ข้ามไปยังเนื้อหา

ข้ามไปยังสารบัญ

สิ่งทรงสร้างบอกว่ามีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่

สิ่งทรงสร้างบอกว่ามีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่

“พระยะโฮวา พระเจ้าของพวกข้าพเจ้า พระองค์ทรงคู่ควรจะได้รับเกียรติยศ . . . เพราะพระองค์ทรงสร้างทุกสิ่ง.”—วิ. 4:11

1. เราต้องทำอะไรเพื่อความเชื่อของเราจะมั่นคงอยู่เสมอ?

หลายคนบอกว่าพวกเขาเชื่อเฉพาะสิ่งที่เห็นได้เท่านั้น. แต่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ไม่มีคนใดเคยเห็นพระเจ้าเลย.” (โย. 1:18) เนื่องจากเราไม่สามารถเห็นพระเจ้าได้ เราจะช่วยคนที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าให้มีความเชื่อในพระองค์ได้อย่างไร? อะไรจะทำให้ความเชื่อของเราในพระยะโฮวา “พระเจ้าผู้ไม่ประจักษ์แก่ตา” มั่นคงอยู่เสมอ? (โกโล. 1:15) ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่ามีคำสอนอะไรบ้างที่บดบังความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า. หลังจากนั้น เราต้องเรียนรู้ที่จะใช้คัมภีร์ไบเบิลอย่างชำนาญเพื่อพิสูจน์ว่าคำสอนเหล่านั้น “ขัดกับความรู้ของพระเจ้า.”—2 โค. 10:4, 5

2, 3. คำสอนสองอย่างอะไรที่ปิดหูปิดตาผู้คนไม่ให้รู้ความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า?

2 คำสอนเท็จอย่างหนึ่งที่ปิดหูปิดตาผู้คนทำให้พวกเขาไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับพระเจ้าคือคำสอนเรื่องวิวัฒนาการ. คำสอนนี้ขัดกับสิ่งที่บอกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลและทำให้ผู้คนไม่มีความหวัง. คำสอนเรื่องวิวัฒนาการบอกว่าชีวิตเกิดขึ้นเอง. ถ้าคำสอนนี้เป็นความจริง นั่นย่อมหมายความว่าเราไม่อาจอธิบายได้เลยว่าทำไมเราจึงมีชีวิตอยู่ในโลกนี้.

3 ในอีกด้านหนึ่ง บางคนในคริสต์ศาสนจักรซึ่งตีความคัมภีร์ไบเบิลตามตัวอักษรสอนว่าทุกสิ่งในเอกภพ รวมทั้งแผ่นดินโลกและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลก มีอายุประมาณหนึ่งหมื่นปีเท่านั้น. พวกเขาสอนว่าพระเจ้าสร้างทุกสิ่งในเวลาเพียงแค่หกวันที่แต่ละวันมี 24 ชั่วโมง. มีการเรียกคำสอนนี้ว่าคตินิยมการทรงสร้าง. คนที่เชื่อคตินิยมการทรงสร้างปฏิเสธหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ทุกอย่างที่ขัดกับความเชื่อของพวกเขา. แม้ว่าพวกเขานับถือคัมภีร์ไบเบิล แต่คำสอนนี้ทำให้เป็นเรื่องยากที่คนอื่นจะเชื่อพระคำของพระเจ้า. ทำไม? เพราะคตินิยมการทรงสร้างทำให้ดูเหมือนว่าข้อมูลที่อยู่ใน คัมภีร์ไบเบิลไม่สมเหตุผลและไม่ถูกต้อง. คนที่ส่งเสริมแนวคิดเช่นนี้เป็นเหมือนกับบางคนในศตวรรษแรกที่เปาโลกล่าวถึงว่ามีใจแรงกล้าในการนมัสการพระเจ้า แต่ไม่ได้นมัสการพระองค์ “ตามความรู้ถ่องแท้.” (โรม 10:2) เราจะใช้พระคำของพระเจ้าเพื่อพิสูจน์ว่าคำสอนเรื่องวิวัฒนาการและคตินิยมการทรงสร้างซึ่งเป็น “สิ่งที่ฝังรากลึก” ไม่เป็นความจริงได้อย่างไร? * เพื่อเราจะช่วยพวกเขาได้ เราเองต้องรับความรู้ถ่องแท้เกี่ยวกับสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลสอน.

