สงบใจได้แม้ชีวิตจะต้องเปลี่ยนไป
“ผมทำจิตใจให้สงบ”—สดุดี 131:2
1, 2. (ก) การเปลี่ยนแปลงในชีวิตแบบไม่ทันตั้งตัวมีผลต่อเราอย่างไร? (ดูภาพแรก) (ข) ตามที่บอกไว้ในสดุดี 131 อะไรช่วยเราให้สงบใจได้?
ลอยด์กับอเล็กซานดรารับใช้ที่เบเธลมานานกว่า 25 ปี แล้ววันหนึ่งพวกเขาก็ถูกเชิญให้ออกไปรับใช้เป็นไพโอเนียร์ ตอนแรกพวกเขารู้สึกเสียใจ ลอยด์บอกว่า “ผมรู้สึกว่าเบเธลและงานมอบหมายในเบเธลคือชีวิตของผม ผมก็เข้าใจนะว่าทำไมต้องมีการปรับเปลี่ยน แต่พอหลายวันหลายเดือนผ่านไป ผมรู้สึกเหมือนถูกทิ้งและไม่มีใครต้องการ” ลอยด์รู้สึกว่าเขาอารมณ์ไม่มั่นคง บางครั้งเขาก็เห็นด้วยและยอมรับการเปลี่ยนแปลง แต่แค่แป๊บเดียวเขาก็รู้สึกแย่มาก
2 บางครั้งชีวิตของเราก็อาจเจอการเปลี่ยนแปลงแบบไม่ทันตั้งตัวเหมือนกัน ซึ่งทำให้เรารู้สึกเครียดและกังวลมาก (สุภาษิต 12:25) เมื่อเราเจอการเปลี่ยนแปลงที่รับได้ยาก อะไรจะช่วยเราให้สงบใจได้? (อ่านสดุดี 131:1-3) เราจะมาดูตัวอย่างของผู้รับใช้พระยะโฮวาบางคนทั้งในอดีตและปัจจุบันว่าพวกเขาทำอย่างไรถึงยังคงมีความสงบใจแม้จะเจอการเปลี่ยนแปลงในชีวิตแบบไม่ทันตั้งตัว
“สันติสุขของพระเจ้า” ช่วยเราอย่างไร
3. โยเซฟเจอการเปลี่ยนแปลงแบบไม่ทันตั้งตัวอย่างไร?
3 ขอให้คิดถึงตัวอย่างของโยเซฟ เขาเป็นลูกที่ยาโคบรักที่สุด นี่เลยทำให้พวกพี่ชายอิจฉาเขามากและขายเขาไปเป็นทาสในอียิปต์ตอนอายุ 17 (ปฐมกาล 37:2-4, 23-28) ตลอดประมาณ 13 ปีที่โยเซฟต้องอยู่ไกลจากพ่อที่เขารักมาก เขาต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ตอนแรกต้องเป็นทาส ต่อมาก็กลายเป็นนักโทษ สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังและเคียดแค้นก็ได้ แต่เขาไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย อะไรช่วยเขาให้รับมือได้?
4. (ก) โยเซฟทำอะไรตอนที่อยู่ในคุก? (ข) พระยะโฮวาตอบคำอธิษฐานของโยเซฟอย่างไร?
4 ตอนที่โยเซฟติดคุก เขาคงต้องคิดเสมอว่าพระยะโฮวาช่วยเขาอย่างไร (ปฐมกาล 39:21; สดุดี 105:17-19) เขาอาจคิดถึงความฝันที่เป็นคำพยากรณ์ซึ่งเขาเคยฝันตอนเป็นวัยรุ่นด้วย และนี่ทำให้เขามั่นใจว่าพระยะโฮวาอยู่กับเขา (ปฐมกาล 37:5-11) นอกจากนั้น เขาคงอธิษฐานบ่อย ๆ บอกพระยะโฮวาทุกเรื่องที่อยู่ในใจ (สดุดี 145:18) พระองค์เลยตอบคำอธิษฐานโดยทำให้เขามั่นใจว่าพระองค์ “อยู่กับ” เขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น—กิจการ 7:9, 10 *
5. ถ้าเรารู้สึกกังวลมาก “สันติสุขของพระเจ้า” ช่วยเราอย่างไร?
