาวกเปาโลบอกเราว่า “ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า พระคริสต์ทรงเป็นประมุขของผู้ชายทุกคน ผู้ชายเป็นประมุขของผู้หญิง และพระเจ้าทรงเป็นประมุขของพระคริสต์.” (1 โค. 11:3) พระคริสต์ทรงอยู่ใต้อำนาจตำแหน่งประมุขของพระบิดา. ตำแหน่งประมุขและการอยู่ใต้อำนาจเป็นสิ่งสำคัญเพื่อสันติสุขและความเป็นระเบียบจะมีอยู่ทั่วไปท่ามกลางสิ่งทรงสร้างที่มีเชาวน์ปัญญา. แม้แต่ ‘ผู้ที่สร้างสิ่งอื่นทั้งหมด’ ก็ยังต้องอยู่ใต้อำนาจตำแหน่งประมุขของพระเจ้า.—โกโล. 1:16
4, 5. พระเยซูทรงรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับฐานะของพระองค์เมื่อเทียบกับพระยะโฮวา?
4 พระเยซูทรงรู้สึกอย่างไรที่อยู่ใต้อำนาจตำแหน่งประมุขของพระยะโฮวาและต้องมายังแผ่นดินโลก? พระคัมภีร์กล่าวว่า “พระคริสต์เยซู . . . แม้ว่าพระองค์ทรงมีสภาพอย่างพระเจ้า แต่พระองค์ก็ไม่เคยคิดจะชิงอำนาจเพื่อจะมีฐานะเท่าเทียมกับพระเจ้า แต่พระองค์ทรงสละพระองค์เองแล้วรับสภาพทาสและมาเกิดเป็นมนุษย์. ยิ่งกว่านั้น เมื่อทรงเห็นว่าพระองค์เองมีสภาพเป็นมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระทัยเชื่อฟังจนสิ้นพระชนม์ คือสิ้นพระชนม์บนเสาทรมาน.”—ฟิลิป. 2:5-8
5 พระเยซูทรงถ่อมพระทัยทำตามพระประสงค์ของพระบิดาเสมอตลอดเวลา. พระองค์ตรัสว่า “เราไม่อาจทำอะไรโดยพลการ . . . เราจะพิพากษาอย่างเที่ยงธรรม เพราะเรามิได้มุ่งทำตามใจเราเอง แต่เรามุ่งทำตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา.” (โย. 5:30) พระองค์ทรงประกาศว่า “เราทำสิ่งที่ [พระบิดา] ชอบพระทัยเสมอ.” (โย. 8:29) ในช่วงสุดท้ายของพระชนม์ชีพบนแผ่นดินโลก พระเยซูตรัสในคำอธิษฐานถึงพระบิดาว่า “ข้าพเจ้าได้ทำให้พระองค์ได้รับเกียรติบนแผ่นดินโลกแล้วโดยได้ทำงานที่พระองค์ทรงมอบหมายแก่ข้าพเจ้าจนสำเร็จ.” (โย. 17:4) เห็นได้ชัด พระเยซูไม่มีปัญหาในการยอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นประมุขของพระองค์.
การอยู่ใต้อำนาจของพระบิดาทำให้พระบุตรได้รับประโยชน์
6. พระเยซูทรงแสดงคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมอะไร?
6 เมื่อทรงอยู่บนแผ่นดินโลก พระเยซูทรงแสดงคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมหลายประการ. คุณลักษณะอย่างหนึ่งก็คือความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงแสดงต่อพระบิดา. พระองค์ตรัสว่า “เรารักพระบิดา.” (โย. 14:31) พระองค์ทรงแสดงความรักอันยิ่งใหญ่ต่อผู้คนด้วย. (อ่านมัดธาย 22:35-40) พระเยซูทรงกรุณาและคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น ไม่แข็งกร้าวหรือวางอำนาจเหนือผู้อื่น. พระองค์ตรัสว่า “เจ้าทั้งหลายที่ตรากตรำและมีภาระมากจงมาหาเราเถิด แล้วเราจะทำให้เจ้าทั้งหลายสดชื่น. จงรับแอกของเราแบกไว้และเรียนจากเรา เพราะเราเป็นคนอ่อนโยนและถ่อมใจ แล้วเจ้าทั้งหลายจะสดชื่น. เพราะแอกของเราพอเหมาะและภาระของเราก็เบา.” (มัด. 11:28-30) คนที่เปรียบดุจแกะทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะคนที่ถูกเหยียบย่ำและกดขี่ รู้สึกสบายใจอย่างยิ่งเนื่องด้วยบุคลิกภาพของพระเยซูที่ทำให้เบิกบานใจและข่าวสารที่ให้กำลังใจ.
