การทรยศ สัญญาณบ่งบอกสมัยสุดท้าย!
การทรยศ สัญญาณบ่งบอกสมัยสุดท้าย!
“เราแสดงความภักดี ประพฤติชอบธรรม และปราศจากตำหนิ.”—1 เทส. 2:10
หาจุดสำคัญต่อไปนี้:
การทรยศของดะลีลา อับซาโลม และยูดาอิสการิโอตให้ข้อเตือนใจอะไรแก่เรา?
เราจะเลียนแบบความภักดีของโยนาธานและเปโตรได้อย่างไร?
เราจะภักดีเสมอต่อคู่สมรสและพระยะโฮวาได้อย่างไร?
1-3. (ก) สัญญาณอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่าเราอยู่ในสมัยสุดท้ายคืออะไร และสัญญาณนี้เกี่ยวข้องกับอะไร? (ข) เราจะตอบคำถามสามข้ออะไร?
ดะลีลา อับซาโลม และยูดาอิสการิโอต มีอะไรที่เหมือนกัน? พวกเขาทั้งหมดไม่ภักดี. ดะลีลาไม่ภักดีต่อผู้วินิจฉัยซิมโซนชายที่รักนาง อับซาโลมไม่ภักดีต่อกษัตริย์ดาวิดราชบิดา และยูดาไม่ภักดีต่อพระคริสต์เยซูผู้เป็นนายของเขา. ในแต่ละกรณี การกระทำที่น่ารังเกียจของพวกเขาก่อความเสียหายร้ายแรงแก่ผู้อื่น! แต่เหตุใดเราควรสนใจในเรื่องนี้?
2 นักประพันธ์คนหนึ่งในสมัยปัจจุบันจัดให้การทรยศอยู่ในกลุ่มพฤติกรรมที่พบเห็นบ่อยที่สุดในสมัยนี้. นั่นเป็นเรื่องที่คาดหมายได้. เมื่อพระเยซูประทานสัญญาณที่บอก “ช่วงสุดท้ายของยุค” พระองค์ตรัสว่า “คนเป็นอันมาก . . . จะทรยศกัน.” (มัด. 24:3, 10) “การทรยศ” หมายถึง “การมอบใครคนหนึ่งไว้ในมือของศัตรูด้วยความไม่ซื่อหรือไม่ภักดี.” การขาดความภักดีเช่นนั้นยิ่งทำให้เรามั่นใจว่าเรากำลังมีชีวิตอยู่ใน “สมัยสุดท้าย” ซึ่งตามที่เปาโลบอกไว้ล่วงหน้า เป็นเวลาที่ผู้คนจะ “ไม่ภักดี . . . เป็นคนทรยศ.” (2 ติโม. 3:1, 2, 4) แม้ว่านักประพันธ์หนังสือและนักเขียนบทภาพยนตร์มักเขียนเรื่องการทรยศหักหลังให้เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นและโรแมนติก แต่ในชีวิตจริงความไม่ภักดีและการทรยศทำให้คนเราเป็นทุกข์ปวดร้าวใจ. ที่จริง การกระทำเช่นนั้นเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเรากำลังมีชีวิตอยู่ในสมัยสุดท้าย!
3 เราเรียนอะไรได้จากคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับคนที่ไม่ภักดีในสมัยอดีต? ตัวอย่างอะไรเกี่ยวกับคนที่ภักดีต่อผู้อื่นที่เราจะเลียนแบบได้? และเราต้องภักดีเสมอต่อใคร? ขอให้เรามาพิจารณากัน.
ตัวอย่างเตือนใจจากอดีต
4. ดะลีลาทรยศซิมโซนอย่างไร และทำไมการกระทำของนางจึงน่ารังเกียจอย่างยิ่ง?
4 ก่อนอื่นให้เรามาพิจารณาเรื่องของดะลีลาหญิงเจ้าเล่ห์ ซึ่ง * เมื่อรู้อย่างนั้น ดะลีลาก็เรียกคนให้มาโกนผมซิมโซนขณะที่ท่านหลับอยู่บนตักนาง แล้วนางก็มอบท่านให้ศัตรูเอาไปจัดการตามใจชอบ. (วินิจ. 16:4, 5, 15-21) ช่างเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจจริง ๆ! เพราะความโลภ ดะลีลาทรยศคนที่รักนาง.
