ข้ามไปยังเนื้อหา

ข้ามไปยังสารบัญ

เสริมชีวิตสมรสของคุณให้มั่นคงด้วยการสื่อความที่ดี

เสริมชีวิตสมรสของคุณให้มั่นคงด้วยการสื่อความที่ดี

“คำพูดที่เหมาะกับกาลเทศะเปรียบเหมือนผลแอปเปิลทำด้วยทองคำใส่ไว้ในกระเช้าเงิน.”—สุภา. 25:11

1. การสื่อความที่ดีช่วยชีวิตสมรสอย่างไร?

พี่น้องคนหนึ่งในแคนาดากล่าวว่า “ผมอยากอยู่กับภรรยามากกว่าอยู่กับคนอื่น.” พี่น้องคนนี้กล่าวต่ออีกว่าเมื่ออยู่กับภรรยาในช่วงที่มีความสุขก็จะสุขเป็นทวีคูณ และในช่วงที่มีความทุกข์เขาก็ทุกข์น้อยลง. สามีคนหนึ่งซึ่งอยู่ที่ออสเตรเลียเขียนมาว่า “ตลอด 11 ปีที่เราอยู่ด้วยกัน ไม่มีแม้แต่วันเดียวที่ผมไม่ได้คุยกับภรรยา.” เขากล่าวว่าการสื่อความที่ดีช่วยให้เขากับภรรยาไว้ใจกันอย่างเต็มที่และทำให้ชีวิตสมรสของเขามั่นคง. พี่น้องหญิงคนหนึ่งในคอสตาริกาเขียนมาบอกว่าการสื่อความที่ดีช่วยให้เธอกับสามีมีชีวิตสมรสที่มีความสุข. เธอกล่าวว่า “การสื่อความที่ดีทำให้เราใกล้ชิดพระยะโฮวามากขึ้น ป้องกันเราไว้จากการล่อใจ ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียว และทำให้เรารักกันมากขึ้น.”

2. ทำไมจึงเป็นเรื่องยากที่คู่สมรสจะสื่อความกันเป็นอย่างดี?

2 คุณกับคู่สมรสมีการสื่อความกันเป็นอย่างดีไหม? แน่นอน บางครั้งมีปัญหาในการสื่อความกันระหว่างสามีกับภรรยา. คุณทั้งคู่ไม่สมบูรณ์และมีบุคลิกภาพที่แตกต่างกัน. (โรม 3:23) คุณอาจมีวิธีสื่อความที่ไม่เหมือนกันเนื่องจากมีภูมิหลังด้านวัฒนธรรมหรือครอบครัวที่แตกต่างกัน. เนื่องด้วยเหตุผลเหล่านี้ จอห์น เอ็ม. กอตต์แมน และแนน ซิลเวอร์ นักวิจัยเรื่องชีวิตสมรสจึงกล่าวว่า “ถ้าคู่สมรสต้องการจะรักษาสายสัมพันธ์ให้ยั่งยืน ทั้งคู่ต้องมีความกล้าหาญ ความตั้งใจแน่วแน่ และจิตใจที่แข็งแกร่ง.”

3. อะไรได้ช่วยคู่สมรสหลายคู่รักษาชีวิตสมรสให้มั่นคงอยู่เสมอ?

3 ชีวิตสมรสที่ประสบความสำเร็จเป็นผลมาจากการพยายามอย่างหนัก แต่จะทำให้สามีภรรยามีความสุขอย่างยิ่ง. คู่สมรสที่รักกันสามารถชื่นชมยินดีในการใช้ชีวิตร่วมกัน. (ผู้ป. 9:9) ขอให้นึกถึงชีวิตสมรสของยิศฮาคกับริบะคาห์ซึ่งรักกันมาก. (เย. 24:67) แม้เมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่มีอะไรที่ทำให้เห็นว่าความรักที่ทั้งสองมีต่อกันลดน้อยลง. คู่สมรสหลายคู่ในทุกวันนี้สามารถรักษาชีวิตสมรสให้ มั่นคงได้เช่นกัน. พวกเขามีเคล็ดลับอะไร? พวกเขาได้เรียนรู้ที่จะถ่ายทอดความคิดและความรู้สึกต่อกันอย่างตรงไปตรงมาแต่ก็กรุณา. พวกเขาเข้าใจกัน รักกัน นับถือกัน และถ่อมใจ. ในการพิจารณาต่อจากนี้ เราจะเห็นว่าคุณลักษณะดังกล่าวช่วยคู่สมรสให้สื่อความกันเป็นอย่างดีได้อย่างไร.

