มีความสุขได้แม้อยู่ในครอบครัวที่มีความเชื่อต่างกัน
มีความสุขได้แม้อยู่ในครอบครัวที่มีความเชื่อต่างกัน
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าท่านจะช่วย [คู่สมรส] ให้รอดไม่ได้?”—1 โค. 7:16
คุณหาคำตอบได้ไหม?
ในครอบครัวที่มีความเชื่อต่างกัน ผู้ที่มีความเชื่ออาจทำอะไรได้เพื่อสร้างสันติสุข?
คริสเตียนอาจช่วยคนในครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อให้รับเอาการนมัสการแท้ได้อย่างไร?
คนอื่น ๆ อาจทำอะไรได้เพื่อช่วยเพื่อนร่วมความเชื่อที่อยู่ในครอบครัวซึ่งมีความเชื่อต่างกัน?
1. การตอบรับข่าวสารเรื่องราชอาณาจักรอาจส่งผลอย่างไรต่อครอบครัว?
เมื่อพระเยซูส่งเหล่าอัครสาวกไปในโอกาสหนึ่ง พระองค์ตรัสว่า “ขณะที่พวกเจ้าไป จงประกาศว่า ‘ราชอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว.’ ” (มัด. 10:1, 7) ข่าวดีนี้จะนำสันติสุขและความสุขมาสู่ผู้คนที่ตอบรับด้วยความขอบคุณอย่างแท้จริง. อย่างไรก็ตาม พระเยซูทรงเตือนเหล่าอัครสาวกว่าหลายคนจะต่อต้านงานประกาศเรื่องราชอาณาจักรที่พวกเขาทำ. (มัด. 10:16-23) การต่อต้านที่ทำให้ปวดร้าวใจเป็นพิเศษก็คือการต่อต้านจากคนในครอบครัวที่ปฏิเสธข่าวสารเรื่องราชอาณาจักร.—อ่านมัดธาย 10:34-36
2. เหตุใดคริสเตียนที่อยู่ในครอบครัวที่ความเชื่อต่างกันจึงมีความสุขได้?
2 นี่หมายความว่าเหล่าสาวกของพระคริสต์ที่อยู่ในครอบครัวที่มีความเชื่อต่างกันจะไม่มีทางมีความสุขไหม? ไม่เลย! แม้ว่าบางครั้งคนในครอบครัวต่อต้านอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป. นอกจากนั้น การต่อต้านจากคนในครอบครัวอาจไม่มีอยู่ตลอดไป. ส่วนใหญ่แล้วเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับว่าผู้มีความเชื่อแสดงปฏิกิริยาอย่างไรต่อการต่อต้านหรือความไม่แยแส. นอกจากนั้น พระยะโฮวาทรงอวยพรคนที่ภักดีต่อพระองค์และทรงช่วยให้พวกเขามีความยินดีแม้อยู่ในสภาพการณ์ที่ไม่น่ายินดี. ผู้มีความเชื่อจะทำให้ตัวเขาเองมีความสุขมากขึ้นได้ (1) โดยพยายามสร้างสันติสุขในบ้าน และ (2) โดยพยายามอย่างจริงใจที่จะช่วยคนในครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อให้ตอบรับการนมัสการแท้.
จงสร้างสันติสุขในบ้าน
3. เหตุใดคริสเตียนควรพยายามอย่างจริงจังที่จะสร้างสันติสุขในบ้าน?
3 เพื่อเมล็ดแห่งความชอบธรรมจะเกิดผลในครอบครัวได้ ต้องมีสันติสุขในบ้าน. (อ่านยาโกโบ 3:18) แม้แต่ถ้าครอบครัวคริสเตียนยังไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการนมัสการบริสุทธิ์ ผู้มีความ เชื่อต้องพยายามอย่างจริงจังที่จะสร้างสันติสุขในบ้าน. เขาจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร?
4. คริสเตียนอาจรักษาความสงบใจไว้ได้อย่างไร?
