พ่อแม่ คุณต้องช่วยลูกให้มี ‘สติปัญญาที่จะทำให้รอดได้’
“คุณรู้จักพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ยังเป็นทารก ซึ่งให้สติปัญญาที่จะทำให้คุณรอดได้”—2 ทิโมธี 3:15
1, 2. ทำไมพ่อแม่บางคนถึงกังวลเมื่อลูกอยากอุทิศตัวให้พระยะโฮวาและรับบัพติศมา?
แต่ละปีมีนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นแสนคนอุทิศตัวให้กับพระยะโฮวาและรับบัพติศมา ในจำนวนนั้นมีวัยรุ่นหลายคนโตมาในครอบครัวพยานฯ และได้เลือกแนวทางชีวิตที่ดีที่สุด (สดุดี 1:1-3) ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ คุณคงรอคอยที่จะเห็นลูกของคุณรับบัพติศมา—เทียบกับ 3 ยอห์น 4
2 แต่คุณก็อาจมีเรื่องที่กังวล คุณอาจได้เห็นวัยรุ่นหลายคนที่รับบัพติศมาแล้วแต่หลังจากนั้นกลับเริ่มสงสัยว่าการใช้ชีวิตตามมาตรฐานของพระเจ้ามันดีจริง ๆ ไหม บางคนถึงกับทิ้งความจริงไป คุณจึงอาจเป็นห่วงว่าในอนาคตลูกที่กำลังเริ่มรับใช้พระยะโฮวาอาจไม่รักความจริงเหมือนตอนแรก ๆ ลูกอาจเป็นเหมือนคริสเตียนบางคนในเมืองเอเฟซัสในศตวรรษแรกที่พระเยซูพูดกับวิวรณ์ 2:4) คุณจะช่วยลูกของคุณให้รักความจริงอยู่เสมอแล้ว “เติบโตและได้รับความรอด” ได้อย่างไร? (1 เปโตร 2:2) เพื่อจะได้คำตอบเรื่องนี้ ให้เรามาดูตัวอย่างของทิโมธีด้วยกัน
พวกเขาว่า “คุณไม่มีความรักแบบที่คุณมีในตอนแรก” (“คุณรู้จักพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์”
3. (ก) มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงที่ทิโมธีเข้ามาเป็นคริสเตียน? และเขาทำอย่างไรกับสิ่งที่ได้เรียน? (ข) เปาโลพูดถึงทิโมธีอย่างไรในเรื่อง 3 แง่มุมเกี่ยวกับการเรียนรู้?
3 อัครสาวกเปาโลเยี่ยมพี่น้องในเมืองลิสตราครั้งแรกในปีคริสต์ศักราช 47 เป็นไปได้ที่ตอนนั้นทิโมธีซึ่งยังเป็นวัยรุ่นได้เข้ามาเป็นคริสเตียน เขาเอาสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ และอีก 2 ปีต่อมาเขาก็เริ่มเดินทางร่วมกับเปาโลในงานรับใช้ ประมาณ 16 ปีต่อมาเปาโลเขียนถึงทิโมธีว่า “ให้ทำตามสิ่งที่ได้เรียนรู้จนมั่นใจแล้วต่อ ๆ ไป คุณก็รู้ว่าคุณเรียนมาจากใคร และคุณรู้จักพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ [พระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู] ตั้งแต่ยังเป็นทารก ซึ่งให้สติปัญญาที่จะทำให้คุณรอดได้โดยความเชื่อในพระคริสต์เยซู” (2 ทิโมธี 3:14, 15) ขอสังเกตว่าเปาโลบอกว่าทิโมธี (1) รู้จักพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ (2) เรียนรู้จนมั่นใจ และ (3) มีสติปัญญาที่จะทำให้รอดได้โดยความเชื่อในพระคริสต์เยซู
4. คุณใช้อะไรสอนลูกมาแล้วบ้าง? (ดูภาพแรก)
4 ถ้าคุณมีลูก คุณคงต้องอยากให้ลูกรู้จักพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งตอนนี้ก็คือพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูกับภาคภาษากรีก แม้แต่เด็กที่ยังเล็กมากก็สามารถเรียนเกี่ยวกับผู้คนและเรื่องราวต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลได้ องค์การของพระยะโฮวามีหนังสือต่าง ๆ มากมายรวมทั้งวีดีโอที่ช่วยให้พ่อแม่สามารถสอนลูก ในภาษาของคุณมีอะไรบ้างที่คุณจะใช้ได้? จำไว้ว่าลูกของคุณต้องมีความรู้ในคัมภีร์ไบเบิลเพื่อจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระยะโฮวา
“เรียนรู้จนมั่นใจ”
5. เรารู้ได้อย่างไรว่าทิโมธีได้เรียนรู้จนมั่นใจในข่าวดีเรื่องพระเยซู?