แสดงความเข้าใจ

4, 5. ความเข้าใจถ่องแท้ช่วยคู่สมรสได้อย่างไร? จงยกตัวอย่าง.

4 สุภาษิต 16:20 (ล.ม.) กล่าวว่า “คนที่เข้าใจเรื่องราวอย่างถ่องแท้จะจัดการเรื่องนั้นอย่างได้ผล.” พระคำของพระเจ้าช่วยให้มีความเข้าใจถ่องแท้และมีสติปัญญาที่จำเป็นเพื่อจะมีชีวิตสมรสที่มีความสุข. (อ่านสุภาษิต 24:3) ตัวอย่างเช่น เยเนซิศ 2:18 บอกเราว่าพระเจ้าทรงสร้างผู้หญิงให้เป็นคู่เคียงของผู้ชาย. นี่หมายความว่าผู้ชายและผู้หญิงมีลักษณะที่แตกต่างกันเพื่อทั้งสองจะสามารถเสริมกันและกัน. ด้วยเหตุนั้น ผู้หญิงจึงถูกสร้างให้มีวิธีสื่อความที่แตกต่างจากผู้ชาย. ผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบพูดถึงความรู้สึกของตัวเอง ผู้คน และความสัมพันธ์ของบุคคล. พวกเธอชอบเมื่อคนอื่นหรือสามีพูดกับเธออย่างที่แสดงความรักและจริงใจ เพราะนั่นทำให้เธอรู้สึกว่าเขารักเธอ. อย่างไรก็ตาม ผู้ชายส่วนมากอาจไม่ชอบพูดถึงความรู้สึกของพวกเขา แต่ชอบพูดเรื่องกิจกรรม ปัญหา และการแก้ปัญหามากกว่า. นอกจากนั้น ผู้ชายต้องการให้คนอื่นนับถือเขา.

5 พี่น้องหญิงคนหนึ่งในบริเตนกล่าวว่า “สามีดิฉันอยากแก้ปัญหาให้จบๆไปแทนที่จะรอให้ฉันพูดจบก่อน.” เธออธิบายว่าการทำอย่างนี้ทำให้เธอหงุดหงิดเพราะสิ่งที่เธอต้องการจริงๆก็คือการปลอบโยนและความเห็นอกเห็นใจ. สามีคนหนึ่งเขียนว่า “เมื่อผมกับภรรยาแต่งงานกันใหม่ๆ ผมมักรีบหาวิธีแก้ปัญหาให้เธอไม่ว่าเธอจะมีปัญหาอะไรก็ตาม. แต่ไม่นานผมก็ได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่เธอต้องการจริงๆก็คือให้ผมฟังเธอ.” (สุภา. 18:13; ยโก. 1:19) สามีที่มีความเข้าใจจะสังเกตความรู้สึกของภรรยาและปฏิบัติต่อเธออย่างที่ทำให้เธอรู้สึกว่าเขารักเธอ. เขาทำให้เธอมั่นใจว่าความคิดและความรู้สึกของเธอเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเขา. (1 เป. 3:7) ส่วนภรรยาที่มีความเข้าใจก็จะสังเกตว่าสามีคิดอย่างไร. เมื่อทั้งสามีและภรรยาเข้าใจกัน เห็นคุณค่ากัน และทำหน้าที่ของตนตามหลักพระคัมภีร์ พวกเขาก็จะมีความสุขในชีวิตสมรสและช่วยกันตัดสินใจอย่างฉลาดสุขุมได้.

6, 7. (ก) หลักการที่ท่านผู้ประกาศ 3:7 จะช่วยคู่สมรสให้แสดงความเข้าใจได้อย่างไร? (ข) ภรรยาจะแสดงความเข้าใจได้อย่างไรเมื่อพูดกับสามี และสามีควรพยายามทำอะไร?

