ข้ามไปยังเนื้อหา

ข้ามไปยังสารบัญ

ที่ที่ผมได้ยินพระนามพระยะโฮวาเป็นครั้งแรก

ที่ที่ผมได้ยินพระนามพระยะโฮวาเป็นครั้งแรก

ที่​ที่​ผม​ได้​ยิน​พระ​นาม​พระ⁠ยะโฮวา​เป็น​ครั้ง​แรก

เล่า​โดย​ปาโวล โควาร์

ใน​ช่วง​ที่​มี​การ​ทิ้ง​ระเบิด​อย่าง​หนัก เรา​เข้า​ไป​ใน​หลุม​หลบ​ภัย​ชั่ว​คราว​ได้​อย่าง​หวุดหวิด. ขณะ​ถูก​ระเบิด​ถล่ม​อย่าง​หนัก​จน​ที่​หลบ​ภัย​ของ​เรา​สั่น​สะเทือน เพื่อน​เชลย​คน​หนึ่ง​อธิษฐาน​เสียง​ดัง​ว่า “ข้า​แต่​พระ​ยะโฮวา คุ้มครอง​พวก​เรา​ด้วย! เพื่อ​เห็น​แก่​พระ​นาม​อัน​บริสุทธิ์​ของ​พระองค์ ขอ​โปรด​คุ้มครอง​พวก​เรา​ด้วย​เถิด!”

นั่น​เป็น​วัน​ที่ 8 มกราคม 1945 และ​ตอน​นั้น​ผม​เป็น​เชลย​ศึก​ใน​เมือง​ลินซ์ ของ​ออสเตรีย. พวก​เรา​ที่​อยู่​ใน​หลุม​หลบ​ภัย​มี​ราว ๆ 250 คน และ​เรา​ทุก​คน​รอด​ชีวิต​จาก​การ​ทิ้ง​ระเบิด​ครั้ง​นั้น. พอ​เรา​ออก​มา​จาก​หลุม​หลบ​ภัย เรา​ก็​พบ​ว่า​ทุก​สิ่ง​ที่​อยู่​รอบ ๆ นั้น​พัง​พินาศ​ยับเยิน. คำ​อธิษฐาน​อย่าง​สุด​หัวใจ​ที่​ผม​ได้​ยิน​นั้น​ยัง​ตราตรึง​อยู่​ใน​ใจ​ผม แม้​ว่า​ผม​ไม่​รู้​เลย​ด้วย​ซ้ำ​ว่า​ใคร​เป็น​คน​อธิษฐาน. ก่อน​จะ​เล่า​ว่า​ใน​ที่​สุด​ผม​เรียน​รู้​จัก​พระ​ยะโฮวา​ได้​อย่าง​ไร ขอ​ให้​ผม​เล่า​ภูมิหลัง​ของ​ผม​สัก​เล็ก​น้อย.

ผม​เกิด​เมื่อ​วัน​ที่ 28 กันยายน 1921 ใน​บ้าน​ที่​อยู่​ใกล้​กับ​หมู่​บ้าน​ไครย์เน ทาง​ตะวัน​ตก​ของ​สโลวาเกีย ซึ่ง​ใน​เวลา​นั้น​เป็น​ส่วน​ของ​เชโกสโลวะเกีย. พ่อ​แม่​ของ​ผม​เป็น​โปรเตสแตนต์​ที่​เคร่ง​ศาสนา​อย่าง​ยิ่ง. พ่อ​อ่าน​คัมภีร์​ไบเบิล​ให้​ทุก​คน​ใน​ครอบครัว​ฟัง​ตอน​เช้า​วัน​อาทิตย์ ส่วน​แม่​กับ​พวก​เรา​ลูก ๆ สี่​คน​ก็​ฟัง​อย่าง​ตั้งใจ. แต่​ผม​จำ​ไม่​ได้​ว่า​พ่อ​เคย​เอ่ย​ถึง​พระ​นาม​ยะโฮวา​หรือ​ไม่. ชีวิต​ใน​ภูมิภาค​ที่​เรา​อยู่​นั้น​เป็น​แบบ​เรียบ​ง่าย ทว่า เรา​ก็​อิ่ม​ใจ​พอ​ใจ​กับ​สิ่ง​เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่​เรา​มี.

