ข้ามไปยังเนื้อหา

ข้ามไปยังสารบัญ

ใครตั้งกฎที่ควบคุมเอกภพของเรา?

ใครตั้งกฎที่ควบคุมเอกภพของเรา?

ใคร​ตั้ง​กฎ​ที่​ควบคุม​เอกภพ​ของ​เรา?

“เจ้า​รู้​จัก​กฎ​ธรรมชาติ​แห่ง​ท้องฟ้า​แล้ว​หรือ?” (โยบ 38:33) พระเจ้า​ตรัส​ถาม​โยบ​เช่น​นั้น​เพื่อ​ช่วย​ผู้​รับใช้​ของ​พระองค์​ที่​กำลัง​เป็น​ทุกข์​ให้​เข้าใจ​ว่า​มนุษย์​มี​ความ​รู้​น้อย​เพียง​ไร​เมื่อ​เทียบ​กับ​สติ​ปัญญา​อัน​ไร้​ขีด​จำกัด​ของ​พระ​ผู้​สร้าง. คุณ​คิด​อย่าง​นั้น​ด้วย​ไหม?

มนุษย์​ได้​เรียน​รู้​หลาย​สิ่ง​เกี่ยว​กับ​กฎ​ที่​ควบคุม​เอกภพ แต่​นัก​วิทยาศาสตร์​ส่วน​ใหญ่​ก็​ยอม​รับ​ว่า​ยัง​มี​อะไร​ที่​ต้อง​เรียน​รู้​อีก​มาก. การ​ค้น​พบ​ใหม่ ๆ ครั้ง​แล้ว​ครั้ง​เล่า​ทำ​ให้​นัก​วิทยาศาสตร์​ต้อง​ทบทวน​ทฤษฎี​ต่าง ๆ ที่​พวก​เขา​ได้​ตั้ง​ขึ้น​เกี่ยว​กับ​เอกภพ. การ​ค้น​พบ​เหล่า​นี้​ทำ​ให้​คำ​ถาม​ที่​พระเจ้า​เคย​ถาม​โยบ​กลาย​เป็น​คำ​ถาม​ที่​ใช้​ไม่​ได้​แล้ว​ไหม? หรือ​การ​ค้น​พบ​เหล่า​นั้น​แท้​จริง​แล้ว​กลับ​พิสูจน์​ว่า​พระ​ยะโฮวา​ทรง​เป็น​ผู้​ตั้ง​กฎ​แห่ง​ท้องฟ้า?

คัมภีร์​ไบเบิล​มี​คำ​กล่าว​ที่​น่า​ประทับใจ​ซึ่ง​ช่วย​ตอบ​คำ​ถาม​เหล่า​นี้. จริง​อยู่ คัมภีร์​ไบเบิล​ไม่​ใช่​ตำรา​วิทยาศาสตร์. แต่​สิ่ง​ที่​คัมภีร์​ไบเบิล​กล่าว​เกี่ยว​กับ​ท้องฟ้า​ที่​เต็ม​ไป​ด้วย​ดวง​ดาว​ล้วน​ถูก​ต้อง​เป็น​จริง​อย่าง​น่า​ทึ่ง และ​ส่วน​ใหญ่​ก็​เป็น​ความ​รู้​ที่​ล้ำ​ยุค​สำหรับ​คน​ใน​สมัย​นั้น.

ความ​เข้าใจ​ของ​คน​ใน​อดีต

เพื่อ​จะ​รู้​ว่า​ผู้​คน​ใน​อดีต​คิด​อย่าง​ไร ให้​เรา​ย้อน​กลับ​ไป​ใน​ศตวรรษ​ที่​สี่​ก่อน​สากล​ศักราช ประมาณ​หนึ่ง​ร้อย​ปี​หลัง​จาก​คัมภีร์​ไบเบิล​ภาษา​ฮีบรู​หรือ​พันธสัญญา​เดิม​เขียน​เสร็จ​สิ้น. ใน​เวลา​นั้น อาริสโตเติล นัก​ปรัชญา​กรีก​ได้​สอน​เหล่า​นัก​ปราชญ์​ชั้น​แนว​หน้า​ใน​สมัย​นั้น​เกี่ยว​กับ​จักรวาล. ทุก​วัน​นี้​ผู้​คน​ยัง​ถือ​กัน​ว่า​เขา​เป็น​นัก​วิทยาศาสตร์​ที่​ทรง​อิทธิพล​ที่​สุด​คน​หนึ่ง​ของ​โลก. (ดู​ กรอบ​หน้า 25.) สารานุกรม​บริแทนนิกา กล่าว​ว่า “อาริสโตเติล​เป็น​นัก​วิทยาศาสตร์​แท้ ๆ คน​แรก​ใน​ประวัติศาสตร์. . . . นัก​วิทยาศาสตร์​ทุก​คน​เป็น​หนี้​เขา.”

อาริสโตเติล​ได้​สร้าง​แบบ​จำลอง​จักรวาล​ขึ้น​มา. ใน​แบบ​จำลอง​ของ​เขา เอกภพ​ประกอบ​ด้วย​ทรง​กลม​โปร่ง​ใส​ซ้อน​กัน​อยู่​มาก​กว่า 50 ชั้น​โดย​มี​โลก​เป็น​ศูนย์กลาง. ดาว​ฤกษ์​ติด​อยู่​กับ​ทรง​กลม​ชั้น​นอก​สุด ส่วน​ดาว​เคราะห์​อยู่​ใน​ชั้น​ต่าง ๆ ที่​ใกล้​กับ​โลก. ทุก​สิ่ง​ที่​อยู่​นอก​โลก​ล้วน​คง​อยู่​ถาวร ไม่​มี​การ​เปลี่ยน​แปลง​ใด ๆ. แนว​คิด​เหล่า​นี้​อาจ​ฟัง​ดู​ไร้​เหตุ​ผล​สำหรับ​เรา​ใน​ทุก​วัน​นี้ แต่​ก็​เป็น​แนว​คิด​ที่​มี​อิทธิพล​ต่อ​นัก​วิทยาศาสตร์​นาน​เกือบ 2,000 ปี​ที​เดียว.