ความเชื่ออาศัยหลักฐานและเหตุผล

4. ความเชื่อของเราควรอาศัยอะไรเป็นหลัก?

4 คัมภีร์ไบเบิลสอนเราว่าเราควรสะสมความรู้เหมือนเป็นทรัพย์ที่มีค่า. (สุภา. 10:14) พระยะโฮวาประสงค์ให้เรามีความเชื่อในพระองค์โดยอาศัยหลักฐานและเหตุผล ไม่ใช่อาศัยปรัชญาของมนุษย์หรือจารีตประเพณีทางศาสนา. (อ่านฮีบรู 11:1 ) เพื่อจะมีความเชื่อมั่นคงในพระเจ้า เราต้องเชื่อมั่น ว่าพระยะโฮวามีอยู่จริง. (อ่านฮีบรู 11:6 ) เราเชื่อว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ ไม่ใช่เพราะเราอยากจะเชื่อ แต่เพราะเราตรวจสอบข้อเท็จจริงและใช้ “ความสามารถในการใช้เหตุผล” ของเรา.—โรม 12:1

5. เหตุผลอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเชื่อมั่นว่ามีพระเจ้าคืออะไร?

5 อัครสาวกเปาโลอธิบายว่าทำไมเราเชื่อมั่นได้ว่ามีพระเจ้าแม้ว่าเรามองไม่เห็นพระองค์. ท่านเขียนว่า “คุณลักษณะของพระองค์อันไม่ประจักษ์แก่ตา คือฤทธิ์อันถาวรและความเป็นพระเจ้าของพระองค์ ก็เห็นได้ชัดตั้งแต่การสร้างโลกเป็นต้นมา เพราะคุณลักษณะเหล่านั้นเป็นที่เข้าใจได้โดยดูจากสิ่งที่ถูกสร้าง.” (โรม 1:20) คุณจะช่วยคนที่ไม่มั่นใจว่ามีพระเจ้าให้เชื่อคำพูดดังกล่าวของเปาโลได้อย่างไร? คุณอาจใช้ตัวอย่างต่อไปนี้จากสิ่งทรงสร้างที่ให้หลักฐานเกี่ยวกับฤทธิ์อำนาจและสติปัญญาของพระเจ้า.

ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเห็นได้จากสิ่งทรงสร้าง

6, 7. เรารู้ว่าพระยะโฮวามีฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่ได้จากสองสิ่งอะไร?

6 เราเห็นหลักฐานที่แสดงว่าพระยะโฮวามีฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่เมื่อพิจารณาสองสิ่งที่ปกป้องเรา. สองสิ่งนี้คือชั้นบรรยากาศของโลกและสนามแม่เหล็กโลก. ชั้นบรรยากาศไม่เพียงแต่ทำให้เรามีอากาศหายใจ แต่ยังปกป้องเราด้วย. โดยวิธีใด? หินขนาดใหญ่ทั้งหลายที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วผ่านอวกาศอาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงถ้าชนโลก. แต่ตามปกติจะไม่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้เพราะหินเหล่านั้นจะลุกไหม้ไปหมดเมื่อเข้ามาในชั้นบรรยากาศของโลก. และขณะที่มันลุกไหม้และพุ่งผ่านท้องฟ้ายามราตรีด้วยความเร็วสูง เราก็จะเห็นเป็นดาวตกที่สวยงาม.

