“คุณรักผมมากกว่าของพวกนี้ไหม?”
“ซีโมนลูกยอห์น คุณรักผมมากกว่าปลาพวกนี้ [“ของพวกนี้,” เชิงอรรถ] ไหม?”—ยน. 21:15
1, 2. หลังจากจับปลามาทั้งคืนเปโตรได้เรียนรู้เรื่องอะไร?
เมื่อคืนสาวก 7 คนของพระเยซูจับปลาในทะเลสาบกาลิลีทั้งคืน แต่พวกเขาจับปลาไม่ได้สักตัว ตอนนี้เป็นเวลาเช้า พระเยซูที่ฟื้นขึ้นจากตายแล้วยืนอยู่บนฝั่งและมองดูพวกเขา จากนั้น พระเยซูพูดว่า “‘หย่อนอวนลงทางขวาของเรือสิ แล้วจะได้ปลา’ พวกเขาก็หย่อนอวนลง แล้วได้ปลามากมายจนดึงขึ้นมาบนเรือไม่ไหว”—ยน. 21:1-6
2 พระเยซูเอาขนมปังกับปลาให้พวกสาวกกินเป็นอาหารเช้า แล้วพระเยซูหันไปหาซีโมนเปโตรและถามว่า “ซีโมนลูกยอห์น คุณรักผมมากกว่าปลาพวกนี้ไหม?” พระเยซูรู้ดีว่าเปโตรชอบจับปลา ที่พระเยซูถามแบบนี้อาจเป็นเพราะท่านอยากรู้ว่าเปโตรรักท่านและสิ่งที่ท่านสอนมากกว่าการทำประมงไหม เปโตรตอบพระเยซูว่า “ครับนาย ท่านก็รู้ว่าผมรักท่าน” (ยน. 21:15) เปโตรได้เรียนเรื่องสำคัญเรื่อง หนึ่งคือ เขาควรรักพระเยซูมากกว่ารักอย่างอื่นทั้งหมด หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เปโตรได้พิสูจน์ว่าเขาได้ทำอย่างนั้นจริง ๆ เขาแสดงให้เห็นว่าเขารักพระเยซูคริสต์โดยขยันประกาศและได้กลายมาเป็นเสาหลักของประชาคมคริสเตียน
3. คริสเตียนต้องระวังเรื่องอะไร?
3 เราเรียนอะไรได้จากสิ่งที่พระเยซูพูดกับเปโตร? เราต้องระวังไม่ให้ความรักที่เรามีต่อพระเยซูลดน้อยลง พระเยซูรู้ว่าชีวิตทุกวันนี้มีแต่ความเครียด เราต้องเจอกับปัญหาและเรื่องที่ทำให้วิตกกังวลมากมาย ในตัวอย่างเรื่องคนที่หว่านเมล็ดพืช พระเยซูบอกว่าจะมีบางคนที่ตอบรับ “ข่าวสารเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า” และกระตือรือร้นในตอนแรก แต่หลังจากนั้น พวกเขา “ปล่อยให้ความกังวลกับชีวิตในโลกนี้และความหลงใหลในทรัพย์สมบัติมาบดบังสิ่งที่พวกเขาได้ยิน” (มธ. 13:19-22; มก. 4:19) ถ้าเราไม่ระวัง ความกังวลในชีวิตแต่ละวันอาจทำให้เราไขว้เขวและไม่ได้รับใช้พระยะโฮวาเต็มที่ ดังนั้น พระเยซูเตือนสาวกของท่านว่า “ระวังตัวให้ดี อย่าหมกมุ่นกับการกิน การดื่มจัด หรือมัวแต่กังวลกับชีวิต”—ลก. 21:34
4. อะไรจะช่วยเราให้รู้ว่าความรักที่เรามีต่อพระเยซูยังมั่นคงอยู่? (ดูภาพแรก)
4 เราเองก็เป็นเหมือนเปโตรได้ เราแสดงให้เห็นว่าเรารักพระเยซูโดยให้งานประกาศเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต และเพื่อจะทำอย่างนั้นต่อ ๆ ไปเราต้องถามตัวเองว่า ‘ฉันรักอะไรมากที่สุดในชีวิต? ส่วนใหญ่แล้วฉันรู้สึกมีความสุขเพราะได้รับใช้พระยะโฮวาหรือได้ทำกิจกรรมอื่น ๆ?’ เพื่อช่วยเราให้ตอบคำถามนี้ได้ ให้เรามาดู 3 แง่มุมในชีวิตที่อาจทำให้ความรักที่เรามีต่อพระเยซูลดน้อยลงได้ แง่มุมเหล่านี้คือ งานอาชีพ การพักผ่อนหย่อนใจกับความบันเทิง และทรัพย์สินเงินทอง
มีความสมดุลในการทำงานอาชีพ
5. หัวหน้าครอบครัวมีหน้าที่รับผิดชอบอะไร?
