นางระบายความในใจกับพระเจ้าในคำอธิษฐาน
จงเลียนแบบความเชื่อของเขา
นางระบายความในใจกับพระเจ้าในคำอธิษฐาน
ฮันนาง่วนอยู่กับการเตรียมตัวเดินทาง นางพยายามไม่คิดถึงปัญหาของตัวเอง. นี่ควรจะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข เอ็ลคานาสามีของนางพาทุกคนในครอบครัวเดินทางไปนมัสการที่พลับพลาในเมืองชีโลห์เป็นประจำทุกปี. พระยะโฮวาทรงประสงค์ให้โอกาสเช่นนี้เป็นเวลาแห่งความยินดี. (พระบัญญัติ 16:15) และไม่ต้องสงสัยว่าฮันนาได้เข้าร่วมเทศกาลเหล่านี้ด้วยความชื่นชมยินดีมาตั้งแต่ยังเด็ก. แต่ไม่กี่ปีมานี้สถานการณ์ในชีวิตของนางได้เปลี่ยนไป.
นับเป็นพระพรที่นางมีสามีที่รักนาง. แต่เอ็ลคานามีภรรยาอีกคนหนึ่งด้วย. นางชื่อพะนีนา และดูเหมือนว่านางพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ฮันนามีชีวิตที่ขมขื่น. พะนีนามีวิธีทำให้ฮันนาทุกข์ทรมานใจแม้แต่ในช่วงเทศกาลประจำปีเช่นนี้. นางทำอะไร? และที่น่าสนใจกว่านั้น ความเชื่อที่ฮันนามีในพระยะโฮวาช่วยนางอย่างไรให้รับมือกับสถานการณ์ที่บ่อยครั้งดูเหมือนไม่อาจควบคุมได้? หากคุณกำลังเผชิญปัญหาที่บั่นทอนความสุขความยินดีในชีวิต คุณคงจะเห็นว่าเรื่องราวของฮันนาน่าประทับใจเป็นพิเศษ.
‘เสียใจด้วยเรื่องอะไร?’
คัมภีร์ไบเบิลเปิดเผยว่ามีปัญหาใหญ่สองเรื่องในชีวิตของฮันนา. เรื่องแรกนางไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ส่วนเรื่องที่สองนั้นยิ่งทำอะไรไม่ได้เลย. ประการแรก นางอยู่ในครอบครัวที่สามีมีภรรยาสองคน และภรรยาอีกคนหนึ่งก็เกลียดนาง. ประการที่สอง นางเป็นหมัน. ภรรยาทุกคนซึ่งปรารถนาอย่างยิ่งที่จะมีลูกย่อมรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาที่รับมือได้ยาก แต่ในสมัยของฮันนาและในวัฒนธรรมนั้นการเป็นหมันเป็นเรื่องที่ทำให้ทุกข์ใจมาก. ทุกครอบครัวต่างก็หวังจะมีลูกเพื่อสืบสกุล. การเป็นหมันจึงเป็นเหมือนการถูกตำหนิอย่างแรงและเป็นเรื่องน่าอับอาย.
ฮันนาคงอดทนกับสภาพการณ์เช่นนี้ได้ถ้าไม่มีพะนีนา. ครอบครัวที่มีภรรยาหลายคนไม่อาจมีความสุขได้อย่างแท้จริง. การแก่งแย่งชิงดีและความปวดร้าวใจเป็นเรื่องธรรมดามากในครอบครัวเช่นนี้. การมีภรรยาหลายคนไม่สอดคล้องกับมาตรฐานที่พระเจ้าได้ตั้งขึ้นในสวนเอเดนซึ่งกำหนดให้มีสามีหรือภรรยาเพียงคนเดียว. * (เยเนซิศ 2:24) ดังนั้น คัมภีร์ไบเบิลจึงแสดงให้เห็นว่าการมีภรรยาหลายคนไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดี และสิ่งที่เกิดขึ้นในครอบครัวของเอ็ลคานาก็เป็นหลักฐานอย่างหนึ่งซึ่งสะท้อนความจริงข้อนี้ได้เป็นอย่างดี.