5 ไม่ว่าเราจะเจอปัญหาหนักขนาดไหน “สันติสุขของพระเจ้า” จะช่วยปกป้อง “ความคิด” ของเราและทำให้เรารู้สึกสงบใจได้ (อ่านฟีลิปปี 4:6, 7) ตอนที่เรารู้สึกกังวลและเครียด “สันติสุขของพระเจ้า” จะช่วยให้เรามีกำลังที่จะรับใช้พระยะโฮวาต่อ ๆ ไปและไม่ยอมแพ้ เราจะมาดูประสบการณ์ของพี่น้องบางคนในปัจจุบันที่เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้
ขอพระยะโฮวาช่วยคุณให้กลับมามีความสงบใจได้อีก
6, 7. การอธิษฐานช่วยเราอย่างไรให้กลับมามีความสงบใจได้อีก? ขอยกตัวอย่าง
6 ตอนที่ไรอันกับจูเลียตได้รับแจ้งว่าไม่ได้เป็นไพโอเนียร์พิเศษชั่วคราวอีกต่อไป พวกเขารู้สึกเสียใจมาก ไรอันบอกว่า “เราอธิษฐานถึงพระยะโฮวาทันที เรารู้ว่าเรื่องที่เราเจอเป็นโอกาสพิเศษที่จะได้แสดงว่าเราไว้วางใจพระองค์ ประชาคมเรามีหลายคนที่เพิ่งเข้ามาเป็นพยานฯ เราเลยอธิษฐานขอพระยะโฮวาให้ช่วยเราเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องความเชื่อ”
7 พระยะโฮวาตอบคำอธิษฐานของพวกเขาอย่างไร? ไรอันบอกว่า “ทันทีที่เราอธิษฐานจบ ความรู้สึกไม่ดีกับความกังวลก็หายไปเลยครับ สันติสุขของพระเจ้าปกป้องหัวใจและความคิดของเราจริง ๆ เรารู้เลยว่าพระยะโฮวาจะยังใช้เราต่อไปถ้าเราพยายามมีความคิดที่ถูกต้องและไว้วางใจเสมอ”
8-10. (ก) พลังของพระเจ้าช่วยเราอย่างไรตอนที่เรากังวล? (ข) พระยะโฮวาอาจช่วยเราอย่างไรบ้างถ้าเรายังขยันทำงานรับใช้พระองค์ต่อไป?
8 พลังบริสุทธิ์ของพระเจ้าสามารถช่วยเราให้สงบใจ และนึกถึงข้อคัมภีร์ที่ช่วยให้เราเข้าใจว่าอะไรสำคัญจริง ๆ ในชีวิต (อ่านยอห์น 14:26, 27) ขอคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับฟีลิปและแมรี่ ทั้งสองคนเคยรับใช้ที่เบเธลมาเกือบ 25 ปี หลังจากพวกเขาออกจากเบเธล แม่ของทั้งสองคนก็ตาย และมีญาติอีกคนหนึ่งตาย แถมพวกเขายังต้องดูแลพ่อของแมรี่ที่เป็นโรคสมองเสื่อมด้วย ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาแค่ 4 เดือน
โคโลสี 1:11 ในบทความศึกษาของหอสังเกตการณ์ พออ่านแล้วก็รู้เลยว่าผมกำลังอดทนอยู่ก็จริง แต่มันยังไม่ใช่แบบที่ควรจะเป็น ผมต้อง ‘อดทนจนถึงที่สุดและอดกลั้นด้วยความยินดี’ ข้อนี้เตือนผมว่าความยินดีในชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม แต่ขึ้นอยู่กับการที่ผมทำตามที่พลังบริสุทธิ์ชี้นำ”
9 ฟีลิปบอกว่า “ตอนนั้นผมคิดว่าผมรับมือได้ดีระดับหนึ่งนะ แต่ก็รู้สึกว่ายังขาดอะไรไป ผมเจอข้อคัมภีร์ที่10 เพราะฟีลิปกับแมรี่ยังขยันรับใช้พระยะโฮวาต่อไป พระองค์เลยอวยพรพวกเขาหลายอย่าง หลังจากที่เขาสองคนออกจากเบเธลได้ไม่นาน ทั้งคู่ก็มีนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลหลายคนที่ก้าวหน้าอย่างดีและอยากศึกษาอาทิตย์ละมากกว่า 1 ครั้ง แมรี่บอกว่า “พวกเขาทำให้เรามีความสุข และนี่เป็นวิธีที่พระยะโฮวาบอกเราว่าเดี๋ยวทุกอย่างจะโอเค”
ทำให้พระยะโฮวามีเหตุผลที่จะอวยพร
เราจะเลียนแบบโยเซฟได้อย่างไรไม่ว่าชีวิตเราจะเปลี่ยนไปขนาดไหน? (ดูข้อ 11-13)
11, 12. (ก) โยเซฟทำอะไรเพื่อให้พระยะโฮวามีเหตุผลที่จะอวยพรเขา? (ข) การที่โยเซฟอดทนทำให้เขาได้รับรางวัลอะไรจากพระยะโฮวา?
11 บางครั้งชีวิตเราอาจเปลี่ยนไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว นี่อาจทำให้เรากังวลมากเกินไปและจมอยู่กับปัญหาของเรา แต่โยเซฟไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย ไม่ว่าชีวิตเขาจะเป็นอย่างไร เขาเลือกที่จะทำตรงนั้นให้ดีที่สุด ทั้งตอนที่เขาอยู่กับโปทิฟาร์และตอนที่หัวหน้าผู้คุมใช้เขาทำงานในคุก เขาก็ขยันทำงานเต็มที่—ปฐมกาล 39:21-23
12 วันหนึ่งโยเซฟได้รับมอบหมายให้คอยรับใช้นักโทษ 2 คนซึ่งเคยทำงานอยู่ในวังของฟาโรห์ โยเซฟทำดีกับพวกเขาจนทั้งสองคนยอมเปิดใจเล่าให้โยเซฟฟังว่าพวกเขากลุ้มใจเรื่องอะไร และเล่าว่าคืนก่อนพวกเขาฝันอะไรซึ่งทำให้ไม่สบายใจมาก (ปฐมกาล 40:5-8) ตอนนั้นโยเซฟไม่รู้เลยว่าการคุยกันครั้งนั้นจะทำให้เขาได้รับอิสรภาพ สองปีต่อมาโยเซฟก็ถูกปล่อยตัวออกจากคุก แถมยังได้เป็นผู้ปกครองคนหนึ่งที่มีอำนาจมากในอียิปต์ซึ่งเป็นรองก็แค่ฟาโรห์เท่านั้น—ปฐมกาล 41:1, 14-16, 39-41
13. ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราต้องทำอะไรเพื่อให้พระยะโฮวามีเหตุผลที่จะอวยพรเรา?
13 เราเองก็อาจเป็นเหมือนโยเซฟ เราอาจเจอกับการเปลี่ยนแปลงและตกอยู่ในสภาพการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ แต่ถ้าเราอดทนและทำดีที่สุดเท่าที่ทำได้ พระยะโฮวาจะอวยพรเรา (สดุดี 37:5) ถึงเราจะรู้สึกสับสนและกังวลมาก แต่เราจะไม่ถูกทิ้งให้ไม่มี “ทางออก” หรือสิ้นหวัง (2 โครินธ์ 4:8) พระยะโฮวาจะอยู่กับเราโดยเฉพาะถ้าเราขยันรับใช้เสมอ
ขยันทำงานรับใช้ต่อไป
14-16. ฟีลิปผู้ประกาศข่าวดีขยันทำงานรับใช้ต่อไปอย่างไรแม้ชีวิตเขาเปลี่ยนไป?
14 ฟีลิปผู้ประกาศข่าวดีเป็นตัวอย่างที่ดีมาก เขาขยันรับใช้ต่อไปไม่ว่าชีวิตจะเปลี่ยนไปขนาดไหน ตอนที่ฟีลิปกำลังทำงานมอบหมายใหม่ในกรุงเยรูซาเล็มอย่างมีความสุข ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป (กิจการ 6:1-6) หลังจากที่สเทเฟนถูกฆ่า * คริสเตียนก็ถูกข่มเหงอย่างหนักและต้องหนีออกจากกรุงเยรูซาเล็ม ช่วงนั้นฟีลิปไม่ได้แค่หนีแล้วก็อยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไร เขาอยากทำงานรับใช้เต็มที่ต่อไป เขาเลยไปที่เมืองสะมาเรียซึ่งเป็นเมืองที่แทบจะไม่มีใครไปประกาศข่าวดี—มัทธิว 10:5; กิจการ 8:1, 5
15 ฟีลิปเต็มใจไปประกาศที่ไหนก็ได้ที่พลังของพระยะโฮวาชี้นำให้ไป พระองค์เลยใช้เขาไปประกาศในที่ที่ยังไม่ค่อยมีใครได้ยินข่าวดี ที่จริงชาวยิวหลายคนดูถูกคนสะมาเรียและทำไม่ดีกับพวกเขา แต่ฟีลิปไม่มีอคติ เขาอยากประกาศข่าวดีกับคนเหล่านั้น ชาวสะมาเรีย “ทุกคนก็ตั้งใจฟังเขา”—กิจการ 8:6-8
16 ต่อมาพลังของพระเจ้าชี้นำให้ฟีลิปไปประกาศที่เมืองอัชโดดและเมืองซีซารียาซึ่งมีคนต่างชาติอยู่มากมาย (กิจการ 8:39, 40) จากนั้น ชีวิตของฟีลิปก็เปลี่ยนไปอีก เขาลงหลักปักฐานและสร้างครอบครัว แต่ไม่ว่าชีวิตของฟีลิปจะเปลี่ยนไปอย่างไร เขายังคงขยันรับใช้เสมอและพระยะโฮวาก็อวยพรเขาและครอบครัวต่อไป—กิจการ 21:8, 9
17, 18. ถ้ามีอะไรบางอย่างในชีวิตเราเปลี่ยนไป การขยันทำงานรับใช้เสมอจะช่วยเราอย่างไร?
17 หลายคนที่รับใช้เต็มเวลาบอกว่าการขยันทำงานรับใช้ต่อไปช่วยให้พวกเขายังคงมีความสุขและคิดบวกแม้สถานการณ์ในชีวิตจะเปลี่ยนไป ให้เรามาดูตัวอย่างของออสบอร์นกับเพอไลต์ซึ่งเป็นพี่น้องจากแอฟริกาใต้ ทั้งสองคนถูกเชิญออกจากเบเธล ตอนแรกพวกเขาคิดว่าจะหางานทำและหาบ้านได้ง่าย ๆ แต่ออสบอร์นบอกว่า “เราหางานไม่ได้เร็วอย่างที่หวังไว้” เพอไลต์บอกว่า “เราไม่มีงานทำอยู่ 3 เดือนและเราก็ไม่มีเงินเก็บ ตอนนั้นมันไม่ง่ายเลยค่ะ”
18 อะไรช่วยให้ออสบอร์นรับมือกับเรื่องเครียด ๆ นี้ได้? เขาบอกว่า “การประกาศกับพี่น้องในประชาคมช่วยเรามากจริง ๆ มันทำให้เราคิดถึงแต่งานรับใช้และ
คิดบวกอยู่เสมอ” แทนที่จะนั่งเครียดอยู่กับบ้าน พวกเขาเลือกที่จะออกไปรับใช้อย่างขยันขันแข็ง นี่ทำให้พวกเขามีความสุขมาก ออสบอร์นบอกต่ออีกว่า “เราตระเวนไปทุกที่เพื่อจะหางานทำ แล้วในที่สุดก็ได้งาน”ไว้วางใจพระยะโฮวาสุดหัวใจ
19-21. (ก) อะไรจะช่วยเราให้สงบใจต่อไปได้? (ข) เราจะได้ประโยชน์อะไรถ้าเราปรับตัวยอมรับการเปลี่ยนแปลง?
