11 มิถุนายน 2019
รัสเซีย
คำให้การของเดนนิส คริสเตนเซนต่อศาลในวันที่ 16 พฤษภาคม
วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม 2019 ในระหว่างการพิจารณาคำอุทธรณ์ของเดนนิส เขามีโอกาสพูดต่อหน้าศาลเกือบหนึ่งชั่วโมง ข้อความต่อไปนี้เป็นบันทึกคำให้การที่มีพลังของเขาต่อศาล (แปลจากภาษารัสเซีย)
มีคนไม่ดีคนหนึ่งเคยบอกว่า ‘คำโกหก ยิ่งพูดเยอะก็ยิ่งเชื่อว่าจริง’ พูดอีกอย่างคือ ‘คำโกหกที่พูดซ้ำเป็นพัน ๆ ครั้ง ในที่สุดมันก็จะกลายเป็นความจริง’ คำโกหกที่บางคนพยายามหลอกว่าเป็นความจริง ทำให้เกิดปัญหามากมายและทำให้คนบริสุทธิ์ต้องเดือดร้อน
ทั้งหมดที่ผมเพิ่งกล่าวไปนี้เป็นอดีตไปแล้ว หลายคนคิดว่าสมัยนี้เป็นศตวรรษที่ 21 แล้ว และประวัติศาสตร์ก็สอนบทเรียนเรื่องนี้ให้กับเรา
แต่ในกรณีนี้ดูเหมือนว่าไม่เป็นอย่างนั้น มีการใช้คำโกหกซ้ำ ๆ ในการพิจารณาคดีของผมและพยานพระยะโฮวาคนอื่น ๆ ในรัสเซีย และนี่เป็นอีกครั้งที่คำโกหกนี้ทำให้เกิดปัญหามากมาย และทำให้คนบริสุทธิ์หลายคนต้องเดือดร้อน
ในกรณีของผม มีการโกหกว่าผมยังทำกิจกรรมที่ถูกสั่งห้ามอย่างลับ ๆ กับองค์กรศาสนาท้องถิ่น (LRO) ของพยานพระยะโฮวาในเมืองโอริออล ซึ่งศาลได้ตัดสินว่าเป็นกิจกรรมคลั่งลัทธิ
มีการกล่าวหาในเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกตลอดการพิจารณาคดีโดยไม่มีหลักฐาน ผู้กล่าวหาใช้วิธีนี้เพื่อพยายามทำให้คำโกหกของพวกเขากลายเป็นความจริง
ความจริงก็คือ ผมไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรทั้งนั้นกับองค์กรศาสนาท้องถิ่นของพยานพระยะโฮวาในเมืองโอริออล
ใช่ครับ ผมเป็นคริสเตียน เป็นพยานพระยะโฮวา ผมกับเพื่อน ๆ ไปร่วมการประชุมที่จัดขึ้นโดยกลุ่มศาสนาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับองค์กรศาสนาท้องถิ่นของพยานพระยะโฮวาในเมืองโอริออล สิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายมาตรา 28 ของรัฐธรรมนูญของสหพันธรัฐรัสเซีย
ผมไม่ได้ทำกิจกรรมขององค์กรศาสนาท้องถิ่นของพยานพระยะโฮวาในเมืองโอริออลที่ได้ถูกสั่งห้าม และไม่ได้ทำผิดกฎหมายใด ๆ ของรัสเซีย ผมไม่เคยทำอะไรที่แสดงถึงการคลั่งลัทธิ
หลายคนถามผมว่า “ทำไมพยานพระยะโฮวาที่รักสันติถึงถูกเรียกว่าพวกคลั่งลัทธิ? พวกเขาทำอะไรที่แสดงว่าคลั่งลัทธิ?” ผมตอบว่า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน!”
พยานพระยะโฮวารักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง พวกเขาพยายามทำสิ่งที่ดีเพื่อสังคม (เพื่อประโยชน์ของสังคม) พวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์ที่เชื่อฟังกฎหมายบ้านเมืองและเสียภาษี พวกเขาทำอะไรที่แสดงว่า “คลั่งลัทธิ?” โดยส่วนตัวแล้วผมไม่รู้ และจากการพิจารณาคดีนี้ ผมก็ยังไม่ได้คำตอบสำหรับคำถามนี้เลย
ผมถูกกล่าวหาว่ายังทำกิจกรรมของนิติบุคคลกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีสมาชิกประมาณ 10 คน นิติบุคคลกลุ่มนี้ได้รับการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกำหมายแล้ว แต่ต่อมาศาลตัดสินว่ากลุ่มนี้เป็นพวกคลั่งลัทธิ ผมทำกิจกรรมของนิติบุคคลกลุ่มนี้ตั้งแต่เมื่อไรและยังไง? ผมไปทำอะไรที่แสดงว่าคลั่งลัทธิเหรอ?