เอ็ลคานารักฮันนามากที่สุด. ตามคำสอนสืบปากของชาวยิว เขาแต่งงานกับฮันนาก่อน แล้วต่อมาจึงแต่งงานกับพะนีนา. ไม่ว่าจะอย่างไร พะนีนาซึ่งอิจฉาฮันนามากได้ใช้หลายวิธีเพื่อทำให้นางทุกข์ใจ. พะนีนาได้เปรียบฮันนาตรงที่นางสามารถมีลูกได้. พะนีนาคลอดลูกคนแล้วคนเล่า และนางรู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญมากขึ้นทุกครั้งที่ให้กำเนิดลูก. แทนที่จะสงสารและปลอบโยนฮันนาผู้ไม่สมหวัง พะนีนาฉวยโอกาสจากปมด้อยของฮันนา. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า1 ซามูเอล 1:6) พะนีนาจงใจทำเช่นนั้น. นางต้องการทำให้ฮันนาเจ็บปวดใจมากและก็ทำสำเร็จ.
พะนีนาหาเรื่องกวนใจฮันนา “ทำให้ได้ความร้อนใจ.” (ดูเหมือนว่าโอกาสที่พะนีนาเห็นว่าเหมาะอย่างยิ่งคือตอนที่ครอบครัวเดินทางไปนมัสการพระยะโฮวาประจำปีที่ชีโลห์. เอ็ลคานาแบ่งส่วนที่ได้รับจากเครื่องบูชาที่ถวายแด่พระยะโฮวาแล้วให้แก่ “บุตรชายหญิง” แต่ละคนของพะนีนาซึ่งมีหลายคน. แต่ฮันนาซึ่งไม่มีลูกได้รับส่วนแบ่งของนางเพียงส่วนเดียว. พะนีนาจึงเย้ยหยันฮันนาและตอกย้ำเรื่องที่นางเป็นหมัน จนหญิงผู้น่าสงสารคนนี้ร้องไห้และถึงกับไม่อยากรับประทานอาหาร. เอ็ลคานาสังเกตได้ว่าฮันนาที่รักเป็นทุกข์และไม่รับประทานอาหาร เขาจึงพยายามปลอบใจนาง. เขาถามว่า “ทำไมจึงร้องไห้และไม่รับประทานอาหาร, เสียใจด้วยเรื่องอะไร, ฉันไม่ดีกว่าบุตรชายสิบคนหรือ?”—1 ซามูเอล 1:4-8
นับว่าดีที่เอ็ลคานายังมองออกว่าฮันนาเป็นทุกข์ด้วยเรื่องที่นางเป็นหมัน. และฮันนาคงซาบซึ้งใจแน่ ๆ ที่สามีแสดงความกรุณาและทำให้นางมั่นใจในความรักของเขา. * แต่เอ็ลคานาไม่ได้พูดถึงการกระทำที่ร้ายกาจของพะนีนา อีกทั้งบันทึกในพระคัมภีร์ก็ไม่ได้บ่งชี้ว่าฮันนาบอกเรื่องนั้นกับสามี. บางทีนางอาจเห็นว่าการเปิดโปงความร้ายกาจของพะนีนามีแต่จะทำให้สภาพการณ์ของนางแย่ลง. เอ็ลคานาจะช่วยอะไรได้จริง ๆ ไหม? พะนีนาคงจะยิ่งจงเกลียดจงชังฮันนามากขึ้นและลูก ๆ กับคนรับใช้ของพะนีนาก็อาจพลอยเกลียดฮันนาไปด้วยมิใช่หรือ? แล้วฮันนาก็จะยิ่งรู้สึกว่าเป็นส่วนเกินทั้ง ๆ ที่นางเป็นภรรยาคนแรก.
ไม่ว่าเอ็ลคานาจะรู้เรื่องเลวร้ายทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ที่พะนีนาทำหรือไม่ พระยะโฮวาพระเจ้าทรงเห็นทุกสิ่ง. พระคำของพระองค์เปิดเผยภาพรวมทั้งหมด ซึ่งเป็นการให้คำเตือนที่หนักแน่นสำหรับใครก็ตามที่ชอบแสดงความอิจฉาและความเกลียดชังแม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ. ในอีกด้านหนึ่ง ฝ่ายที่ถูกกระทำและรักสันติอย่างนางฮันนาสามารถได้รับการปลอบโยนที่รู้ว่าพระเจ้าแห่งความยุติธรรมทรงจัดการเรื่องราวทุกอย่างให้เรียบร้อยในเวลาและวิธีที่พระองค์เห็นว่าเหมาะสม. (พระบัญญัติ 32:4) ฮันนาคงทราบเรื่องนี้ดีเพราะนางได้หันไปขอความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา.
“มิได้เศร้าโศกต่อไป”
ตั้งแต่เช้าตรู่ ทั้งครอบครัวยุ่งอยู่กับงาน. ทุกคนกำลังเตรียมตัวเพื่อออกเดินทาง แม้แต่พวกเด็ก ๆ ด้วย. ครอบครัวใหญ่นี้ต้องเดินทางไกลกว่า 30 กม. ผ่านภูมิประเทศที่เป็นหุบเขาในเขตเอฟรายิมเพื่อไปยังชีโลห์. * การเดินทางด้วยเท้าจะใช้เวลาหนึ่งหรือสองวัน. ฮันนารู้ว่าพะนีนาจะทำอะไร. แต่ฮันนาก็ไม่ได้เลือกที่จะอยู่บ้าน. นางจึงเป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้รับใช้พระเจ้าจนถึงปัจจุบัน. ไม่ฉลาดเลยที่จะปล่อยให้การกระทำที่ไม่ดีของคนอื่นมาขัดขวางเราไว้จากการนมัสการพระเจ้า. ถ้าเราทำเช่นนั้น เราจะพลาดพระพรต่าง ๆ ที่ช่วยให้เรามีกำลังอดทนได้.
หลังจากเดินทางมาตลอดทั้งวันตามทางที่คดเคี้ยวและเป็นภูเขา ในที่สุด ครอบครัวใหญ่นี้ก็มาใกล้เมืองชีโลห์. เมืองนี้ตั้งอยู่บนเนินซึ่งแทบทุกด้านล้อมรอบไปด้วยเนินเขาที่สูงกว่า. ขณะที่ใกล้จะถึง ฮันนาคงครุ่นคิดถึงเรื่องที่เธอจะทูลอธิษฐานถึงพระยะโฮวา. เมื่อมาถึง ทั้งครอบครัวก็รับประทานอาหารร่วมกัน. ฮันนาแยกตัวออกมาทันทีที่ทำได้ แล้วไปที่พลับพลาของพระยะโฮวา. ขณะนั้นมหาปุโรหิตเอลีนั่งอยู่ใกล้ ๆ เสาประตูพลับพลา. แต่ฮันนามุ่งสนใจที่พระเจ้าของนาง. ที่พลับพลานี้ นางมั่นใจว่าพระเจ้าจะสดับคำอธิษฐานของนาง. แม้ไม่มีใครเข้าใจความทุกข์ทั้งสิ้นของนาง แต่พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ทรงเข้าใจ. นางไม่อาจกลั้นความขมขื่นไว้ได้อีกต่อไป แล้วนางก็ร้องไห้ออกมา.
ฮันนาร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวสั่นขณะที่ทูลอธิษฐานถึง1 ซามูเอล 1:9-11
พระยะโฮวาอยู่ในใจ. ปากของนางขมุบขมิบขณะที่คิดหาคำพูดเพื่อพรรณนาความทุกข์ของตน. นางอธิษฐานยืดยาวระบายความในใจต่อพระบิดา. แต่นางไม่เพียงอ้อนวอนต่อพระเจ้าด้วยใจแรงกล้าขอให้มีบุตร. ฮันนาไม่ต้องการจะได้รับพระพรจากพระเจ้าเท่านั้น แต่นางต้องการถวายทุกสิ่งที่นางทำได้ให้กับพระองค์ด้วย. นางจึงปฏิญาณว่าหากมีบุตรชายนางจะถวายบุตรนั้นให้รับใช้พระยะโฮวาตลอดชีวิต.—ดังนั้น นางฮันนาเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับผู้รับใช้ของพระเจ้าทุกคนในเรื่องการอธิษฐาน. พระยะโฮวายินดีเชิญประชาชนของพระองค์ให้บอกพระองค์ได้ทุกเรื่องโดยไม่ต้องลังเล และระบายความทุกข์กังวลกับพระองค์เหมือนลูกที่เปิดเผยทุกเรื่องกับพ่อแม่ที่รักเขาด้วยความไว้วางใจ. (บทเพลงสรรเสริญ 62:8; 1 เทสซาโลนิเก 5:17) อัครสาวกเปโตรได้รับการดลใจให้เขียนถ้อยคำที่ให้กำลังใจเกี่ยวกับการอธิษฐานถึงพระยะโฮวาดังนี้: “[จง] ฝากความวิตกกังวลทั้งสิ้นไว้กับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงใฝ่พระทัยท่านทั้งหลาย.”—1 เปโตร 5:7
อย่างไรก็ตาม มนุษย์ไม่มีความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจได้เท่ากับพระยะโฮวา. ขณะที่ฮันนาร้องไห้และอธิษฐานอยู่นั้น นางก็ได้ยินเสียงที่ทำให้สะดุ้ง. นั่นคือเสียงของมหาปุโรหิตเอลีซึ่งเฝ้าดูนางอยู่. เขาพูดว่า “จะเมาไปนานสักเท่าไร, จงทิ้งน้ำองุ่นเสียเถิด.” เอลีสังเกตเห็นฮันนาทำปากขมุบขมิบ, ร้องไห้สะอึกสะอื้น, และมีท่าทางแปลก ๆ. แทนที่จะถามว่านางเป็นอะไร เขาด่วนสรุปว่านางเมาเหล้า.—1 ซามูเอล 1:12-14
ขณะที่กำลังทุกข์ทรมานใจอยู่นั้น ฮันนาคงรู้สึกเจ็บปวดเพียงไรที่ถูกกล่าวหาโดยไม่มีเหตุผลเช่นนั้น อีกทั้งผู้ที่กล่าวหาก็อยู่ในตำแหน่งที่มีเกียรติ! อย่างไรก็ตาม ฮันนาได้วางแบบอย่างที่ยอดเยี่ยมอีกครั้งหนึ่งในด้านความเชื่อ. นางไม่ปล่อยให้ความไม่สมบูรณ์ของมนุษย์มาขัดขวางการนมัสการพระยะโฮวา. นางตอบเอลีด้วยความนับถือและอธิบายให้ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง. เขาจึงตอบนางและคงจะด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงและรู้สึกผิดว่า “จงไปเป็นสุข, ขอให้พระเจ้าของพวกยิศราเอลทรงโปรดประทาน, ตามที่เจ้าได้อธิษฐานต่อพระองค์นั้น.”—1 ซามูเอล 1:15-17
การที่ฮันนาได้ระบายความในใจต่อพระยะโฮวาและนมัสการพระองค์ที่พลับพลามีผลเช่นไรต่อนาง? บันทึกกล่าวว่า “แล้วนางก็ลาไปรับประทานอาหาร, โดยหน้าชื่นบานมิได้เศร้าโศกต่อไปอีก.” (1 ซามูเอล 1:18) ฮันนารู้สึกโล่งใจ. ประหนึ่งว่านางได้ยกภาระที่หนักอึ้งในใจตนวางไว้บนบ่าที่กว้างและแข็งแรงซึ่งไม่มีผู้ใดเทียบได้ของพระบิดาผู้อยู่ในสวรรค์. (บทเพลงสรรเสริญ 55:22) มีปัญหาใดที่หนักเกินไปสำหรับพระองค์ไหม? ไม่มีเลย ไม่ว่าในอดีต, ปัจจุบัน, หรือในอนาคต!
