เรื่องราวชีวิตจริง
“ผมไม่เคยโดดเดี่ยวเลย”
อาจมีหลายสถานการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยว เช่น ตอนที่เราสูญเสียคนที่รัก ตอนที่เราอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย และตอนที่เราต้องอยู่คนเดียว ผมเคยเจอมันมาหมดแล้ว แต่พอมองย้อนกลับไป ผมก็รู้สึกเลยว่าผมไม่เคยโดดเดี่ยวเลย เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังว่าทำไมผมถึงรู้สึกแบบนั้น
ตัวอย่างของพ่อแม่
พ่อกับแม่ผมเคยเป็นคาทอลิกที่เคร่งมาก แต่พอพวกเขาได้เรียนคัมภีร์ไบเบิลและได้รู้ว่าพระยะโฮวาเป็นชื่อของพระเจ้า พวกเขาก็เลยเลิกเป็นคาทอลิกและกลายมาเป็นพยานพระยะโฮวาที่กระตือรือร้น พ่อผมเป็นช่างไม้และเคยแกะสลักรูปพระเยซู แต่ตอนนี้พ่อใช้ความสามารถของเขาในการเปลี่ยนบ้านชั้นล่างของเราให้กลายเป็นหอประชุมแห่งแรกในซานฮวน เดล มอนเต ซึ่งอยู่แถบชานเมืองของกรุงมะนิลาเมืองหลวงของฟิลิปปินส์
ผมเกิดในปี 1952 พ่อกับแม่สอนความจริงให้กับผมและพี่ชายอีก 4 คนและพี่สาวอีก 3 คน พอผมโตขึ้นพ่อก็สนับสนุนให้ผมอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวันวันละบท และเขาจะใช้หนังสือขององค์การหลายเล่มเพื่อศึกษากับผม เวลาที่มีผู้ดูแลหมวดหรือมีตัวแทนจากสำนักงานสาขามาที่ประชาคม บางครั้งพ่อกับแม่ก็จะชวนพวกเขาพักที่บ้านของเรา พี่น้องเหล่านี้ชอบเล่าประสบการณ์ดี ๆ ให้เราฟัง เราชอบมากและรู้สึกได้รับกำลังใจจริง ๆ นี่ก็เลยทำให้พวกเราทุกคนตั้งใจที่จะให้งานรับใช้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต
ผมได้เรียนหลายอย่างจากตัวอย่างของพ่อแม่ พวกเขาซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวามาก หลังจากที่แม่ผมป่วยและเสียชีวิต ผมกับพ่อก็เริ่มเป็นไพโอเนียร์ด้วยกันในปี 1971 แต่พอมาปี 1973 ตอนนั้นผมอายุ 20 พ่อก็ตาย การสูญเสียทั้งพ่อและแม่ทำให้ผมรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวมาก แต่ความหวังในคัมภีร์ไบเบิลที่เป็นเหมือนสมอเรือของชีวิตที่ “มั่นคงแน่นอน” ก็ช่วยยึดผมไว้ ทำให้ผมไม่เศร้าจนเกินไปและใกล้ชิดกับพระยะโฮวาเสมอ (ฮบ. 6:19) ไม่นานหลังจากที่พ่อผมตาย ผมก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นไพโอเนียร์พิเศษที่เกาะโครอนจังหวัดปาลาวัน
รู้สึกโดดเดี่ยวในเขตมอบหมายที่ไม่ง่าย
ตอนมาถึงเกาะโครอน ผมอายุ 21 ผมเป็นเด็กที่โตมาในเมือง พอมาถึงเกาะนี้ผมก็เลยตกใจมากว่าทำไมเกาะนี้น้ำไฟก็ไม่ค่อยจะมี และไม่ค่อยมีรถหรือมอเตอร์ไซค์เลย ถึงแม้ที่ประชาคมนั้นจะมีพี่น้องชายอยู่บ้าง แต่ผมไม่มีคู่ไพโอเนียร์และบางครั้งก็ต้องไปประกาศคนเดียว ในช่วงเดือนแรกของงานมอบหมายผมคิดถึงครอบครัวและเพื่อน ๆ มาก พอตก