ในช่วงพิจารณาคดี ผมไม่ได้สักคำตอบเลยสำหรับคำถามเหล่านี้ คุณรู้ไหมว่าทำไม? เพราะคนที่กล่าวหาผมกำลังพยายามทำให้เรื่องโกหกกลายเป็นเรื่องจริงโดยพูดซ้ำ ๆ
ในรัสเซีย มีบางคนกำลังพยายามอย่างมากที่จะทำให้พยานพระยะโฮวาที่รักสันติกลายเป็นพวกคลั่งลัทธิ แต่นี่ไม่ยุติธรรมเลย และนี่ไม่ใช่ความจริง พยานพระยะโฮวาไม่ได้เป็นพวกคลั่งลัทธิ คุณรู้ไหมว่าทำไม?
อย่างแรก พยานพระยะโฮวาไม่ใช้อาวุธและไม่มีส่วนในความขัดแย้งรุนแรง ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเยอรมนี พวกเขาถึงกับยอมตายเพื่อจะไม่เข้าร่วมกับกองทัพเยอรมันที่ชื่อเวร์มาคท์ พวกเขาไม่ได้ไปสู้รบและไม่ได้ฆ่าทหารโซเวียต
ในสหภาพโซเวียต พยานพระยะโฮวาถูกข่มเหงอย่างรุนแรงและถูกกล่าวหาว่าต่อต้านระบอบคอมมิวนิสต์และเป็นอันตรายต่อชาติ แต่พยานฯ ก็ไม่ได้เกลียดชังคนที่ข่มเหงพวกเขา
พยานพระยะโฮวาในทุกวันนี้เป็นสังคมพี่น้องทั่วโลกที่มาจากหลายประเทศและหลายเชื้อชาติ พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่ร่วมกันอย่างสงบและมีสันติ สิ่งนี้พิสูจน์ว่าถึงพวกเราจะแตกต่างกัน แต่ก็เอาชนะความแตกต่างที่แบ่งแยกมนุษยชาติได้
สอง ไม่มีที่ไหนในโลกนอกจากรัสเซียที่กล่าวหาว่าพยานพระยะโฮวาเป็นพวกคลั่งลัทธิ พยานพระยะโฮวานมัสการพระเจ้าได้อย่างเปิดเผยและสงบสุขมากกว่า 200 ดินแดนทั่วโลก พวกเขามีชื่อเสียงว่าเป็นคนรักสันติ ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยกับการคลั่งลัทธิ
พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกันเพราะมีความเชื่อเหมือนกันโดยอาศัยคำสอนในคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งกระตุ้นพวกเขาให้แสดงคุณลักษณะที่ดีเช่น ความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทนอดกลั้น ความกรุณา ความดี ความเชื่อ ความอ่อนโยน และการควบคุมตัวเอง
ในคัมภีร์ไบเบิล คุณลักษณะเหล่านี้ถูกเรียกว่า “ผลที่เกิดจากพลังของพระเจ้า” คุณลักษณะเหล่านี้ไม่ทำให้เกิดปัญหาในสังคม คุณลักษณะเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับการคลั่งลัทธิเลย แทนที่จะเป็นอย่างนั้น คุณลักษณะเหล่านี้เป็นประโยชน์กับทุกคน
สาม แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนชาวรัสเซียก็ยังตำหนิที่มีการเอากฎหมายต่อต้านการคลั่งลัทธิมาใช้กับพยานพระยะโฮวา พวกเขาหลายคนพูดอย่างชัดเจนว่าการทำแบบนี้ทำให้รัสเซียซึ่งเป็นประเทศที่อ้างว่าปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยได้รับความอับอาย ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับความนับถือเหล่านี้คงไม่รู้สึกอย่างนั้นถ้ามีหลักฐานที่แสดงว่าพยานพระยะโฮวาเป็นพวกคลั่งลัทธิจริง
สี่ ประเทศอื่น ๆ ก็ประณามที่รัสเซียเอากฎหมายต่อต้านการคลั่งลัทธิมาใช้กับพยานพระยะโฮวา สมัชชารัฐสภาแห่งสภายุโรปกระตุ้นรัฐบาลรัสเซียให้หยุดใช้กฎหมายนี้กับพยานพระยะโฮวา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้ตำหนิหลายครั้งที่รัสเซียใช้กฎหมายต่อต้านการคลั่งลัทธิกับพยานพระยะโฮวา และทำให้คนบริสุทธิ์และรักสันติต้องถูกข่มเหง
พระเยซูคริสต์เตือนผู้ติดตามท่านว่า “ถ้าพวกเขาข่มเหงผม พวกเขาจะข่มเหงพวกคุณด้วย” (ยอห์น 15:20) a สุดท้ายพระเยซูถูกตัดสินว่ามีความผิดและถูกประหารด้วยข้อหาเท็จว่าคลั่งลัทธิ นั่นเป็นความไม่ยุติธรรมอย่างมาก
แต่เราไม่ได้อยู่ในศตวรรษแรกและไม่ได้อยู่ในยุคกลาง เราอยู่ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นสมัยที่ทุกคนควรได้รับสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพทางศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน
ถูกไหมที่จะห้ามคน ๆ หนึ่งไม่ให้เชื่อพระเจ้า และจำคุกเขาด้วยเหตุผลนี้? ผมเชื่อว่านั่นไม่ถูกต้อง เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศที่ปกครองแบบเผด็จการเท่านั้น ไม่ใช่ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยตามกฎหมาย ซึ่งผมหวังว่ารัสเซียก็เป็นอย่างนั้น หรืออย่างน้อยก็พยายามจะเป็นประเทศแบบนั้น
ในระหว่างการพิจารณาคดีนี้ มีบางคนบอกว่าถ้าใครมีความเชื่อและพูดอย่างเปิดเผยว่าศาสนาของเขาเป็นศาสนาแท้ นั่นก็คือการคลั่งลัทธิ แต่นี่ไม่มีเหตุผลเลย เพราะทุกคนที่มีศาสนาก็เชื่อว่าศาสนาที่ตัวเองนับถือเป็นศาสนาแท้ ไม่อย่างนั้นเขาจะนับถือต่อไปทำไมถ้าไม่เชื่อว่าศาสนาที่ตัวเองนับถือเป็นศาสนาแท้
ถ้าข้อโต้แย้งนี้มีเหตุผลเพียงพอที่จะตัดสินว่าใครเป็นคนคลั่งลัทธิ แสดงว่าพระเยซูก็เป็นคนคลั่งลัทธิด้วย ท่านบอกปอนทิอัสปีลาตว่า “เหตุผลที่ผมเกิดมาและเข้ามาในโลกก็เพื่อเป็นพยานยืนยันความจริง ทุกคนที่รักความจริงจะฟังผม”—ยอห์น 18:37
สิ่งที่พระเยซูพูดหมายความว่าเราสามารถพบความจริงในคัมภีร์ไบเบิลได้ พระเยซูประกาศความจริงและสอนความจริงให้กับเหล่าสาวกของท่าน ท่านไม่ได้หมายถึงความจริงทั่วไป แต่ท่านพูดความจริงเกี่ยวกับความประสงค์ของพระเจ้า ซึ่งก็คือ พระองค์ต้องการให้พระเยซู “ลูกหลานดาวิด” รับใช้เป็นมหาปุโรหิตและปกครองในรัฐบาลของพระเจ้า
พระเยซูอธิบายว่า จุดประสงค์หลักที่ท่านมาบนโลก รวมถึงชีวิตและงานรับใช้ของท่านบนโลกก็เพื่อประกาศความจริงเรื่องรัฐบาลนั้น แล้วผู้คนในทุกวันนี้มองว่าการที่พระเยซูประกาศความจริง ทำให้ท่านเป็นคนคลั่งลัทธิไหม?
พยานพระยะโฮวาทำตามตัวอย่างของพระเยซูและประกาศความจริงที่เขียนไว้ในคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งบอกว่ารัฐบาลของพระเจ้าเป็นทางออกเดียวเท่านั้นสำหรับปัญหาทุกอย่างของมนุษย์ พวกเขาบอกเรื่องที่อยู่ในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเป็นถ้อยคำของพระเจ้ากับทุกคน
ครั้งหนึ่ง พระเยซูอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ถ้อยคำของพระองค์เป็นความจริง ขอให้ความจริงนี้ทำให้พวกเขาบริสุทธิ์” (ยอห์น 17:17) ดังนั้น สำคัญมากที่ทุกคนจะได้เรียนความจริงจากคัมภีร์ไบเบิล การทำอย่างนี้มีประโยชน์และไม่เกี่ยวอะไรเลยกับการคลั่งลัทธิ
ไม่ได้มีแค่พยานพระยะโฮวาเท่านั้นที่เห็นค่าคัมภีร์ไบเบิล มิคาอิล โลโมโนซอฟ นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียบอกว่า “ผู้สร้างได้ให้หนังสือกับมนุษย์ 2 เล่ม เล่มหนึ่งเปิดเผยถึงพลังอำนาจของพระองค์ และอีกเล่มเปิดเผยความประสงค์ของพระองค์ หนังสือเล่มแรกก็คือโลกที่พระองค์สร้าง ... เล่มที่สองก็คือพระคัมภีร์บริสุทธิ์”
เห็นได้ชัดว่า โลโมโนซอฟศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างละเอียด และเขาเข้าใจถูกต้อง เราเรียนหลายอย่างเกี่ยวกับพระเจ้าโดยสังเกตสิ่งที่พระองค์สร้าง และถ้าเราอ่าน ศึกษา และใคร่ครวญถ้อยคำของพระองค์ ซึ่งก็คือคัมภีร์ไบเบิล เราก็จะเรียนเกี่ยวกับพระองค์ได้มากขึ้นอีก
คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “พระคัมภีร์ทุกตอน พระเจ้าดลใจให้เขียนขึ้นมา มีประโยชน์สำหรับสอน ... และสั่งสอนคนให้ทำสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อคนของพระเจ้าจะมีความสามารถเพียงพอ และมีความพร้อมสำหรับงานที่ดีทุกอย่าง” (2 ทิโมธี 3:16, 17) สำหรับงานที่ดีทุกอย่าง!