6 คู่สมรสที่มีความเข้าใจยังรู้ด้วยว่ามี “เวลานิ่งเงียบ เวลาพูดจา.” (ผู้ป. 3:1, 7, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย ) พี่น้องหญิงที่แต่งงานมาแล้วสิบปีเขียนมาว่าเธอได้เรียนรู้ว่าเรื่องบางเรื่องควรพูดกับสามีเมื่อไร. ถ้าเขามีงานหรือภารกิจอื่นๆที่ทำให้เขายุ่งมาก เธอก็จะคอยให้ถึงเวลาที่เหมาะกว่าแล้วค่อยพูดกับเขา. ผลก็คือ พวกเขามีการสื่อความที่ดีขึ้นมาก. เมื่อภรรยาพูดอย่างกรุณาและ “เหมาะกับกาลเทศะ” สามีก็คงจะยินดีฟังเธอ.—อ่านสุภาษิต 25:11

สิ่งเล็กๆน้อยๆอาจทำให้ชีวิตสมรสเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นได้อย่างมากมาย.

7 สามีคริสเตียนไม่เพียงแต่ฟังว่าภรรยาพูดอะไร แต่เขาควรพยายามบอกภรรยาด้วยว่าเขาเองรู้สึกอย่างไร. ผู้ปกครองคนหนึ่งที่แต่งงานมาแล้ว 27 ปีกล่าวว่า “ผมต้องพยายามอย่างมากเพื่อบอกให้ภรรยารู้ว่าผมรู้สึกอย่างไรจริงๆ.” พี่น้องชายอีกคนหนึ่งที่แต่งงานมาแล้ว 24 ปีกล่าวว่า “ตามปกติแล้ว ผมไม่ค่อยอยากพูดถึงปัญหาต่างๆ เพราะคิดว่าถ้าไม่พูด เดี๋ยวมันก็ผ่านไป. แต่ผมรู้แล้วว่าการแสดงความรู้สึกไม่ได้หมายความว่าผมเป็นคนอ่อนแอ. เมื่อผมพยายามบอกความรู้สึกของตัวเอง ผมอธิษฐานขอเพื่อจะรู้ว่าควรใช้คำพูดแบบไหนและควรพูดอย่างไร. จากนั้นผมก็รวบรวมความกล้าแล้วพูดออกมา.” เป็นเรื่องสำคัญด้วยที่คู่สมรสจะเลือกเวลาที่เหมาะสมเพื่อคุยกัน อาจเป็นตอนที่พวกเขาอยู่กันตามลำพังและพิจารณาพระคัมภีร์ประจำวันด้วยกันหรืออ่านคัมภีร์ไบเบิลด้วยกัน.

8. อะไรจะช่วยคู่สมรสให้อยากปรับปรุงการสื่อความของพวกเขา?

 8 จริงอยู่ อาจเป็นเรื่องยากที่คู่สมรสจะเปลี่ยนวิธีที่พวกเขาสื่อความกัน. ทั้งสามีและภรรยาต้องอธิษฐานขอพระวิญญาณของพระเจ้าและมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะปรับปรุงการสื่อความของพวกเขา. พวกเขาจะมีความปรารถนาอย่างนั้นถ้าพวกเขารักพระยะโฮวา ต้องการทำให้พระองค์พอพระทัย และมองการสมรสว่าเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์. ภรรยาคนหนึ่งซึ่งแต่งงานมา 26 ปีแล้วเขียนมาว่า “ดิฉันกับสามีถือว่าการมีทัศนะแบบเดียวกับพระยะโฮวาในเรื่องการสมรสเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เราจึงไม่คิดถึงเรื่องการแยกกันอยู่เลย. นี่ทำให้เราพยายามมากขึ้นเพื่อจะช่วยกันแก้ปัญหา.” คู่สมรสที่ภักดีต่อพระเจ้าเช่นนั้นจะทำให้พระองค์มีความยินดีและได้รับพระพรอย่างเหลือล้น.—เพลง. 127:1

รักกันมากขึ้น

9, 10. อะไรจะทำให้คู่สมรสรักกันมากขึ้นได้?