4 คริสเตียนต้องรักษาความสงบใจไว้. เพื่อจะทำอย่างนั้นได้เราต้องอธิษฐานด้วยใจจริง ซึ่งจะช่วยให้เรามี “สันติสุขของพระเจ้า” ที่ไม่มีอะไรเทียบได้. (ฟิลิป. 4:6, 7) ความสุขและสันติสุขเป็นผลมาจากการรับเอาความรู้ของพระยะโฮวาและการนำหลักการในพระคัมภีร์ไปใช้ในชีวิต. (ยซา. 54:13) การเข้าร่วมการประชุมประชาคมและมีส่วนอย่างกระตือรือร้นในงานประกาศก็สำคัญด้วยเพื่อเราจะมีสันติสุขและความสุข. ตามปกติแล้วคนที่อยู่ในครอบครัวที่มีความเชื่อต่างกันสามารถหาทางทำกิจกรรมคริสเตียนได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง. ขอให้พิจารณาตัวอย่างของเอนซา * ซึ่งสามีต่อต้านอย่างรุนแรง. เธอไปประกาศและสอนคนให้เป็นสาวกหลังจากที่ทำงานบ้านเรียบร้อยแล้ว. เอนซากล่าวว่า “พระยะโฮวาทรงอวยพรดิฉันอย่างอุดมด้วยการเกิดผลดีทุกครั้งที่ดิฉันพยายามประกาศข่าวดีแก่คนอื่น.” พระพรเหล่านั้นทำให้มีสันติสุข ความอิ่มใจ และความสุขอย่างแน่นอน.
5. ในครอบครัวที่มีความเชื่อต่างกัน ผู้ที่มีความเชื่อมักเผชิญปัญหาอะไร และอะไรจะช่วยพวกเขาได้?
5 เราจำเป็นต้องพยายามอย่างจริงจังในการพัฒนาสายสัมพันธ์ที่สงบสุขกับคนในครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อ. การทำอย่างนี้อาจไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะบางครั้งสิ่งที่พวกเขาต้องการให้เราทำเป็นสิ่งที่ขัดกับหลักการในคัมภีร์ไบเบิล. การที่เรายึดมั่นกับหลักการที่ถูกต้องอาจทำให้สมาชิกครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อไม่พอใจ แต่จุดยืนเช่นนั้นส่งเสริมให้มีสันติสุขในระยะยาว. แน่นอน การไม่ยอมผ่อนปรนในบางเรื่องที่ไม่ขัดกับหลักการในพระคัมภีร์อาจทำให้เกิดความขัดแย้งกันได้โดยไม่จำเป็น. (อ่านสุภาษิต 16:7) เมื่อรับมือข้อท้าทาย นับว่าสำคัญที่จะหาคำแนะนำตามหลักพระคัมภีร์จากหนังสือต่าง ๆ ของชนชั้นทาสสัตย์ซื่อและสุขุมและจากผู้ปกครอง.—สุภา. 11:14
6, 7. (ก) เหตุใดบางคนจึงต่อต้านคนในครอบครัวที่เริ่มศึกษากับพยานพระยะโฮวา? (ข) นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลหรือผู้มีความเชื่อควรแสดงปฏิกิริยาอย่างไรต่อการต่อต้านนั้น?
6 เพื่อจะสร้างสันติสุขในครอบครัวจำเป็นต้องไว้วางใจพระยะโฮวาและต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความรู้สึกของคนในครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อ. (สุภา. 16:20) แม้แต่คนที่เพิ่งเรียนคัมภีร์ไบเบิลก็สามารถทำอย่างนี้ได้. สามีหรือภรรยาที่ไม่มีความเชื่อบางคนอาจไม่คัดค้านที่คู่สมรสจะศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. พวกเขาอาจถึงกับยอมรับว่าการศึกษาพระคัมภีร์เป็นประโยชน์สำหรับครอบครัว. แต่บางคนอาจแสดงความเป็นปฏิปักษ์. เอสเทอร์ซึ่งตอนนี้เป็นพยานฯ ยอมรับว่าเธอโกรธมากเมื่อสามีเริ่มศึกษากับพยานพระยะโฮวา. เธอบอกว่า “ดิฉันโยนหนังสือของเขาทิ้งหรือไม่ก็เผา.” โฮเวิร์ด ซึ่งตอนแรกต่อต้านที่ภรรยาศึกษาพระคัมภีร์ กล่าวว่า “สามีหลายคนกลัวว่าภรรยาจะถูกหลอกให้ไปเข้าลัทธิหรือนิกาย. สามีอาจไม่รู้ว่าจะตอบโต้อย่างไรดีต่อสิ่งที่พวกเขาถือว่าเป็นภัยคุกคาม และอาจต่อต้านภรรยาด้วยคำพูดและการกระทำ.”