5 การสอนลูกเกี่ยวกับผู้คนและเรื่องราวต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลยังไม่พอ จำไว้ว่าทิโมธียังต้อง “เรียนรู้จนมั่นใจ” ด้วย ถึงเขาจะรู้จักพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู “ตั้งแต่ยังเป็นทารก” แต่ต่อมา เขาได้เห็นข้อพิสูจน์ด้วยตัวเองที่ทำให้มั่นใจว่าพระเยซูเป็นเมสสิยาห์ เขามีความเชื่อเข้มแข็งจนถึงขั้นรับบัพติศมาและได้ทำงานมิชชันนารีร่วมกับเปาโล
6. คุณจะช่วยลูกให้มีความเชื่อในคัมภีร์ไบเบิลได้อย่างไร?
6 คุณจะช่วยลูกให้มีความเชื่อและ “เรียนรู้จนมั่นใจ” เหมือนทิโมธีได้อย่างไร? อย่างแรก ขอให้อดทน การมีความเชื่อเข้มแข็งต้องใช้เวลา และการที่คุณเชื่ออะไรบางอย่างก็ไม่ได้หมายความว่าลูกจะเชื่อเหมือนคุณโดยอัตโนมัติ เด็กแต่ละคนต้องใช้ “ความสามารถในการคิดหาเหตุผล” ของเขาเองเพื่อจะมีความเชื่อในคัมภีร์ไบเบิล (อ่านโรม 12:1) ในฐานะพ่อแม่ คุณเป็นตัวหลักที่จะช่วยลูกให้มีความเชื่อเข้มแข็งขึ้นโดยเฉพาะตอนที่ลูกถามอะไรบางอย่างกับคุณ ให้เรามาดูกันว่าเราสามารถเรียนอะไรได้จากตัวอย่างของพ่อคนหนึ่ง
7, 8. (ก) พ่อคนหนึ่งสอนลูกสาวโดยใช้ความอดทนอย่างไร (ข) คุณต้องใช้ความอดทนกับลูกเมื่อไรบ้าง?
7 โทมัสซึ่งมีลูกสาวอายุ 11 เล่าว่าบางครั้งลูกสาวชอบถามเขาหลายอย่าง เช่น “เป็นไปได้ไหมที่สิ่งมีชีวิต
บนโลกเกิดจากการที่พระยะโฮวาใช้วิวัฒนาการ?” หรือ “ทำไมเราไม่เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน เช่น ไปเลือกตั้ง เพราะมันเป็นการทำให้สังคมดีขึ้น?” บางครั้ง เขาต้องพยายามบังคับตัวเองไม่ให้แค่บอกว่าลูกควรเชื่ออะไร โทมัสรู้ว่าข้อเท็จจริงสำคัญ ๆ เพียงเรื่องเดียวไม่ได้ทำให้คนเรามั่นใจในความจริงได้ แต่มันต้องมาจากการสะสมหลักฐานและข้อพิสูจน์เล็ก ๆ น้อย ๆ หลายอย่างรวมกัน8 โทมัสรู้ว่าการสอนลูกสาวต้องใช้ความอดทน และที่จริง คริสเตียนทุกคนก็ต้องอดทนอยู่แล้ว (โคโลสี 3:12) โทมัสรู้ว่าเพื่อจะช่วยลูกให้เชื่อมั่นในสิ่งที่เรียนก็ต้องใช้เวลาและต้องคุยกันหลายครั้งหลายหน เวลาที่เขาสอนคัมภีร์ไบเบิลกับลูก เขาต้องไม่ใช่แค่บอกว่าลูกต้องเชื่ออะไร แต่ต้องบอกเหตุผลกับลูกด้วย โทมัสบอกว่า “โดยเฉพาะเรื่องที่สำคัญ ๆ ผมกับภรรยาอยากรู้ว่าลูกสาวของเราเชื่อในสิ่งที่เรียนอยู่จริง ๆ ไหมและลูกคิดว่ามันมีเหตุผลไหม ยิ่งลูกถามก็ยิ่งดี ที่จริง ผมจะกังวลมากกว่าถ้าลูกจะเชื่ออะไรทันทีโดยไม่ถามเลย”
9. คุณจะช่วยลูกให้มีความเชื่อในคัมภีร์ไบเบิลได้อย่างไร?