เมื่อ​สงคราม​โลก​ครั้ง​ที่​สอง​เริ่ม​ขึ้น​ใน​ปี 1939 ผู้​คน​พา​กัน​หวาด​กลัว. หลาย​คน​ยัง​จำ​ได้​ดี​ถึง​เรื่อง​ความ​ทุกข์​ยาก​ซึ่ง​สงคราม​โลก​ครั้ง​ที่​หนึ่ง​ได้​ก่อ​ขึ้น​เมื่อ​ประมาณ 20 ปี​ก่อน. ใน​ปี 1942 ผม​ถูก​เรียก​ตัว​ให้​ไป​เป็น​ทหาร​ใน​กองทัพ​ของ​สโลวาเกีย. แม้​ว่า​สโลวาเกีย​จะ​เป็น​ฝ่าย​เยอรมนี​อย่าง​เป็น​ทาง​การ แต่​ใน​เดือน​สิงหาคม 1944 ก็​มี​ความ​พยายาม​ที่​จะ​ฟื้นฟู​ระบอบ​ประชาธิปไตย​ขึ้น​ใหม่. เมื่อ​ไม่​สำเร็จ ผม​ซึ่ง​อยู่​ท่ามกลาง​ทหาร​สโลวาเกีย​หลาย​พัน​คน​ที่​ถูก​จับ​เป็น​เชลย ก็​ถูก​ส่ง​ไป​ยัง​เขต​ที่​อยู่​ภาย​ใต้​การ​ควบคุม​ดู​แล​ของ​ฝ่าย​เยอรมัน. ใน​ที่​สุด​ผม​ถูก​ส่ง​ไป​ที่​กู​เซน ใน​คุก​แห่ง​หนึ่ง​ที่​อยู่​ติด​กับ​เมา​เทา​เซน ค่าย​กัก​กัน​ที่​น่า​อัปยศ​ใกล้​กับ​เมือง​ลินซ์.

เชลย​ศึก

เรา​ถูก​สั่ง​ให้​ไป​ทำ​งาน​ที่​โรง​งาน​สร้าง​เครื่องบิน​ไม่​ไกล​จาก​หมู่​บ้าน​ซังต์ เก​ออร์​เกน อัน เดอร์ กู​เซน. ที่​นั่น ผม​ทำ​งาน​ใน​โรง​เลื่อย. เรา​แทบ​จะ​ไม่​มี​อะไร​กิน และ​ใน​เดือน​มกราคม 1945 อาหาร​ปัน​ส่วน​ที่​พวก​เรา​ได้​รับ​ก็​น้อย​ลง​ไป​อีก เนื่อง​จาก​กอง​ทหาร​ฝ่าย​นาซี​กำลัง​แพ้​ศึก​ทุก​แนว​รบ. อาหาร​อุ่น ๆ เพียง​อย่าง​เดียว​ที่​เรา​ได้​รับ​คือ​น้ำ​ซุป​เพียง​น้อย​นิด. ทุก​เช้า คน​งาน​จาก​ค่าย​ใหญ่​ใน​เมา​เทา​เซน​ก็​มา​ถึง. เชลย​ที่​อ่อนแอ​จน​ทำ​งาน​ไม่​ไหว​มัก​ถูก​ผู้​คุม​ทุบ​ตี​จน​ตาย. หลัง​จาก​นั้น เพื่อน​เชลย​ก็​จะ​โยน​ศพ​เข้า​ไป​ใน​รถ​บรรทุก และ​นำ​ศพ​เหล่า​นั้น​ไป​ยัง​เตา​เผา​ศพ.

ทั้ง ๆ ที่​ทุกข์​ยาก เรา​ก็​มี​ความ​หวัง​ว่า​สงคราม​จะ​สิ้น​สุด​ลง​ใน​ไม่​ช้า. ใน​วัน​ที่ 5 เดือน​พฤษภาคม 1945 สี่​เดือน​หลัง​จาก​มี​การ​ทิ้ง​ระเบิด​อย่าง​หนัก​ดัง​ที่​กล่าว​ใน​ตอน​ต้น ผม​ตื่น​ขึ้น​มา​เพราะ​เสียง​โกลาหล​วุ่นวาย ผม​จึง​วิ่ง​ออก​ไป​ที่​สนาม. ผู้​คุม​ไป​กัน​หมด​แล้ว, ปืน​วาง​สุม​อยู่​เป็น​กอง, และ​ประตู​ก็​เปิด​โล่ง. เรา​มอง​เห็น​อีก​ค่าย​หนึ่ง​ที่​อยู่​กลาง​ทุ่ง​ฝั่ง​โน้น. ผู้​ถูก​กัก​กัน​ที่​เป็น​อิสระ​วิ่ง​กรู​ออก​จาก​ค่าย​ราว​กับ​ฝูง​ผึ้ง​ที่​บิน​ออก​จาก​รัง​ที่​กำลัง​ถูก​ไฟ​เผา. พร้อม​กับ​การ​ปลด​ปล่อย​นั้น การ​แก้แค้น​อย่าง​โหด​เหี้ยม​ก็​ตาม​มา. การ​เข่น​ฆ่า​กัน​อย่าง​ทารุณ​ที่​เกิด​ขึ้น​ใน​ครั้ง​นั้น​ยัง​ฝัง​ใจ​ผม​อยู่.