5 สำหรับเปโตร การจับปลาไม่ใช่แค่สิ่งที่เขาชอบแต่เป็นงานที่เขาทำเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ในทุกวันนี้ก็เหมือนกัน พระยะโฮวาให้หัวหน้าครอบครัวทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบในการหาเลี้ยงครอบครัว พวกเขาต้องพยายามทำตามหน้าที่รับผิดชอบนี้ (1 ทธ. 5:8) แต่การทำงานอาชีพในสมัยสุดท้ายนี้ไม่ง่ายเลย มันทำให้เกิดความวิตกกังวลมากมาย
6. การทำงานอาชีพอาจทำให้เกิดความเครียดอย่างไร?
6 จำนวนคนที่หางานทำมักมีมากกว่าตำแหน่งงานที่ว่างอยู่ ผู้คนต้องแข่งขันกันเพื่อจะได้งาน หลายคนถึงกับต้องยอมทำงานมากขึ้นทั้ง ๆ ที่ได้ค่าแรงน้อยกว่างานเดิม โลกธุรกิจพยายามผลิตสินค้ามากขึ้นแต่กลับใช้พนักงานน้อยลงกว่าเมื่อก่อน ดังนั้น คนงานหลายคนจึงเกิดความเครียด เหน็ดเหนื่อย และถึงขั้นป่วย หลายคนกลัวว่าถ้าไม่ทำทุกอย่างตามที่เจ้านายเรียกร้องก็จะต้องตกงาน
7, 8. (ก) เราต้องภักดีกับใครมากที่สุด? (ข) พี่น้องชายคนหนึ่งในประเทศไทยได้บทเรียนที่มีค่าอะไรเกี่ยวกับการทำงานของเขา?
7 พวกเราที่เป็นคริสเตียน เราภักดีต่อพระยะโฮวามากที่สุดและมากกว่านายจ้างของเราด้วย (ลก. 10:27) เราทำงานอาชีพเพื่อจะมีสิ่งจำเป็นต่าง ๆ ในชีวิตและรับใช้พระยะโฮวาได้ แต่ถ้าเราไม่ระวัง หน้าที่รับผิดชอบในการทำงานอาจมีผลกระทบกับการนมัสการของเรา เราน่าจะเรียนจากประสบการณ์ของพี่น้องชายคนหนึ่งในประเทศไทย เขาเล่าว่า “ผมชอบงานซ่อมคอมพิวเตอร์ที่ผมทำมาก แต่งานนี้เรียกร้องเวลาจากผมซึ่งทำให้ผมแทบไม่มีเวลาทำกิจกรรมต่าง ๆ ของคริสเตียนเลย ในที่สุด ผมก็ได้มารู้ว่าเพื่อจะให้รัฐบาลของพระเจ้ามาเป็นอันดับแรก ในชีวิต ผมจำเป็นต้องเปลี่ยนงาน” พี่น้องชายคนนี้ทำอะไร?