ผู้วินิจฉัยซิมโซนตกหลุมรัก. ซิมโซนมุ่งมั่นในการนำหน้าชาวอิสราเอลต่อสู้กับชาวฟิลิสตินเพื่อประโยชน์ของประชาชนของพระเจ้า. เจ้านายทั้งห้าของชาวฟิลิสตินอาจรู้ว่าดะลีลาไม่รักและภักดีต่อซิมโซน พวกเขาจึงเสนอสินบนก้อนโตให้นางพยายามล้วงความลับเรื่องกำลังที่ซิมโซนมีมากกว่าคนทั่วไปเพื่อจะกำจัดท่าน. ดะลีลาตอบรับผลประโยชน์โดยมิชอบนั้นด้วยความโลภ แต่ความพยายามของนางในการล้วงความลับของซิมโซนล้มเหลวถึงสามครั้ง. หลังจากนั้น นางก็รบเร้าท่านอยู่เรื่อย ๆ โดยการ “วิงวอนอยู่ร่ำไปทุก ๆ วัน.” ในที่สุด “ซิมโซนก็รำคาญใจแทบจะตาย.” ท่านจึงบอกนางว่าท่านไม่เคยตัดผมเลยและถ้าท่านตัดผมเมื่อไรกำลังของท่านก็จะหมดไป.5. (ก) อับซาโลมไม่ภักดีต่อดาวิดอย่างไร และนั่นเผยให้เห็นอะไรเกี่ยวกับตัวเขา? (ข) ดาวิดรู้สึกอย่างไรที่อะฮีโธเฟลกลายเป็นผู้ทรยศ?
5 ลำดับต่อไป ขอให้เรามาพิจารณาเรื่องของอับซาโลมผู้ทรยศ. หัวใจเขาเต็มไปด้วยไฟแห่งความทะเยอทะยาน เขาหมายมั่นจะช่วงชิงบัลลังก์ของกษัตริย์ดาวิดราชบิดาของเขา. ก่อนอื่น อับซาโลม “ชนะใจชนอิสราเอลทั้งปวง” โดยเอาอกเอาใจพวกเขาด้วยการสัญญาอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมและแสดงความรักใคร่ต่อพวกเขาอย่างเสแสร้ง. เขาโอบกอดและจูบคนเหล่านั้นราวกับว่าสนใจและห่วงใยความจำเป็นของพวกเขาจริง ๆ. (2 ซามู. 15:2-6, ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย ) อับซาโลมถึงกับชนะใจอะฮีโธเฟลสหายคนสนิทที่ดาวิดไว้วางใจ ซึ่งได้กลายเป็นผู้ทรยศและเข้าร่วมในการทำรัฐประหาร. (2 ซามู. 15:31) ในเพลงสรรเสริญบท 3 และบท 55 ดาวิดพรรณนาว่าการไม่ภักดีนี้ก่อผลกระทบต่อท่านอย่างไร. (เพลง. 3:1-8; อ่านบทเพลงสรรเสริญ 55:12-14) อับซาโลมเผยให้เห็นว่าเขาไม่นับถือสิทธิของพระเจ้าในการเลือกผู้ที่จะเป็นกษัตริย์โดยวางแผนอย่างชั่วร้ายและสมคบกับพรรคพวกต่อต้านผู้ที่พระยะโฮวาทรงแต่งตั้ง. (1 โคร. 28:5) ในที่สุด การกบฏล้มเหลว และดาวิดปกครองต่อไปในฐานะผู้ที่พระยะโฮวาทรงเจิม.
6. ยูดาทรยศพระเยซูอย่างไร และชื่อยูดาถูกใช้ในความหมายใด?