แต่​คำ​สอน​ของ​อาริสโตเติล​เป็น​อย่าง​ไร​เมื่อ​เทียบ​กับ​คำ​สอน​ใน​คัมภีร์​ไบเบิล? คำ​สอน​ไหน​ที่​ได้​รับ​การ​พิสูจน์​แล้ว​ว่า​เป็น​ความ​จริง? ให้​เรา​พิจารณา​คำ​ถาม​สาม​ข้อ​เกี่ยว​กับ​กฎ​ต่าง ๆ ที่​ควบคุม​เอกภพ​ของ​เรา. คำ​ตอบ​สำหรับ​คำ​ถาม​เหล่า​นี้​จะ​ช่วย​ให้​เรา​มี​ความ​เชื่อ​ใน​พระเจ้า​ผู้​ประพันธ์​คัมภีร์​ไบเบิล ผู้​ตั้ง​กฎ​ที่​ควบคุม “ธรรมชาติ​แห่ง​ท้องฟ้า.”—โยบ 38:33

1. เอกภพ​อยู่​ใน​สภาวะ​คงที่​ไหม?

อาริสโตเติล​สอน​ว่า​ทรง​กลม​แต่​ละ​ชั้น​ใน​จักรวาล​อยู่​ใน​สภาวะ​คงที่. ทรง​กลม​ทุก​ชั้น​รวม​ถึง​ชั้น​ที่​มี​ดาว​ฤกษ์​ติด​อยู่​ไม่​สามารถ​หด​ตัว​หรือ​ขยาย​ตัว​ได้.

คำ​อธิบาย​ของ​คัมภีร์​ไบเบิล​คล้าย​กัน​กับ​สมมุติฐาน​นี้​ไหม? ไม่​เลย คัมภีร์​ไบเบิล​ไม่​ได้​ให้​ข้อมูล​ที่​เฉพาะ​เจาะจง​เกี่ยว​กับ​เรื่อง​นี้. แต่​ขอ​สังเกต​คำ​พรรณนา​ที่​น่า​สนใจ​ใน​พระ​คัมภีร์​ที่​ว่า “มี​ผู้​หนึ่ง​ซึ่ง​ประทับ​เหนือ​วง​กลม​แห่ง​แผ่นดิน​โลก ซึ่ง​ผู้​อาศัย​ก็​เหมือน​ตั๊กแตน ผู้​หนึ่ง​ซึ่ง​กาง​ฟ้า​สวรรค์​ออก​เหมือน​กาง​ผ้า​เนื้อ​ละเอียด ผู้​ทรง​กาง​ฟ้า​สวรรค์​เหมือน​กาง​เต็นท์​อยู่​อาศัย.”—ยะซายา 40:22, ล.ม. *

แนว​คิด​ใด​สอดคล้อง​กับ​ความ​รู้​ความ​เข้าใจ​ใน​ปัจจุบัน​มาก​กว่า​กัน แบบ​จำลอง​ของ​อาริสโตเติล​หรือ​คำ​พรรณนา​ใน​คัมภีร์​ไบเบิล? นัก​จักรวาล​วิทยา​สมัย​ใหม่​สอน​อย่าง​ไร​เกี่ยว​กับ​เอกภพ? พอ​ถึง​ศตวรรษ​ที่ 20 นัก​ดาราศาสตร์​รู้สึก​ทึ่ง​ที่​พบ​ว่า​เอกภพ​ไม่​ได้​อยู่​ใน​สภาวะ​คงที่. ที่​จริง กาแล็กซี​ต่าง ๆ ดู​เหมือน​จะ​เคลื่อน​ที่​หนี​ออก​จาก​กัน​อย่าง​รวด​เร็ว. แทบ​ไม่​มี​นัก​วิทยาศาสตร์​คน​ใด​เคย​คิด​มา​ก่อน​ว่า​เอกภพ​จะ​ขยาย​ตัว​กว้าง​ขึ้น. ทุก​วัน​นี้ นัก​จักรวาล​วิทยา​ส่วน​ใหญ่​เชื่อ​กัน​ว่า​เอกภพ​เริ่ม​จาก​สภาวะ​ที่​กระจุก​ตัว​แล้ว​ค่อย ๆ แผ่​ขยาย​ออก​ไป. ดัง​นั้น วิทยาศาสตร์​ได้​พิสูจน์​ว่า​แบบ​จำลอง​ของ​อาริสโตเติล​ไม่​ถูก​ต้อง.

จะ​ว่า​อย่าง​ไร​กับ​คำ​พรรณนา​ใน​คัมภีร์​ไบเบิล? คำ​พรรณนา​นั้น​อาจ​ชวน​ให้​เรา​นึก​ภาพ​ชาย​คน​หนึ่ง เช่น ผู้​พยากรณ์​ยะซายาห์​ที่​เงย​หน้า​มอง​ดู​ท้องฟ้า​ซึ่ง​ดารดาษ​ไป​ด้วย​ดวง​ดาว แล้ว​ก็​คิด​ว่า​ท้องฟ้า​ที่​เขา​เห็น​นั้น​ช่าง​เหมือน​กับ​เต็นท์​ที่​ถูก​กาง​ออก​เสีย​จริง ๆ. * เขา​อาจ​ถึง​กับ​สังเกต​ด้วย​ว่า​กา​แลก​ซี​ทาง​ช้าง​เผือก​ของ​เรา​นี้​ดู​คล้าย​กับ “ผ้า​เนื้อ​ละเอียด” อย่าง​ที่​คัมภีร์​ไบเบิล​กล่าว​ไว้.