19 อย่างที่เราได้เห็นแล้ว ไม่ว่าชีวิตเราจะเป็นอย่างไร ให้เราทำตรงนั้นเต็มที่และไว้วางใจพระยะโฮวาสุดหัวใจ แล้วเราจะมีใจสงบไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น (อ่านมีคาห์ 7:7) ในที่สุด เราจะรู้ว่าการที่เราปรับตัวยอมรับการเปลี่ยนแปลงจะช่วยให้เราสนิทกับพระยะโฮวาจริง ๆ เพอไลต์อธิบายว่า หลังจากต้องออกจากเบเธลเธอได้เรียนว่า การพึ่งพระยะโฮวาแม้ชีวิตจะลำบากมากหมายถึงอะไรจริง ๆ เธอบอกว่า “ฉันรู้สึกสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้นจริง ๆ ค่ะ”
20 แมรี่ที่พูดถึงก่อนหน้านี้ยังคงต้องดูแลพ่อที่อายุมาก และเธอก็ยังเป็นไพโอเนียร์ด้วย เธอบอกว่า “ฉันได้เรียนรู้ว่าเมื่อไหร่ที่รู้สึกกังวล ฉันต้องอธิษฐานทันทีและพยายามทำใจให้สงบ บทเรียนที่ฉันได้กับตัวเองและคิดว่าน่าจะสำคัญที่สุดก็คือฉันต้องฝากเรื่องต่าง ๆ ไว้กับพระยะโฮวา ฉันว่าการทำแบบนี้ยิ่งจำเป็นสำหรับฉันในวันข้างหน้าค่ะ”
21 ลอยด์กับอเล็กซานดรายอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงในชีวิตทดสอบความเชื่อพวกเขาแบบที่ไม่เคยคิดมาก่อน มันทำให้พวกเขารู้ว่าความเชื่อของพวกเขาเข้มแข็งจริง ๆ หรือเปล่า และตอนนี้พวกเขาก็เห็นว่าความเชื่อของพวกเขาเข้มแข็งจริง ๆ ซึ่งช่วยให้พวกเขาสงบใจและรับมือได้ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร นอกจากนั้น มันยังช่วยให้พวกเขาเป็นคนดีขึ้น
การเปลี่ยนแปลงแบบไม่ทันตั้งตัวอาจทำให้เราได้รับพรแบบไม่คาดคิด (ดูข้อ 19-21)
22. เราสามารถมั่นใจอะไรได้ถ้าเราทำเต็มที่ไม่ว่าชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร?
22 ในสมัยนี้ ชีวิตของเราอาจเปลี่ยนไปโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว เราอาจต้องออกจากงานมอบหมายหรือได้รับงานมอบหมายใหม่ เจ็บป่วย หรือมีหน้าที่รับผิดชอบใหม่ในครอบครัว แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้มั่นใจว่าพระยะโฮวาเป็นห่วงและจะช่วยคุณเมื่อคุณต้องการ (ฮีบรู 4:16; 1 เปโตร 5:6, 7) ตอนนี้ไม่ว่าชีวิตคุณจะเป็นอย่างไร ขอให้คุณทำตรงนั้นให้เต็มที่ อธิษฐานถึงพระยะโฮวาพระเจ้าผู้เป็นพ่อของคุณและพึ่งพระองค์สุดหัวใจ ถ้าคุณทำแบบนี้ไม่ว่าสภาพการณ์ของคุณจะเป็นอย่างไร พระยะโฮวาจะช่วยให้คุณยังคงมีความสงบใจแน่นอน
^ วรรค 4 หลายปีต่อมา โยเซฟตั้งชื่อลูกชายคนแรกว่ามนัสเสห์ เขาบอกเหตุผลว่า “พระเจ้าทำให้ผมลืมความลำบากทั้งหมด” เขาเข้าใจว่าลูกคนนี้เป็นของขวัญจากพระยะโฮวาเพื่อปลอบใจเขา—ปฐมกาล 41:51, เชิงอรรถ
^ วรรค 14 ดูบทความ “คุณรู้ไหม?” ในเล่มนี้