กลางคืนผมมักจะมองขึ้นไปบนฟ้า ดูดวงดาว แล้วน้ำตาก็ค่อย ๆ ไหลลงบนหน้า ผมรู้สึกว่าไม่อยากจะทำงานมอบหมายนี้อีกต่อไปแล้วและอยากกลับบ้านในช่วงที่รู้สึกโดดเดี่ยวแบบนั้นผมจะระบายความรู้สึกกับพระยะโฮวา ผมมักจะคิดถึงสิ่งที่ได้อ่านในคัมภีร์ไบเบิลและในหนังสือขององค์การเรา เช่น สดุดี 19:14 มักจะเป็นข้อคัมภีร์ที่ผมนึกถึงบ่อย ๆ ถ้าผมคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้พระยะโฮวาพอใจ เช่น คุณลักษณะของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทำ ผมก็จะมองพระยะโฮวาว่าเป็น “หินที่แข็งแกร่งและเป็นผู้ไถ่ของผม” นอกจากนั้น มีบทความหนึ่งในหอสังเกตการณ์ ที่ชื่อว่า “คุณจะไม่โดดเดี่ยว” a บทความนี้ช่วยผมได้เยอะมาก ผมชอบอ่านบทความนี้ซ้ำ ๆ และในช่วงเวลาที่ผมต้องอยู่คนเดียว ผมจะมองว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่ได้อยู่กับพระยะโฮวาและเป็นโอกาสพิเศษที่ผมจะได้อธิษฐาน ศึกษาส่วนตัว และคิดใคร่ครวญ
ไม่นานหลังจากที่ผมมาถึงเกาะโครอน ผมก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแล ผมเป็นผู้ดูแลคนเดียวที่อยู่ที่นั่น ทุกอาทิตย์ผมก็เลยต้องนำการประชุมโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า การประชุมเพื่อการรับใช้ การศึกษาหนังสือประจำประชาคม และการศึกษาหอสังเกตการณ์ นอกจากนั้น ผมยังต้องบรรยายสาธารณะทุกอาทิตย์ด้วย ผมยุ่งมากจนไม่มีเวลารู้สึกเหงาเลย
งานประกาศที่เกาะโครอนดีมาก ผมมีความสุขที่ได้รับใช้ที่นั่น มีนักศึกษาของผมบางคนก้าวหน้าจนรับบัพติศมาด้วย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ต้องเจอข้อท้าทายบางอย่าง เช่น เวลาไปประกาศ บางครั้งผมต้องเดินครึ่งวันกว่าจะถึงเขตประกาศ แถมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปถึงแล้วจะได้นอนที่ไหน เขตของประชาคมเรายังรวมถึงเกาะเล็ก ๆ หลายเกาะด้วย ผมก็เลยต้องเดินทางโดยใช้เรือยนต์ผ่านทะเลที่มีคลื่นลมแรงทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ว่ายน้ำไม่เป็น ถึงแม้จะเจอข้อท้าทายเหล่านี้ แต่พระยะโฮวาก็คอยคุ้มครองและดูแลผม ผมได้มารู้ทีหลังว่านี่เป็นวิธีที่พระยะโฮวากำลังเตรียมตัวผมให้พร้อมสำหรับงานมอบหมายถัดไปซึ่งจะมีข้อท้าทายมากกว่านี้อีก
ปาปัวนิวกินี