ถ้อย​คำ​ของ​ยะซายาห์​ยัง​ชวน​ให้​เรา​จินตนาการ​ต่อ​ไป​อีก. เรา​อาจ​นึก​ภาพ​เต็นท์​ใน​สมัย​คัมภีร์​ไบเบิล​โดย​นึก​ถึง​ผ้า​ม้วน​เล็ก​ที่​แข็งแรง​ทนทาน​ซึ่ง​ถูก​คลี่​และ​กาง​ออก​ก่อน​จะ​มัด​กับ​เสา​แล้ว​ขึง​เป็น​เต็นท์​พัก​อาศัย. นอก​จาก​นั้น เรา​อาจ​นึก​ภาพ​พ่อค้า​ที่​เอา​ผ้า​เนื้อ​ละเอียด​ม้วน​หนึ่ง​มา​คลี่​และ​กาง​ให้​ลูก​ค้า​ดู. ทั้ง​สอง​ตัว​อย่าง​นี้​ชวน​ให้​คิด​ถึง​อะไร​บาง​อย่าง​ที่​เคย​อยู่​เป็น​กลุ่ม​ก้อน​แล้ว​ถูก​คลี่​ออก.

แน่​ล่ะ นี่​ไม่​ได้​หมาย​ความ​ว่า​คัมภีร์​ไบเบิล​ใช้​ภาพ​เปรียบ​เทียบ​เรื่อง​เต็นท์​กับ​ผ้า​เนื้อ​ละเอียด​นี้​เพื่อ​อธิบาย​เรื่อง​การ​ขยาย​ตัว​ของ​เอกภพ. แต่​ก็​เป็น​เรื่อง​น่า​ทึ่ง​มิ​ใช่​หรือ​ที่​คำ​พรรณนา​เรื่อง​เอกภพ​ใน​คัมภีร์​ไบเบิล​สอดคล้อง​ลง​รอย​กับ​วิทยาศาสตร์​สมัย​ใหม่? ยะซายาห์​มี​ชีวิต​อยู่​ก่อน​สมัย​อาริสโตเติล​มาก​กว่า​สาม​ร้อย​ปี และ​ก่อน​ที่​วิทยาศาสตร์​จะ​พิสูจน์​เรื่อง​นี้​นาน​กว่า​สอง​พัน​ปี. ถึง​กระนั้น คำ​พรรณนา​ที่​ผู้​พยากรณ์​ชาว​ฮีบรู​ผู้​ถ่อม​ใจ​คน​นี้​จารึก​ไว้​ไม่​จำเป็น​ต้อง​ได้​รับ​การ​แก้ไข​ใด ๆ ต่าง​จาก​แบบ​จำลอง​อัน​ซับซ้อน​ของ​อาริสโตเติล​ที่​ต้อง​ถูก​แก้ไข​ใหม่.

2. อะไร​ยึด​ดวง​ดาว​ใน​เอกภพ​ให้​อยู่​ใน​ที่​ของ​มัน?

อาริสโตเติล​เชื่อ​ว่า​เอกภพ​อัด​แน่น​ไป​ด้วย​สสาร. เขา​เข้าใจ​ว่า​โลก​และ​ชั้น​บรรยากาศ​ของ​โลก​ประกอบ​ด้วย​ธาตุ​สี่​ชนิด​คือ ดิน น้ำ ลม และ​ไฟ. ไกล​ออก​ไป​นอก​โลก​คือ​ทรง​กลม​ซ้อน​กัน​หลาย​ชั้น แต่​ละ​ชั้น​ประกอบ​ด้วย​สสาร​สมบูรณ์​ถาวร​ซึ่ง​เขา​เรียก​ว่า​อีเทอร์. ทรง​กลม​ที่​มอง​ไม่​เห็น​เหล่า​นี้​ช่วย​ยึด​ดวง​ดาว​ใน​เอกภพ​ให้​อยู่​กับ​ที่. แนว​คิด​ของ​อาริสโตเติล​เป็น​ที่​ยอม​รับ​ของ​นัก​วิทยาศาสตร์​ส่วน​ใหญ่​มา​นาน​นับ​พัน​ปี ที่​เป็น​เช่น​นั้น​ก็​เนื่อง​จาก​แนว​คิด​นี้​ดู​เหมือน​สอดคล้อง​กับ​สมมุติฐาน​ที่​ว่า วัตถุ​ต้อง​ตั้ง​หรือ​ยึด​อยู่​กับ​อะไร​บาง​อย่าง มิ​ฉะนั้น​ก็​จะ​ตก​ลง​มา.

แล้ว​คัมภีร์​ไบเบิล​กล่าว​อย่าง​ไร? คัมภีร์​ไบเบิล​บันทึก​ถ้อย​คำ​ที่​ชาย​ผู้​ซื่อ​สัตย์​ชื่อ​โยบ​ได้​กล่าว​ไว้​เกี่ยว​กับ​พระ​ยะโฮวา​ว่า “พระองค์ . . . ทรง​ให้​โลก​ห้อย​อยู่​โดย​มิ​ได้​ติด​กับ​อะไร.” (โยบ 26:7) อาริสโตเติล​คง​ต้อง​คิด​ว่า​คำ​กล่าว​นี้​เป็น​เรื่อง​เหลวไหล​แน่ ๆ.