7, 8. พระบัญญัติมีข้อห้ามอะไรสำหรับผู้หญิงที่มีอาการตกเลือด แต่พระเยซูทรงปฏิบัติต่อเธออย่างไร?
7 ขอให้พิจารณาว่าพระเยซูทรงปฏิบัติต่อผู้หญิงอย่างไร. ตลอดประวัติศาสตร์ ผู้ชายจำนวนมากปฏิบัติต่อผู้หญิงอย่างเลวร้าย. ผู้นำศาสนาในประเทศอิสราเอลโบราณก็ปฏิบัติต่อผู้หญิงอย่างนั้น. แต่พระเยซูทรงปฏิบัติต่อผู้หญิงด้วยความนับถือ. เรื่องนี้เห็นได้ชัดจากวิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งป่วยด้วยอาการตกเลือดมานานถึง 12 ปี. เธอ “ได้รับความเจ็บปวดมามาก” เพราะรักษากับหมอมาแล้วหลายคนและเสียทรัพย์สินที่มีอยู่จนหมดตัวโดยหวังว่าจะหายจากโรค. แม้ได้พยายามทำทุกอย่างเช่นนั้น เธอกลับ “เป็นหนักกว่าเดิม.” ตามที่ระบุในพระบัญญัติ ถือว่าเธอมีมลทิน. ใครก็ตามที่ถูกต้องตัวเธอก็จะมีมลทินไปด้วย.—เลวี. 15:19, 25
8 เมื่อผู้หญิงคนนี้ได้ยินว่าพระเยซูกำลังรักษาคนป่วย เธอก็เข้ามาปะปนอยู่กับฝูงชนที่ห้อมล้อมพระองค์ และคิดในใจว่า “ถ้าเพียงฉันได้แตะฉลองพระองค์ ฉันก็จะหาย.” เธอแตะพระเยซู และเธอก็หายโรคในทันที. พระเยซูทรงรู้ว่าเธอไม่ควรแตะต้องฉลองพระองค์. อย่างไรก็ตาม พระองค์ไม่ได้ดุว่าเธอ. ตรงกันข้าม พระองค์ทรงกรุณาเธอ. พระองค์ทรงเข้าใจว่าเธอคงต้องรู้สึกอย่างไรตลอดหลายปีที่ป่วยอยู่นั้นและทรงรู้ว่าเธอปรารถนาอย่างยิ่งที่จะได้รับความช่วยเหลือ. พระเยซูตรัสกับเธออย่างเห็นอกเห็นใจว่า “ลูกเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายโรค. จงไปอย่างมีความสุขและหายจากอาการป่วยที่ทำให้เจ้าเป็นทุกข์เถิด.”—มโก. 5:25-34
9. เมื่อสาวกของพระเยซูพยายามห้ามเด็ก ๆ ไว้ไม่ให้เข้ามาหาพระองค์ พระเยซูทรงแสดงปฏิกิริยาอย่างไร?
9 แม้แต่เด็ก ๆ ก็รู้สึกสบายใจเมื่ออยู่กับพระเยซู. เมื่อประชาชนพาลูก ๆ มาหาพระองค์ในโอกาสหนึ่ง เหล่าสาวกห้ามพวกเขาไว้ ดูเหมือนเพราะคิดว่าพระองค์คงไม่ต้องการถูกเด็ก ๆ รบกวน. แต่พระเยซูไม่ทรงรู้สึกอย่างนั้น. บันทึกในคัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่า “เมื่อพระเยซูทรงเห็นเช่นนั้นก็ไม่พอพระทัยและตรัสกับ [เหล่าสาวก] ว่า ‘ให้เด็กเล็ก ๆ เข้ามาหาเราเถิด อย่าห้ามพวกเขาเลย เพราะราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนอย่างนี้.’ ” ยิ่งกว่านั้น “พระองค์ทรงโอบเด็ก ๆ ไว้ แล้วทรงวางพระหัตถ์บนพวกเด็ก ๆ และอวยพรพวกเขา.” พระเยซูไม่ได้จำใจทนอยู่กับเด็ก ๆ แต่พระองค์ทรงต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่น.—มโก. 10:13-16
10. พระเยซูทรงมีคุณลักษณะอย่างที่พระองค์ทรงแสดงออกได้อย่างไร?