8 เขาเล่าต่อไปว่า “หลังจากวางแผนเรื่องนี้เกือบปี ผมก็ตัดสินใจเลี้ยงตัวเองโดยการเร่ขายไอศกรีม ในช่วงแรก ผมขายไม่ค่อยดีและไม่ค่อยมีเงิน ผมรู้สึกท้อ ยิ่งตอนที่ผมเจอกับเพื่อนที่เคยทำงานด้วยกัน พวกเขาหัวเราะเยาะผมและถามว่าทำไมผมถึงคิดว่าขายไอศกรีมมันดีกว่าซ่อมคอมพิวเตอร์ในห้องแอร์เย็น ๆ ผมจึงอธิษฐานบอกเรื่องนี้กับพระยะโฮวาและขอพระองค์ช่วยให้ผมทำตามเป้าหมายเพื่อจะมีเวลามากขึ้นในงานรับใช้ ไม่นาน อะไร ๆ ก็เริ่มดีขึ้น ผมเริ่มรู้ว่าลูกค้าชอบไอศกรีมรสชาติแบบไหนและเริ่มทำไอศกรีมเก่งขึ้น ผมขายไอศกรีมหมดทุกวัน จริง ๆ แล้วผมมีรายได้มากกว่าตอนที่ทำงานคอมพิวเตอร์ด้วยซ้ำ แถมยังมีความสุขมากขึ้นเพราะไม่ต้องมีเรื่องเครียด ๆ และกังวลเหมือนที่เคยเจอสมัยที่ทำงานซ่อมคอมพิวเตอร์ และที่สำคัญที่สุด ผมรู้สึกใกล้ชิดกับพระยะโฮวามากขึ้นด้วย”—อ่านมัทธิว 5:3, 6
9. เราจะมีความสมดุลในเรื่องงานอาชีพอยู่เสมอได้อย่างไร?
9 พระยะโฮวาเห็นค่าที่เราทำงานหนัก และถ้าเราทำงานหนัก เราก็จะได้ผลดีจากงานที่เราทำ (สภษ. 12:14) แต่เราต้องพยายามไม่ให้งานอาชีพสำคัญกว่างานรับใช้พระยะโฮวา เมื่อพูดถึงสิ่งจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต พระเยซูบอกว่า “คุณต้องทำให้การปกครองของพระเจ้าและความถูกต้องชอบธรรมของพระองค์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต แล้วพระองค์จะให้คุณมีสิ่งจำเป็นทั้งหมดนี้” (มธ. 6:33) แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีความสมดุลในเรื่องงานอาชีพหรือเปล่า? เราน่าจะถามตัวเองว่า ‘ฉันคิดว่างานอาชีพที่ฉันทำน่าสนใจและน่าตื่นเต้น แต่กลับรู้สึกเฉย ๆ กับงานรับใช้พระเจ้าแถมยังรู้สึกเบื่อด้วยไหม?’ คำถามนี้จะช่วยเราให้เห็นชัดเจนว่าเรารักอะไรจริง ๆ
10. พระเยซูสอนบทเรียนสำคัญอะไร?
10 พระเยซูสอนว่าอะไรควรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตเรา ครั้งหนึ่งพระเยซูไปที่บ้านมารีย์กับมาร์ธาสองพี่น้อง มาร์ธายุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารให้พระเยซู แต่มารีย์นั่งอยู่ใกล้ ๆ พระเยซูและฟังท่านสอน มาร์ธาบ่นว่ามารีย์ไม่ช่วยเธอ พระเยซูจึงบอกมาร์ธาว่า “มารีย์เลือกสิ่งที่ดี และจะไม่มีใครมาแย่งสิ่งนั้นไปจากเธอได้” (ลก. 10:38-42) พระเยซูสอนบทเรียนที่สำคัญว่า เพื่อที่เราจะพิสูจน์ว่ารักพระเยซูจริง ๆ และไม่ให้สิ่งจำเป็นมาทำให้เราเขว เราต้องเลือก “สิ่งที่ดี” ซึ่งหมายความว่าเราต้องให้ความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตเราเสมอ
เราคิดอย่างไรเรื่องการพักผ่อนหย่อนใจกับความบันเทิง?