7 สนามแม่เหล็กโลกช่วยปกป้องเราไว้ไม่ให้ได้รับอันตรายด้วย. แกนชั้นนอกของโลกซึ่งอยู่ลึกลงไปในใจกลางของลูกโลกส่วนใหญ่เป็นเหล็กหลอมเหลว. แกนนี้ที่หมุนรอบตัวทำให้เกิดสนามแม่เหล็กที่อยู่รอบตัวเราและแผ่ออกไปไกลจนถึงอวกาศ. สนามแม่เหล็กนี้ป้องกันเราไว้จากรังสีที่ถูกปล่อยออกมาเมื่อเกิดการลุกจ้าของดวงอาทิตย์และการระเบิดในบริเวณผิวชั้นนอกสุดของดวงอาทิตย์. เนื่องจากโลกได้รับการปกป้องไว้ รังสีของดวงอาทิตย์จึงไม่เผาผลาญชีวิตที่อยู่บนแผ่นดินโลก. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น รังสีที่เป็นอันตรายถูกสนามแม่เหล็กดูดซับไว้หรือสะท้อนกลับไปในอวกาศ. แม้ว่าเรามองไม่เห็นสนามแม่เหล็กนี้ แต่เรารู้ว่ามันมีอยู่จริงเพราะมันทำให้เกิดแสงอันสวยงามในท้องฟ้าใกล้ขั้วโลกเหนือและใต้. พระยะโฮวามี “ฤทธิ์เดชอันแรงกล้า” จริงๆ.—อ่านยะซายา 40:26

 สติปัญญาของพระเจ้าเห็นได้จากสิ่งทรงสร้าง

8, 9. ชีวิตบนแผ่นดินโลกดำเนินต่อไปได้โดยวิธีใด และนั่นบอกอะไรเกี่ยวกับสติปัญญาของพระยะโฮวา?

8 เราเรียนรู้เกี่ยวกับสติปัญญาของพระยะโฮวาได้จากวิธีที่พระองค์ทำให้ชีวิตบนแผ่นดินโลกดำเนินต่อไปได้. ขอให้นึกถึงเมืองที่มีคนอยู่หลายล้านคนและมีกำแพงเมืองล้อมรอบ แต่ไม่มีทางที่จะนำเอาน้ำจืดเข้ามาหรือไม่มีทางที่จะกำจัดของเสียออกไป. ไม่นาน เมืองที่เป็นอย่างนี้ก็จะสกปรกมากจนอยู่ไม่ได้. ในบางแง่ โลกของเราก็เหมือนกับเมืองนี้. โลกมีน้ำในปริมาณจำกัด และเราไม่สามารถกำจัดของเสียทั้งหมดได้ง่ายๆ. แต่โลกก็ยังเป็นที่อยู่ที่เหมาะสมสำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งหมด. ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นได้? เพราะโลกมีวิธีอันน่าทึ่งในการนำทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตกลับมาใช้ใหม่.

9 ขอให้คิดถึงวิธีที่โลกให้ออกซิเจนแก่สิ่งมีชีวิต. สิ่งมีชีวิตหลายพันล้านหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปแล้วปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา. แม้ว่าเป็นอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา แต่ออกซิเจนก็ไม่เคยหมดไป. เป็นไปได้อย่างไร? พืชรับเอาคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำ แสงอาทิตย์ และสารอาหารต่างเข้าไป แล้วก็ผลิตเป็นคาร์โบไฮเดรตและออกซิเจน. เมื่อเราหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปแล้วปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา วัฏจักรนี้ก็ครบวงจร. วัฏจักรนี้เรียกว่าการสังเคราะห์แสง. พระยะโฮวาใช้พืชพรรณทั้งหลายที่พระองค์สร้างเพื่อประทาน “ชีวิต ลมหายใจ . . . แก่คนทั้งปวง.” (กิจ. 17:25) ช่างเป็นสติปัญญาที่น่าทึ่งจริงๆ!

10, 11. เมื่อพิจารณาผีเสื้อดอกรักและแมลงปอ เราเห็นอะไรเกี่ยวกับสติปัญญาของพระยะโฮวา?