ในปี 1978 ผมถูกมอบหมายไปที่ประเทศปาปัวนิวกินี ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของออสเตรเลีย ปาปัวนิวกินีเป็นประเทศที่มีภูเขาเยอะและประเทศนี้ก็ใหญ่มากพอ ๆ กับสเปน ผมแปลกใจมากที่ได้รู้ว่าที่นั่นมีประชากรประมาณ 3 ล้านคน แต่มีภาษาพูดมากกว่า 800 ภาษา ภาษาที่ผู้คนส่วนใหญ่พูดกันก็คือเมลานีเซียพิดจิน ซึ่งมักจะเรียกกันว่าต๊อกพิซิน
ผมได้รับมอบหมายชั่วคราวให้ไปที่ประชาคมภาษาอังกฤษในพอร์ตมอร์สบี ซึ่งเป็นเมืองหลวงของปาปัวนิวกินี แต่หลังจากนั้นผมก็ย้ายไปที่ประชาคมที่ใช้ภาษาต๊อกพิซินและเริ่มเรียนภาษานั้น ผมเอาสิ่งที่ได้เรียนไปใช้ในงานประกาศ นี่ช่วยให้ผมเรียนภาษาต๊อกพิซินได้เร็วขึ้น ไม่นานผมก็สามารถบรรยายสาธารณะในภาษาต๊อกพิซินได้ หลังจากที่ผมมาอยู่ที่ปาปัวนิวกินีได้ไม่ถึงปี ผมตกใจมากที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลหมวดและไปเยี่ยมในประชาคมที่ใช้ภาษาต๊อกพิซินตามจังหวัดต่าง ๆ
เนื่องจากแต่ละประชาคมที่อยู่ที่นั่นอยู่ห่างไกลมาก ผมเลยต้องจัดการประชุมหมวดหลายแห่งและเดินทางบ่อย ๆ ตอนแรกผมรู้สึกโดดเดี่ยวมากเลยเพราะทุกอย่างมันใหม่สำหรับผมไปหมด ทั้งที่ที่ผมอยู่ ทั้งภาษา และวัฒนธรรม ผมต้องเดินทางไปเยี่ยมประชาคมต่าง ๆ โดยเครื่องบินเพราะ
ที่ปาปัวนิวกินีมีภูเขาเยอะและไม่ค่อยมีถนนที่เชื่อมต่อกันระหว่างจังหวัด บางครั้งผมต้องขึ้นเครื่องบินคนเดียวและสภาพเครื่องบินนั้นก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เวลาขึ้นเครื่องบินทีไรผมรู้สึกว่ามันน่ากลัวพอ ๆ กับตอนที่ต้องลงเรือเลยที่ปาปัวนิวกินีมีแค่ไม่กี่คนที่มีโทรศัพท์ ผมก็เลยต้องเขียนจดหมายเพื่อติดต่อกับประชาคมต่าง ๆ หลายครั้งผมมักจะไปถึงที่ประชาคมก่อนที่จดหมายจะไปถึงด้วยซ้ำ แล้วผมก็มักจะต้องถามชาวบ้านเพื่อจะรู้ว่าพี่น้องอยู่ที่ไหน แต่ทุกครั้งพอผมได้เจอพี่น้อง พวกเขาก็ต้อนรับผมอย่างดีจนทำให้ผมรู้สึกว่ามันคุ้มค่าจริง ๆ ที่จะตามหาพวกเขา ผมได้เห็นเลยว่าพระยะโฮวาช่วยผมในหลายวิธี และนี่ทำให้ผมสนิทกับพระองค์มากขึ้น
ตอนที่ผมไปประชุมครั้งแรกที่เกาะแห่งหนึ่งที่ชื่อบูแกงวิล ผมได้เจอกับสามีภรรยาคู่หนึ่ง พวกเขาเดินมาหาผมหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แล้วก็ถามผมว่า “คุณจำเราได้ไหม?” แล้วผมก็นึกออกว่าผมเคยประกาศให้สามีภรรยาคู่นี้ฟังตอนที่ผมเพิ่งมาถึงพอร์ตมอร์สบีใหม่ ๆ ผมเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพวกเขา แล้วหลังจากนั้นก็ส่งต่อให้กับพี่น้องชายท้องถิ่นคนหนึ่งที่อยู่ที่นั่น ตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนรับบัพติศมาแล้ว นี่เป็นหนึ่งในพรมากมายที่ผมได้รับในช่วง 3 ปีที่รับใช้ที่ปาปัวนิวกินี