9 ความรักเป็นคุณลักษณะที่สำคัญที่สุดในชีวิตสมรส. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่าความรักเป็น “สิ่งที่ผูกพันผู้คนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์.” (โกโล. 3:14) ความรักแท้เติบโตขึ้นเมื่อคู่สมรสที่ภักดีใช้ชีวิตร่วมกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน. พวกเขากลายมาเป็นเพื่อนที่สนิทกันยิ่งขึ้นและชอบอยู่ด้วยกัน. พวกเขาไม่ได้ทำให้ชีวิตสมรสมั่นคงขึ้นด้วยการทำอะไรที่ใหญ่โตเพื่อคู่สมรสเหมือนที่เราเห็นในภาพยนตร์หรือในทีวี แต่ด้วยการทำสิ่งเล็กๆน้อยๆเพื่อกันและกัน. สิ่งเหล่านี้อาจได้แก่ การโอบกอด คำพูดที่กรุณา การกระทำที่แสดงการคำนึงถึงกัน รอยยิ้มที่อบอุ่น หรือคำถามที่จริงใจอย่างเช่น “วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” สิ่งเล็กๆน้อยๆ เหล่านี้อาจทำให้ชีวิตสมรสเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นได้อย่างมากมาย. สามีภรรยาคู่หนึ่งที่มีความสุขในชีวิตสมรสมา 19 ปีแล้วกล่าวว่าเขามักโทรศัพท์หรือส่งข้อความถึงกันระหว่างวัน “เพียงเพื่อจะทักทายถามไถ่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง.”

10 เมื่อสามีและภรรยารักกัน พวกเขาก็จะพยายามเรียนรู้จักกันต่อๆไป. (ฟิลิป. 2:4) ยิ่งพวกเขาเรียนรู้จักกันมากเท่าไร ความรักของพวกเขาก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าทั้งคู่มีข้อบกพร่อง. พวกเขาจะมีความสุขและชีวิตสมรสของพวกเขาก็จะมั่นคงยิ่งขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป. ดังนั้น ถ้าคุณแต่งงานแล้ว ขอให้ถามตัวเองว่า ‘ฉันรู้จักคู่ของฉันดีขนาดไหน? ฉันเข้าใจความรู้สึกและความคิดของเขาในเรื่องต่างๆไหม? ฉันคิดถึงคุณลักษณะที่ทำให้ฉันประทับใจและแต่งงานกับเขาบ่อยขนาดไหน?’

 นับถือกัน

11. ทำไมความนับถือกันเป็นสิ่งสำคัญมากในชีวิตสมรส? จงยกตัวอย่าง.

11 แม้แต่สามีภรรยาที่มีความสุขที่สุดก็ไม่ได้มีชีวิตสมรสที่สมบูรณ์แบบ และสามีภรรยาที่รักกันอาจไม่เห็นพ้องต้องกันเสมอไป. อับราฮามและซาราห์มีความเห็นขัดแย้งกันในบางครั้ง. (เย. 21:9-11) แต่ความเห็นที่แตกต่างกันไม่ได้ทำให้ทั้งสองแตกแยกกัน. ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น? ทั้งสองปฏิบัติต่อกันด้วยความนับถือและให้เกียรติกัน. ตัวอย่างเช่น อับราฮามพูดกับซาราห์ว่า “ขอ . . . ” (เย. 12:11, 13) ส่วนซาราห์ก็เชื่อฟังอับราฮามและมองว่าท่านเป็น “นาย.” (เย. 18:12) เมื่อคู่สมรสไม่นับถือกัน ก็มักจะเห็นได้จากวิธีที่พวกเขาพูดกันหรือจากน้ำเสียงที่ใช้. (สุภา. 12:18) ถ้าพวกเขาไม่นับถือกันและไม่จัดการแก้ไข ชีวิตสมรสก็อาจมุ่งไปสู่ความหายนะ.—อ่านยาโกโบ 3:7-10, 17, 18

12. ทำไมคนที่แต่งงานใหม่ควรพยายามเป็นพิเศษที่จะพูดอย่างแสดงความนับถือ?

12 คนที่เพิ่งแต่งงานควรพยายามเป็นพิเศษที่จะพูดกันอย่างกรุณาและแสดงความนับถือ. นี่จะทำให้เป็นเรื่องง่ายกว่ามากที่ทั้งสองจะสื่อความกันอย่างตรงไปตรงมา. สามีคนหนึ่งเล่าว่าในช่วงปีแรกๆที่เขาแต่งงาน เขากับภรรยาไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึก นิสัย และความต้องการของกันและกัน. บางครั้ง เรื่องนี้ทำให้ทั้งสองรู้สึกหงุดหงิด. แต่ทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีได้ด้วยการเป็นคนมีเหตุผลและมีอารมณ์ขัน. เขาบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญด้วยที่จะมีความถ่อมใจ ความอดทน และความไว้วางใจในพระยะโฮวา. นี่นับว่าเป็นคำแนะนำที่ดีสำหรับเราทุกคน!