10 เราเห็นสติปัญญาของพระยะโฮวาได้ด้วยจากวิธีที่พระองค์ออกแบบสิ่งมีชีวิตมากมายในโลก. นักวิจัยประมาณกันว่ามีชีวิตชนิดต่างในโลกประมาณ 2 ล้านถึง 100 ล้านชนิด. (อ่านบทเพลงสรรเสริญ 104:24 ) เราเห็นสติปัญญาของพระเจ้าได้ในการออกแบบสิ่งมีชีวิตเหล่านี้.

11 ตัวอย่างเช่น ผีเสื้อดอกรักมีสมองเล็กมาก ขนาดพอกับปลายปากกาลูกลื่น. แม้ว่าสมองของมันเล็กมาก แต่ผีเสื้อชนิดนี้สามารถบินได้ไกลเกือบ 3,000 กิโลเมตร จากแคนาดาถึงเม็กซิโก. มันทำอย่างนี้ได้โดยอาศัยดวงอาทิตย์ช่วยนำทาง. แต่มันทำอย่างนั้นได้อย่างไรทั้งที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนข้ามฟากฟ้า? พระยะโฮวาสร้างสมองขนาดจิ๋วของผีเสื้อให้สามารถปรับทิศทางของมันตามการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์จนไปถึงจุดหมายปลายทางได้. ขอให้พิจารณาแมลงปอด้วย. ตาแต่ละข้างของมันประกอบด้วยเลนส์ 30,000 เลนส์. สมองขนาดจิ๋วของแมลงปอสามารถแปลความหมายสัญญาณที่ผ่านเข้ามาทางเลนส์เหล่านั้นทั้งหมดและตรวจจับการเคลื่อนไหวที่อยู่รอบตัวมันได้อย่างดีเยี่ยม.

12, 13. มีอะไรที่น่าประทับใจเกี่ยวกับวิธีที่พระยะโฮวาสร้างเซลล์ของเรา?

12 วิธีที่พระยะโฮวาออกแบบเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเป็นเรื่องที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง. ตัวอย่าง เช่น ร่างกายของคุณประกอบด้วยเซลล์ประมาณ 100 ล้านล้านเซลล์. ภายในแต่ละเซลล์ขนาดเล็กจิ๋วนี้มีกรดอย่างหนึ่งที่เรียกว่าดีเอ็นเอ. ดีเอ็นเอบรรจุข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการสร้างร่างกายคุณทั้งหมด.

13 มีข้อมูลบรรจุอยู่ในดีเอ็นเอมากขนาดไหน? ขอให้เทียบความสามารถในการบรรจุข้อมูลของดีเอ็นเอกับแผ่นซีดี. แผ่นซีดีหนึ่งแผ่นสามารถบรรจุข้อมูลทั้งหมดของพจนานุกรมหนึ่งเล่ม. เป็นเรื่องน่าทึ่งที่แผ่นพลาสติกเล็กสามารถบรรจุข้อมูลได้มากขนาดนั้น. แต่ดีเอ็นเอเพียงหนึ่งกรัมสามารถบรรจุข้อมูลได้เท่ากับแผ่นซีดีหนึ่งล้านล้านแผ่น! หรือถ้าจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ดีเอ็นเอหนึ่งช้อนชาเมื่อทำให้แห้งแล้วสามารถจุข้อมูลที่ใช้ในการสร้างมนุษย์ทุกคนที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันได้ถึง 350 ครั้ง!

14. การค้นพบต่างของนักวิทยาศาสตร์ทำให้คุณรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับพระยะโฮวา?