6 ตอนนี้ ขอให้พิจารณาสิ่งที่ยูดาอิสการิโอตผู้ทรยศทำต่อพระคริสต์. เมื่อพระเยซูทรงฉลองปัศคาครั้งสุดท้ายกับอัครสาวก 12 คน พระองค์ทรงบอกพวกเขาว่า “เราบอกเจ้าทั้งหลายตามจริงว่า พวกเจ้าคนหนึ่งจะทรยศเรา.” (มัด. 26:21) ต่อมาในคืนนั้นเอง พระเยซูทรงบอกกับเปโตร ยาโกโบ และโยฮันในสวนเกทเซมาเนว่า “ลุกขึ้นไปกันเถิด. ผู้ทรยศเรามาใกล้แล้ว.” ทันใดนั้นเอง ยูดาก็เข้ามาในสวนพร้อมกับพวกที่เขาสมคบด้วย “แล้วเขาก็ตรงเข้ามาหาพระเยซูและพูดว่า ‘อาจารย์ ขอให้มีสันติสุข!’ และจูบพระองค์อย่างนุ่มนวล.” (มัด. 26:46-50; ลูกา 22:47, 52) ยูดา “ทรยศโลหิตอันบริสุทธิ์” และมอบพระเยซูไว้ในมือศัตรู. ยูดาผู้รักเงินทำเช่นนั้นเพื่ออะไร? เพื่อเหรียญเงินเพียงสามสิบเหรียญ! (มัด. 27:3-5, ฉบับแปลคิงเจมส์) นับแต่นั้นมา ชื่อยูดาจึงถูกใช้ในความหมายว่า “ผู้ทรยศ” โดยเฉพาะคนที่ทรยศเพื่อน. *
7. เราเรียนอะไรได้จากเรื่องราวชีวิตของ (ก) อับซาโลมและยูดา และ (ข) ดะลีลา?
7 เราเรียนอะไรได้จากตัวอย่างเตือนใจเหล่านี้? 2 ซามู. 18:9, 14-17; กิจ. 1:18-20) เมื่อไรก็ตามที่ผู้คนได้ยินชื่อดะลีลา พวกเขาก็จะนึกถึงการทรยศและความรักที่เสแสร้ง. นับว่าสำคัญสักเพียงไรที่เราจะปฏิเสธแนวโน้มใด ๆ ก็ตามที่อาจทำให้เรามีความทะเยอทะยานหรือความโลภ ซึ่งจะทำให้เราสูญเสียความโปรดปรานจากพระยะโฮวา! ยังจะมีบทเรียนอะไรอีกหรือที่มีพลังกว่านี้ที่จะช่วยเราให้ปฏิเสธความไม่ภักดีซึ่งเป็นนิสัยที่น่าชิงชัง?
ทั้งอับซาโลมและยูดาต่างก็พบจุดจบที่อเนจอนาถเพราะทั้งสองกลายเป็นผู้ทรยศต่อผู้ถูกเจิมของพระยะโฮวา. (จงเลียนแบบคนที่ภักดี
8, 9. (ก) เหตุใดโยนาธานจึงให้สัตย์สาบานว่าจะภักดีต่อดาวิด? (ข) เราจะเลียนแบบโยนาธานได้อย่างไร?
8 คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงหลายคนที่ภักดีด้วย. ขอให้เราพิจารณาเรื่องของสองคนจากบรรดาคนที่ภักดีเหล่านั้นและดูว่าเราจะเรียนอะไรได้จากพวกเขา โดยเริ่มกับชายที่ภักดีต่อดาวิด. เนื่องจากโยนาธาน เป็นราชบุตรองค์แรกของกษัตริย์ซาอูล เขาคงจะได้เป็นรัชทายาทที่จะครองบัลลังก์แห่งอิสราเอล. แต่พระยะโฮวาทรงเลือกดาวิดให้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล. โยนาธานนับถือการตัดสินของพระเจ้า. เขาไม่อิจฉาดาวิดและไม่ได้มองว่าดาวิดเป็นคู่แข่ง. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น โยนาธาน “ผูกสมัครรักใคร่กับดวงจิตต์ดาวิด” และให้สัตย์สาบานว่าจะภักดีต่อดาวิด. เขาถึงกับถอดเครื่องทรง กระบี่ ธนู และเข็มขัดประทานแก่ดาวิดซึ่งเป็นการมอบเกียรติในฐานะกษัตริย์แก่ท่าน. (1 ซามู. 18:1-4) โยนาธานทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อ ‘ช่วยให้ดาวิดเข้มแข็งขึ้น’ ถึงขั้นเสี่ยงชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องดาวิดไว้จากซาอูล. โยนาธานบอกดาวิดอย่างภักดีว่า “ท่านจะได้เป็นกษัตริย์อิสราเอลและเราจะเป็นอุปราช.” (1 ซามู. 20:30-34; 23:16, 17, ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย ) ไม่แปลกเลยที่หลังจากโยนาธานเสียชีวิต ดาวิดแสดงความโศกเศร้าและความรักต่อโยนาธานโดยร้องเพลงทุกข์คร่ำครวญถึงเขา.—2 ซามู. 1:17, 26
9 โยนาธานรู้ว่าเขาควรภักดีต่อใคร. เขาอ่อนน้อมต่ออำนาจการปกครองของพระยะโฮวาและสนับสนุนดาวิดผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมอย่างเต็มที่. เช่นเดียวกัน ในทุกวันนี้แม้ว่าเราอาจไม่ได้รับสิทธิพิเศษในประชาคม เราควรเต็มใจสนับสนุนพี่น้องของเราที่ได้รับแต่งตั้งให้นำหน้าท่ามกลางพวกเรา.—1 เทส. 5:12, 13; ฮีบรู 13:17, 24
10, 11. (ก) เหตุใดเปโตรภักดีต่อพระเยซูเสมอ? (ข) เราจะเลียนแบบเปโตรได้อย่างไร และนั่นน่าจะกระตุ้นเราให้ทำอะไร?