7 นักศึกษาที่คู่สมรสต่อต้านควรได้รับความช่วยเหลือให้เข้าใจว่าเขาไม่จำเป็นต้องเลิกศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. บ่อยครั้ง เขาจะแก้ไขเรื่องนี้ได้ด้วยอารมณ์อ่อนโยนและแสดงความนับถือต่อคู่สมรสที่ไม่มีความเชื่อ. (1 เป. 3:15) โฮเวิร์ดกล่าวว่า “ผมรู้สึกขอบคุณมากที่ภรรยาผมใจเย็นและไม่แสดงปฏิกิริยามากเกินไป!” ภรรยาของเขาเล่าว่า “โฮเวิร์ดสั่งให้ดิฉันเลิกศึกษาพระคัมภีร์. เขาบอกว่าดิฉันกำลังถูกล้างสมอง. แทนที่จะเถียง ดิฉันบอกเขาว่าเขาอาจพูดถูก แต่ก็บอกด้วยว่าดิฉันมองไม่เห็นเลยว่าจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร. ดิฉันจึงขอให้เขาอ่านหนังสือที่ดิฉันกำลังศึกษา. เขาก็อ่าน แต่ไม่พบอะไรในหนังสือ นั้นที่เขาจะโต้แย้งได้. เรื่องนี้มีผลต่อเขามากเลยทีเดียว.” นับว่าดีที่จะจำไว้ว่าคู่สมรสที่ไม่เชื่ออาจรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งหรือกลัวว่าชีวิตแต่งงานของเขาจะไม่มั่นคงเมื่อคู่สมรสออกบ้านไปประชุมหรือไปประกาศ แต่การยืนยันให้เขามั่นใจในความรักอาจช่วยลดความรู้สึกแบบนั้นได้มาก.
จงช่วยพวกเขาให้ตอบรับการนมัสการแท้
8. อัครสาวกเปาโลให้คำแนะนำอะไรแก่คริสเตียนที่คู่สมรสไม่มีความเชื่อ?
8 อัครสาวกเปาโลแนะนำคริสเตียนว่าอย่าทิ้งคู่สมรสเพียงเพราะเขาไม่มีความเชื่อ. * (อ่าน 1 โครินท์ 7:12-16) ผู้มีความเชื่ออาจรักษาความยินดีของตนไว้ได้ถ้าระลึกเสมอว่าสักวันหนึ่งคู่สมรสที่ไม่เชื่ออาจเข้ามาเป็นคริสเตียน. แต่เมื่อพยายามอธิบายข่าวสารความจริงให้ผู้ไม่มีความเชื่อเข้าใจ มีข้อควรระวังอย่างหนึ่ง ดังจะเห็นได้จากประสบการณ์ต่อไปนี้.
9. เมื่อบอกความจริงในคัมภีร์ไบเบิลแก่คนในครอบครัว ควรระวังอะไร?
9 เจสันกล่าวถึงปฏิกิริยาของเขาเมื่อได้เรียนรู้ความจริงในคัมภีร์ไบเบิลว่า “ผมอยากบอกเรื่องนี้กับทุกคน!” เมื่อนักศึกษาพระคัมภีร์เห็นคุณค่าความจริงที่เขาได้เรียน เขาอาจมีความสุขมากจนพูดเรื่องความจริงนั้นเกือบจะตลอดเวลา. เขาอาจคาดหมายให้คนในครอบครัวซึ่งไม่มีความเชื่อตอบรับข่าวสารเรื่องราชอาณาจักรทันที แต่พวกเขาอาจยังไม่ตอบรับ. ความกระตือรือร้นในช่วงเริ่มแรกที่เจสันมีส่งผลอย่างไรต่อภรรยาเขา? เธอเล่าว่า “ดิฉันรู้สึกว่ามันมากเกินไปจนรับไม่ไหว.” พี่น้องหญิงคนหนึ่งซึ่งตอบรับความจริงหลังสามี 18 ปีกล่าวว่า “ดิฉันเป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องค่อย ๆ เรียนรู้ความจริงทีละเล็กทีละน้อย.” ถ้าตอนนี้คุณกำลังนำการศึกษาพระคัมภีร์กับนักศึกษาที่คู่สมรสไม่ต้องการร่วมกับเขาในการนมัสการแท้ คุณน่าจะซักซ้อมด้วยกันกับเขาเป็นประจำเพื่อช่วยนักศึกษาให้รับมือเรื่องนี้อย่างผ่อนหนักผ่อนเบา. โมเซกล่าวว่า “โอวาทของเราจะหยดลงมาดังน้ำฝน, วาจาของเราจะตกดังน้ำค้าง, ดังฝนตกปรอย ๆ อยู่ที่หญ้าอ่อน.” (บัญ. 32:2) การใช้ถ้อยคำแห่งความจริงเพียงไม่กี่คำที่เหมาะกับกาลเทศะมักก่อผลดีกว่าการบอกข่าวสารความจริงอย่างไม่หยุดหย่อน.