14 กษัตริย์ดาวิดพรรณนาว่าพระยะโฮวาบันทึกข้อมูลที่ใช้ในการสร้างร่างกายมนุษย์ราวกับเขียนไว้ในหนังสือเล่มหนึ่ง. ท่านบอกว่า “พระเนตรของพระองค์ได้ทรงเห็นสภาพของข้าพเจ้าเมื่อยังไม่ประกอบกันขึ้นเป็นตัวตน; พระองค์ได้ทรงจดไว้ในบัญชีของพระองค์ทั้งสิ้น, และได้ทรงกะการสำหรับวันเดือนปีทั้งหลายของข้าพเจ้าไว้ก่อนหน้า, ที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ.” (เพลง. 139:16) เราเข้าใจได้ว่าทำไมดาวิดจึงต้องการสรรเสริญพระยะโฮวาเมื่อท่านคิดถึงวิธีที่ร่างกายท่านถูกสร้างขึ้นมา. นักวิทยาศาสตร์ค้นพบหลายสิ่งเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์ที่ทำให้เราทึ่ง. การค้นพบเหล่านั้นทำให้เราเห็นด้วยกับสิ่งที่ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญเขียนเกี่ยวกับพระยะโฮวา ที่ว่า “ข้าพเจ้าจะขอบพระเดชพระคุณพระองค์เพราะข้าพเจ้าถูกสร้างให้เกิดมาอย่างน่าพึงกลัวและน่าประหลาด: พระราชกิจของพระองค์เป็นที่น่าอัศจรรย์; และจิตต์ใจของข้าพเจ้าทราบความข้อนั้นเป็นอย่างดี.” (เพลง. 139:14) สิ่งทรงสร้างที่อยู่รอบตัวเราเป็นหลักฐานอย่างชัดเจนที่แสดงว่ามีพระเจ้าจริงๆ!

ช่วยคนอื่นให้สรรเสริญพระผู้สร้างผู้ทรงพระชนม์อยู่

15, 16. (ก) หนังสือของเราได้ช่วยผู้คนให้เรียนรู้เกี่ยวกับการทรงสร้างของพระยะโฮวาอย่างไร? (ข) คุณชอบเรื่องไหนในบทความ “มีผู้ออกแบบไหม?”?

15 เป็นเวลาหลายสิบปีที่วารสารตื่นเถิด! ช่วยหลายล้านคนให้เรียนรู้เกี่ยวกับพระเจ้าจากสิ่งต่างที่พระองค์สร้าง. ตัวอย่างเช่น ฉบับเดือนกันยายน 2006 มีบทความเรื่อง “พระผู้สร้างมีอยู่จริงไหม?” จุดประสงค์ของตื่นเถิด! ฉบับพิเศษนี้ก็เพื่อช่วยคนที่เชื่อเรื่องวิวัฒนาการหรือคตินิยมการทรงสร้าง. พี่น้องหญิงคนหนึ่งเขียนถึงสำนักงานสาขาประเทศสหรัฐเกี่ยวกับวารสารฉบับนี้ว่า “การรณรงค์เพื่อเสนอวารสารฉบับพิเศษนี้ได้รับการตอบรับดีมาก. ผู้หญิงคนหนึ่งขอรับ 20 ฉบับ. เธอเป็นครูสอนวิชาชีววิทยาและอยากให้วารสารนี้แก่นักเรียนคนละฉบับ.” พี่น้องชายคนหนึ่งเขียนมาว่า “ผมทำงานในเขตประกาศมาตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1940 และตอนนี้อายุผมเกือบจะ 75 ปีแล้ว แต่ผมไม่เคยยินดีในงานรับใช้มากเท่ากับเดือนนี้ที่มีการเสนอวารสารตื่นเถิด! ฉบับพิเศษนี้.”

16 นับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา วารสารตื่นเถิด! หลายฉบับมีบทความชื่อ “มีผู้ออกแบบไหม?” บทความสั้นเหล่านี้เน้นให้เห็นว่าสิ่งทรงสร้างน่าทึ่งขนาดไหนและมนุษย์เราพยายามเลียนแบบสิ่งต่างที่พระผู้สร้างของเราได้ออกแบบไว้อย่างไร. นอกจากนั้น เรายังได้รับจุลสารชื่อ มีใครสร้างสิ่งมีชีวิตไหม? ในปี 2010. รูปและแผนภาพที่สวยงามในจุลสารนี้ช่วยเราให้ขอบคุณพระยะโฮวามากขึ้นสำหรับสิ่งต่างที่พระองค์สร้าง. คำถามต่างที่อยู่ตอนท้ายของแต่ละตอนช่วยผู้อ่านให้คิดถึงข้อมูลที่เพิ่งอ่านไป. จุลสารนี้ใช้ในงานประกาศได้อย่างดีเยี่ยม.