พวก​คาโป หรือ​ผู้​ถูก​กัก​ขัง​ที่​ร่วม​มือ​กับ​พวก​ผู้​คุม​ถูก​พวก​เชลย​แก้แค้น​โดย​ทุบ​ตี​จน​ตาย. บ่อย​ครั้ง พวก​คาโป โหด​เหี้ยม​ยิ่ง​กว่า​พวก​ผู้​คุม​ที่​เป็น​ฝ่าย​นาซี​เสีย​ด้วย​ซ้ำ. ผม​เฝ้า​ดู​ขณะ​ที่​เชลย​คน​หนึ่ง​ทุบ​ตี​คาโป คน​หนึ่ง​ตาย​คา​มือ แล้ว​ก็​ร้อง​ตะโกน​ออก​มา​ว่า “มัน​ฆ่า​พ่อ​ฉัน. เรา​รอด​ตาย​มา​ด้วย​กัน​ที่​นี่ แล้ว​ก็​เพิ่ง​สอง​วัน​มา​นี้​เอง​ที่​มัน​ฆ่า​พ่อ​ฉัน!” พอ​ตก​เย็น ทุ่ง​นั้น​ก็​เต็ม​ไป​ด้วย​ร่าง​ที่​ไร้​ชีวิต​ของ​พวก​คาโป รวม​ทั้ง​เชลย​คน​อื่น ๆ อีก​หลาย​ร้อย​ศพ. หลัง​จาก​นั้น ก่อน​ออก​จาก​ค่าย เรา​เดิน​สำรวจ​ไป​ทั่ว​ค่าย และ​ได้​ไป​ดู​เครื่อง​ประหาร​ชีวิต โดย​เฉพาะ​ห้อง​แก๊ส และ​เตา​เผา​ศพ.

เรียน​รู้​จัก​พระเจ้า​องค์​เที่ยง​แท้

ผม​อยู่​ที่​บ้าน​แล้ว​ตอน​สิ้น​เดือน​พฤษภาคม 1945. ใน​ระหว่าง​นั้น ไม่​เพียง​แต่​พ่อ​แม่​ของ​ผม​ได้​เรียน​รู้​จัก​พระ​นาม​ของ​พระเจ้า พระ​นาม​ที่​ผม​เคย​ได้​ยิน​ใน​หลุม​หลบ​ภัย แต่​ท่าน​ทั้ง​สอง​ยัง​ได้​มา​เป็น​พยาน​พระ​ยะโฮวา​ด้วย. หลัง​จาก​ผม​กลับ​มา​ไม่​นาน ผม​ก็​ได้​พบ​โอลกา หญิง​สาว​ที่​เลื่อมใส​ศรัทธา​พระเจ้า และ​หนึ่ง​ปี​หลัง​จาก​นั้น​เรา​ก็​แต่งงาน​กัน. ความ​กระตือรือร้น​ที่​เธอ​มี​ต่อ​ความ​จริง​ของ​คัมภีร์​ไบเบิล​กระตุ้น​ผม​ให้​เรียน​รู้​เกี่ยว​กับ​พระ​ยะโฮวา​ต่อ​ไป. ระหว่าง​การ​ประชุม​ใหญ่​ครั้ง​ท้าย ๆ ก่อน​รัฐบาล​คอมมิวนิสต์​จะ​สั่ง​ห้าม​งาน​ประกาศ​ของ​พวก​เรา​ใน​ปี 1949 ผม​กับ​โอลกา และ​คน​อื่น ๆ อีก 50 คน​ก็​ได้​รับ​บัพติสมา​ที่​แม่น้ำ​วาห์ ใน​เมือง​เปียสตานีย์. ต่อ​มา เรา​มี​บุตร​สาว​สอง​คน​คือ​โอลกา​และ​วลาสตา.