10-12. (ก) อัครสาวกเปโตรให้คำแนะนำอะไรแก่คริสเตียนที่คู่สมรสไม่มีความเชื่อ? (ข) นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งได้เรียนรู้ที่จะใช้คำแนะนำตามที่บันทึกไว้ใน 1 เปโตร 3:1, 2 อย่างไร?
10 อัครสาวกเปโตรให้คำแนะนำที่มีขึ้นโดยการดลใจแก่คริสเตียนผู้เป็นภรรยาที่อยู่ในครอบครัวที่มีความเชื่อต่างกัน. ท่านเขียนว่า “ให้ท่านทั้งหลายที่เป็นภรรยายอมเชื่อฟังสามีของตน เพื่อว่าถ้าสามีคนใดไม่เชื่อฟังพระคำ การประพฤติของภรรยาก็อาจชนะใจเขาโดยไม่ต้องเอ่ยปาก เนื่องจากเขาได้เห็น1 เป. 3:1, 2) ภรรยาอาจชนะใจสามีและช่วยให้เขารับเอาการนมัสการแท้ได้ด้วยการยอมเชื่อฟังและนับถือสามีอย่างสุดซึ้ง แม้แต่เมื่อเขาปฏิบัติต่อเธออย่างรุนแรง. ในทำนองเดียวกัน สามีที่มีความเชื่อควรปฏิบัติต่อภรรยาอย่างที่พระเจ้าพอพระทัยและเป็นประมุขครอบครัวที่เปี่ยมด้วยความรักไม่ว่าเขาอาจถูกภรรยาที่ไม่มีความเชื่อต่อต้านเช่นไรก็ตาม.—1 เป. 3:7-9
การประพฤติอันบริสุทธิ์พร้อมกับความนับถืออย่างสุดซึ้งของท่านทั้งหลาย.” (11 มีตัวอย่างมากมายในสมัยปัจจุบันที่แสดงให้เห็นประโยชน์ของการนำคำแนะนำของเปโตรไปใช้. ขอพิจารณาตัวอย่างของเซลมา. เมื่อเธอเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวา สตีฟสามีเธอไม่พอใจ. เขายอมรับว่า “ผมโกรธ หึงหวง และรู้สึกหวาดหวั่น.” เซลมากล่าวว่า “แม้แต่ก่อนที่ดิฉันจะเรียนความจริง การอยู่กับสตีฟเป็นเหมือนการเดินบนเปลือกไข่. จะพูดจะทำอะไรต้องระวังมาก ๆ เพราะเขาเป็นคนขี้โมโห. เมื่อดิฉันเริ่มศึกษาพระคัมภีร์ ความเจ้าอารมณ์ของเขาก็ยิ่งหนักขึ้นไปอีก.” อะไรที่ช่วยเธอ?
12 เซลมาเล่าถึงเรื่องหนึ่งที่เธอเรียนรู้จากพยานฯ ที่นำการศึกษาเธอ. เซลมากล่าวว่า “มีอยู่วันหนึ่งที่ดิฉันไม่อยากศึกษาพระคัมภีร์. คืนก่อนหน้านั้น สตีฟทุบตีดิฉันเมื่อดิฉันพยายามพิสูจน์เรื่องหนึ่งกับเขา ดิฉันจึงรู้สึกเศร้าและสงสารตัวเอง. เมื่อดิฉันบอกผู้นำการศึกษาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและความรู้สึกของดิฉัน เธอก็ขอให้ดิฉันอ่าน 1 โครินท์ 13:4-7. เมื่อดิฉันอ่าน ดิฉันก็เริ่มหาเหตุผลว่า ‘สตีฟไม่เคยแสดงความรักอย่างนี้ต่อฉันเลย.’ แต่ผู้นำการศึกษาชวนให้ดิฉันคิดอีกแบบหนึ่งโดยถามว่า ‘มีกี่ครั้งที่คุณแสดงความรักแบบนั้นต่อสามี?’ ดิฉันตอบว่า ‘ไม่เคยเลย เพราะเขาเป็นคนเอาใจยาก.’ ผู้นำการศึกษาพูดอย่างนุ่มนวลว่า ‘เซลมา ใครล่ะที่กำลังพยายามจะเป็นคริสเตียน? คุณหรือสตีฟ?’ เมื่อรู้ตัวว่าดิฉันจำเป็นต้องปรับความคิดของตัวเอง ดิฉันอธิษฐานขอให้พระยะโฮวาช่วยดิฉันแสดงความรักมากขึ้นต่อสตีฟ. แล้วอะไร ๆ ก็ค่อย ๆ ดีขึ้น.” หลังจากนั้น 17 ปี สตีฟก็ตอบรับความจริง.