ผมเข้าร่วมและมีส่วนร่วมในการประชุมคริสเตียนที่จัดขึ้นโดยกลุ่มศาสนาซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับองค์กรศาสนาท้องถิ่นของพยานพระยะโฮวาในเมืองโอริออล ในการประชุมนั้น เราคุยกันว่าเราจะทำงานที่ดีเพื่อคนอื่นได้ยังไง
ในคลิปวีดีโอ 2 ไฟล์ที่เราได้ดูในศาลเกี่ยวกับการประชุมของเรา ในวันที่ 19 และ 26 กุมภาพันธ์ 2017 เห็นได้ชัดว่าไม่มีการพูดหรือทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับการคลั่งลัทธิเลย เราคุยกันเกี่ยวกับคำสอนของคัมภีร์ไบเบิลที่เป็นประโยชน์มากสำหรับผู้คน การประชุมนี้สงบและทุกคนก็มีความสุข ซึ่งเป็นเรื่องปกติในการประชุมของพยานพระยะโฮวา
คำสอนของคัมภีร์ไบเบิลที่เราคุยกันไม่เป็นอันตรายต่อสังคม ในทางตรงกันข้าม คำสอนเหล่านี้ช่วยเหลือและปลอบโยนผู้คนมากมาย สำหรับคนที่กำลังเสียใจเพราะสูญเสียคนที่รักไป คัมภีร์ไบเบิลมีคำสัญญาที่ให้กำลังใจว่า “ศัตรูตัวสุดท้ายที่จะถูกทำลายคือความตาย”—1 โครินธ์ 15:26
ความตายเป็นศัตรูของมนุษย์ทุกคน แต่ไม่ใช่ศัตรูที่น่ากลัวสำหรับพระเจ้า พระองค์ให้คำสัญญากับเราที่อิสยาห์ 25:8 ว่า “พระองค์จะทำลายความตายให้สาบสูญไปตลอดกาล พระยะโฮวาพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดจะเช็ดน้ำตาให้ทุกคน”
ลองนึกภาพในตอนนั้นดูสิครับ! จะไม่มีงานศพหรือสุสานอีกต่อไป น้ำตาแห่งความยินดีจะมาแทนที่น้ำตาแห่งความเสียใจเมื่อพระเจ้าทำให้คำสัญญาที่น่าตื่นเต้นของพระองค์เป็นจริง คือพระองค์จะปลุกคนตายให้ฟื้น และในที่สุด ความเจ็บปวดและความเสียใจเพราะความตายจะไม่มีอีกต่อไป
ความหวังนี้มีค่ากับผมมาก เพราะผมเสียคนที่ผมรักไปหลายคน ตอนอยู่ในคุก คนที่ผมรักและสนิทมากคนหนึ่งได้จากผมไป เขาคือเฮลกา มาร์เกรเธอ คริสเตนเซน คุณย่าของผม
ย่าเป็นคนแรกในครอบครัวที่เรียนคัมภีร์ไบเบิลและได้มาเป็นพยานพระยะโฮวา ย่าสอนความจริงในคัมภีร์ไบเบิลให้พ่อ แล้วก็สอนผมด้วย ทุกคนที่รู้จักย่าไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน หรือครอบครัว ต่างก็รักและนับถือย่า
ย่ารักและนับถือคนอื่น ๆ เหมือนกัน ไม่ว่าพวกเขาจะมีความเชื่อแบบไหน เชื้อชาติไหน หรือสีผิวอะไร ย่าพยายามช่วยทุกคน และทำสิ่งดี ๆ ให้เพื่อนบ้าน น่าเศร้าถ้ามีบางคนจะเรียกย่าว่าพวกคลั่งลัทธิ แต่คนที่รู้จักหาเหตุผลคงไม่พูดอย่างนั้น