แสดงความถ่อมใจอย่างแท้จริง

13. ทำไมความถ่อมใจจึงสำคัญมากเพื่อจะมีความสุขในชีวิตสมรส?

13 การสื่อความที่ดีในชีวิตสมรสเป็นเหมือนลำธารที่มีน้ำไหลเอื่อยๆผ่านสวน. การที่สามีและภรรยามี “ความถ่อมใจ” เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้น้ำในลำธารนั้นไหลต่อๆไป. (1 เป. 3:8) พี่น้องชายคนหนึ่งซึ่งแต่งงานมาแล้ว 11 ปีกล่าวว่าความถ่อมใจช่วยคู่สมรสให้แก้ปัญหาเพราะความถ่อมใจกระตุ้นให้ทั้งสองกล่าว “ขอโทษ.” ผู้ปกครองคนหนึ่งซึ่งมีชีวิตสมรสที่มีความสุขมาเป็นเวลา 20 ปีแล้วกล่าวว่า “บางครั้ง การพูดว่า ‘ผมขอโทษ’ สำคัญยิ่งกว่าการพูดว่า ‘ผมรักคุณ.’” เขาอธิบายว่าการ อธิษฐานช่วยเขากับภรรยาอย่างไรให้แสดงความถ่อมใจ โดยบอกว่า “เมื่อผมกับภรรยาเข้าเฝ้าพระยะโฮวาด้วยกัน เราถูกเตือนใจให้นึกถึงความไม่สมบูรณ์ของเราและพระกรุณาอันใหญ่หลวงของพระเจ้า.” นี่ช่วยให้ทั้งสองมองตัวเองและมองปัญหาอย่างถูกต้อง.

รักษาการสื่อความที่ดีกับคู่สมรสของคุณไว้เสมอ

14. ความหยิ่งอาจทำให้เกิดผลเสียหายต่อชีวิตสมรสอย่างไร?

14 ในทางตรงกันข้าม ความหยิ่งไม่ช่วยให้สามีภรรยาพยายามคืนดีกันเมื่อมีปัญหา. ความหยิ่งทำให้การสื่อความยุติลงเพราะทำให้ทั้งสองไม่ต้องการและไม่กล้าจะกล่าวขอโทษและขอให้อีกฝ่ายหนึ่งให้อภัย. แทนที่จะพูดขอโทษอย่างถ่อมใจ คนหยิ่งมักหาข้อแก้ตัว. แทนที่จะยอมรับข้ออ่อนแอของตัวเองอย่างกล้าหาญ เขามักโยนความผิดไปให้คนอื่น. เมื่อคนอื่นทำให้เขาเจ็บใจ แทนที่จะพยายามรักษาความสงบ เขาจะรู้สึกขุ่นเคืองและอาจตอบโต้ด้วยคำพูดที่รุนแรงหรือไม่ยอมพูดด้วยอย่างเย็นชา. (ผู้ป. 7:9) ดังนั้น ความหยิ่งอาจทำลายชีวิตสมรสได้. นับว่าดีที่จะจำไว้ว่า “พระเจ้าทรงต่อสู้คนเย่อหยิ่ง แต่พระองค์ทรงพระกรุณาคนถ่อมใจอย่างใหญ่หลวง.”—ยโก. 4:6

15. เอเฟโซส์ 4:26, 27 ช่วยคู่สมรสให้แก้ปัญหาที่มีต่อกันได้อย่างไร?