ใน​ศตวรรษ​ที่ 17 ประมาณ 3,000 ปี​หลัง​จาก​สมัย​ของ​โยบ ทฤษฎี​ทาง​วิทยาศาสตร์​ที่​แพร่​หลาย​อยู่​ใน​เวลา​นั้น​คือ​แนว​คิด​ที่​ว่า​เอกภพ​ไม่​ได้​ประกอบ​ด้วย​ทรง​กลม​หลาย​ชั้น แต่​เต็ม​ไป​ด้วย​ของ​เหลว​ชนิด​หนึ่ง. อย่าง​ไร​ก็​ตาม เมื่อ​มา​ถึง​ปลาย​ศตวรรษ​นั้น นัก​ฟิสิกส์​ชื่อ​เซอร์​ไอแซ็ก นิวตัน​ได้​เสนอ​ทฤษฎี​ที่​ต่าง​ออก​ไป​อย่าง​สิ้นเชิง. เขา​กล่าว​ว่า​สิ่ง​ที่​ยึด​ดวง​ดาว​ต่าง ๆ ไว้​ด้วย​กัน​คือ​แรง​โน้มถ่วง. ความ​คิด​ของ​นิวตัน​ใกล้​เคียง​กับ​ความ​เข้าใจ​ที่​ว่า​โลก​และ​ดาว​อื่น ๆ ใน​ท้องฟ้า​ล้วน​แต่​ลอย​อยู่​ใน​อวกาศ​ที่​ว่าง​เปล่า ซึ่ง​สำหรับ​มนุษย์​แล้ว​มัน​ดู​เหมือน “มิ​ได้​ติด​กับ​อะไร.”

ทฤษฎี​เรื่อง​แรง​โน้มถ่วง​ของ​นิวตัน​ถูก​โจมตี​อย่าง​หนัก. สำหรับ​นัก​วิทยาศาสตร์​หลาย​คน​ใน​สมัย​นั้น​ยัง​คง​เป็น​เรื่อง​ยาก​ที่​จะ​นึก​ภาพ​ดวง​ดาว​และ​วัตถุ​อื่น ๆ ใน​ท้องฟ้า​ลอย​อยู่​โดย​ไม่​ได้​ยึด​ติด​กับ​อะไร​เลย. เป็น​ไป​ได้​อย่าง​ไร​ที่​ลูก​โลก​ซึ่ง​มี​ขนาด​ใหญ่​โต​และ​วัตถุ​ต่าง ๆ ใน​ท้องฟ้า​จะ​ลอย​อยู่​ใน​อวกาศ​ได้​เอง? แนว​คิด​นี้​ดู​เหมือน​เป็น​เรื่อง​เหลือเชื่อ เพราะ​ตั้ง​แต่​สมัย​อาริสโตเติล นัก​วิทยาศาสตร์​เชื่อ​กัน​มา​ตลอด​ว่า​อวกาศ​จะ​ต้อง​เต็ม​ไป​ด้วย​อะไร​บาง​อย่าง.

แน่นอน​ว่า​โยบ​ไม่​รู้​อะไร​เลย​เกี่ยว​กับ​สิ่ง​ที่​มอง​ไม่​เห็น​ซึ่ง​ยึด​โลก​เอา​ไว้​และ​ทำ​ให้​มัน​โคจร​รอบ​ดวง​อาทิตย์​ได้​อย่าง​เป็น​ระบบ. ถ้า​เช่น​นั้น ทำไม​โยบ​จึง​กล่าว​ว่า​โลก​ของ​เรา “ห้อย​อยู่​โดย​มิ​ได้​ติด​กับ​อะไร”?

นอก​จาก​นั้น แนว​คิด​ที่​ว่า​ไม่​มี​อะไร​ยึด​โลก​เอา​ไว้​ยัง​ทำ​ให้​เกิด​ข้อ​สงสัย​อีก​ว่า อะไร​ทำ​ให้​โลก​และ​ดวง​ดาว​อื่น ๆ โคจร​อยู่​ได้? ขอ​ให้​สังเกต​ถ้อย​คำ​ที่​น่า​ประทับใจ​ซึ่ง​พระเจ้า​ตรัส​กับ​โยบ​ดัง​นี้: “เจ้า​จะ​มัด​กลุ่ม​ดาว​คีมาห์​ไว้​ได้​หรือ หรือ​เจ้า​จะ​คลาย​เชือก​ที่​มัด​กลุ่ม​ดาว​เคซิล​ได้​หรือ?” (โยบ 38:31, ล.ม.) คืน​แล้ว​คืน​เล่า​ตลอด​ชีวิต​ของ​โยบ ท่าน​ได้​เห็น​ดาว​กลุ่ม​เดิม ๆ ปรากฏ​ขึ้น​และ​เคลื่อน​ที่​ไป​บน​ท้องฟ้า​ตาม​ทิศ​ทาง​โคจร​ของ​มัน. * แต่​ทำไม​ดาว​เหล่า​นั้น​จึง​เรียง​ตัว​กัน​ใน​รูป​ลักษณะ​เดิม​ทุก​วัน ไม่​ว่า​เวลา​จะ​ผ่าน​ไป​กี่​ปี​หรือ​กี่​สิบ​ปี​ก็​ตาม? อะไร​ที่​มัด​หรือ​ยึด​กลุ่ม​ดาว​เหล่า​นั้น รวม​ทั้ง​วัตถุ​ทั้ง​หลาย​ใน​เอกภพ​ไว้​ใน​ที่​ของ​มัน? การ​นึก​ถึง​เรื่อง​นี้​คง​ทำ​ให้​โยบ​รู้สึก​ครั่นคร้าม​ยิ่ง​นัก.