11. คัมภีร์ไบเบิลบอกไว้อย่างไรเรื่องการพักเพื่อจะผ่อนคลายและสดชื่น?
11 ชีวิตของเรายุ่งวุ่นวายมาก บางครั้งเราก็ต้องพักบ้างเพื่อจะได้ผ่อนคลายและสดชื่นขึ้น คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “สำหรับมนุษย์ไม่มีอะไรจะดีไปกว่ากินและดื่มและมีความสุขที่ได้ทำงานหนัก” (ปญจ. 2:24) พระเยซูรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สาวกจะต้องพักผ่อนด้วย ตัวอย่างเช่น หลังจากที่พวกเขาทำงานหนักในการประกาศ พระเยซูบอกพวกเขาว่า “ไปหาที่ส่วนตัวห่างไกลผู้คนกันเถอะ จะได้พักสักหน่อย”—มก. 6:31, 32
12. ทำไมเราต้องระวังเกี่ยวกับการพักผ่อนหย่อนใจและความบันเทิง? ขอยกตัวอย่าง
12 เราจำเป็นต้องมีการพักผ่อนหย่อนใจและความบันเทิง สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เราได้พักและรู้สึกดีขึ้น แต่เราต้องระวังเพราะเราอาจจะชอบสิ่งเหล่านี้มากจนกลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา ในศตวรรษแรก หลายคนมีความคิดว่า “มากินมาดื่มกันดีกว่า เพราะพรุ่งนี้เราก็จะ1 คร. 15:32) คนในทุกวันนี้ก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น ชายหนุ่มคนหนึ่งในยุโรปตะวันตกเพิ่งเข้าร่วมการประชุม แต่เขาชอบความสนุกความบันเทิงมากจนทำให้เขาเลิกติดต่อกับพยานพระยะโฮวา พอเวลาผ่านไปเขาก็มารู้ตัวว่าการที่เขาสนใจสิ่งเหล่านั้นมากเกินไปทำให้มีแต่ปัญหา เขาเลยเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอีกครั้ง และไม่นานเขาก็เริ่มเป็นผู้ประกาศ หลังจากบัพติศมาเขาเล่าว่า “สิ่งที่ผมเสียใจก็คือ กว่าจะรู้ว่าความบันเทิงในโลกไม่ได้ให้ความสุขที่แท้จริง ผมก็เสียเวลากับมันไปมากแล้ว ความสุขที่ผมได้จากความบันเทิงเทียบไม่ได้เลยกับความสุขที่ผมได้จากการรับใช้พระยะโฮวา”
ตาย” (13. (ก) การใช้เวลากับการพักผ่อนหย่อนใจและความบันเทิงมากเกินไปมีผลเสียอย่างไร? ขอยกตัวอย่าง (ข) อะไรจะช่วยเราให้มีความสมดุลในเรื่องการพักผ่อนหย่อนใจกับความบันเทิง?
13 การพักผ่อนหย่อนใจและความบันเทิงควรจะช่วยเราให้ได้พักและสดชื่นขึ้น แล้วเราควรใช้เวลากับมันมากขนาดไหน? เพื่อจะได้คำตอบขอเราคิดถึงตัวอย่างนี้ หลายคนชอบกินเค้กและของหวาน แต่เรารู้ว่าถ้ากินแต่ของพวกนี้จะมีปัญหาสุขภาพแน่ ๆ ถ้าเราอยากมีสุขภาพดีก็ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ คล้ายกัน ถ้าเราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพักผ่อนหย่อนใจและความบันเทิง นี่ก็จะทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับพระยะโฮวามีปัญหาได้ อะไรจะช่วยเราให้มีความสมดุลในเรื่องนี้? วิธีหนึ่งก็คือ เราน่าจะลองเขียนออกมาว่าเราใช้เวลากี่ชั่วโมงในแต่ละอาทิตย์เพื่อทำสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรับใช้พระยะโฮวา ไม่ว่าจะไปประชุม ไปประกาศ ศึกษาส่วนตัว หรือนมัสการประจำครอบครัว จากนั้น เราก็เขียนว่าเราใช้เวลากี่ชั่วโมงในอาทิตย์นั้นสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจและความบันเทิง อาจจะเป็นการเล่นกีฬา ดูทีวี หรือเล่นวีดีโอเกม ถ้าเราเอาเวลามาเปรียบเทียบกันเราจะเห็นวิธีที่เราใช้เวลา และเห็นว่าเราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน คุณคิดว่าคุณต้องเปลี่ยนอะไรไหม?—อ่านเอเฟซัส 5:15, 16
14. อะไรจะช่วยเราให้เลือกการพักผ่อนหย่อนใจกับความบันเทิงที่ดี?