ยาน เซบิน พยาน​ฯ คน​หนึ่ง​ที่​ได้​ช่วย​จัด​ตั้ง​งาน​ประกาศ​ขึ้น​ใหม่​หลัง​สงคราม​โลก​ครั้ง​ที่​สอง เป็น​แขก​ที่​มา​เยี่ยม​เรา​อยู่​บ่อย ๆ และ​เป็น​เพื่อน​ร่วม​รับใช้​ที่​สนิท​กับ​ผม​มาก. ทั้ง ๆ ที่​การ​ต่อ​ต้าน​จาก​พวก​คอมมิวนิสต์​มี​มาก​ขึ้น​เรื่อย ๆ แต่​เรา​ยัง​ประกาศ​กัน​ต่อ​ไป. เรา​จะ​ระมัดระวัง​ตัว​เมื่อ​พูด​คุย​กับ​ผู้​คน​เกี่ยว​กับ​ความ​จริง​ของ​คัมภีร์​ไบเบิล และ​ไม่​ช้า​เรา​ก็​มี​นัก​ศึกษา​คัมภีร์​ไบเบิล​หลาย​ราย. เมื่อ​ยาน​ออก​ไป​จาก​เขต​ของ​เรา ผม​กับ​ภรรยา​ก็​ยัง​นำ​การ​ศึกษา​กับ​คน​เหล่า​นั้น​ต่อ​ไป. ใน​เวลา​ต่อ​มา เรา​มัก​จะ​ได้​พบ​เพื่อน​รัก​เหล่า​นั้น​พร้อม​กับ​ลูก ๆ หลาน ๆ ของ​พวก​เขา ณ การ​ประชุม​ใหญ่​ของ​เรา. นั่น​ช่าง​ทำ​ให้​เรา​ปลื้ม​ใจ​จริง ๆ!

การ​รับใช้​ที่​พิเศษ

พอ​ถึง​ปี 1953 พยาน​ฯ หลาย​คน​ที่​นำ​หน้า​ใน​งาน​ประกาศ​ก็​ถูก​จำ​คุก. ดัง​นั้น มี​การ​ขอ​ให้​ผม​ไป​ช่วย​งาน​ประกาศ​ใน​เขต​ที่​อยู่​ไกล​จาก​บ้าน​ผม​ประมาณ 150 กิโลเมตร. ทุก ๆ สอง​สัปดาห์ หลัง​จาก​ทำ​งาน​อาชีพ​เสร็จ​ตอน​บ่าย​วัน​เสาร์ ผม​จะ​ขึ้น​รถไฟ​จาก​เมือง​โนเว เมสโต นาด วาโฮม เพื่อ​ไป​เมือง​มาร์ติน​ที่​อยู่​ทาง​ภาค​กลาง​ตอน​เหนือ​ของ​สโลวาเกีย. ผม​เข้า​ร่วม​ใน​การ​สอน​คัมภีร์​ไบเบิล​ใน​เมือง​นั้น​จน​ถึง​ตอน​ค่ำ ๆ และ​วัน​อาทิตย์​ตลอด​ทั้ง​วัน. พอ​วัน​อาทิตย์​เย็น​ผม​ก็​ขึ้น​รถไฟ​กลับ​ไป​ที่​โนเว เมสโต. ปกติ​ผม​มา​ถึง​ที่​นี่​ราว ๆ เที่ยง​คืน​แล้ว​ก็​พัก​อยู่​กับ​สอง​สามี​ภรรยา​สูง​อายุ​ที่​มี​น้ำใจ​รับรอง​แขก ซึ่ง​ยินดี​ให้​ผม​นอน​ค้าง​จน​ถึง​รุ่ง​เช้า. จาก​นั้น ผม​ก็​ตรง​ไป​ที่​ที่​ทำ​งาน​แล้ว​ค่อย​กลับ​ไป​หา​ครอบครัว​ของ​ผม​ที่​อยู่​ใน​หมู่​บ้าน​ไครย์เน​ใน​คืน​วัน​จันทร์. ระหว่าง​สุด​สัปดาห์​ตอน​ที่​ผม​ไม่​อยู่​บ้าน โอลกา​จะ​เอา​ใจ​ใส่​ดู​แล​ลูก​สาว​ของ​เรา.

จาก​นั้น​ใน​ปี 1956 ผม​ได้​รับ​เชิญ​ให้​เป็น​ผู้​ดู​แล​หมวด งาน​ที่​เกี่ยว​ข้อง​กับ​การ​เยี่ยม​ประชาคม​ต่าง ๆ ใน​เขต​ของ​เรา เพื่อ​เสริม​สร้าง​ประชาคม​เหล่า​นั้น​ให้​มี​สัมพันธภาพ​ที่​แนบแน่น​กับ​พระ​ยะโฮวา. เนื่อง​จาก​หลาย​คน​ที่​เคย​เป็น​ผู้​ดู​แล​หมวด​ถูก​จำ​คุก ผม​จึง​เห็น​ว่า​จำเป็น​ที่​จะ​ต้อง​แบก​รับ​หน้า​ที่​นี้. ผม​และ​ภรรยา​มั่น​ใจ​ว่า​พระ​ยะโฮวา​จะ​ช่วยเหลือ​ครอบครัว​ของ​เรา.