ถ้า​ดาว​ต่าง ๆ ติด​อยู่​กับ​ทรง​กลม​แต่​ละ​ชั้น​ใน​จักรวาล​จริง ๆ ก็​ไม่​จำเป็น​ต้อง​มี​อะไร​มัด​มัน​ไว้. หลัง​จาก​หลาย​พัน​ปี​ผ่าน​ไป นัก​วิทยาศาสตร์​เพิ่ง​มา​เข้าใจ​มาก​ขึ้น​เกี่ยว​กับ “เชือก” ที่​มอง​ไม่​เห็น​ซึ่ง “มัด” ดวง​ดาว​ใน​ท้องฟ้า​ไว้​ด้วย​กัน​ขณะ​ที่​มัน​ค่อย ๆ เคลื่อน​ไป​ใน​อวกาศ​ที่​มืด​มิด​ตลอด​เวลา​อัน​ยาว​นาน. การ​ค้น​พบ​ของ​ไอแซ็ก นิวตัน​และ​ต่อ​มา​ก็​อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์​ได้​ทำ​ให้​พวก​เขา​กลาย​เป็น​นัก​วิทยาศาสตร์​ที่​มี​ชื่อเสียง​ใน​สาขา​นี้. จริง​อยู่ โยบ​ไม่​รู้​เลย​ว่า​พระเจ้า​ทรง​ใช้​อะไร​มัด​ดวง​ดาว​ใน​ท้องฟ้า​ไว้​ด้วย​กัน. ถึง​กระนั้น ถ้อย​คำ​ที่​มี​ขึ้น​โดย​การ​ดล​ใจ​ซึ่ง​บันทึก​ไว้​ใน​หนังสือ​ของ​โยบ​ก็​พิสูจน์​แล้ว​ว่า​น่า​เชื่อถือ​ยิ่ง​กว่า​ทฤษฎี​ของ​ผู้​รอบรู้​อย่าง​อาริสโตเติล​มาก​นัก. ใคร​จะ​รู้​เรื่อง​ดวง​ดาว​เหล่า​นี้​ดี​ยิ่ง​ไป​กว่า​ผู้​ที่​ตั้ง​กฎ​แห่ง​ท้องฟ้า?

3. คง​อยู่​ถาวร​หรือ​เสื่อม​สลาย​ได้?

อาริสโตเติล​เชื่อ​ว่า​โลก​กับ​เอกภพ​มี​ความ​แตกต่าง​กัน​อย่าง​ลิบลับ. เขา​กล่าว​ว่า​โลก​เปลี่ยน​แปลง​และ​เสื่อม​สลาย​ได้ ใน​ขณะ​ที่​เอกภพ​และ​ดวง​ดาว​ซึ่ง​ก่อ​ตัว​ขึ้น​จาก​สสาร​ที่​เรียก​ว่า​อีเทอร์​จะ​ไม่​มี​วัน​เปลี่ยน​แปลง แต่​คง​สภาพ​อยู่​อย่าง​ถาวร. ตาม​ทฤษฎี​ของ​อาริสโตเติล ทรง​กลม​ที่​ซ้อน​กัน​อยู่​หลาย​ชั้น​และ​ดวง​ดาว​ที่​ติด​กับ​ทรง​กลม​เหล่า​นั้น​จะ​ไม่​มี​วัน​เปลี่ยน​แปลง เสื่อม​สภาพ หรือ​ดับ​สูญ​ไป.

คัมภีร์​ไบเบิล​สอน​เช่น​นั้น​ไหม? บทเพลง​สรรเสริญ 102:25-27 กล่าว​ว่า “เมื่อ​เดิม​พระองค์​ได้​ทรง​ตั้ง​ราก​แห่ง​แผ่นดิน​โลก​ไว้; และ​ฟ้า​สวรรค์​เป็น​พระ​หัตถกิจ​ของ​พระองค์. สิ่ง​เหล่า​นั้น​จะ​เสื่อม​ศูนย์​ไป, แต่​พระองค์​ทรง​ดำรง​ยั่งยืน​อยู่​จริง, พระเจ้า​ค่ะ, สิ่ง​สารพัตร​เหล่า​นั้น​จะ​เก่า​ไป​ดุจ​เสื้อ​ผ้า; พระองค์​คง​จะ​ทรง​ผลัด​เปลี่ยน​สิ่ง​เหล่า​นั้น​เหมือน​เปลี่ยน​เสื้อ: แต่​พระองค์​ไม่​ทรง​แปรปรวน​ไป, และ​พระ​พรรษา​ของ​พระองค์​ไม่​รู้​สิ้น​สุด​เลย.”

ผู้​ประพันธ์​เพลง​สรรเสริญ​เขียน​ข้อ​ความ​นี้​ก่อน​สมัย​ของ​อาริสโตเติล​นาน​ถึง​สอง​ร้อย​ปี และ​ขอ​ให้​สังเกต​ว่า​เขา​ไม่​ได้​เปรียบ​โลก​กับ​ดวง​ดาว​ใน​ทำนอง​ว่า​โลก​เสื่อม​สลาย​ได้ แต่​ดวง​ดาว​จะ​คง​อยู่​ถาวร. แทน​ที่​จะ​กล่าว​เช่น​นั้น เขา​กำลัง​เทียบ​ให้​เห็น​ว่า​เอกภพ​และ แผ่นดิน​โลก​แตกต่าง​อย่าง​มาก​กับ​พระเจ้า​ผู้​เป็น​องค์​วิญญาณ​ที่​มี​ฤทธิ์​ซึ่ง​สร้าง​โลก​และ​ดาว​เหล่า​นั้น. * เพลง​สรรเสริญ​ข้อ​นี้​บอก​เป็น​นัย ๆ ว่า​ดวง​ดาว​ทั้ง​สิ้น​ล้วน​เสื่อม​สลาย​ได้​เช่น​เดียว​กับ​ทุก​สิ่ง​บน​แผ่นดิน​โลก. แล้ว​วิทยาศาสตร์​สมัย​ใหม่​ค้น​พบ​อะไร?

ความ​รู้​ทาง​ธรณี​วิทยา​ได้​สนับสนุน​ทั้ง​คำ​สอน​ของ​คัมภีร์​ไบเบิล​และ​ของ​อาริสโตเติล​ใน​ประเด็น​ที่​ว่า​โลก​เสื่อม​สลาย​ได้. ที่​จริง หิน​บน​โลก​ของ​เรา​สึก​กร่อน​ไป​ตาม​ธรรมชาติ​เมื่อ​ถูก​กัด​เซาะ และ​เกิด​ขึ้น​ใหม่​เนื่อง​จาก​ภูเขา​ไฟ​ระเบิด​หรือ​ปรากฏการณ์​อื่น ๆ ทาง​ธรณี​วิทยา.