คนอื่น ๆ จะช่วยได้อย่างไร?
13, 14. คุณจะช่วยพี่น้องในประชาคมที่อยู่ในครอบครัวซึ่งมีความเชื่อต่างกันได้อย่างไร?
13 ฝนปรอย ๆ รดผืนดินให้ชุ่มและช่วยให้พืชเจริญเติบโตฉันใด การกระทำที่กรุณาของหลายคนในประชาคมก็ช่วยให้คริสเตียนที่อยู่ในครอบครัวที่ความเชื่อต่างกันมีความสุขได้ฉันนั้น. เอลวีนา ซึ่งอยู่ที่ประเทศบราซิล กล่าวว่า “ความรักของพี่น้องคือสิ่งที่ช่วยดิฉันให้ยืนหยัดมั่นคงในแนวทางความจริง.”
14 การที่คนอื่น ๆ ในประชาคมแสดงความกรุณาและความสนใจต่อคนที่ไม่มีความเชื่อในครอบครัวของพี่น้องอาจทำให้พวกเขาประทับใจมากทีเดียว. สามีคนหนึ่งที่ประเทศไนจีเรีย ซึ่งตอบรับความจริง
หลังภรรยา 13 ปี กล่าวว่า “ครั้งหนึ่งตอนที่ผมเดินทางไปด้วยกันกับพยานฯ คนหนึ่ง รถเขาเสียกลางทาง. เขาตามหาเพื่อนพยานฯ ที่อยู่ในหมู่บ้านหนึ่งซึ่งอยู่ในละแวกนั้น. พวกเขาเชิญให้เราพักที่บ้านในคืนนั้น. พวกเขาดูแลเราราวกับว่ารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก. ผมรู้สึกได้ทันทีถึงความรักแบบคริสเตียนที่ภรรยาผมพูดถึงอยู่เสมอ.” ที่ประเทศอังกฤษ ภรรยาคนหนึ่งซึ่งเข้ามาในความจริงหลังสามี 18 ปีเล่าว่า “พยานฯ เชิญเราทั้งสองไปรับประทานอาหารด้วยกันหลายครั้ง. ดิฉันรู้สึกได้ว่าพวกเขาต้อนรับดิฉันเสมอ.” สามีคนหนึ่งที่อยู่ประเทศเดียวกันซึ่งในที่สุดได้เข้ามาเป็นพยานฯ กล่าวว่า “พี่น้องมักจะมาเยี่ยมเรา หรือไม่ก็เชิญเราไปที่บ้านของพวกเขา และผมรู้สึกว่าพวกเขาเป็นห่วงผมจริง ๆ. เห็นได้ชัดว่าเป็นอย่างนั้นโดยเฉพาะตอนที่ผมอยู่ในโรงพยาบาลและหลายคนมาเยี่ยมผม.” คุณจะหาวิธีแสดงความสนใจคล้าย ๆ กันนั้นต่อคนที่ไม่มีความเชื่อในครอบครัวของพี่น้องได้ไหม?15, 16. อะไรอาจช่วยผู้มีความเชื่อให้มีความสุขอยู่เสมอเมื่อคนอื่น ๆ ในครอบครัวยังไม่เข้ามาเชื่อ?
15 แน่นอน ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นคู่สมรส ลูก พ่อแม่ หรือญาติคนอื่น ๆ ที่ไม่มีความเชื่อจะตอบรับการนมัสการแท้ แม้ว่าผู้มีความเชื่ออาจประพฤติอย่างซื่อสัตย์และบอกความจริงอย่างผ่อนหนักผ่อนเบาเป็นเวลาหลายปีก็ตาม. บางคนอาจยังไม่สนใจหรือต่อต้านต่อไปไม่เลิกรา. (มัด. 10:35-37) แต่เมื่อคริสเตียนแสดงคุณลักษณะแบบพระเจ้า นั่นอาจทำให้เกิดผลที่ดีมาก. สามีคนหนึ่งซึ่งเคยเป็นคนที่ไม่มีความเชื่อกล่าวว่า “เมื่อคู่สมรสที่มีความเชื่อเริ่มแสดงคุณลักษณะที่น่ารักเหล่านั้นออกมา ไม่มีใครรู้หรอกว่านั่นอาจมีผลอย่างไรต่อจิตใจและหัวใจของคนที่ไม่มีความเชื่อ. ดังนั้น อย่าเพิ่งหมดหวังกับคู่สมรสที่ไม่มีความเชื่อ.”