ครอบครัวเล็ก ๆ ที่ขยันขันแข็ง
ย้อนกลับไปในปี 1978 ก่อนที่ผมจะออกจากเกาะโครอน ผมได้รู้จักกับพี่น้องหญิงที่น่ารักคนหนึ่งที่ชื่ออเดล เธอเป็นคนที่มีน้ำใจเสียสละ เธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องดูแลลูก 2 คนที่ชื่อซามูเอลกับเชอร์ลี่ และในขณะเดียวกันเธอก็ต้องดูแลแม่ที่สูงอายุด้วย ในเดือนพฤษภาคมปี 1981 ผมเดินทางกลับไปที่ฟิลิปปินส์เพื่อแต่งงานกับอเดล หลังจากที่เราแต่งงานกัน เราสองคนก็เป็นไพโอเนียร์ประจำด้วยกันและดูแลครอบครัวเล็ก ๆ ของเรา
แม้จะต้องดูแลครอบครัว แต่ในปี 1983 ผมก็ได้รับการแต่งตั้งให้กลับมาเป็นไพโอเนียร์พิเศษอีก และได้รับมอบหมายให้ไปรับใช้ที่เกาะลินาปากันในจังหวัดปาลาวัน ที่เกาะนั้นไม่มีพยานฯ เลย เราทั้งครอบครัวย้ายไปอยู่ด้วยกันที่นั่น ประมาณ 1 ปีต่อมาแม่ของอเดลก็เสียชีวิต แต่เราขยันทำงานรับใช้ต่อ ๆ ไปซึ่งมันช่วยเราได้มากให้รับมือกับการสูญเสีย เราสองคนเริ่มการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลได้หลายรายที่เกาะลินาปากัน จนในที่สุดเราจำเป็นต้องมีหอประชุม เราก็เลยสร้างหอประชุมเล็ก ๆ ขึ้นมาหลังหนึ่ง ประมาณ 3 ปีหลังจากที่เราย้ายมาอยู่ที่นั่น เราก็ดีใจมากที่ได้เห็น 110 คนเข้าร่วมการประชุมอนุสรณ์ ซึ่งหลายคนที่มาประชุมในตอนนั้นก็ก้าวหน้าอย่างดีจนรับบัพติศมาหลังจากที่เราย้ายออกจากเกาะนี้ไปแล้ว
ในปี 1986 ผมได้รับมอบหมายให้ไปรับใช้ที่เกาะคูลิออน ซึ่งที่นั่นมีนิคมโรคเรื้อน หลังจากย้ายไปที่นั่นได้ไม่นาน อเดลก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นไพโอเนียร์พิเศษด้วย ตอนแรกที่เรารับใช้ที่นั่น เรารู้สึกกังวลที่จะประกาศกับคนที่ร่างกายผิดรูปเพราะเป็นโรคเรื้อน แต่ผู้ประกาศที่นั่นก็รับรองกับเราว่าคนเหล่านั้นกำลังได้รับการรักษาอย่างดีและโอกาสแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นก็ไม่ค่อยจะมี คนไข้ที่อยู่ในนิคมโรคเรื้อนบางคนเข้าร่วมการประชุมที่บ้านของพี่น้องหญิงคนหนึ่งด้วย ไม่นานเราสองคนก็ปรับตัวได้และรู้สึกมีความสุขมากที่ได้พูดถึงความหวังในคัมภีร์ไบเบิลให้กับคนที่คิดว่าตัวเองไม่ได้รับการยอมรับจากพระเจ้าและคนทั่วไป เราดีใจจริง ๆ ที่ได้เห็นว่าคนที่ลก. 5:12, 13