แต่​จะ​ว่า​อย่าง​ไร​กับ​ดวง​ดาว​ต่าง ๆ? ดาว​เหล่า​นั้น​เสื่อม​สลาย​ได้​อย่าง​ที่​คัมภีร์​ไบเบิล​กล่าว​ไว้​หรือ​คง​อยู่​ถาวร​อย่าง​ที่​อาริสโตเติล​สอน? ใน​ศตวรรษ​ที่ 16 นัก​ดาราศาสตร์​ชาว​ยุโรป​เริ่ม​สงสัย​แนว​คิด​ของ​อาริสโตเติล​ที่​ว่า​ดวง​ดาว​คง​อยู่​อย่าง​ถาวร เมื่อ​พวก​เขา​เห็น​ปรากฏการณ์​ซูเปอร์โนวา​หรือ​การ​ระเบิด​ของ​ดาว​ฤกษ์​ขนาด​ใหญ่​เป็น​ครั้ง​แรก. นับ​แต่​นั้น​มา นัก​วิทยาศาสตร์​ได้​สังเกต​ว่า​ดาว​ต่าง ๆ อาจ​ระเบิด​อย่าง​รุนแรง​และ​ดับ​ไป หรือ​ค่อย ๆ ลุก​ไหม้​จน​มอด​ดับ​หมด​ทั้ง​ดวง หรือ​ไม่​ก็​ยุบ​ตัว​ไป​เอง. อย่าง​ไร​ก็​ตาม นัก​ดาราศาสตร์​ยัง​ได้​สังเกต​ด้วย​ว่า​เมื่อ​ดวง​ดาว​ระเบิด​แล้ว​ก็​จะ​เหลือ​กลุ่ม​แก๊ส​ซึ่ง​กลาย​เป็น ‘สถาน​อนุบาล’ ที่​ดาว​ดวง​ใหม่​จะ​ก่อ​ตัว​ขึ้น​มา. ดัง​นั้น การ​ที่​ผู้​เขียน​คัมภีร์​ไบเบิล​เปรียบ​ดวง​ดาว​ที่​เสื่อม​สภาพ​กับ​เสื้อ​ผ้า​ที่​เก่า​ไป​และ​ถูก​ผลัด​เปลี่ยน​นั้น​นับ​ว่า​เหมาะ​สม​จริง ๆ. * ช่าง​น่า​ทึ่ง​เหลือ​เกิน​ที่​ผู้​ประพันธ์​เพลง​สรรเสริญ​ใน​สมัย​โบราณ​คน​นี้​สามารถ​เขียน​ถ้อย​คำ​ที่​สอดคล้อง​กับ​ความ​รู้​ที่​เพิ่ง​มี​การ​ค้น​พบ​ใน​ปัจจุบัน!

แต่​คุณ​อาจ​สงสัย​ว่า ‘คัมภีร์​ไบเบิล​สอน​ไหม​ว่า​สัก​วัน​หนึ่ง​โลก​และ​ดวง​ดาว​ทั้ง​หมด​ใน​เอกภพ​จะ​ดับ​สูญ​หรือ​ถูก​แทน​ที่​ใหม่?’ ไม่​เลย คัมภีร์​ไบเบิล​สัญญา​ว่า​โลก​และ​เอกภพ​จะ​คง​อยู่​ตลอด​ไป. (บทเพลง​สรรเสริญ 104:5; 119:90) ที่​เป็น​เช่น​นั้น​ไม่​ใช่​เพราะ​ตัว​มัน​เอง​สามารถ​คง​อยู่​ได้​อย่าง​ถาวร แต่​พระเจ้า​ผู้​ทรง​สร้าง​สิ่ง​เหล่า​นั้น​ได้​สัญญา​ว่า​พระองค์​จะ​ดู​แล​รักษา​มัน. (บทเพลง​สรรเสริญ 148:4-6) พระองค์​ไม่​ได้​บอก​ว่า​จะ​ทำ​โดย​วิธี​ใด แต่​นับ​ว่า​สม​เหตุ​สม​ผล​มิ​ใช่​หรือ​ที่​จะ​สรุป​ว่า​พระเจ้า​ผู้​ทรง​สร้าง​เอกภพ​ย่อม​มี​ฤทธิ์​อำนาจ​ที่​จะ​ดู​แล​รักษา​สิ่ง​ที่​พระองค์​สร้าง? เช่น​เดียว​กับ​นาย​ช่าง​ที่​เต็ม​ใจ​ดู​แล​รักษา​บ้าน​ที่​เขา​สร้าง​ขึ้น​เพื่อ​ตัว​เอง​และ​ครอบครัว.

ใคร​สม​ควร​ได้​รับ​เกียรติ​และ​การ​สรรเสริญ?

การ​พิจารณา​กฎ​เพียง​ไม่​กี่​ข้อ​ใน​เอกภพ​ทำ​ให้​เรา​ได้​คำ​ตอบ​ที่​ชัดเจน​สำหรับ​คำ​ถาม​นี้. เรา​คง​รู้สึก​เกรง​ขาม​มิ​ใช่​หรือ​เมื่อ​นึก​ถึง​ผู้​ที่​สร้าง​ดวง​ดาว​จำนวน​มาก​มาย​นับ​ไม่​ถ้วน​ซึ่ง​ดารดาษ​ทั่ว​เอกภพ​อัน​กว้าง​ใหญ่ ผู้​ที่​ยึด​มัน​ไว้​ใน​ที่​ของ​มัน​ด้วย​แรง​โน้มถ่วง และ​ผู้​ที่​ค้ำจุน​มัน​ด้วย​วัฏจักร​อัน​ไม่​รู้​สิ้น​สุด?