10 พระเยซูทรงมีคุณลักษณะอย่างที่พระองค์ทรงแสดงออกขณะอยู่บนแผ่นดินโลกได้อย่างไร? ก่อนพระองค์จะมาเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงสังเกตดูพระบิดาของพระองค์ในสวรรค์มานานแสนนานและทรงซึมซับวิธีปฏิบัติของพระบิดา. (อ่านสุภาษิต 8:22, 23, 30) ในสวรรค์ พระองค์ทรงเห็นวิธีที่พระยะโฮวาทรงใช้ตำแหน่งประมุขด้วยความรักในการปกครองสิ่งทรงสร้างทั้งสิ้น และทรงดำเนินในแนวทางแบบเดียวกันนั้น. พระเยซูจะทรงทำอย่างนั้นได้ไหมถ้าพระองค์ไม่ยอมรับอำนาจของพระบิดา? พระองค์ทรงยินดีอยู่ใต้อำนาจพระบิดา และพระยะโฮวาทรงยินดีที่มีพระบุตรที่ เชื่อฟังเช่นนั้น. เมื่อทรงอยู่บนแผ่นดินโลก พระเยซูทรงสะท้อนคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมของพระบิดาผู้อยู่ในสวรรค์อย่างสมบูรณ์แบบ. นับเป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ ที่เราอยู่ใต้อำนาจของพระคริสต์ ผู้ปกครองแห่งราชอาณาจักรสวรรค์ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้ง!
จงเลียนแบบคุณลักษณะของพระคริสต์
11. (ก) เราควรพยายามเลียนแบบใครอย่างเต็มที่? (ข) เหตุใดผู้ชายในประชาคมควรพยายามเป็นพิเศษในการเลียนแบบพระเยซู?
11 ทุกคนในประชาคมคริสเตียน โดยเฉพาะผู้ชาย ควรพยายามเลียนแบบคุณลักษณะของพระคริสต์อย่างเต็มที่ต่อ ๆ ไป. ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “พระคริสต์ทรงเป็นประมุขของผู้ชายทุกคน.” เช่นเดียวกับที่พระคริสต์ทรงเลียนแบบพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ประมุขของพระองค์ ผู้ชายคริสเตียนก็ควรพยายามเลียนแบบพระคริสต์ประมุขของตน. เมื่อเข้ามาเป็นคริสเตียน อัครสาวกเปาโลได้ทำอย่างนั้น. ท่านกระตุ้นเพื่อนคริสเตียนว่า “จงเป็นผู้เลียนแบบข้าพเจ้าเหมือนที่ข้าพเจ้าเป็นผู้เลียนแบบพระคริสต์.” (1 โค. 11:1) และอัครสาวกเปโตรก็กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายถูกเรียกให้เดินตามทางนี้ เพราะแม้แต่พระคริสต์ก็ยังทรงทนทุกข์เพื่อท่านทั้งหลาย ทรงวางแบบอย่างไว้ให้พวกท่านดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์อย่างใกล้ชิด.” (1 เป. 2:21) ยังมีเหตุผลอีกประการหนึ่งที่ผู้ชายควรสนใจเป็นพิเศษต่อคำเตือนสติที่ให้เลียนแบบพระคริสต์. พวกเขาอาจได้รับสิทธิพิเศษเป็นผู้ปกครองหรือผู้ช่วยงานรับใช้. เช่นเดียวกับที่พระเยซูทรงยินดีเลียนแบบพระยะโฮวา ผู้ชายคริสเตียนก็ควรยินดีเลียนแบบคุณลักษณะของพระคริสต์.
12, 13. ผู้ปกครองควรปฏิบัติอย่างไรต่อแกะที่พวกเขาดูแล?
1 เป. 5:1-3) คริสเตียนผู้ปกครองต้องไม่ใช้อำนาจบังคับ, ครอบงำ, ทำตามอำเภอใจ, หรือแข็งกร้าว. ในการทำตามแบบอย่างของพระคริสต์ พวกเขาพยายามแสดงความรัก, คำนึงถึงผู้อื่น, ถ่อมใจ, และกรุณาเมื่อปฏิบัติต่อแกะที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้ดูแล.