ผมรอวันที่พระเจ้าจะทำให้ย่าฟื้นขึ้นจากตาย เราจะได้เจอกันอีก น่าเสียดายที่ผมไปร่วมงานศพของย่าไม่ได้ ไปให้กำลังใจครอบครัวที่กำลังโศกเศร้าก็ไม่ได้ เพราะผมถูกคุมขังด้วยข้อหาคลั่งลัทธิที่ไร้สาระนี้
ความหวังเรื่องการฟื้นขึ้นจากตายในคัมภีร์ไบเบิลให้กำลังใจผม และช่วยให้ผมมั่นใจว่า ผมไม่ได้สูญเสียย่าไปตลอดกาล และวันหนึ่งเราจะได้พบกันอีกในโลกที่จะมีแต่สิ่งดี ๆ ภายใต้การปกครองของรัฐบาลพระเจ้า ถ้าความหวังนี้ช่วยปลอบโยนผมได้ ผมก็เชื่อว่าความหวังนี้จะช่วยปลอบโยนคนอื่นได้เหมือนกัน
ในการประชุม เรายังคุยกันถึงความจริงในคัมภีร์ไบเบิลเรื่องอุทยานที่จะเกิดขึ้นบนโลกในอนาคต ซึ่งจะมีอาหารเพียงพอสำหรับทุกคน จะมีสันติสุข จะไม่มีใครป่วย เหมือนที่บอกในคำพยากรณ์ของอิสยาห์ 33:24 ว่า “และจะไม่มีใครที่อยู่ในแผ่นดินนั้นพูดว่า ‘ฉันป่วย’ เพราะผู้คนที่อยู่ที่นั่นได้รับการยกโทษและไม่มีความผิดแล้ว”
การบอกคำสัญญาเหล่านี้กับคนอื่นจะเป็นอันตรายต่อสังคมได้อย่างไร? ในทางตรงกันข้าม คำสัญญาเหล่านี้ให้ความหวังกับผู้คนและทำให้พวกเขามีความสุข พระเยซูเองบอกว่า “คนที่ได้ยินคำสอนของพระเจ้าและทำตามนั่นแหละถึงจะมีความสุข”—ลูกา 11:28
จะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ก็เป็นการตัดสินใจของแต่ละคน พระเจ้าไม่บังคับใครให้รับใช้พระองค์ ที่เยเรมีย์ 39:11 มีการบันทึกถ้อยคำของพระองค์ว่า “พระยะโฮวาบอกว่า ‘เพราะเรารู้ว่าเราจะทำอะไรให้พวกเจ้า เราจะให้พวกเจ้ามีสันติสุข ไม่ต้องเจอหายนะ และพวกเจ้าจะมีอนาคตที่ดีและมีความหวัง”
พระเจ้าให้โอกาสเรามีชีวิตที่ดีที่สุด คือให้เรามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระองค์ พยานพระยะโฮวากำลังเชิญให้ทุกคนเลือกชีวิตที่ดีที่สุดนี้ คือให้ใกล้ชิดกับพระเจ้าซึ่งจะทำให้ได้ชีวิตตลอดไป ทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการคลั่งลัทธิเลย อะไรคือ “กิจกรรมคลั่งลัทธิ” ของผม แล้วทำไมคนที่กล่าวหาผมถึงอยากให้ผมติดคุก 6 ปีเพราะเรื่องนี้?
ผมไม่ได้ทำตัวเหมือนอาชญากรหรือคนคลั่งลัทธิ ทั้งเพื่อนบ้าน ตำรวจแถวบ้านผม และเจ้าหน้าที่ในคุกนี้ต่างก็พูดถึงผมในแง่ดี ผมเลยอยากจะถามอีกครั้งว่า “อะไรคือ ‘กิจกรรมคลั่งลัทธิ’ ของผม แล้วทำไมคนที่กล่าวหาผมถึงอยากให้ผมติดคุก 6 ปีเพราะเรื่องนี้?”
ผมไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย และตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ผมก็ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย บางที ศาลอุทธรณ์อาจจะให้คำตอบอย่างละเอียดกับผมได้ เพราะศาลชั้นต้นไม่ได้ตอบคำถามของผมเลย
อย่างที่ผมเคยพูดไปแล้ว เราอยู่ในศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่ยุคกลาง ผู้คนในทุกวันนี้มีการศึกษามากกว่าเมื่อก่อน แต่น่าเศร้ามากที่คนในรัสเซียถูกข่มเหงอีกครั้งเพราะความเชื่อ และถึงกับถูกทรมานเพราะความเชื่อเลยด้วยซ้ำ
เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2019 คณะกรรมการสอบสวนเมืองซูร์กุตทรมานพยานพระยะโฮวา 7 คนเพื่อบังคับให้พวกเขาพูดในสิ่งที่ผู้สอบสวนอยากได้ยิน พยานฯ กลุ่มนี้ไม่สามารถใช้สิทธิ์ตามกฎหมายมาตรา 51 ของรัฐธรรมนูญสหพันธรัฐรัสเซียที่บอกว่า ทุกคนมีสิทธิ์ปฏิเสธที่จะให้การกล่าวโทษตัวเองหรือคนที่เขารัก
พวกเขาถูกบังคับให้คุกเข่าและยกมือขึ้น ถูกตีที่หัวและตามร่างกาย ถูกเยาะเย้ยเพราะเชื้อชาติและศาสนาของพวกเขา ถูกเอาถุงคลุมหัวและใช้เทปพันรอบคอเพื่อให้หายใจไม่ออก พวกเขาถูกมัดมือไพล่หลังและถูกมัดขาด้วย พวกเขาถูกตะโกนใส่และถูกบังคับให้พูดตามคำสั่ง หลายครั้งที่บางคนรู้สึกว่าเขาเกือบตายและหมดสติไปเพราะหายใจไม่ได้ แล้วพวกเขาก็ถูกเอาน้ำราดและช็อตด้วยปืนไฟฟ้า
รายละเอียดของเหตุการณ์ทั้งหมดนี้อยู่ในรายงานของผู้เชี่ยวชาญ แต่กลับไม่มีใครตั้งข้อหากับคณะกรรมการสอบสวนเลยสักข้อเดียว คนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ทำเป็นตาบอดมองไม่เห็นหรืออ้างว่าคนพวกนั้นทำร้ายตัวเอง แต่นั่นไม่มีเหตุผล! เป็นคำโกหกที่ชั่วร้ายมาก!
ทั้งหมดนี้ทำให้ประวัติของรัสเซียในปัจจุบันเสื่อมเสีย และผมหวังว่าผู้ที่ทำผิดจะถูกดำเนินคดีและตัดสินลงโทษ พวกเขาทำอย่างนี้กับคนอื่นได้อย่างไร? พวกเขาใช้วิธีทรมานที่โหดเหี้ยมทารุณแบบเดียวกับฮิตเลอร์และสตาลินได้อย่างไร? ผมหวังว่าครั้งนี้จะไม่เป็นอย่างนั้น ผมหวังจริง ๆ ว่าความผิดพลาดนี้จะได้รับการแก้ไขในไม่ช้า!
คำตัดสินของศาลชั้นต้นอ่านว่า “การที่บุคคลยังคงทำกิจกรรมของกลุ่มศาสนาที่ศาลสั่งให้ยุติการดำเนินงานเนื่องจากศาลเห็นว่าเป็นกลุ่มคลั่งลัทธิ ก็ถือว่าคนนั้นเป็นคนคลั่งลัทธิและจะได้รับโทษตามกฎหมาย” เรื่องนี้เข้าใจได้ แต่มันเกี่ยวอะไรกับผม?
ทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวกับผมเลย! ผมไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรศาสนาท้องถิ่นของพยานพระยะโฮวาในเมืองโอริออล ผมไม่ได้สานต่อกิจกรรมขององค์กรที่ถูกสั่งห้ามนี้
ทุกอย่างที่ผมทำเป็นหน้าที่ของคริสเตียน ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนิติบุคคลขององค์กรศาสนาท้องถิ่นของพยานพระยะโฮวาในเมืองโอริออล ทุกอย่างที่ผมทำถูกต้องตามกฎหมายมาตรา 28 ของรัฐธรรมนูญสหพันธรัฐรัสเซีย
ผมไม่เคยถือว่าสิ่งที่ผมทำเป็นการสานต่องานขององค์กรศาสนาท้องถิ่นของพยานพระยะโฮวาในเมืองโอริออลที่ “ผิดกฎหมาย” ในคลิปเสียงคุยโทรศัพท์ที่เราได้ฟังในศาล ผมพูดกับเพื่อนของผมว่า “เราเป็นกลุ่มศาสนา เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรศาสนาท้องถิ่นในเมืองโอริออล หรือสำนักงานสาขา”
ศาลชั้นต้นเมินเฉยต่อหลักฐานนี้แต่กลับยอมรับคำให้การเท็จของพยานลับที่เป็นเจ้าหน้าที่ FSB ในนาม เอ. พี. เยอร์โมลอฟ ศาลอุทธรณ์สามารถยืนยันได้ว่า จริง ๆ แล้ว เอ. พี. เยอร์โมลอฟ คือ โอเลก เกนนาไดวิช เคิร์ดยูมอฟ