ป่วยเป็นโรคร้ายแรงแบบนั้นมีความสุขที่ได้รู้ว่าในอนาคตพวกเขาจะมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์—แล้วเด็ก ๆ ปรับตัวเข้ากับการใช้ชีวิตบนเกาะคูลิออนยังไง? ผมกับอเดลชวนพี่น้องหญิงวัยรุ่น 2 คนจากเกาะโครอนให้มาอยู่กับเราที่เกาะคูลิออน เพื่อที่เชอร์ลี่กับซามูเอลจะมีโอกาสได้คบหากับพี่น้อง นี่เลยทำให้ซามูเอล เชอร์ลี่ และพี่น้องวัยรุ่น 2 คนนี้ได้มีโอกาสทำงานรับใช้อย่างมีความสุข พวกเขานำการศึกษากับเด็ก ๆ หลายคนบนเกาะนี้ ส่วนผมกับอเดลก็นำการศึกษากับพ่อแม่ของเด็ก ๆ เหล่านี้ มีอยู่ช่วงหนึ่งพวกเรานำการศึกษากับคนบนเกาะถึง 11 ครอบครัว และต่อมาไม่นานนักศึกษาของเราหลายคนก็ก้าวหน้าจนเราสามารถตั้งประชาคมใหม่ขึ้นที่นั่นได้
ผมเป็นผู้ดูแลแค่คนเดียวในเขตนั้น สำนักงานสาขาก็เลยขอให้ผมนำการประชุมทุกสัปดาห์ที่เกาะคูลิออนซึ่งมีผู้ประกาศ 8 คน แล้วผมก็ต้องไปนำการประชุมที่หมู่บ้านมาริลีซึ่งมีผู้ประกาศ 9 คนด้วย เราต้องเดินทางไปหมู่บ้านมาริลีโดยทางเรือซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง หลังจากนำการประชุมที่นั่นเสร็จ ผมกับครอบครัวก็จะเดินขึ้นเขาไปที่หมู่บ้านฮาลซีย์เพื่อไปนำการศึกษากับหลายคนที่นั่น
ในที่สุดก็มีผู้สนใจเข้ามาเป็นพยานฯ มากมายในหมู่บ้านมาริลีและหมู่บ้านฮาลซีย์จนเราต้องสร้างหอประชุมขึ้นทั้ง 2 ที่ พี่น้องท้องถิ่นรวมทั้งผู้สนใจช่วยกันบริจาคเงินและมาช่วยกันสร้างหอประชุมเหมือนกับที่เกิดขึ้นในเกาะลินาปากัน หอประชุมที่มาริลีใหญ่มากจนสามารถจุผู้เข้าร่วมประชุมได้ถึง 200 คนและสามารถขยายเพิ่มได้ด้วย ซึ่งทำให้เราสามารถใช้ที่นั่นจัดการประชุมหมวดได้
เศร้า โดดเดี่ยว แล้วก็กลับมามีความยินดีอีก
ในปี 1993 พอลูก ๆ โตกันหมดแล้ว ผมกับอเดลก็ได้รับมอบหมายให้ทำงานเป็นผู้ดูแลหมวดในประเทศฟิลิปปินส์ และในปี 2000 ผมได้เข้าโรงเรียนฝึกอบรมเพื่องานรับใช้เพื่อจะฝึกเป็นผู้สอนสำหรับโรงเรียนนั้น ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะทำงานนี้ แต่อเดลก็คอยให้กำลังใจผมเสมอ เธอบอกผมว่าพระยะโฮวาจะให้กำลังกับผมเพื่อจะทำงานมอบหมายใหม่นี้ได้สำเร็จ (ฟป. 4:13) อเดลพูดจากประสบการณ์ของตัวเองเพราะเธอเห็นเลยว่าเธอสามารถทำงานรับใช้ได้สำเร็จแม้จะมีปัญหาสุขภาพ
ในปี 2006 ตอนที่ผมยังเป็นผู้สอนอยู่ อเดลก็ล้มป่วย หมอวินิจฉัยว่าเธอเป็นโรคพาร์กินสัน เราสองคนตกใจมาก ผมบอกอเดลว่าเราอาจจะต้องหยุดทำงานมอบหมายนี้ไปก่อนเพื่อจะดูแลเอาใจใส่เธอ แต่อเดลก็บอกว่า “เราลองไปหาหมอที่จะช่วยรักษาฉันดีไหม? และฉันรู้ว่าพระยะโฮวาจะช่วยให้เราสองคนยังคงทำงานมอบหมายต่อไปได้” ตลอด 6 ปีต่อมา อเดลก็ทำงานรับใช้พระยะโฮวาต่อไปโดยไม่บ่นเลย แม้เธอจะมีอาการทรุดลงเรื่อย ๆ แต่เธอก็ยังขยันขันแข็ง