10 ตัวอย่างที่ดีอีกตัวอย่างหนึ่งที่เราจะพิจารณาคืออัครสาวกเปโตร ซึ่งประกาศตัวว่าจะภักดีต่อพระเยซู. เมื่อพระคริสต์ทรงใช้ภาษาโดยนัยเพื่อเน้นความสำคัญของการแสดงความเชื่อในพระกายและพระโลหิตที่พระองค์จะสละในอีกไม่ช้า สาวกหลายคนรู้สึกว่าถ้อยคำของพระองค์น่าตกใจ และพวกโย. 6:53-60, 66) ด้วยเหตุนั้น พระเยซูทรงหันมายังอัครสาวก 12 คนและถามว่า “พวกเจ้าไม่อยากไปด้วยหรือ?” เปโตรตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพเจ้าจะไปหาผู้ใดเล่า? พระองค์ทรงมีถ้อยคำที่ให้ชีวิตนิรันดร์ พวกข้าพเจ้าเชื่อและรู้แล้วว่าพระองค์ทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า.” (โย. 6:67-69) นี่หมายความว่าเปโตรเข้าใจทุกสิ่งที่พระเยซูตรัสเกี่ยวกับเครื่องบูชาที่พระองค์จะถวายในไม่ช้าไหม? คงไม่ใช่อย่างนั้น. ถึงกระนั้น เปโตรก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะภักดีต่อพระบุตรที่พระเจ้าทรงเจิม.
เขาเลิกติดตามพระองค์. (11 เปโตรไม่ได้หาเหตุผลว่าพระเยซูคงคิดผิดและพระองค์คงถอนคำพูดในภายหลัง. แต่เปโตรยอมรับอย่างถ่อมใจว่าพระเยซูมี “ถ้อยคำที่ให้ชีวิตนิรันดร์.” คล้ายกัน ในทุกวันนี้เราแสดงปฏิกิริยาอย่างไรถ้าเราพบจุดหนึ่งในหนังสือที่มาจาก “คนรับใช้ที่ซื่อสัตย์” ที่เข้าใจได้ยากหรือไม่ตรงกับความคิดของเรา? เราควรพยายามจริง ๆ ที่จะเข้าใจจุดนั้นแทนที่จะเพียงแต่คาดหมายว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับทัศนะของเรา.—อ่านลูกา 12:42
จงภักดีต่อคู่สมรสของคุณเสมอ
12, 13. อะไรอาจเป็นเหตุให้ใครคนหนึ่งทรยศคู่สมรส และทำไมอายุจึงไม่ใช่เป็นข้อแก้ตัวที่จะทำอย่างนั้น?
12 การทรยศในรูปแบบใดก็แล้วแต่เป็นการกระทำที่ชั่วร้ายซึ่งเราต้องไม่ปล่อยให้มาทำลายสันติสุขและเอกภาพของครอบครัวและประชาคมคริสเตียน. โดยคำนึงถึงเรื่องนี้ไว้เสมอ ขอให้เราพิจารณาว่าเราจะยืนหยัดภักดีต่อคู่สมรสและพระเจ้าของเราได้อย่างไร.