ตอนแรก โอเลก เคิร์ดยูมอฟ ให้การว่าเขาไม่รู้อะไรเลย และใช้สิทธิ์ตามมาตรา 51 ของรัฐธรรมนูญสหพันธรัฐรัสเซียเพื่อปฏิเสธที่จะให้การ แต่วันต่อมา เขาให้การแตกต่างกับคำให้การครั้งแรกภายใต้นามแฝง เอ. พี. เยอร์โมลอฟ หลังจากนั้น เขาก็ให้การเพิ่มเติมภายใต้นามแฝงนี้
ตอนที่เราดูคลิปวีดีโอ 2 ไฟล์ในศาลเกี่ยวกับการประชุมคริสเตียนของเราที่จัดขึ้นวันที่ 19 และ 26 กุมภาพันธ์ 2017 ซึ่งการประชุมนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรศาสนาท้องถิ่นของพยานพระยะโฮวาในเมืองโอริออล เห็นได้ชัดว่าโอเลก เคิร์ดยูมอฟ เป็นคนที่แอบถ่ายวีดีโอระหว่างการประชุม มันน่าตลกเพราะตอนที่ดูวีดีโอ เรารู้ได้เลยว่ากล้องอยู่กับเขา กล้องจะย้ายไปตามที่เขาเดินไป และเมื่อมีคนเข้ามาหาเขา เราก็ได้ยินเขาพูดอย่างชัดเจนว่า “สวัสดีครับ ผมชื่อโอเลก”
นี่หมายความว่า ตอนแรกเขาเป็นเจ้าหน้าที่สายลับ FSB และแอบถ่ายการประชุมของเรา จากนั้น เขาเปิดเผยชื่อจริงและอ้างว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย วันต่อมา เขาให้การเท็จโดยใช้นามแฝง และโกหกอีกครั้งในศาล นี่ยุติธรรมไหม?
ตามกฎหมายแล้ว เจ้าหน้าที่ FSB ไม่มีสิทธิ์ให้การในศาลโดยใช้ชื่อปลอม แต่อัยการ สำนักงานอัยการ และผู้พิพากษาศาลชั้นต้นกลับเมินเฉยต่อเรื่องนี้และยอมให้เขาให้การเท็จ และตอนนี้คำให้การของเขากำลังถูกใช้เพื่อกล่าวหาผม ผมไม่เข้าใจเลยว่าศาลชั้นต้นยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
ผมยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินคดีถึงปล่อยให้เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ ทุกอย่างควรจะเป็นไปตามกฎหมายของประเทศ และไม่ควรปล่อยให้มีการละเมิดกฎหมายแบบนี้ แต่พวกเขาก็ไม่สนใจโดยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมขอให้ศาลอุทธรณ์อย่าเข้าใจผมผิด ผมไม่ได้เกลียดพวกเขา ผมมั่นใจว่าพวกเขาเป็นคนนิสัยดี และเป็นคนที่ผมอยากจะนั่งกินกาแฟด้วยกัน เราจะหัวเราะด้วยกันเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้ แต่ผมแค่ไม่พอใจกับการทำงานที่ไม่มีคุณภาพของพวกเขา ซึ่งมันแย่มาก ๆ แย่กว่าที่ผมพูดเยอะ
ดูเหมือนว่าผู้พิพากษาคดีในศาลชั้นต้นอยากจะใช้เจ้าหน้าที่สายลับของรัฐบาลคนนี้เพื่อเป็นพยานเท็จในการเอาผิดผม ทำไมน่ะเหรอ? เพราะเห็นชัดว่า เขายินยอมที่จะโกหกและพูดอะไรก็ได้เพื่อทำให้ผมเข้าคุก
แต่พยานแบบนั้นเชื่อถือไม่ได้และไม่ควรนับว่าตัวเขาเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ มันไม่ถูกที่จะใช้พยานเท็จเพื่อส่งคนบริสุทธิ์เข้าคุก
ประมาณ 2 ปีที่แล้ว ตอนที่มีการพิจารณาในศาลเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ขอยืดเวลากักตัวผมก่อนพิจารณาคดี ผมเคยบอกศาลว่า “ผมขอชีวิตของผมคืนเถอะครับ!” จนถึงตอนนี้ ผมยังขอเรื่องนี้อยู่
ผมรู้สึกว่าที่พวกเขาสั่งจำคุกผม ไม่ใช่แค่เพราะต้องการแยกผมออกจากสังคมและตัดสินให้มีความผิด แต่พวกเขายังต้องการให้ผมอยู่ห่างจากผู้คนเพื่อจะได้ไม่มีใครสนใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับการดำเนินคดีนี้
ที่จริง ผมถือว่าการจำคุกผมทั้งก่อนและระหว่างการพิจารณาคดีเป็นการทำผิดกฎหมายและเป็นการกระทำที่โหดร้าย พวกเขาพยายามทำอย่างนี้เพื่อไม่ให้ผมมีโอกาสพูดปกป้องตัวเองหรือทำให้สื่อได้รับรู้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจากมุมมองของผม แต่เวลานั้นจะมาถึงแน่นอน!