15 เมื่อสามีภรรยาขัดแย้งกัน ทั้งสองควรพยายามแก้ปัญหานั้นโดยเร็ว และไม่ปล่อยให้ความหยิ่งมาขัดขวาง. เปาโลบอกเพื่อนคริสเตียนว่า “อย่าโกรธจนถึงดวงอาทิตย์ตก ทั้งอย่าเปิดช่องให้พญามาร.” (เอเฟ. 4:26, 27) ถ้าคู่สมรสไม่สนใจทำตามคำแนะนำนี้ซึ่งอยู่ในพระคำของพระเจ้า พวกเขาอาจทุกข์ใจโดยไม่จำเป็น. พี่น้องหญิงคนหนึ่งบอกว่า “บางครั้ง ดิฉันกับสามีไม่ได้ทำตามคำแนะนำในเอเฟโซส์ 4:26, 27. ถ้าเป็นอย่างนี้เมื่อไหร่ ดิฉันก็จะนอนไม่หลับเลย!” คงจะดีกว่ามากถ้าพยายามแก้ปัญหาและคืนดีกันทันที! แน่นอน คู่สมรสอาจต้องให้เวลากันพอสมควรเพื่อให้อารมณ์เย็นลงก่อนจะพูดคุยกัน. เป็นเรื่องเหมาะสมด้วยที่จะอธิษฐานขอพระยะโฮวาให้ช่วยพวกเขามีความถ่อมใจ. นี่จะช่วยให้แต่ละคนไม่คิดถึงแต่ความรู้สึกของตนเอง แต่เน้นไปที่การแก้ปัญหา.—อ่านโกโลซาย 3:12, 13

16. ความถ่อมใจช่วยคู่สมรสให้เห็นคุณค่าคุณลักษณะที่ดีและความสามารถของกันและกันได้อย่างไร?

16 ความถ่อมใจช่วยคนที่สมรสแล้วให้เห็นคุณค่าคุณลักษณะที่ดีและความสามารถของคู่สมรส. ตัวอย่างเช่น ภรรยาอาจมีความสามารถบางอย่างเป็นพิเศษที่เธอจะใช้เพื่อประโยชน์ของครอบครัวได้. ถ้าสามีเป็นคนถ่อมใจเขาจะไม่รู้สึกว่าเขาดีกว่าภรรยาในทุกเรื่อง แต่จะสนับสนุนเธอให้ใช้ความสามารถของเธอต่อๆไป. โดยทำอย่างนั้น เขาแสดงให้เห็นว่าเขารักและเห็นคุณค่าเธอ. (สุภา. 31:10, 28; เอเฟ. 5:28, 29) ขณะเดียวกัน ภรรยาที่ถ่อมใจจะไม่โอ้อวดความสามารถของตนหรือดูถูกสามี. เนื่องจากทั้งสองเป็น “เนื้อหนังเดียวกัน” การแสดงความหยิ่งย่อมทำให้ทั้งคู่เจ็บปวดใจ.—มัด. 19:4, 5

17. อะไรจะช่วยคู่สมรสให้มีความสุขและทำให้พระเจ้าได้รับคำสรรเสริญ?

17 แน่นอน คุณอยากให้ชีวิตสมรสของคุณเหมือนกับชีวิตคู่ของอับราฮามกับซาราห์หรือยิศฮาคกับริบะคาห์. คุณอยากให้ชีวิตสมรสของคุณยั่งยืน มีความสุข และทำให้พระยะโฮวาได้รับคำสรรเสริญ. ดังนั้น ขอให้มองชีวิตสมรสแบบเดียวกับที่พระเจ้าทรงมอง. แสวงหาความเข้าใจและสติปัญญาในพระคำของพระองค์. จงเห็นคุณค่าคุณลักษณะที่ดีของคู่สมรสเพื่อความรักที่คุณมีต่อกันจะเพิ่มพูนขึ้น. (ไพเราะ. 8:6, ล.ม.) ขอให้พยายามจริงๆที่จะแสดงความถ่อมใจ. จงปฏิบัติต่อคู่สมรสด้วยความนับถือ. ถ้าคุณทำอย่างนี้แล้ว ชีวิตสมรสของคุณก็จะทำให้คุณทั้งสองและพระบิดาผู้อยู่ในสวรรค์ยินดี. (สุภา. 27:11) พี่น้องชายคนหนึ่งซึ่งแต่งงานมาแล้ว 27 ปีกล่าวว่า “ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าชีวิตผมจะเป็นยังไงถ้าไม่มีภรรยาอยู่ด้วย. แต่ละวันที่ผ่านไป ชีวิตคู่ของเรามั่นคงขึ้นเรื่อยๆ. ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะเรารักพระยะโฮวาและพูดคุยกันอยู่เสมอ.” ชีวิตสมรสของคุณจะมั่นคงเช่นนี้ได้เหมือนกัน!