13 การเล่นชู้เป็นการทรยศอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงที่สุด. คนที่เล่นชู้ละเมิดความซื่อสัตย์ภักดีต่อคู่สมรสและหันไปสนใจอีกคนหนึ่ง. คู่สมรสที่ถูกทรยศถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพังโดยกะทันหัน และชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง. เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นกับคนสองคนที่เคยรักกันได้อย่างไร? บ่อยครั้ง ก้าวแรกที่นำคนเราไปในทิศทางนี้ก็คือเมื่อคู่สมรสเริ่มห่างเหินกันทางอารมณ์. ศาสตราจารย์สังคมวิทยา เกเบรียลลา ตูร์นาตูรี อธิบายว่าการทรยศอาจเกิดขึ้นเนื่องจากคู่สมรสเลิกทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อเสริมสายสัมพันธ์ให้มั่นคง. แม้แต่บางคนที่อยู่ในวัยกลางคนก็ยังตีตัวออกห่างจากคู่สมรส. ตัวอย่างเช่น ชายอายุ 50 ปีคนหนึ่งหย่าภรรยาผู้ซื่อสัตย์ที่อยู่กินกันมา 25 ปีเพื่อไปอยู่กับผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่เขาลุ่มหลง. บางคนแก้ตัวว่าเรื่องนี้เป็นวิกฤตการณ์ของวัยกลางคน. อย่างไรก็ตาม แทนที่จะพูดให้ฟังดูราวกับว่าเรื่องนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ขอให้เราเรียกพฤติกรรมนี้ตามที่ควรเรียกจริง ๆ คือการทรยศของคนวัยกลางคน. *
14. (ก) พระยะโฮวาทรงรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการทรยศในชีวิตสมรส? (ข) พระเยซูตรัสเช่นไรเกี่ยวกับความไม่ซื่อสัตย์ในชีวิตสมรส?
14 พระยะโฮวาทรงรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับคนที่แยกทางกับคู่สมรสอย่างไม่ถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์? พระเจ้าของเรา ‘ทรงเกลียดการหย่าร้างกัน’ และพระองค์ทรงตำหนิคนที่กระทำรุนแรงและทิ้งคู่สมรส. (อ่านมาลาคี 2:13-16) ด้วยความรู้สึกแบบเดียวกับพระบิดา พระเยซูทรงสอนว่าเราต้องไม่ขับไล่ไสส่งหรือทอดทิ้งคู่สมรสที่ไม่ได้ทำผิดและทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น.—อ่านมัดธาย 19:3-6, 9
15. คนที่แต่งงานแล้วจะภักดีต่อคู่สมรสอยู่เสมอได้อย่างไร?
15 คนที่แต่งงานแล้วจะภักดีต่อคู่สมรสอยู่เสมอได้อย่างไร? พระคำของพระเจ้ากล่าวว่า “จงชื่นใจยินดีด้วยกันกับภรรยา [หรือสามี] ซึ่งอยู่ด้วยกันมาแต่หนุ่มสาว” และ “เจ้าจงอยู่กินด้วยความชื่นชมยินดีกับภรรยา [หรือสามี] ซึ่งเจ้ารักมากที่สุด.” (สุภา. 5:18; ผู้ป. 9:9) เมื่อทั้งสองอายุมากขึ้น เรื่อย ๆ พวกเขาต้องทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อรักษาสายสัมพันธ์ให้มั่นคง ทั้งทางกายและทางอารมณ์. นั่นหมายถึงการสนใจกันและกัน ใช้เวลาด้วยกัน และอยู่ใกล้ชิดกัน. พวกเขาต้องพยายามรักษาชีวิตสมรสและสายสัมพันธ์ที่มีกับพระยะโฮวา. เพื่อจะทำอย่างนั้นได้ คู่สมรสต้องศึกษาคัมภีร์ไบเบิลด้วยกัน ทำงานรับใช้ด้วยกันเป็นประจำ และอธิษฐานขอพระพรจากพระยะโฮวาด้วยกัน.
จงภักดีต่อพระยะโฮวาเสมอ
16, 17. (ก) ความภักดีของเราต่อพระเจ้าอาจถูกทดสอบอย่างไรในครอบครัวและในประชาคม? (ข) ตัวอย่างอะไรแสดงให้เห็นว่าการเชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้าที่ให้เลิกติดต่อคบหากับญาติที่ถูกตัดสัมพันธ์อาจทำให้เกิดผลดี?