ตอนที่อเดลเดินไม่ได้ เธอก็จะประกาศแม้จะนั่งรถเข็น และพออเดลมาถึงจุดที่พูดไม่ค่อยได้ เธอก็จะออกความเห็นซัก 1 หรือ 2 คำที่การประชุม พี่น้องจะคอยส่งข้อความมาให้กำลังใจอเดลเสมอว่าเธอเป็นตัวอย่างที่ดีของความอดทนจนเธอเสียชีวิตในปี 2013 เรา 2 คนใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมานานมากกว่า 30 ปี เธอเป็นคู่ชีวิตที่น่ารักและซื่อสัตย์ หลังจากอเดลตาย ผมก็รู้สึกเศร้าและโดดเดี่ยวอีกครั้ง
อเดลพูดมาตลอดว่าเธออยากให้ผมทำงานที่ได้รับมอบหมายต่อ ๆ ไป ผมก็ทำตามที่เธอบอก ผมพยายามทำตัวให้ยุ่งอยู่เสมอซึ่งมันช่วยให้รับมือกับความโดดเดี่ยวได้ ตั้งแต่ปี 2014 ถึง 2017 ผมได้รับมอบหมายให้ไปเยี่ยมประชาคมภาษาตากาล็อกในประเทศต่าง ๆ ที่งานของเราถูกสั่งห้าม ต่อมาผมก็ไปเยี่ยมประชาคมภาษาตากาล็อกที่ไต้หวัน สหรัฐ และแคนาดา ในปี 2019 ผมได้ไปสอนโรงเรียนผู้ประกาศราชอาณาจักรที่อินเดียและไทยในชั้นเรียนภาษาอังกฤษ ผมมีความสุขมากที่ได้ทำงานมอบหมายเหล่านี้ การทุ่มเททำงานรับใช้ให้กับพระยะโฮวาทำให้ผมมีความสุขมากที่สุด
ได้รับความช่วยเหลือตลอดมา
ในแต่ละครั้งที่ได้รับงานมอบหมายใหม่และได้เจอกับพี่น้องที่น่ารัก ผมยิ่งรู้สึกรักพี่น้องมากขึ้น ดังนั้น พอถูกเปลี่ยนงานมอบหมายและต้องย้ายไปที่อื่น มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะบอกลาพี่น้อง ในเวลาแบบนั้น ผมได้เรียนรู้ที่จะไว้วางใจพระยะโฮวาสุดหัวใจ ผมได้เจอกับตัวเองมาตลอดว่าพระยะโฮวาคอยช่วยผม และนี่ช่วยผมให้ยอมรับการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่เกิดขึ้น ตอนนี้ผมเป็นไพโอเนียร์พิเศษในประชาคมหนึ่งที่ฟิลิปปินส์ และพี่น้องในประชาคมใหม่นี้กลายมาเป็นครอบครัวที่คอยดูแลและช่วยเหลือผมอย่างดี นอกจากนั้น ผมยังภูมิใจในตัวซามูเอลกับเชอร์ลี่ที่เลียนแบบความเชื่อของแม่ของพวกเขา—3 ยน. 4
ก็จริงครับที่ชีวิตผมเจอความยากลำบากหลายอย่าง ซึ่งรวมถึงการต้องทนดูภรรยาที่รักเจ็บป่วยและตายเพราะโรคร้าย และผมยังต้องปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ หลายอย่างด้วย แต่ผมเห็นเลยว่าพระยะโฮวา “ไม่ได้อยู่ไกลจากเราแต่ละคนเลย” (กจ. 17:27) มือของพระยะโฮวา “ไม่ได้สั้นจนยื่นมา” ช่วยเหลือและให้กำลังผู้รับใช้ของพระองค์ไม่ได้ พระองค์ช่วยเราเสมอแม้เราจะอยู่ในเขตที่ห่างไกลมาก (อสย. 59:1) ผมรู้สึกขอบคุณพระยะโฮวาผู้เป็นหินที่แข็งแกร่งของผมจริง ๆ พระองค์อยู่กับผมตลอดทั้งชีวิต ผมเลยไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวเลย