คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตคน
คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตคน
ทำไมผู้หญิงวัยหกสิบปีคนหนึ่งจึงเลิกนมัสการรูปเคารพ? อะไรทำให้นักบวชในศาสนาชินโตคนหนึ่งลาออกมาเป็นคริสเตียนผู้เผยแพร่? ผู้หญิงที่ถูกเลี้ยงดูโดยพ่อแม่บุญธรรมตั้งแต่เกิดเอาชนะความรู้สึกที่ถูกทอดทิ้งได้อย่างไร? เชิญอ่านเรื่องราวที่พวกเขาจะเล่าต่อไปนี้.
‘ฉันไม่เป็นทาสรูปเคารพอีกต่อไป.’—อาบา ดันซู
ปีเกิด: 1938
ประเทศบ้านเกิด: เบนิน
อดีต: ผู้นมัสการรูปเคารพ
ชีวิตที่ผ่านมา: ฉันเติบโตขึ้นที่หมู่บ้านโซ-ชาฮูวี ซึ่งอยู่ในที่ลุ่มชื้นแฉะใกล้ทะเลสาบ. คนในหมู่บ้านของฉันหาเลี้ยงชีพด้วยการจับปลา เลี้ยงปศุสัตว์ รวมถึงแพะ แกะ หมู และนกด้วย. ในเขตที่ฉันอยู่ไม่มีถนน ผู้คนจึงไปไหนมาไหนด้วยเรือและเรือแคนู. บ้านเรือนส่วนใหญ่สร้างด้วยไม้และหญ้าแต่ก็มีบ้านบางหลังที่สร้างด้วยอิฐ. ชาวบ้านส่วนใหญ่มีฐานะยากจน. แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีอาชญากรรมมากเหมือนในเมืองใหญ่ ๆ.
ตอนเป็นเด็ก พ่อส่งฉันกับพี่สาวไปอยู่โรงเรียนประจำที่สอนศาสนา เราจึงถูกสอนให้บูชารูปเคารพและเครื่องรางต่าง ๆ. พอโตขึ้นฉันก็บูชาเทพดูดูอา (โอดูดูวา) ของชาวโยรูบา. ฉันสร้างที่ประทับสำหรับเทพองค์นี้และเซ่นไหว้เป็นประจำด้วยสิ่งของต่าง ๆ เช่น มันเทศ น้ำมันปาล์ม หอยทาก ไก่ นกพิราบ และสัตว์อีกหลายชนิด. ของเซ่นไหว้เหล่านี้มีราคาแพงมากและบ่อยครั้งทำให้ฉันเกือบหมดเนื้อหมดตัว.
คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตฉันอย่างไร: เมื่อฉันเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ฉันได้รู้ว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว. ฉันยังได้เรียนรู้ด้วยว่าพระองค์ไม่ยอมรับการนมัสการที่ใช้รูปเคารพ. (เอ็กโซโด 20:4, 5; 1 โครินท์ 10:14) ฉันรู้ตัวดีว่าฉันต้องทำอะไร. ฉันจึงเอารูปเคารพทั้งหมดไปทิ้งและขจัดทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการบูชารูปเคารพออกไปจากบ้าน. ฉันเลิกไปปรึกษาเทพพยากรณ์ทั้งหลาย และเลิกเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนารวมทั้งพิธีศพของคนในหมู่บ้าน.
การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้หญิงวัยหกสิบอย่างฉัน. เพื่อนฝูง ญาติ ๆ และเพื่อนบ้านต่างก็ต่อต้านและเยาะเย้ยฉัน. แต่ฉันอธิษฐานขอกำลังจากพระยะโฮวาเพื่อจะทำสิ่งที่ถูกต้อง. ฉันได้รับกำลังใจจากถ้อยคำในสุภาษิต 18:10 ที่ว่า “พระนามพระยะโฮวาเป็นป้อมเข้มแข็ง, คนชอบธรรมทั้งปวงวิ่งเข้าไปก็พ้นภัย.”
อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยฉันคือการเข้าร่วมประชุมกับพยานพระยะโฮวา. ที่หอประชุม ฉันได้เห็นความรักแบบคริสเตียนและฉันประทับใจที่ผู้คนเหล่านี้พยายามดำเนินชีวิตตามมาตรฐานศีลธรรมอันสูงส่งของคัมภีร์ไบเบิล. สิ่งที่ได้เห็นทำให้ฉันมั่นใจว่าพยานพระยะโฮวาคือกลุ่มที่นับถือศาสนาแท้.
ประโยชน์ที่ได้รับ: การนำหลักการในคัมภีร์ไบเบิลมาใช้ช่วยให้ฉันกับลูก ๆ ใกล้ชิดกันมากขึ้น. นอกจากนั้น ฉันยังรู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องแบกภาระที่เคยแบกมานานอีกต่อไป. ฉันเคยหมดเงินไปมากมายกับรูปเคารพที่ไร้ชีวิตซึ่งช่วยอะไรฉันไม่ได้สักอย่าง. ตอนนี้ฉันนมัสการพระยะโฮวา ผู้ทรงสามารถแก้ปัญหาของมนุษย์ทุกคนได้อย่างถาวร. (วิวรณ์ 21:3, 4) ฉันมีความสุขเหลือเกินที่ไม่ต้องเป็นทาสรูปเคารพอีกต่อไปแต่เป็นทาสของพระยะโฮวาแทน! พระองค์คือผู้ที่ให้การปกป้องคุ้มครองและช่วยให้ฉันรู้สึกปลอดภัยอย่างแท้จริง.
“ผมแสวงหาพระเจ้าตั้งแต่ยังเด็ก.”—ชินจิ ซาโตะ
ปีเกิด: 1951
ประเทศบ้านเกิด: ญี่ปุ่น
อดีต: นักบวชชินโต
ชีวิตที่ผ่านมา: ผมโตขึ้นในเมืองหนึ่งแถบชนบทของจังหวัดฟูกูโอกะ. พ่อแม่ผมเป็นคนเคร่งศาสนามาก และตั้งแต่เล็กท่านสอนให้ผมเลื่อมใสในเทพเจ้าของชินโต. ตอนเป็นเด็ก ผมมักจะคิดอยู่บ่อย ๆ ว่าทำอย่างไรจึงจะหลุดพ้นและผมต้องการเหลือเกินที่จะช่วยผู้คนให้พ้นทุกข์. ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่งเมื่อยังอยู่ชั้นประถม ครูถามนักเรียนในชั้นว่าอยากทำอะไรเมื่อโตขึ้น. เพื่อนนักเรียนต่างก็พูดถึงเป้าหมายที่แน่นอนของตัวเอง เช่น อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์. แต่ผมบอกว่าผมอยากรับใช้พระเจ้า. แล้วทุกคนก็หัวเราะผม.
หลังจากจบมัธยมปลาย ผมไปเข้าโรงเรียนนักธรรมเพื่อจะเป็นครูสอนศาสนา. ในช่วงนั้น ผมได้พบกับนักบวชชินโตคนหนึ่งที่ชอบอ่านหนังสือปกดำยามว่าง. วันหนึ่งนักบวชคนนั้นถามผมว่า “ซาโตะ คุณรู้ไหมนี่หนังสืออะไร?” ผมเคยเห็นชื่อบนปกหนังสือนั้นมาแล้ว ผมจึงตอบว่า “คัมภีร์ไบเบิลครับ.” เขาบอกว่า “ทุกคนที่อยากเป็นนักบวชชินโตควรอ่านหนังสือนี้.”
ผมรีบไปซื้อคัมภีร์ไบเบิลมาทันที. ผมวางพระคัมภีร์ไว้บนชั้นหนังสือตรงที่เห็นได้ชัดที่สุดและดูแลอย่างดี. แต่ผมไม่มีเวลาอ่านพระคัมภีร์เลยเพราะเรียนหนักมาก. เมื่อเรียนจบ ผมเริ่มทำงานเป็นนักบวชชินโตในศาลเจ้าแห่งหนึ่ง. ความฝันในวัยเด็กของผมกลายเป็นความจริง.
แต่ต่อมาไม่นาน ผมก็ได้พบว่าการเป็นนักบวชชินโตไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิด. นักบวชส่วนใหญ่แทบไม่ได้แสดงความรักและความห่วงใยต่อผู้อื่น. นอกจากนี้ หลายคนยังขาดความเชื่อด้วย. นักบวชที่อาวุโสกว่าคนหนึ่งถึงกับบอกผมว่า “ถ้าคุณอยากเป็นนักบวชที่มีชื่อเสียงที่นี่ คุณต้องพูดแต่เรื่องปรัชญาเท่านั้น. อย่าพูดถึงความเชื่อเป็นอันขาด.”
คำพูดของเขาทำให้ผมผิดหวังกับศาสนาชินโต. แม้ผมจะยังทำงานที่ศาลเจ้า แต่ผมก็เริ่มตรวจสอบศาสนาอื่น ๆ ด้วย. ถึงกระนั้น ศาสนาไหน ๆ ก็ดูจะเหมือนกันไปหมด. ยิ่งตรวจสอบหลายศาสนาผมก็ยิ่งท้อใจมากขึ้น. ผมรู้สึกว่าไม่มีศาสนาใดเลยที่สอนความจริง.
คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตผมอย่างไร: พอถึงปี 1988 ผมได้พบชาวพุทธคนหนึ่งที่แนะให้ผมอ่านคัมภีร์ไบเบิล. ผมนึกถึงนักบวชชินโตคนนั้นที่เคยบอกผมให้ทำอย่างเดียวกันเมื่อหลายปีก่อน. ผมตัดสินใจทำตามที่เขาแนะนำ. ทันทีที่เริ่มอ่านคัมภีร์ไบเบิล ผมก็ติดใจจนวางไม่ลง. บางครั้งผมอ่านพระคัมภีร์ตั้งแต่กลางคืนยันรุ่งเช้าจนแสงอาทิตย์ลอดเข้ามาทางหน้าต่าง.
สิ่งที่ผมได้อ่านทำให้ผมอยากอธิษฐานถึงพระเจ้าของคัมภีร์ไบเบิล. ผมเริ่มท่องตามคำอธิษฐานแบบอย่างที่มัดธาย 6:9-13. ผมท่องคำอธิษฐานนี้ทุกสองชั่วโมง แม้แต่ตอนที่กำลังประกอบพิธีศาสนาอยู่ในศาลเจ้า.
ผมมีคำถามมากมายเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน. ตอนนั้นผมแต่งงานแล้ว และผมรู้ว่าพยานพระยะโฮวาสอนผู้คนเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลเพราะพวกเขาเคยมาเยี่ยมภรรยาของผม. ผมพยายามติดต่อกับพยานฯ คนหนึ่งและถามคำถามเธอหลายข้อ. ผมประทับใจที่เธอใช้คัมภีร์ไบเบิลตอบคำถามทุกข้อของผม. เธอขอให้พยานฯ อีกคนหนึ่งมาสอนคัมภีร์ไบเบิลให้ผม.
หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็เข้าร่วมการประชุมของพยานพระยะโฮวา. ตอนแรกผมไม่รู้ว่าในหอประชุมนั้นมีพยานฯ บางคนที่ผมเคยแสดงกิริยาหยาบคายต่อพวกเขา. แต่พวกเขาก็เข้ามาทักทายผมอย่างเป็นกันเอง และนั่นทำให้ผมรู้สึกว่าได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น.
ที่การประชุม ผมได้รู้ว่าพระยะโฮวาทรงคาดหมายให้สามีแสดงความรักและให้เกียรติทุกคนในครอบครัว. ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับการทำหน้าที่นักบวชจนไม่ได้ใส่ใจภรรยาและลูกทั้งสองคน. ผมมาตระหนักว่าเมื่อมีคนมาขอคำปรึกษาจากผมที่ศาลเจ้า ผมจะตั้งใจฟังพวกเขาอย่างดี แต่ผมกลับไม่เคยสนใจฟังภรรยาพูดเลยสักครั้ง.
เมื่อศึกษามากขึ้น สิ่งที่ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวาทำให้ผมอยากใกล้ชิดพระองค์. ผมประทับใจเป็นพิเศษเมื่อได้อ่านโรม 10:13 ที่บอกว่า “ทุกคนที่ทูลอ้อนวอนโดยออกพระนามพระยะโฮวาจะรอด.” ผมแสวงหาพระเจ้าตั้งแต่ยังเด็ก และในที่สุดผมก็ได้พบพระองค์!
ผมเริ่มรู้สึกว่าผมไม่ควรจะทำงานในศาลเจ้าอีกต่อไป. ตอนแรกผมกังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรถ้าผมออกจากศาสนาชินโต. แต่ผมเคยบอกตัวเองเสมอว่าถ้าผมพบพระเจ้าเที่ยงแท้เมื่อไร ผมจะไปจากศาสนานี้ทันที. ดังนั้น ในฤดูใบไม้ผลิปี 1989 ผมจึงตัดสินใจทำสิ่งที่ผมควรทำ. ผมลาออกจากศาสนาชินโตและฝากชีวิตของผมไว้ในพระหัตถ์ของพระยะโฮวา.
การเปลี่ยนศาสนาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย. นักบวชที่อาวุโสกว่าพากันด่าว่าผมและทำทุกวิถีทางไม่ให้ผมลาออก. แต่ที่ยากกว่านั้นคือการบอกให้พ่อแม่รู้เรื่องการตัดสินใจของผม. ระหว่างที่กำลังไปบ้านพ่อแม่ ผมรู้สึกเครียดและกังวลมากจนเจ็บแน่นหน้าอกและแข้งขาก็อ่อนเปลี้ยไปหมด! ผมต้องหยุดหลายครั้งเพื่ออธิษฐานขอกำลังจากพระยะโฮวา.
เมื่อมาถึงบ้านพ่อแม่ ตอนแรกผมรู้สึกกลัวมากจนไม่กล้าพูดถึงเรื่องนั้น. หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมงและอธิษฐานไปหลายรอบ ในที่สุด ผมก็กล้าอธิบายเรื่องทั้งหมดให้พ่อฟัง. ผมบอกท่านว่าผมได้พบพระเจ้าเที่ยงแท้แล้ว และผมกำลังจะลาออกจากศาสนาชินโตเพื่อรับใช้พระองค์. พ่อตกใจและเสียใจมาก. ญาติหลายคนมาที่บ้านและพยายามเกลี้ยกล่อมให้ผมเปลี่ยนใจ. ผมไม่อยากทำให้ครอบครัวเสียใจ แต่ในขณะเดียวกันผมก็รู้ว่าการรับใช้พระยะโฮวาเป็นสิ่งที่ถูกต้องและควรทำอย่างยิ่ง. ในเวลาต่อมา ครอบครัวก็ยอมรับการตัดสินใจของผม.
แม้ผมจะไม่ได้เป็นนักบวชในศาสนาชินโตแล้ว แต่ผมก็ยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะปรับเปลี่ยนความคิดได้. ผมเคยชินกับการใช้ชีวิตแบบนักบวชมานาน. ผมพยายามอย่างหนักที่จะลืม แต่ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็มีแต่สิ่งที่คอยเตือนให้นึกถึงชีวิตในอดีต.
มีสองอย่างที่ช่วยผมขจัดอิทธิพลเก่า ๆ ให้หมดไป. อย่างแรก ผมค้นดูทั่วบ้านว่ามีอะไรที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเดิมหลงเหลืออยู่บ้าง. แล้วผมก็เผาทุกอย่างทิ้ง ทั้งหนังสือ รูปภาพ แม้แต่ของที่มีค่าและราคาแพง. อย่างที่สอง ผมหาโอกาสคบหาสมาคมกับพยานฯ ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้. มิตรภาพและความช่วยเหลือจากพวกเขาช่วยผมมากทีเดียว. แล้วชีวิตแบบเก่าก็ค่อย ๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของผม.
ประโยชน์ที่ได้รับ: ผมเคยละเลยภรรยาและลูก ๆ ทำให้พวกเขารู้สึกถูกทอดทิ้ง. แต่เมื่อผมเริ่มให้เวลากับครอบครัวมากขึ้นตามคำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิลที่ให้กับสามี พวกเราก็ใกล้ชิดกันมากขึ้น. ต่อมา ภรรยาของผมก็มารับใช้พระยะโฮวาด้วย. ตอนนี้ทุกคนในครอบครัวของเรา ทั้งลูกชาย ลูกสาวและสามีของเธอก็มาเป็นผู้นมัสการแท้เช่นกัน.
เมื่อย้อนนึกถึงความฝันในวัยเด็กที่อยากรับใช้พระเจ้าและช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ผมเห็นแล้วว่าผมได้ทุกสิ่งที่แสวงหา และยังได้มากกว่านั้นด้วยซ้ำ. ผมซาบซึ้งในพระกรุณาคุณของพระยะโฮวามากเหลือเกินจนไม่อาจพรรณนาเป็นคำพูดได้.
“ฉันรู้ว่ามีอะไรบางอย่างขาดหายไป.”—ลีเนตต์ ฮอฟติง
ปีเกิด: 1958
ประเทศบ้านเกิด: แอฟริกาใต้
อดีต: รู้สึกถูกทอดทิ้ง
ชีวิตที่ผ่านมา: ฉันเกิดที่เจอร์มิสตัน เมืองของชนชั้นกลางที่มีการทำเหมืองแร่และเป็นเมืองที่ไม่มีอาชญากรรมมากนัก. พ่อแม่ตัดสินใจยกฉันให้คนอื่นเพราะคิดว่าไม่สามารถเลี้ยงดูฉันได้. เมื่ออายุได้เพียง 14 วัน ก็มีคู่สมรสที่ใจดีคู่หนึ่งมารับฉันไปเลี้ยง และฉันเข้าใจมาตลอดว่าท่านคือพ่อแม่แท้ ๆ ของฉัน. แต่หลังจากได้รู้เรื่องราวของตัวเอง ฉันก็รู้สึกขมขื่นที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง. ฉันเริ่มรู้สึกว่าฉันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ และพ่อแม่บุญธรรมก็ไม่เข้าใจฉัน.
พออายุประมาณ 16 ปี ฉันเริ่มออกเที่ยวกับเพื่อน ๆ ตามคลับตามบาร์ เต้นรำและฟังเพลงด้วยกัน. ฉันเริ่มสูบบุหรี่ตอนอายุ 17 ปี. ฉันอยากผอมเหมือนนางแบบในโฆษณาบุหรี่. เมื่ออายุ 19 ปี ฉันย้ายไปทำงานที่เมืองโจฮันเนสเบิร์ก และเพื่อนใหม่ที่คบก็ล้วนแต่เป็นคนไม่ดีทั้งนั้น. ไม่นาน ฉันก็เริ่มพูดจาหยาบคาย ติดบุหรี่ และพอสุดสัปดาห์ฉันก็เอาแต่ดื่มเหล้า.
แม้จะทำตัวแบบนี้ ฉันก็ยังเป็นคนที่แข็งแรงกระฉับกระเฉง. ฉันเต้นแอโรบิก เล่นสควอช และเล่นฟุตบอลเป็นประจำ. นอกจากนั้น ฉันยังทำงานหนักมากจนเริ่มมีชื่อเสียงในแวดวงคอมพิวเตอร์. ฉันมีเงินใช้จ่ายอย่างเหลือเฟือ และหลายคนก็บอกว่าฉันประสบความสำเร็จแล้ว. แต่จริง ๆ แล้วฉันไม่มีความสุขเลย ฉันรู้สึกสับสนและผิดหวังกับชีวิต. ลึก ๆ ในใจ ฉันรู้ว่ามีอะไรบางอย่างขาดหายไป.
คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตฉันอย่างไร: เมื่อเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ฉันก็ได้รู้ว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าแห่งความรัก. ฉันยังได้รู้ด้วยว่าพระองค์ทรงแสดงความรักโดยประทานคัมภีร์ไบเบิล พระคำของพระองค์แก่เรา. พระคัมภีร์เป็นเหมือนจดหมายที่พระองค์เขียนถึงเราเป็นส่วนตัวเพื่อแนะแนวทางชีวิตให้เรา. (ยะซายา 48:17, 18) ฉันตระหนักว่าถ้าฉันต้องการได้รับประโยชน์จากการชี้นำด้วยความรักของพระยะโฮวา ฉันต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตขนานใหญ่.
เรื่องหนึ่งที่ฉันจำเป็นต้องเปลี่ยนคือเรื่องเพื่อน. ข้อคัมภีร์ที่กระตุ้นใจฉันคือสุภาษิต 13:20 ซึ่งกล่าวว่า “จงดำเนินกับคนมีปัญญา; แต่การคบค้ากับคนโฉดเขลาจะได้รับความเจ็บแสบ.” หลักการข้อนี้กระตุ้นให้ฉันเลิกคบกับเพื่อนเก่า ๆ และหันมาคบหากับเพื่อนใหม่ที่เป็นพยานพระยะโฮวา.
เรื่องที่ยากที่สุดสำหรับฉันคือการเลิกบุหรี่ เพราะฉันติดบุหรี่มาก. ระหว่างที่ฉันพยายามจะเลิก ฉันก็ต้องเจอกับปัญหาอีกอย่างหนึ่ง. การเลิกบุหรี่ทำให้น้ำหนักของฉันเพิ่มขึ้นเกือบ 14 กิโลกรัม! เรื่องนี้ทำให้ฉันสูญเสียความมั่นใจในตัวเองไปมากทีเดียว และต้องใช้เวลานานเกือบสิบปีกว่าจะลดน้ำหนักได้เท่าเดิม. แต่ฉันก็รู้ว่าการเลิกบุหรี่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง. ฉันอธิษฐานถึงพระยะโฮวาเสมอและพระองค์ก็ประทานกำลังให้ฉันจนเลิกบุหรี่ได้สำเร็จ.
ประโยชน์ที่ได้รับ: เดี๋ยวนี้ฉันมีสุขภาพดีขึ้น. นอกจากนั้น ฉันยังอิ่มใจพอใจกับชีวิต. ฉันเลิกไขว่คว้าหาความสุขจอมปลอมที่เคยคิดว่าจะได้จากหน้าที่การงาน ฐานะทางสังคม และความมั่งคั่งร่ำรวย. ตอนนี้ฉันมีความสุขที่ได้บอกคนอื่น ๆ ให้รู้ความจริงจากคัมภีร์ไบเบิล. ผลคืออดีตเพื่อนร่วมงานสามคนของฉันได้เข้ามารับใช้พระยะโฮวาร่วมกับฉันและสามี. ก่อนที่พ่อแม่บุญธรรมจะเสียชีวิต ฉันมีโอกาสได้บอกพวกท่านเกี่ยวกับคำสัญญาในคัมภีร์ไบเบิลเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตายในอุทยานบนแผ่นดินโลก.
การเข้ามาใกล้ชิดกับพระยะโฮวาช่วยฉันเอาชนะความรู้สึกที่ถูกทอดทิ้ง. พระองค์ช่วยให้ฉันรู้สึกอบอุ่นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวคริสเตียนทั่วโลก. ในครอบครัวนี้ ฉันมีพ่อ แม่ และพี่น้องชายหญิงมากมายหลายคน.—มาระโก 10:29, 30
[ภาพหน้า 12]
ฉันได้เห็นความรักแบบคริสเตียนท่ามกลางพยานพระยะโฮวา
[ภาพหน้า 13]
ศาลเจ้าชินโตที่เคยเป็นสถานนมัสการของผม
หอสังเกตการณ์