16 แม้แต่เมื่อมีใครในครอบครัวที่ยังไม่มีความเชื่อ คนที่มีความเชื่อก็มีความสุขได้. แม้ว่าสามีของพี่น้องคนหนึ่งไม่ตอบรับข่าวสารเรื่องราชอาณาจักรหลังจากพยายามมา 21 ปีแล้ว เธอกล่าวว่า “ดิฉันก็ยังรักษาความยินดีไว้ได้โดยพยายามทำสิ่งที่พระยะโฮวาทรงพอพระทัย โดยภักดีต่อพระองค์เสมอ และโดยทำการงานที่ช่วยให้ดิฉันเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณ. การที่ดิฉันหมกมุ่นอยู่กับกิจกรรมฝ่ายวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาส่วนตัว เข้าร่วมการประชุม ร่วมในงานประกาศ และช่วยคนอื่น ๆ ในประชาคม ทำให้ดิฉันเข้าใกล้พระยะโฮวามากขึ้นและช่วยปกป้องหัวใจของดิฉันไว้.”—สุภา. 4:23
อย่าท้อถอย!
17, 18. คริสเตียนจะมีความหวังอยู่เสมอได้อย่างไรแม้อยู่ในครอบครัวที่มีความเชื่อต่างกัน?
17 ถ้าคุณเป็นคริสเตียนที่ซื่อสัตย์ซึ่งอยู่ในครอบครัวที่มีความเชื่อต่างกัน อย่าท้อถอย. ขอให้จำไว้ว่า “[พระยะโฮวา] จะไม่ละทิ้งประชากรของพระองค์ด้วยเห็นแก่พระนามใหญ่ยิ่งของพระองค์.” (1 ซามู. 12:22, ฉบับ R73) พระองค์จะอยู่กับคุณตราบใดที่คุณภักดีต่อพระองค์. (อ่าน 2 โครนิกา 15:2) ดังนั้น “จงยังใจให้ชื่นชมในพระยะโฮวา.” ใช่แล้ว “จงมอบทางประพฤติของตนไว้กับพระยะโฮวา แถมจงวางใจในพระองค์ด้วย.” (เพลง. 37:4, 5) “จงหมั่นอธิษฐานอยู่เสมอ” และเชื่อมั่นว่าพระบิดาฝ่ายสวรรค์ผู้เปี่ยมด้วยความรักสามารถช่วยคุณให้อดทนความยากลำบากทุกรูปแบบได้.—โรม 12:12
18 จงอธิษฐานขอพระยะโฮวาประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อช่วยคุณให้สร้างสันติสุขในบ้าน. (ฮีบรู 12:14) ใช่แล้ว เป็นไปได้ที่จะส่งเสริมให้เกิดสันติสุขในบ้านซึ่งในที่สุดอาจมีผลกระทบในทางที่ดีต่อคนในครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อ. คุณจะมีความสุขและความสงบใจขณะที่คุณ “ทำทุกสิ่งอย่างที่ทำให้พระเจ้าได้รับการสรรเสริญ.” (1 โค. 10:31) ขณะที่คุณพยายามทำสิ่งเหล่านี้ ช่างให้กำลังใจสักเพียงไรที่รู้ว่ามีพี่น้องในประชาคมคริสเตียนผู้เปี่ยมด้วยความรักที่พร้อมจะสนับสนุนคุณ!
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 4 ชื่อในบทความนี้เป็นชื่อสมมุติ.
^ วรรค 8 คำแนะนำของเปาโลไม่ได้ห้ามคริสเตียนที่จะแยกกันอยู่กับคู่สมรสในกรณีที่สภาพการณ์ถึงขีดสุด. นี่เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องตัดสินใจเป็นส่วนตัว. โปรดดูหนังสือ “เป็นที่รักของพระเจ้าเสมอ” หน้า 220-221.
[คำถาม]
[ภาพหน้า 28]
จงเลือกเวลาที่เหมาะเพื่ออธิบายความเชื่อของคุณ
[ภาพหน้า 29]
จงแสดงความห่วงใยต่อคู่สมรสที่ไม่มีความเชื่อ