14 พระยะโฮวายอมให้เราเลือกว่าเราจะพักผ่อนหย่อนใจแบบไหน และเลือกความบันเทิงที่เราชอบด้วยตัวเอง หัวหน้าครอบครัวน่าจะเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้ พระยะโฮวาให้หลักการในคัมภีร์ไบเบิลที่ช่วยให้เรารู้ว่าพระองค์คิดอย่างไร หลักการเหล่านี้จะช่วยเราให้ตัดสินใจอย่างถูกต้อง * การพักผ่อนหย่อนใจและความบันเทิงที่ดีเป็น “ของขวัญจากพระเจ้า” (ปญจ. 3:12, 13) เป็นเรื่องจริงที่เราอาจชอบความบันเทิงไม่เหมือนกัน (กท. 6:4, 5) แต่ไม่ว่าเราจะเลือกความบันเทิงแบบไหนเราก็ต้องระวัง พระเยซูบอกว่า “ทรัพย์สมบัติของคุณอยู่ที่ไหน ใจของคุณก็อยู่ที่นั่นด้วย” นี่หมายความว่า เมื่อเราชอบอะไรมาก ๆ สิ่งนั้นก็จะสำคัญสำหรับเรา และเราก็จะเอาแต่คิดถึงแต่เรื่องนั้นอยู่เรื่อย ๆ (มธ. 6:21) ถ้าเรารักพระเยซูกษัตริย์ของเรา เราก็จะคิด พูด และทำในแบบที่แสดงว่ารัฐบาลของพระเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าอะไรทั้งหมด—ฟป. 1:9, 10
ระวังการเป็นคนนิยมวัตถุ
15, 16. (ก) วัตถุนิยมอาจกลายเป็นกับดักได้อย่างไร? (ข) พระเยซูให้คำแนะนำที่ฉลาดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?
15 ผู้คนจำนวนมากในทุกวันนี้คิดว่าเขาต้องมีเสื้อผ้า โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์และสิ่งอื่น ๆ แบบใหม่ล่าสุด หลายคนเป็นคนนิยมวัตถุ พวกเขาใช้ชีวิตแบบที่ให้ความสำคัญกับทรัพย์สินเงินทองมากกว่าอะไรทั้งหมด แล้วคุณที่เป็นคริสเตียนล่ะ? อะไรสำคัญที่สุดสำหรับคุณ? ขอให้ลองถามตัวเองว่า ‘ฉันใช้เวลาคิดเรื่องรถหรือแฟชั่นใหม่ ๆ ลก. 12:15) ทำไมพระเยซูพูดอย่างนั้น?