16 มีบางคนในประชาคมที่ทำผิดร้ายแรงและถูกว่ากล่าว ‘อย่างแรงเพื่อพวกเขาจะมีความเชื่อที่มั่นคง.’ (ทิทุส 1:13) บางคนต้องถูกตัดสัมพันธ์ไป เพราะเขาไม่กลับใจ. ส่วน “ผู้ที่ได้รับการฝึกโดยการตีสอน” การตีสอนนั้นได้ช่วยพวกเขาให้ฟื้นฟูสภาพฝ่ายวิญญาณ. (ฮีบรู 12:11) จะว่าอย่างไรถ้าเรามีญาติหรือเพื่อนสนิทที่ถูกตัดสัมพันธ์? ในสถานการณ์เช่นนี้ เราถูกทดสอบว่าจะภักดีต่อคนที่ถูกตัดสัมพันธ์หรือต่อพระเจ้า. แน่นอน เราควรภักดีต่อพระยะโฮวา. พระองค์กำลังเฝ้ามองเราเพื่อดูว่าเราจะปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์หรือไม่ที่ไม่ให้ติดต่อกับใครก็ตาม ที่ถูกตัดสัมพันธ์.—อ่าน 1 โครินท์ 5:11-13
17 ขอพิจารณาแค่ตัวอย่างหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นผลดีที่เกิดขึ้นจากการที่ครอบครัวหนึ่งทำตามพระบัญชาของพระยะโฮวาอย่างภักดีที่ไม่ให้คบหากับญาติที่ถูกตัดสัมพันธ์. ชายหนุ่มคนหนึ่งถูกตัดสัมพันธ์เป็นเวลาสิบกว่าปี ซึ่งในระหว่างนั้นพ่อแม่และพี่ชายน้องชายทั้งสี่คน “เลิกคบหา” กับเขา. บางครั้ง เขาพยายามเข้ามามีส่วนร่วมกับกิจกรรมบางอย่างของครอบครัว แต่น่าชมเชยที่แต่ละคนในครอบครัวยืนหยัดมั่นคงโดยไม่ยอมติดต่อกับเขาไม่ว่าจะโดยวิธีใด. หลังจากที่เขาถูกรับกลับสู่ฐานะเดิม เขากล่าวว่าเขาคิดถึงและอยากติดต่อกับครอบครัวของเขาอยู่เสมอ โดยเฉพาะตอนกลางคืนเมื่อเขาอยู่คนเดียว. แต่เขายอมรับว่าถ้าครอบครัวติดต่อพูดคุยกับเขาแม้เพียงเล็กน้อย นั่นก็คงจะทำให้เขาพอใจแล้ว. แต่เนื่องจากไม่มีใครในครอบครัวติดต่อพูดคุยกับเขาเลยแม้แต่น้อย เขาจึงมีความปรารถนาอย่างมากที่จะได้กลับมาอยู่กับครอบครัวและนั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่กระตุ้นให้เขาฟื้นฟูสายสัมพันธ์ของเขากับพระยะโฮวา. ขอให้คิดถึงเรื่องนี้ถ้าคุณถูกล่อใจให้ละเมิดพระบัญชาของพระเจ้าที่ไม่ให้ติดต่อคบหากับญาติที่ถูกตัดสัมพันธ์.
18. หลังจากที่ได้พิจารณาผลดีของความภักดีกับผลเสียของความไม่ภักดี คุณตั้งใจจะทำอะไร?
18 เรามีชีวิตในโลกที่ทรยศและไม่ภักดี. ถึงกระนั้น เราสามารถพบคนที่เป็นตัวอย่างในเรื่องความภักดีที่เราจะเลียนแบบได้อยู่รอบตัวเราในประชาคมคริสเตียน. แนวทางชีวิตของพวกเขาเผยให้เห็นว่าพวกเขา “แสดงความภักดี ประพฤติชอบธรรม และปราศจากตำหนิ.” (1 เทส. 2:10) ขอให้เราทุกคนรักษาความภักดีต่อพระเจ้าและต่อกันและกันเสมอ.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 4 กำลังของซิมโซนไม่ได้มาจากผมของท่าน แต่มาจากสายสัมพันธ์พิเศษของท่านกับพระยะโฮวาในฐานะที่เป็นนาษารีษ. ผมของท่านเป็นเครื่องหมายของสายสัมพันธ์พิเศษนี้.
^ วรรค 6 ด้วยเหตุนั้น สำนวนภาษาอังกฤษที่ว่า “Judas kiss” (“จูบของยูดา”) จึงมีความหมายว่า “การกระทำอันเป็นการทรยศ.”
^ วรรค 13 สำหรับคำแนะนำที่ช่วยให้รับมือการทรยศของคู่สมรส โปรดดูบทความ “การรับมือกับการทรยศของคู่ชีวิต” ในหอสังเกตการณ์ 15 มิถุนายน 2010 หน้า 29-32.
[คำถาม]
[ภาพหน้า 10]
เปโตรภักดีต่อพระบุตรที่พระเจ้าทรงเจิมแม้ว่าคนอื่น ๆ ปฏิเสธพระองค์