บาง​ที​คำ​พรรณนา​ที่​ยะซายา 40:26 อาจ​สะท้อน​ได้​อย่าง​ดี​ที่​สุด​ถึง​เหตุ​ผล​ที่​เรา​รู้สึก​เกรง​ขาม​เช่น​นั้น. ข้อ​นั้น​กล่าว​ว่า “จง​เงย​หน้า​มอง​ขึ้น​ไป​ดู​ท้องฟ้า, และ​พิจารณา​ดู​ว่า​ใคร​ได้​สร้าง​สิ่ง​เหล่า​นี้? พระองค์​ผู้​ทรง​นำ​ดาว​ออก​มา​เป็น​หมวด​หมู่, และ​ทรง​เรียก​มัน​ออก​มา​ตาม​ชื่อ.” นับ​ว่า​เหมาะ​จริง ๆ ที่​จะ​เปรียบ​ดวง​ดาว​ทั้ง​หลาย​เหมือน​กับ​กองทัพ​ซึ่ง​ประกอบ​ด้วย​ทหาร​จำนวน​มาก​มาย. หาก​ไม่​มี​แม่ทัพ​คอย​บัญชา​การ กองทัพ​นี้​คง​จะ​โกลาหล​วุ่นวาย​แน่ ๆ. ใน​ทำนอง​เดียว​กัน ถ้า​ไม่​มี​กฎ​ที่​พระ​ยะโฮวา​ทรง​ตั้ง​ขึ้น ดาว​เคราะห์ ดาว​ฤกษ์ รวม​ทั้ง​กาแล็กซี​ก็​จะ​ไม่​สามารถ​โคจร​ได้​อย่าง​เป็น​ระเบียบ แต่​จะ​เกิด​ความ​โกลาหล​วุ่นวาย​ไป​ทั่ว. แล้ว​ลอง​นึก​ภาพ​กองทัพ​ที่​มี​ทหาร​จำนวน​นับ​พัน ๆ ล้าน​และ​มี​แม่ทัพ​ผู้​ซึ่ง​ไม่​เพียง​บังคับ​บัญชา​การ​เคลื่อน​ทัพ แต่​ยัง​รู้​จัก​ชื่อ​ทหาร​ทุก​นาย ตลอด​จน​ความ​เคลื่อน​ไหว​และ​สภาพการณ์​ของ​พวก​เขา​เป็น​อย่าง​ดี!

กฎ​ต่าง ๆ ใน​เอกภพ​เป็น​เพียง​ตัว​อย่าง​เล็ก​น้อย​ที่​ทำ​ให้​เรา​เห็น​ว่า​ผู้​บัญชา​การ​องค์​ยิ่ง​ใหญ่​ทรง​มี​ความ​รู้​ความ​เข้าใจ​ที่​ไร้​ขีด​จำกัด​จริง ๆ. จะ​มี​ใคร​อีก​หรือ​ที่​สามารถ​ตั้ง​กฎ​เหล่า​นั้น​และ​ดล​ใจ​มนุษย์​ให้​เขียน​เกี่ยว​กับ​ดวง​ดาว​และ​เอกภพ​ได้​อย่าง​ถูก​ต้อง​ก่อน​ที่​นัก​วิทยาศาสตร์​จะ​เข้าใจ​เรื่อง​ดัง​กล่าว​นาน​หลาย​ร้อย​หรือ​กระทั่ง​หลาย​พัน​ปี​ด้วย​ซ้ำ? ดัง​นั้น เรา​มี​เหตุ​ผล​ทุก​ประการ​ที่​จะ​ถวาย ‘เกียรติยศ​และ​ความ​นับถือ’ แด่​พระ​ยะโฮวา​พระ​ผู้​สร้าง​เอกภพ​ของ​เรา.—วิวรณ์ 4:11

[เชิงอรรถ]

^ วรรค 11 น่า​สังเกต คัมภีร์​ไบเบิล​กล่าว​ว่า​โลก​มี​ลักษณะ​เป็น​วง​กลม ซึ่ง​ใน​ภาษา​ฮีบรู​คำ “วง​กลม” นี้​อาจ​แปล​ได้​ด้วย​ว่า​ทรง​กลม. อาริสโตเติล​และ​ชาว​กรีก​ใน​สมัย​โบราณ​ตั้ง​ทฤษฎี​ที่​ว่า​โลก​มี​รูป​ทรง​กลม แต่​ทฤษฎี​นี้​เป็น​เรื่อง​ที่​ถกเถียง​กัน​ต่อ​มา​อีก​นาน​นับ​พัน​ปี.

^ วรรค 13 มี​หลาย​ครั้ง​ที่​คัมภีร์​ไบเบิล​ใช้​การ​เปรียบ​เทียบ​เช่น​นี้.—โยบ 9:8; บทเพลง​สรรเสริญ 104:2; ยะซายา 42:5; 44:24; 51:13; ซะคาระยา 12:1

^ วรรค 22 “กลุ่ม​ดาว​คีมาห์” อาจ​หมาย​ถึง​กระจุก​ดาว​ลูก​ไก่. ส่วน “กลุ่ม​ดาว​เคซิล” อาจ​หมาย​ถึง​กลุ่ม​ดาว​นาย​พราน. ต้อง​ใช้​เวลา​นาน​นับ​หมื่น​นับ​แสน​ปี​กว่า​ที่​การ​เรียง​ตัว​ของ​ดาว​เหล่า​นี้​จะ​เปลี่ยน​แปลง​ไป​อย่าง​เห็น​ได้​ชัด.

^ วรรค 27 เนื่อง​จาก​พระ​ยะโฮวา​ทรง​ใช้​พระ​บุตร​องค์​เดียว​ของ​พระองค์​ให้​สร้าง​สิ่ง​ต่าง ๆ ทั้ง​หมด ดัง​นั้น ข้อ​คัมภีร์​นี้​จึง​ใช้​กับ​พระ​บุตร​ได้​ด้วย.—สุภาษิต 8:30, 31; โกโลซาย 1:15-17; ฮีบรู 1:10.

^ วรรค 29 ใน​ศตวรรษ​ที่ 19 นัก​วิทยาศาสตร์​ชื่อ​วิลเลียม ทอมสัน​หรือ​ที่​รู้​จัก​กัน​ว่า​ลอร์ด​เคลวิน ได้​ค้น​พบ​กฎ​ข้อ​ที่​สอง​ของ​อุณหพลศาสตร์​ซึ่ง​อธิบาย​ว่า​เหตุ​ใด​เมื่อ​เวลา​ผ่าน​ไป​ระบบ​ต่าง ๆ ใน​ธรรมชาติ​จึง​มัก​เสื่อม​สภาพ​และ​หยุด​ทำ​งาน​ไป​ใน​ที่​สุด. สิ่ง​หนึ่ง​ที่​ช่วย​ให้​เขา​ได้​ข้อ​สรุป​เช่น​นั้น​คือ​การ​ได้​ศึกษา​ข้อ​ความ​ใน​บทเพลง​สรรเสริญ 102:25-27 อย่าง​ถี่ถ้วน.

[กรอบ/​ภาพ​หน้า 24, 25]

 บุรุษ​ผู้​ทรง​อิทธิพล

“อาริสโตเติล​เป็น​นัก​ปรัชญา​และ​นัก​วิทยาศาสตร์​ที่​ยิ่ง​ใหญ่​ที่​สุด​แห่ง​โลก​โบราณ” ตาม​ที่​หนังสือ​100 อันดับ​ผู้​ทรง​อิทธิพล​ที่​สุด​ใน​ประวัติศาสตร์ (ภาษา​อังกฤษ) ได้​กล่าว​ไว้. เป็น​เรื่อง​ที่​เข้าใจ​ได้​ไม่​ยาก​ว่า​ทำไม​จึง​มี​การ​กล่าว​ถึง​บุรุษ​ผู้​ไม่​ธรรมดา​คน​นี้​อย่าง​ให้​เกียรติ​เช่น​นั้น. อาริสโตเติล (ปี 384-322 ก่อน​สากล​ศักราช) เป็น​ศิษย์​ของ​เพลโต​นัก​ปรัชญา​ผู้​มี​ชื่อเสียง และ​ภาย​หลัง​เขา​ได้​เป็น​อาจารย์​ของ​เจ้า​ชาย​กรีก​ผู้​ซึ่ง​ต่อ​มา​รู้​จัก​กัน​ว่า​อะเล็กซานเดอร์​มหาราช. ตาม​บันทึก​สมัย​โบราณ อาริสโตเติล​มี​ผล​งาน​มาก​มาย​รวม​ถึง​หนังสือ 170 เล่ม ซึ่ง​ใน​จำนวน​นี้​มี 47 เล่ม​ที่​ยัง​มี​ให้​เห็น​อยู่​ใน​ปัจจุบัน. เขา​เขียน​หนังสือ​หลาย​เล่ม​เกี่ยว​กับ​ดาราศาสตร์ ชีววิทยา เคมี สัตววิทยา ฟิสิกส์ ธรณี​วิทยา และ​จิตวิทยา. ราย​ละเอียด​เล็ก ๆ น้อย ๆ บาง​เรื่อง​ที่​เขา​บันทึก​ไว้​เกี่ยว​กับ​สิ่ง​มี​ชีวิต​ใน​ธรรมชาติ​เป็น​เรื่อง​ที่​ไม่​มี​ใคร​สังเกต​และ​ศึกษา​ค้นคว้า​จน​กระทั่ง​อีก​หลาย​ร้อย​ปี​หลัง​จาก​นั้น. หนังสือ 100 อันดับ ยัง​กล่าว​อีก​ว่า “อาริสโตเติล​มี​อิทธิพล​อย่าง​ใหญ่​หลวง​ต่อ​แนว​คิด​ทุก​อย่าง​ของ​โลก​ตะวัน​ตก​ใน​สมัย​ต่อ​มา.” หนังสือ​นี้​กล่าว​ด้วย​ว่า อย่าง​ไร​ก็​ตาม “กระแส​ความ​นิยม​ที่​มี​ต่อ​อาริสโตเติล​เพิ่ม​ขึ้น​อย่าง​มาก​ใน​ช่วง​ปลาย​ยุค​กลาง ถึง​ขนาด​ที่​มี​การ​ยกย่อง​บูชา​เขา​ราว​กับ​เป็น​เทพเจ้า.”

[ที่​มา​ของ​ภาพ]

Royal Astronomical Society/​Photo Researchers Inc.

From the book A General History for Colleges and High Schools 1900

[ภาพ​หน้า 26, 27]

แรง​โน้มถ่วง​ยึด​ดวง​ดาว​ทั้ง​หลาย​ไว้​ใน​ที่​ของ​มัน

[ที่​มา​ของ​ภาพ]

NASA and The Hubble Heritage Team (AURA/STScl)

[ภาพ​หน้า 26, 27]

กระจุก​ดาว​ลูก​ไก่

[ภาพ​หน้า 28]

ดาว​ฤกษ์​บาง​ดวง​ดับ​ไป​เมื่อ​เกิด​ซูเปอร์โนวา

[ที่​มา​ของ​ภาพ]

ESA/Hubble

[ภาพ​หน้า 28]

ดาว​ดวง​ใหม่​ก่อ​ตัว​ขึ้น​ใน “สถาน​อนุบาล”

[ที่​มา​ของ​ภาพ]

J. Hester and P. Scowen (AZ State Univ.) NASA

[ที่​มา​ของ​ภาพ​หน้า 24]

© Peter Arnold Inc./Alamy