17, 18. (ก) พ่อแม่มีหน้าที่รับผิดชอบอะไร? (ข) คุณใช้จุลสารเกี่ยวกับการทรงสร้างในการนมัสการประจำครอบครัวของคุณอย่างไร?

17 พ่อแม่ทั้งหลาย คุณอ่านจุลสารนี้กับลูกของคุณในการนมัสการประจำครอบครัวไหม? ถ้าคุณทำอย่างนี้ คุณก็จะช่วยลูกให้มีความเชื่อในพระยะโฮวา มากขึ้น. คุณอาจมีลูกวัยรุ่นที่กำลังเรียนชั้นมัธยม. ครูที่สอนเรื่องวิวัฒนาการพยายามเป็นพิเศษที่จะทำให้เด็กเชื่อว่าไม่มีพระผู้สร้าง. นักวิทยาศาสตร์ ครูที่โรงเรียน สารคดีเกี่ยวกับธรรมชาติที่ออกอากาศทางโทรทัศน์ และภาพยนตร์ต่างล้วนแต่ส่งเสริมความคิดที่ว่าวิวัฒนาการเป็นข้อเท็จจริง. คุณสามารถช่วยลูกวัยรุ่นให้ปกป้องความจริงได้โดยใช้จุลสารต้นกำเนิดชีวิต—ห้าคำถามที่น่าคิด ซึ่งออกในปี 2010. จุลสารนี้และจุลสารมีใครสร้างชีวิตไหม? จะช่วยเยาวชนให้พัฒนา “ความสามารถในการคิด.” (สุภา. 2:10, 11, ล.ม.) จุลสารต้นกำเนิดชีวิต สอนพวกเขาให้รู้วิธีที่จะบอกได้ว่าเรื่องที่สอนกันในโรงเรียนมีเหตุผลหรือไม่.

18 บางครั้งมีรายงานข่าวที่อ้างว่านักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบซากฟอสซิลที่เป็นข้อพิสูจน์ว่าวิวัฒนาการเป็นความจริง. หรืออาจมีรายงานว่านักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างชีวิตขึ้นมาได้ในห้องทดลอง. จุลสารต้นกำเนิดชีวิต เขียนในแบบที่จะช่วยให้นักเรียนทั้งหลายตัดสินใจได้ด้วยตัวเองว่ารายงานข่าวเหล่านั้นเป็นความจริงหรือไม่. พ่อแม่ทั้งหลาย จงใช้จุลสารนี้ช่วยลูกของคุณให้มั่นใจมากขึ้นเมื่ออธิบายเหตุผลที่พวกเขาเชื่อว่ามีพระผู้สร้าง.—อ่าน 1 เปโตร 3:15

19. เราทุกคนมีสิทธิพิเศษอะไร?

19 เราสามารถเรียนรู้ได้มากมายเกี่ยวกับคุณลักษณะต่างอันยอดเยี่ยมของพระยะโฮวาเมื่อเราอ่านเกี่ยวกับสิ่งทรงสร้างในหนังสือที่เราได้รับจากองค์การ. หลักฐานทั้งหมดนี้ทำให้เราอยากสรรเสริญพระยะโฮวาจากหัวใจ. (เพลง. 19:1, 2) นับว่าเป็นสิทธิพิเศษจริงที่เราจะยกย่องสรรเสริญพระยะโฮวา พระผู้สร้างสรรพสิ่ง เพราะพระองค์คู่ควรอย่างยิ่งที่จะได้รับ!—1 ติโม. 1:17

^ วรรค 3 สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับวิธีช่วยคนที่เชื่อคตินิยมการทรงสร้าง โปรดดูจุลสารมีใครสร้างสิ่งมีชีวิตไหม? หน้า 24 ถึง 28.