12 ผู้ปกครองในประชาคมคริสเตียนมีพันธะที่จะเรียนรู้เพื่อจะเป็นเหมือนพระคริสต์. เปโตรกระตุ้นเตือนผู้เฒ่าผู้แก่หรือผู้ปกครองว่า “จงบำรุงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าซึ่งอยู่ในความดูแลของท่านทั้งหลาย ไม่ใช่โดยฝืนใจ แต่ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เพราะอยากได้ผลประโยชน์ แต่ด้วยความกระตือรือร้น ไม่ใช่เป็นนายเหนือคนเหล่านั้นที่เป็นทรัพย์สมบัติของพระเจ้า แต่เป็นแบบอย่างให้ฝูงแกะนั้น.” (13 คนที่นำหน้าในประชาคมเป็นคนไม่สมบูรณ์ และพวกเขาควรตระหนักถึงข้อจำกัดนี้เสมอ. (โรม 3:23) ดังนั้น พวกเขาต้องกระหายที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับพระเยซูและเลียนแบบความรักของพระองค์. พวกเขาจำเป็นต้องไตร่ตรองวิธีที่พระเจ้าและพระคริสต์ปฏิบัติต่อผู้คนแล้วก็พยายามเลียนแบบพระองค์ทั้งสอง. เปโตรกระตุ้นเตือนเราว่า “พวกท่านทุกคนจงแสดงความถ่อมใจต่อกันเสมอ เพราะพระเจ้าทรงต่อสู้คนเย่อหยิ่ง แต่พระองค์ทรงพระกรุณาคนถ่อมใจอย่างใหญ่หลวง.”—1 เป. 5:5
14. ผู้ปกครองควรให้เกียรติผู้อื่นขนาดไหน?
14 ในการปฏิบัติต่อฝูงแกะของพระเจ้า ผู้ชายที่ได้รับการแต่งตั้งในประชาคมต้องแสดงคุณลักษณะที่ดี. โรม 12:10 กล่าวว่า “จงมีความรักใคร่อันอบอุ่นต่อกันฉันพี่น้อง. จงนำหน้าในการให้เกียรติกัน.” ผู้ปกครองและผู้ช่วยงานรับใช้ให้เกียรติกันและกัน. เช่นเดียวกับพี่น้องคริสเตียนทั่วไป ผู้ชายเหล่านี้ต้อง “ไม่ทำอะไรด้วยน้ำใจชิงดีชิงเด่นหรือด้วยความถือดี แต่ให้ถ่อมใจถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว.” (ฟิลิป. 2:3) คนเหล่านั้นที่นำหน้าควรถือว่าคนอื่นดีกว่าตัวเอง. โดยทำอย่างนี้ ผู้ชายที่ได้รับการแต่งตั้งก็กำลังทำตามคำแนะนำของเปาโลที่ว่า “แต่เราซึ่งเป็นคนที่เข้มแข็งก็ควรอดทนและคอยช่วยคนที่อ่อนแอ และไม่ควรทำตามใจชอบ. ให้เราแต่ละคนทำให้เพื่อนบ้านชอบใจด้วยสิ่งดีที่ช่วยเขาให้เจริญ. เพราะแม้แต่พระคริสต์ก็ไม่ได้ทำตามชอบพระทัยพระองค์.”—โรม 15:1-3
‘ให้เกียรติภรรยา’
15. สามีควรปฏิบัติต่อภรรยาอย่างไร?
15 ตอนนี้ขอให้พิจารณาคำแนะนำของเปโตรที่ให้กับชายที่สมรสแล้ว. ท่านเขียนว่า “ท่านทั้งหลายที่เป็นสามี จงอยู่กับภรรยาต่อ ๆ ไปในลักษณะเดียวกันตามความรู้ ให้เกียรตินางเหมือนเป็นภาชนะที่อ่อนแอกว่า คือเพศหญิง.” (1 เป. 3:7) การให้เกียรติใครคนหนึ่งหมายถึงการถือว่าคนนั้นควรได้รับความเคารพนับถืออย่างยิ่ง. ฉะนั้น คุณจะคำนึงถึงความคิดเห็น, ความจำเป็น, และความต้องการของคนนั้นและอาจยอมทำตามถ้าไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง. นี่คือวิธีที่สามีควรปฏิบัติต่อภรรยา.
16. พระคำของพระเจ้าให้คำเตือนอะไรแก่สามีในเรื่องการให้เกียรติภรรยา?