มากกว่าใช้เวลาเตรียมการประชุมไหม? ฉันยุ่งกับการทำสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันจนไม่ค่อยมีเวลาอธิษฐานหรืออ่านคัมภีร์ไบเบิลไหม?’ ถ้าเราไม่ระวัง เราจะรักทรัพย์สินเงินทองมากกว่ารักพระเยซู เราควรคิดถึงคำพูดของพระเยซูที่บอกว่า “ระวังตัวให้ดี อย่าเป็นคนโลภ” (16 พระเยซูบอกว่า “ไม่มีใครเป็นทาสนาย 2 คนได้” ท่านพูดอีกว่า “คุณจะเป็นทั้งทาสพระเจ้าและทาสทรัพย์สมบัติด้วยไม่ได้” เราจะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับพระยะโฮวาไม่ได้ ถ้าเรายังเอาแต่สนใจวัตถุเงินทอง พระเยซูอธิบายว่าเราต้องเลือกว่าจะ “เกลียดนายคนหนึ่งและรักนายอีกคนหนึ่ง หรือจะภักดีต่อนายคนหนึ่งและดูถูกนายอีกคนหนึ่ง” (มธ. 6:24) เนื่องจากเราเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ เราต้องต่อสู้ที่จะไม่ “ใช้ชีวิตเพื่อสนองความต้องการที่เป็นบาป” ซึ่งหมายรวมถึงการเป็นคนนิยมวัตถุด้วย—อฟ. 2:3
17. (ก) ทำไมถึงเป็นเรื่องยากที่บางคนจะรักษาความสมดุลในเรื่องสมบัติวัตถุ? (ข) อะไรจะช่วยให้เราไม่เป็นคนนิยมวัตถุ?
17 หลายคนสนใจแต่สิ่งที่ตัวเองชอบและสิ่งที่ตัวเองต้องการจนทำให้ยากที่เขาจะเป็นคนสมดุลในเรื่องสมบัติวัตถุ (อ่าน 1 โครินธ์ 2:14) เพราะอย่างนั้น พวกเขาจึงดูไม่ออกว่าอะไรมีค่าจริง ๆ สำหรับพระเจ้า ซึ่งนั่นทำให้เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะแยกออกว่าอะไรถูกอะไรผิด (ฮบ. 5:11-14) พวกเขาอยากได้อยากมีมากขึ้นเรื่อย ๆ และยิ่งมีทรัพย์สินเงินทองมากเท่าไรก็ยิ่งอยากได้มากขึ้นไปอีก (ปญจ. 5:10) แต่การอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำจะช่วยเราให้มีกำลังในการต้านทานความรู้สึกอยากได้อยากมีและสู้กับความคิดแบบนั้นได้ (1 ปต. 2:2) พระเยซูคิดใคร่ครวญสติปัญญาของพระยะโฮวา การทำอย่างนี้ช่วยท่านให้ต้านทานการล่อใจของซาตาน (มธ. 4:8-10) ในทุกวันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่อยากเป็นคนนิยมวัตถุ เราต้องฝึกใช้หลักการในคัมภีร์ไบเบิลในชีวิตของเรา การทำอย่างนี้เป็นการแสดงให้พระเยซูเห็นว่าเรารักท่านมากกว่าทรัพย์สิ่งของ
อะไรสำคัญที่สุดในชีวิตคุณ? (ดูข้อ 18)
18. คุณตั้งใจจะทำอะไร?
18 ตอนที่พระเยซูถามเปโตรว่า “คุณรักผมมากกว่าปลาพวกนี้ไหม?” ท่านกำลังสอนเปโตรว่าการรับใช้พระยะโฮวาต้องเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา น่าสนใจที่ชื่อของเปโตรหมายความว่า “ก้อนหิน” เปโตรมีคุณลักษณะที่ดีหลายอย่าง เขามั่นคงในงานรับใช้เหมือนก้อนหินที่แข็งแกร่ง (กจ. 4:5-20) ในทุกวันนี้ก็เหมือนกัน เราอยากให้ความรักที่เรามีต่อพระเยซูยังมั่นคงอยู่เสมอเหมือนก้อนหิน ดังนั้น เราต้องทำให้แน่ใจว่าเรามีความสมดุลในเรื่องงานอาชีพ การพักผ่อนหย่อนใจกับความบันเทิง และทรัพย์สินเงินทอง แล้วเราก็จะพูดได้เหมือนเปโตรที่บอกว่า “ครับนาย ท่านก็รู้ว่าผมรักท่าน”
^ วรรค 14 ดูบทความ “นันทนาการของคุณเป็นประโยชน์ไหม?” ในหอสังเกตการณ์ 15 ตุลาคม 2011 น. 9-12 ว. 6-15