ใช่ครับ ผมอยากให้คุณเอาชีวิตของผมคืนมา ผมจะได้อยู่อย่างสงบในเมืองที่สวยงามนี้กับอีรีนาภรรยาของผม เกือบ 2 ปีที่ผ่านมานี้ ผมต้องใช้ชีวิตที่คนอื่นเลือกให้ ไม่ใช่แบบที่ตัวผมเลือกเอง
เจ้าหน้าที่ FSB ใส่ร้ายป้ายสีผม พวกเขาปลอมเอกสาร ปลอมงานวิจัย และใช้พยานเท็จโกหกต่อหน้าศาลเพื่อจะเอาผิดผม
พวกเขาทำทั้งหมดนี้เพื่อให้คนอื่น ๆ คิดว่า ผมซึ่งเป็นคริสเตียนที่รักสันติได้กลายเป็นคนคลั่งลัทธิที่เป็นอันตรายต่อคนอื่นและต่อความมั่นคงของชาติ ที่จริง ข้อกล่าวหาเหล่านี้มันตลกและไร้สาระมาก
น่าเศร้าที่ศาลชั้นต้นกลับเห็นด้วยกับข้อกล่าวหาเหล่านี้และเพิกเฉยต่อข้อเท็จจริง ผู้พิพากษาที่เคารพครับ ผมขอให้ท่านหยุดความไม่ยุติธรรมนี้และทำให้ความจริงปรากฏ ผมขอร้องท่าน “เอาชีวิตผมคืนมาเถอะครับ!”
อย่างที่ผมได้พูดเมื่อ 3 เดือนก่อนในศาลชั้นต้น “ผลของการตัดสินคดีนี้ที่ผมจะยอมรับได้ก็คือการพ้นจากข้อกล่าวหาทั้งหมด และถูกปล่อยตัว และได้รับการขอโทษและเงินชดเชย ผมจะไม่ยอมรับอะไรนอกเหนือจากนี้!” ผมยังรู้สึกแบบนี้อยู่จนถึงตอนนี้
ถ้าผลการตัดสินออกมานอกเหนือจากนี้ ผมก็ถือว่าไม่ยุติธรรม ผมจะอุทธรณ์ต่อศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปในเมืองสตราสบูร์ก ถ้าคดีของผมไปถึงที่นั่น ผมจะชนะแน่นอน
แล้วพอผมชนะ ทั้งศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป ผู้คนทั่วโลก และเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่มีตำแหน่งสูงหลายคนในรัสเซีย รวมถึงนายวลาดีมีร์ วลาดีมีโรวิช ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียจะต้องตกตะลึงและคิดว่าทำไมศาลเมืองโอริออลถึงไม่เห็นความจริงที่ชัดเจน ว่าข้อกล่าวหาที่ผมได้รับในคดีนี้เป็นคำโกหกที่พวกเขาพยายามทำให้เป็นความจริง โดยพูดมันซ้ำแล้วซ้ำอีก
ต้องทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอเพื่อจะได้รับความยุติธรรม? ถ้าในวันนี้ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเป็น ผมก็ยินดีจะบอกให้คุณและทุกคนที่อยู่ที่นี่ รวมถึงคนที่กำลังติดตามคดีนี้อยู่ให้รู้ว่า “ผมพร้อมแล้ว!”
ผมจะไม่ยอมแพ้เพราะรู้ว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิดตามที่ถูกกล่าวหา และความจริงอยู่ฝ่ายผม ผมไม่กลัวที่จะถูกส่งเข้าคุก ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นการตัดสินที่ไม่ยุติธรรมเลย
ผมไม่กลัว และไม่กังวล ผมมีความสงบในใจ พระยะโฮวาพระเจ้าของผมจะไม่ทิ้งผม และผมรู้สึกได้ว่าคำพูดต่อไปนี้เป็นจริงสำหรับผมแล้ว
โอ้ยาห์ ไม่ทำชั่วแน่นอน
แต่จดจำความรัก จากใจของฉัน
พระองค์ อยู่เคียงข้างกับฉัน
ฉันไม่เคยเหงา ไม่ทิ้งฉันเลย
โอ้ยาห์ คุ้มครองและป้องกัน
จะคอยดูแลฉัน จนวันสุดท้าย
พระเจ้าของฉัน พ่อและเพื่อนฉัน พระยะโฮวา
ทั้งหมดมีเพียงเท่านี้ครับ ขอบคุณทุกคนที่ฟังผม!
a เดนนิสยกข้อความจากฉบับแปลของสภาศาสนารัสเซีย อย่างไรก็ตาม เพื่อจุดประสงค์ของการแปล ข้อคัมภีร์ทุกข้อยกมาจากคัมภีร์ไบเบิลฉบับแปลโลกใหม่ ฉบับปรับปรุง