ตาม​กฎหมาย​ของ​คอมมิวนิสต์ ประชาชน​ทุก​คน​ต้อง​มี​งาน​อาชีพ. รัฐบาล​ถือ​ว่า​คน​ที่​ไม่​มี​งาน​ทำ​เป็น​เหมือน​กาฝาก และ​จับ​พวก​เขา​เข้า​คุก. ดัง​นั้น ผม​จึง​ทำ​งาน​อาชีพ​ต่อ​ไป. วัน​เสาร์​วัน​อาทิตย์​สอง​สัปดาห์​ของ​แต่​ละ​เดือน ผม​ใช้​เวลา​อยู่​กับ​ครอบครัว เข้า​ร่วม​ใน​การ​นมัสการ​และ​กิจกรรม​อื่น ๆ ของ​คริสเตียน​ร่วม​กับ​ครอบครัว​ของ​ผม แต่​วัน​เสาร์​วัน​อาทิตย์​อีก​สอง​สัปดาห์​ที่​เหลือ ผม​ไป​เยี่ยม​ประชาคม​ใกล้ ๆ หนึ่ง​ใน​หก​ประชาคม​ที่​อยู่​ใน​หมวด.

การ​ผลิต​สรรพหนังสือ​ภาย​ใต้​การ​สั่ง​ห้าม

ผู้​ดู​แล​หมวด​มี​หน้า​ที่​รับผิดชอบ​ใน​การ​จัด​หา​สรรพหนังสือ​เกี่ยว​กับ​คัมภีร์​ไบเบิล​ให้​แก่​ทุก​ประชาคม​ใน​หมวด. ตอน​แรก มี​การ​คัด​ลอก​วารสาร​ด้วย​มือ​หรือ​พิมพ์​ด้วย​เครื่อง​พิมพ์ดีด​เป็น​ส่วน​ใหญ่. ต่อ​มา เรา​สามารถ​รับ​ฟิล์ม​เนกาทิฟ​ของ​วารสาร​หอสังเกตการณ์ และ​ส่ง​ฟิล์ม​เหล่า​นั้น​ไป​ยัง​ประชาคม​ต่าง ๆ. แล้ว​วารสาร​เหล่า​นั้น​ก็​จะ​ถูก​นำ​ไป​อัด​ลง​บน​กระดาษ​สำหรับ​อัด​รูป. เนื่อง​จาก​การ​ซื้อ​กระดาษ​อัด​รูป​จำนวน​มาก ๆ อาจ​ก่อ​ความ​สงสัย​ขึ้น​ได้ คน​เหล่า​นั้น​ที่​ไป​ซื้อ​กระดาษ​จึง​ต้อง​มี​ความ​กล้า​หาญ​และ​มี​ไหว​พริบ​ด้วย.

สเตฟาน ฮูชโก มี​ใจ​แรง​กล้า​ที่​จะ​ทำ​งาน​นี้ แล้ว​เขา​ก็​ทำ​ได้​ดี​เยี่ยม. เพื่อ​เป็น​ตัว​อย่าง: ครั้ง​หนึ่ง สเตฟาน​ได้​กลับ​ไป​ที่​ร้าน​ถ่าย​รูป​ใน​เมือง​หนึ่ง​ซึ่ง​อยู่​ไกล​จาก​เมือง​ที่​เขา​อาศัย​อยู่​เพื่อ​ซื้อ​กระดาษ​อัด​รูป. แต่​ขณะ​ที่​กำลัง​จะ​ออก​ไป​จาก​ร้าน​เพราะ​ไม่​มี​กระดาษ​นั้น เขา​ก็​เห็น​พนักงาน​ขาย​ของ​ใน​ร้าน​ท่า​ทาง​เป็น​มิตร​ซึ่ง​เคย​สัญญา​กับ​เขา​ก่อน​หน้า​นี้​ว่า​จะ​สั่ง​กระดาษ​ให้. ขณะ​ที่​สเตฟาน​กำลัง​เดิน​เข้า​ไป​หา​เธอ เขา​ก็​เห็น​ว่า​มี​ตำรวจ​คน​หนึ่ง​กำลัง​เดิน​เข้า​มา​ใน​ร้าน. ใน​ขณะ​เดียว​กัน​นั้น​เอง พนักงาน​ขาย​ของ​คน​นั้น​ก็​มอง​เห็น​สเตฟาน​และ​ร้อง​เรียก​ด้วย​ความ​ดีใจ​ว่า “คุณ​คะ! คุณ​โชค​ดี​จัง. เรา​มี​กระดาษ​อัด​รูป​ที่​คุณ​ต้องการ​แล้ว​นะ​คะ.”