เมื่อเรารู้สึกหดหู่ท้อใจหรือเป็นทุกข์ นับว่าดีที่เราจะทำตามตัวอย่างของฮันนา และทูลทุกสิ่งต่อผู้ที่คัมภีร์ไบเบิลเรียกว่า “ผู้สดับคำอธิษฐาน.” (บทเพลงสรรเสริญ 65:2) ถ้าเราทำเช่นนั้นด้วยความเชื่อ เราจะประสบเช่นกันว่า “สันติ สุขของพระเจ้าซึ่งเหนือกว่าความคิดทุกอย่าง” จะเข้ามาแทนที่ความทุกข์ใจของเรา.—ฟิลิปปอย 4:6, 7
“หามีศิลา (ที่พึ่ง) ดุจดังพระเจ้าของข้าพเจ้าไม่”
เช้าวันต่อมา ฮันนากลับไปที่พลับพลากับเอ็ลคานาอีก. นางคงบอกเขาแล้วว่าได้ขอและปฏิญาณอะไรไว้กับพระยะโฮวา เพราะตามกฎหมายของโมเซสามีมีสิทธิ์จะทำให้คำอาฤธโม 30:10-15) แต่ชายผู้มีความเชื่อนี้ไม่ได้คัดค้านคำปฏิญาณของนาง. แทนที่จะทำเช่นนั้น เขากับฮันนานมัสการพระยะโฮวาด้วยกันที่พลับพลาก่อนเดินทางกลับบ้าน.
ปฏิญาณของภรรยาเป็นโมฆะได้หากเขาไม่เห็นด้วย. (พะนีนามารู้ตัวเมื่อไรว่าการกระทำของนางไม่สามารถทำให้ฮันนาทุกข์ใจได้อีกแล้ว? คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้กล่าวไว้ แต่วลีที่ว่า “มิได้เศร้าโศกต่อไปอีก” บ่งบอกว่าตั้งแต่นั้นมาฮันนามีความสุขไม่เป็นทุกข์อีกต่อไป. ไม่ว่าจะอย่างไร ไม่ช้าพะนีนาก็มารู้ว่าการกระทำที่ร้ายกาจของนางไม่เกิดผลอะไรเลย. คัมภีร์ไบเบิลไม่พูดถึงนางอีกเลย.
หลายเดือนผ่านไป สันติสุขในใจของนางฮันนาเปลี่ยนไปเป็นความยินดีอย่างเหลือล้น. นางตั้งครรภ์! แม้นางจะปีติยินดี แต่นางไม่เคยลืมว่าได้พระพรนี้มาอย่างไร. เมื่อคลอดบุตรชายแล้วนางได้ตั้งชื่อบุตรว่า ซามูเอล ซึ่งมีความหมายว่า “พระนามของพระเจ้า” และเห็นได้ชัดว่าเกี่ยวข้องกับการร้องเรียกพระนามของพระเจ้าอย่างที่นางฮันนาได้ทำ. ในปีนั้น นางไม่ได้ร่วมเดินทางกับเอ็ลคานาและครอบครัวไปยังชีโลห์. นางอยู่ที่บ้านกับลูกน้อยเป็นเวลาสามปีจนเขาหย่านม. การทำเช่นนั้นช่วยให้นางมีจิตใจเข้มแข็งเพื่อจะรับมือได้ในวันที่ต้องจากลูกชายสุดที่รัก.
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ต้องจากกัน. จริงอยู่ ฮันนารู้ว่าซามูเอลจะได้รับการดูแลอย่างดีที่ชีโลห์ อาจโดยผู้หญิงที่รับใช้อยู่ที่พลับพลา. แต่เขายังเด็กมาก และมีแม่คนไหนบ้างที่ไม่อยากอยู่กับลูกน้อยของตน? ไม่ว่าจะอย่างไร ฮันนากับเอ็ลคานาก็พาลูกชายไปที่นั่น ไม่ใช่ด้วยฝืนใจทำ แต่ด้วยความสำนึกบุญคุณที่มีต่อพระเจ้า. พวกเขาถวายเครื่องบูชาที่พระนิเวศของพระเจ้า และมอบซามูเอลให้แก่เอลีและบอกเขาเกี่ยวกับคำปฏิญาณที่ฮันนาได้ให้ไว้เมื่อสามปีก่อน.
หลังจากนั้น ฮันนาได้กล่าวคำอธิษฐานซึ่งพระเจ้าถือว่ามีค่าควรที่จะบันทึกไว้ในพระคำของพระองค์ที่มีขึ้นโดยการดลใจ. ขณะที่คุณอ่านคำอธิษฐานของนางซึ่งบันทึกที่ 1 ซามูเอล 2:1-10 คุณจะเห็นว่าทุกบรรทัดสะท้อนให้เห็นความเชื่อที่ลึกซึ้งของนาง. นางสรรเสริญพระยะโฮวาเพราะพระองค์ทรงใช้ฤทธิ์อำนาจอย่างน่าอัศจรรย์ คือพระองค์ทรงใช้ความสามารถซึ่งไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนทำให้ผู้หยิ่งจองหองตกต่ำลง, อวยพรผู้ถูกกดขี่, และประหารชีวิตหรือกระทั่งช่วยให้รอดจากความตาย. นางยกย่องพระบิดาเนื่องด้วยความบริสุทธิ์, ความยุติธรรม, และความซื่อสัตย์ของพระองค์. ฮันนามีเหตุผลที่ดีที่กล่าวว่า “หามีศิลา (ที่พึ่ง) ดุจดังพระเจ้าของข้าพเจ้าไม่.” พระยะโฮวาทรงเป็นผู้ที่ไว้วางใจได้อย่างแท้จริง, ไม่ทรงแปรเปลี่ยน, และเป็นที่พึ่งสำหรับทุกคนที่ถูกกดขี่และตกทุกข์ได้ยากซึ่งหันมาขอความช่วยเหลือจากพระองค์.
ช่างวิเศษจริง ๆ ที่เด็กน้อยซามูเอลมีแม่ที่มีความเชื่อเต็มเปี่ยมในพระยะโฮวา. แม้ว่าเขาคงต้องคิดถึงนางแน่ ๆ ขณะที่เติบโตขึ้น แต่เขาไม่เคยรู้สึกว่าถูกลืม. ทุก ๆ ปี ฮันนาจะกลับมาที่ชีโลห์พร้อมกับเสื้อคลุมตัวเล็กไม่มีแขนซึ่งซามูเอลใส่ในการรับใช้ที่พลับพลา. ทุก ๆ รอยตะเข็บเป็นพยานหลักฐานถึงความรักและความห่วงใยที่นางมีต่อลูกชาย. (1 ซามูเอล 2:19) เราคงนึกภาพได้ว่านางสวมเสื้อคลุมตัวใหม่ให้ลูกชาย, ลูบให้เรียบ, แล้วมองดูเขาด้วยความรักพร้อมกับพูดหนุนใจเขาอย่างอ่อนโยน. ซามูเอลได้พระพรที่มีแม่เช่นนี้ และเขาเติบโตขึ้นเป็นผู้ที่นำความยินดีมาสู่พ่อแม่และทำให้ชาวอิสราเอลทั้งปวงได้รับพร.
พระเจ้าไม่ทรงลืมฮันนาเช่นกัน. พระยะโฮวาอวยพรให้นางมีบุตรกับเอ็ลคานาอีกห้าคน. (1 ซามูเอล 2:21) แต่พระพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับฮันนาคงเป็นสัมพันธภาพที่นางมีกับพระยะโฮวาพระบิดาของนางซึ่งแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป. ขอให้คุณได้รับพระพรเช่นนั้นด้วยขณะที่คุณเลียนแบบความเชื่อของฮันนา.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 7 ในเรื่องที่ว่าทำไมพระเจ้ายอมให้ประชาชนของพระองค์มีภรรยาหลายคนอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง โปรดดูหอสังเกตการณ์ 1 กรกฎาคม 2009 หน้า 30 เรื่อง “พระเจ้าทรงเห็นชอบกับการมีภรรยาหลายคนไหม?”
^ วรรค 10 แม้คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่าพระยะโฮวาได้ ‘ปิดครรภ์ของฮันนาไว้’ แต่ไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าพระเจ้าไม่พอพระทัยสตรีผู้ซื่อสัตย์และถ่อมใจคนนี้. (1 ซามูเอล 1:5) บางครั้งพระคัมภีร์กล่าวว่าพระเจ้าเป็นผู้ทำให้เหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น แต่ที่จริงแล้วพระองค์เพียงแต่ยอมให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง.
^ วรรค 13 การคำนวณระยะทางเช่นนี้อาศัยความเป็นไปได้ที่ว่าเมืองรามาห์ บ้านเกิดของเอ็ลคานาอาจเป็นที่เดียวกับเมืองอะริมาเทียในสมัยพระเยซู.
[กรอบหน้า 17]
คำอธิษฐานสองครั้งที่โดดเด่น
คำอธิษฐานสองครั้งของฮันนาซึ่งบันทึกที่ 1 ซามูเอล 1:11 และ 2:1-10 มีหลายจุดที่น่าประทับใจ. ให้เราพิจารณาบางจุดต่อไปนี้:
▪ ฮันนาเรียกพระเจ้าในคำอธิษฐานครั้งแรกว่า “พระยะโฮวาเจ้าแห่งพลโยธา.” นางเป็นคนแรกที่คัมภีร์ไบเบิลบันทึกว่าเรียกพระเจ้าด้วยตำแหน่งนี้. ตำแหน่งนี้มีปรากฏในคัมภีร์ไบเบิลรวมทั้งสิ้น 285 ครั้ง และมีความหมายว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้บัญชาการกองทัพแห่งบุตรกายวิญญาณของพระองค์ซึ่งมีจำนวนมากมาย.
▪ สังเกตว่าฮันนาอธิษฐานครั้งที่สองไม่ใช่ตอนที่ลูกชายของนางเกิด แต่เป็นตอนที่นางและเอ็ลคานาถวายตัวเขาให้รับใช้พระเจ้าที่ชีโลห์. ดังนั้น สิ่งที่ทำให้ฮันนามีความชื่นชมยินดีอย่างยิ่งคือการที่นางได้รับพระพรจากพระยะโฮวา ไม่ใช่การที่นางสามารถทำให้พะนีนาเงียบเสียงได้.
▪ เมื่อฮันนาพูดว่า “(กำลัง) ของข้าพเจ้าเจริญขึ้นในพระยะโฮวาเช่นเขาสัตว์” นางคงคิดถึงวัวตัวผู้ซึ่งเป็นสัตว์พาหนะที่มีกำลังมากและมีเขาแข็งแรง. ที่จริง คำพูดของฮันนามีความหมายอีกอย่างหนึ่งว่า ‘พระยะโฮวา พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังเข้มแข็ง.’—1 ซามูเอล 2:1
▪ คำพูดของฮันนาเกี่ยวกับ ‘ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิม’ ถือกันว่าเป็นคำกล่าวเชิงพยากรณ์. คำที่ฮันนาใช้นี้มีความหมายเหมือนกับคำว่า “มาซีฮา” และฮันนาเป็นคนแรกในคัมภีร์ไบเบิลที่ใช้คำนี้เพื่อพาดพิงถึงผู้หนึ่งที่จะถูกเจิมเป็นกษัตริย์ในอนาคต.—1 ซามูเอล 2:10, ฉบับ R73
▪ ประมาณ 1,000 ปีต่อมา มาเรียมารดาของพระเยซูได้สรรเสริญพระยะโฮวาโดยใช้ถ้อยคำที่แสดงความรู้สึกคล้ายกับความรู้สึกของฮันนา.—ลูกา 1:46-55
[ภาพหน้า 16]
ฮันนาทุกข์ใจยิ่งนักเนื่องจากเป็นหมัน และพะนีนาพยายามทำทุกสิ่งเพื่อทำให้ฮันนาเป็นทุกข์มากขึ้นอีก
[ภาพหน้า 16, 17]
คุณจะเลียนแบบตัวอย่างของฮันนาในเรื่องการอธิษฐานจากหัวใจได้อย่างไร?
[ภาพหน้า 17]
ถึงแม้เอลีจะกล่าวหานางอย่างผิด ๆ แต่ฮันนาก็ไม่ขุ่นเคือง