16 เมื่อแนะนำสามีว่าควรให้เกียรติภรรยา เปโตรยังเตือนด้วยว่า “เพื่อคำอธิษฐานของพวกท่านจะไม่ถูกขัดขวาง.” (1 เป. 3:7) นั่นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพระยะโฮวาทรงถือว่าวิธีที่สามีปฏิบัติต่อภรรยาเป็นเรื่องสำคัญ. ถ้าเขาไม่ให้เกียรติเธอ คำอธิษฐานของเขาอาจถูกขัดขวาง. นอกจากนั้น โดยทั่วไปแล้วภรรยาก็จะตอบรับอย่างดีเมื่อสามีปฏิบัติต่อเธออย่างให้เกียรติ.
17. สามีควรรักภรรยามากขนาดไหน?
17 พระคำของพระเจ้าให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรักภรรยาว่า “สามีทั้งหลายควรรักภรรยาเหมือนรักกายของตน. . . . เพราะไม่มีใครเกลียดชังร่างกายตนเอง แต่เขาจะเลี้ยงเอเฟ. 5:28, 29, 33) สามีควรรักภรรยามากขนาดไหน? เปาโลเขียนว่า “สามีทั้งหลาย จงรักภรรยาเสมออย่างที่พระคริสต์ทรงรักประชาคมและได้สละพระองค์เองเพื่อประชาคม.” (เอเฟ. 5:25) ใช่แล้ว สามีควรเต็มใจแม้แต่จะสละชีวิตให้ภรรยา เช่นเดียวกับที่พระคริสต์ทรงสละพระชนม์ชีพเพื่อคนอื่น ๆ. เมื่อสามีคริสเตียนปฏิบัติต่อภรรยาอย่างอ่อนโยน, เห็นอกเห็นใจ, เอาใจใส่ดูแล, ไม่เห็นแก่ตัว ภรรยาก็ย่อมจะอ่อนน้อมต่อตำแหน่งประมุขของเขาได้ง่ายขึ้น.
ดูและทะนุถนอมร่างกายของตน อย่างที่พระคริสต์ทรงปฏิบัติต่อประชาคม . . . ให้พวกท่านแต่ละคนรักภรรยาเหมือนรักตัวเอง.” (18. มีการจัดเตรียมอะไรที่ช่วยให้ผู้ชายสามารถปฏิบัติต่อภรรยาอย่างให้เกียรติ?
18 การให้เกียรติภรรยาแบบนี้เป็นการคาดหมายจากผู้ที่เป็นสามีมากเกินไปไหม? ไม่เลย พระยะโฮวาไม่เคยขอให้พวกเขาทำอะไรที่เกินความสามารถของพวกเขา. นอกจากนั้น ผู้นมัสการพระยะโฮวาสามารถได้รับพลังที่ทรงพลังที่สุดในเอกภพ ซึ่งก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า. พระเยซูตรัสว่า “ถ้าเจ้าทั้งหลายซึ่งแม้เป็นคนบาปก็ยังรู้จักให้ของดีแก่บุตร ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ผู้ที่ทูลขอพระองค์!” (ลูกา 11:13) ในคำอธิษฐาน สามีสามารถทูลขอให้พระยะโฮวาช่วยเขาโดยทางพระวิญญาณของพระองค์ ในการปฏิบัติต่อผู้อื่นรวมทั้งภรรยาของตนด้วย.—อ่านกิจการ 5:32
19. เราจะพิจารณาอะไรในบทความถัดไป?
19 จริงทีเดียว ผู้ชายมีความรับผิดชอบหนักที่จะเรียนรู้วิธียอมอยู่ใต้อำนาจของพระคริสต์และเลียนแบบการใช้ตำแหน่งประมุขของพระองค์. แต่จะว่าอย่างไรสำหรับผู้หญิง โดยเฉพาะผู้ที่เป็นภรรยา? บทความถัดไปจะพิจารณาวิธีที่พวกเธอควรมองบทบาทของตนในการจัดเตรียมของพระยะโฮวา.
คุณจำได้ไหม?
• คุณลักษณะอะไรของพระเยซูที่เราควรเลียนแบบ?
• ผู้ปกครองควรปฏิบัติอย่างไรต่อฝูงแกะ?
• สามีควรปฏิบัติอย่างไรต่อภรรยา?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 10]
จงเลียนแบบพระเยซูด้วยการให้เกียรติผู้อื่น