สเตฟาน​คิด​อย่าง​ฉับ​ไว แล้ว​ก็​ตอบ​ว่า “ขอ​โทษ​ครับ​คุณ​ผู้​หญิง แต่​คุณ​ต้อง​จำ​คน​ผิด​แน่ ๆ เลย. ผม​ต้องการ​ฟิล์ม​เนกาทิฟ​แค่​ม้วน​เดียว​ครับ.”

หลัง​จาก​กลับ​มา​ที่​รถ​ของ​เขา สเตฟาน​ก็​รู้สึก​ว่า​เขา​ไม่​สามารถ​กลับ​ไป​มือ​เปล่า​โดย​ไม่​มี​กระดาษ​อัด​รูป​อัน​มี​ค่า​มาก​นั้น เนื่อง​จาก​เขา​มา​ที่​นี่​ก็​เพื่อ​จะ​ซื้อ​กระดาษ​เหล่า​นั้น. ดัง​นั้น หลัง​จาก​ที่​ถอด​เสื้อ​คลุม​กับ​หมวก​ออก และ​ได้​พยายาม​แปลง​โฉม​ใหม่​แล้ว เขา​ก็​กลับ​เข้า​ไป​ใน​ร้าน​อีก​และ​เดิน​ตรง​รี่​ไป​ที่​พนักงาน​ขาย​ของ​คน​นั้น. เขา​อธิบาย​ว่า “ผม​มา​ที่​นี่​เมื่อ​สัปดาห์​ก่อน และ​คุณ​สัญญา​ว่า​จะ​สั่ง​กระดาษ​อัด​รูป​ให้​ผม. คุณ​มี​กระดาษ​นั้น​หรือ​ยัง​ครับ?”

เธอ​ตอบ​ว่า “อ๋อ​ใช่ มี​ค่ะ. แต่​คุณ​รู้​ไหม​เมื่อ​ไม่​กี่​นาที​มา​นี้​เอง มี​ผู้​ชาย​ที่​หน้า​ตา​เหมือน​คุณ​เข้า​มา​ใน​ร้าน​นี้. มัน​แทบ​ไม่​น่า​เชื่อ เขา​เหมือน​คุณ​ยัง​กับ​ฝาแฝด​แน่ะ!” สเตฟาน​รีบ​รับ​กระดาษ​อัด​รูป​จำนวน​มาก​นั้น​แล้ว​ก็​ออก​ไป ขอบคุณ​พระ​ยะโฮวา​ที่​พระองค์​ช่วย​ให้​มี​กระดาษ​นั้น.

ระหว่าง​ทศวรรษ 1980 เรา​เริ่ม​ใช้​เครื่อง​โรเนียว​และ​แท่น​พิมพ์​ออฟเซ็ต​ขนาด​เล็ก​เพื่อ​ผลิต​สรรพหนังสือ​เกี่ยว​กับ​คัมภีร์​ไบเบิล​ใน​ชั้น​ใต้​ดิน​หรือ​ที่​อื่น​ซึ่ง​ยาก​จะ​หา​พบ. ต่อ​มา วารสาร​แต่​ละ​ฉบับ​ที่​เรา​พิมพ์ รวม​ทั้ง​หนังสือ​ปก​แข็ง​และ​หนังสือ​เล่ม​เล็ก​ก็​มี​จำนวน​ใกล้​เคียง​หรือ​มาก​กว่า​จำนวน​ของ​พยาน​ฯ ด้วย​ซ้ำ.

แขก​ที่​ไม่​ได้​รับ​เชิญ

วัน​หนึ่ง​ใน​ช่วง​ทศวรรษ 1960 มี​คำ​สั่ง​ให้​ผม​ไป​รายงาน​ตัว​ต่อ​แผนก​ที่​ดู​แล​เรื่อง​ทหาร​ของ​บริษัท​ที่​ผม​ทำ​งาน​อยู่. ชาย​สาม​คน​ใน​ชุด​แต่ง​กาย​แบบ​พลเรือน​ได้​ซัก​ถาม​ผม โดย​ถาม​ว่า “คุณ​พบ​ปะ​กับ​พวก​พยาน​พระ​ยะโฮวา​มา​นาน​แค่​ไหน? และ​คุณ​พบ​ใคร​บ้าง?” เมื่อ​ผม​ไม่​ได้​บอก​ชื่อ​ใคร เขา​ก็​บอก​ผม​ว่า​เขา​จะ​ติด​ต่อ​กับ​ผม​อีก​ใน​ภาย​หลัง. นั่น​เป็น​ครั้ง​แรก​ที่​ผม​เผชิญ​หน้า​กับ​ฝ่าย​ความ​มั่นคง​ของ​รัฐ ซึ่ง​ก็​คือ​ตำรวจ​ลับ.

ไม่​นาน​หลัง​จาก​นั้น ผม​ถูก​นำ​ตัว​จาก​ที่​ทำ​งาน​ไป​ยัง​สถานี​ตำรวจ. กระดาษ​เปล่า​แผ่น​หนึ่ง​ถูก​วาง​ไว้​ตรง​หน้า​ผม พร้อม​กับ​มี​การ​ขอ​ให้​ผม​เขียน​ชื่อ​พยาน​ฯ คน​อื่น​ลง​ใน​กระดาษ​แผ่น​นั้น. เมื่อ​ชาย​คน​นั้น​กลับ​มา​หลัง​จาก​เวลา​ผ่าน​ไป​ได้​สัก​ชั่วโมง​หนึ่ง กระดาษ​แผ่น​นั้น​ยัง​ว่าง​เปล่า และ​ผม​อธิบาย​ว่า​ผม​ไม่​สามารถ​ให้​ชื่อ​ใคร​ได้​ทั้ง​นั้น. สัปดาห์​ต่อ​มา เหตุ​การณ์​แบบ​เดิม​ก็​เกิด​ขึ้น​อีก. แต่​คราว​นี้​ผม​ถูก​ทุบ​ตี และ​ขณะ​ที่​ผม​กลับ​ออก​มา ผม​ถูก​เตะ​จน​กลิ้ง​ออก​ไป​ถึง​ทาง​เดิน.

หลัง​จาก​นั้น ผม​ก็​ไม่​ถูก​รบกวน​อีก​เป็น​เวลา​หนึ่ง​ปี. แล้ว​ตำรวจ​ก็​ส่ง​ชาย​คน​หนึ่ง​มา​พบ​ผม. เขา​เคย​เป็น​เพื่อน​เชลย​ใน​ค่าย​กัก​กัน​นาซี. เขา​บอก​ผม​ว่า “เรา​ต้อง​เปลี่ยน​วิธี​จัด​การ​กับ​พวก​คุณ. เมื่อ​เรา​จับ​พยาน​ฯ คน​หนึ่ง​เข้า​คุก ห้า​คน​จะ​ออก​มา.” สิ่ง​ที่​รัฐบาล​ต้องการ​จะ​ทำ​ก็​คือ​ควบคุม​กิจการ​งาน​ของ​เรา​ให้​ได้ อย่าง​น้อย​ก็​ใน​ระดับ​หนึ่ง. อย่าง​ไร​ก็​ตาม ผม​ตั้งใจ​แน่วแน่​ว่า​จะ​ไม่​ให้​ข้อมูล​ใด ๆ ที่​อาจ​ช่วย​พวก​เขา​ให้​ทำ​เช่น​นั้น​ได้.

เป็น​เวลา​หลาย​ปี ผม​เป็น​คน​หนึ่ง​ท่ามกลาง​คน​เหล่า​นั้น​ที่​ต้อง​ไป​เผชิญ​หน้า​เป็น​ระยะ ๆ กับ​พวก​ตำรวจ​ลับ. บาง​ครั้ง​พวก​เขา​ก็​ปฏิบัติ​ต่อ​เรา​เหมือน​กับ​เพื่อน แต่​บาง​ครั้ง​เขา​ก็​ส่ง​ใคร​คน​หนึ่ง​ใน​พวก​เรา​เข้า​คุก. น่า​ยินดี​ที่​ผม​ไม่​เคย​ถูก​จำ​คุก​เลย แต่​การ​ไป​พบ​ตำรวจ​แบบ​ที่​ไม่​พึง​ปรารถนา​นั้น​ก็​ได้​ดำเนิน​เรื่อย​มา​จน​กระทั่ง​ถึง​ปี 1989 ซึ่ง​เป็น​ปี​ที่​ระบอบ​คอมมิวนิสต์​ใน​เชโกสโลวะเกีย​ล่ม​สลาย.

ไม่​กี่​สัปดาห์​หลัง​จาก​การ​ล่ม​สลาย สมาชิก​ฝ่าย​ความ​มั่นคง​ของ​รัฐ​ที่​มี​ตำแหน่ง​สูง​คน​หนึ่ง​จาก​เมือง​บราติสลาวา​ได้​มา​เยี่ยม​ผม. เขา​กล่าว​ขอ​โทษ​ว่า “ถ้า​ทั้ง​หมด​ขึ้น​อยู่​กับ​ผม​ละ​ก็ พวก​เรา​คง​ไม่​มา​ยุ่ง​อะไร​กับ​คุณ​หรอก.” แล้ว​เขา​ก็​หอบ​ถุง​ผลไม้​กระป๋อง​สอง​ถุง​ออก​มา​จาก​รถ​ให้​ผม​เป็น​ของ​กำนัล.

พระ​ยะโฮวา​เป็น​ป้อม​เข้มแข็ง

แม้​ว่า​ช่วง 40 ปี​แรก​ของ​ผม​ใน​การ​เป็น​พยาน​พระ​ยะโฮวา​จะ​อยู่​ใน​ช่วง​ที่​มี​การ​สั่ง​ห้าม แต่​ผม​ก็​มี​ชีวิต​ที่​มี​ความ​สุข​และ​น่า​พอ​ใจ. สิ่ง​ต่าง ๆ ที่​เรา​ได้​ประสบ​ระหว่าง​ช่วง​หลาย​ปี​นั้น​ทำ​ให้​เรา​ใกล้​ชิด​กับ​เพื่อน​ร่วม​ความ​เชื่อ​ที่​สัตย์​ซื่อ​มาก​ยิ่ง​กว่า​แต่​ก่อน. เรา​ถือ​ว่า​มิตรภาพ​ของ​เรา​เป็น​สิ่ง​ที่​ล้ำ​ค่า​และ​อาศัย​ความ​ไว้​วางใจ​ที่​เรา​มี​ต่อ​กัน.

ใน​เดือน​มีนาคม 2003 ผม​ต้อง​ประสบ​กับ​ความ​โศก​เศร้า​เนื่อง​จาก​การ​สูญ​เสีย​โอลกา ภรรยา​สุด​ที่​รัก​ของ​ผม. เธอ​เป็น​เพื่อน​ที่​ภักดี​ตลอด​ชีวิต​สมรส​ของ​เรา. เรา​ง่วน​อยู่​กับ​งาน​รับใช้​ของ​คริสเตียน​ตลอด​ช่วง​เวลา​เหล่า​นั้น. ตอน​นี้ ผม​ยัง​คง​เป็น​ผู้​ปกครอง​คริสเตียน​ใน​ประชาคม​ของ​เรา และ​คอย​มอง​หา​คน​ที่​สนใจ​อยาก​ศึกษา​ที่​ผม​จะ​แบ่ง​ปัน​ความ​จริง​ใน​คัมภีร์​ไบเบิล​แก่​เขา​ได้. พระ​นาม​ยะโฮวา ที่​ผม​ได้​ยิน​เป็น​ครั้ง​แรก​ใน​ที่​หลบ​ภัย​ระหว่าง​ช่วง​สงคราม​โลก​ครั้ง​ที่​สอง ยัง​คง​เป็น​ป้อม​เข้มแข็ง​สำหรับ​ผม. *สุภาษิต 18:10.

[เชิงอรรถ]

^ วรรค 33 ขณะ​ที่​กำลัง​เตรียม​บทความ​นี้ บราเดอร์​ปาโวล โควาร์ ได้​เสีย​ชีวิต​เมื่อ​วัน​ที่ 14 กรกฎาคม 2007 ด้วย​อายุ 85 ปี.

[ภาพ​หน้า 12]

ใน​ปี 1942 ตอน​ที่​ผม​อยู่​ใน​กองทัพ​สโลวาเกีย

[ภาพ​หน้า 12]

หลัง​จาก​นั้น ผม​ถูก​ขัง​ใน​คุก​ที่​อยู่​ติด​กับ​ค่าย​กัก​กัน​เมา​เทา​เซน (ใน​ภาพ​ด้าน​หลัง)

[ที่​มา​ของ​ภาพ]

© ČTK

[ภาพ​หน้า 12]

พ่อ​อ่าน​คัมภีร์​ไบเบิล ให้​พวก​เรา​ฟัง​ตอน​เช้า​วัน​อาทิตย์

[ภาพ​หน้า 13]

วัน​แต่งงาน​ของ​เรา​ใน​ปี 1946

[ภาพ​หน้า 15]

กับ​โอลกา ไม่​นาน​ก่อน​เธอ​เสีย​ชีวิต