9 เมื่อพ่อแม่สอนอย่างอดทน ในที่สุด ลูกก็จะเริ่มเข้าใจแง่มุมต่าง ๆ ของความเชื่อ “ทั้งความกว้าง ความยาว ความสูง และความลึก” (เอเฟซัส 3:18) เราควรสอนให้เหมาะกับวัยและความสามารถของเขา เมื่อลูกมีความเชื่อเข้มแข็งและมั่นใจในสิ่งที่เขาเรียน ก็เป็นเรื่องง่ายที่เขาจะอธิบายความเชื่อของเขากับคนอื่น รวมถึงเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน (1 เปโตร 3:15) ตัวอย่างเช่น ลูกของคุณสามารถใช้คัมภีร์ไบเบิลอธิบายได้ไหมว่าเวลาคนเราตายแล้วเป็นอย่างไร? ตัวเขาเองคิดว่าคำอธิบายในคัมภีร์ไบเบิลมีเหตุผลไหม? * จำไว้ว่าคุณต้องอดทนเพื่อจะช่วยลูกให้มีความเชื่อในคัมภีร์ไบเบิล แต่มันคุ้มแน่นอน—เฉลยธรรมบัญญัติ 6:6, 7
10. อะไรควรเป็นสิ่งสำคัญในการสอนลูก?
10 ตัวอย่างของคุณคือสิ่งสำคัญที่จะช่วยลูกให้มีความเชื่อมากขึ้น สเตฟานี่คุณแม่ที่มีลูกสาว 3 คนบอกว่า “ตั้งแต่ลูกยังเล็ก ๆ ฉันต้องถามตัวเองว่า ‘ฉันเล่าให้ลูกฟังไหมว่าทำไมฉันถึงมั่นใจว่าพระยะโฮวามีอยู่จริง มั่นใจว่าพระองค์รักฉัน และมั่นใจว่าสิ่งที่พระองค์ทำนั้นถูกต้องเสมอ? ลูกได้เห็นไหมว่าฉันรักพระยะโฮวาจริง ๆ?’ ฉันจะหวังให้ลูกมั่นใจในสิ่งเหล่านี้ได้ยังไงถ้าตัวฉันเองก็ยังไม่มั่นใจ”
‘สติปัญญาที่ทำให้รอด’
11, 12. ในคัมภีร์ไบเบิล สติปัญญาคืออะไร? และเรารู้ได้อย่างไรว่าคนที่มีสติปัญญาไม่จำเป็นต้องอายุมาก?
11 เราได้เรียนรู้มาแล้วว่าทิโมธีมี (1) ความรู้ในพระคัมภีร์ และ (2) ความมั่นใจในสิ่งที่เขาเชื่อ แต่เปาโลหมายความอย่างไรเมื่อเขาบอกว่าพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์สามารถทำให้ทิโมธีมี “สติปัญญาที่ทำให้รอด”?
12 หนังสือการหยั่งเห็นเข้าใจพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 2 อธิบายว่า ในคัมภีร์ไบเบิล คำว่า “สติปัญญา” หมายรวมถึง “ความสามารถที่จะใช้ความรู้และความเข้าใจเพื่อแก้ปัญหา หลีกเลี่ยงหรือหนีจากอันตราย บรรลุเป้าหมาย หรือให้คำแนะนำคนอื่นได้อย่างประสบความสำเร็จ สติปัญญาตรงข้ามกับสุภาษิต 22:15) ดังนั้น ถ้าสติปัญญาตรงข้ามกับความโง่ คนที่มีสติปัญญาก็เป็นคนที่มีความผู้ใหญ่ การมีความเชื่อเข้มแข็งและมีความเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้เกิดจากการมีอายุมากขึ้นแค่อย่างเดียว แต่เป็นเพราะมีความเกรงกลัวพระยะโฮวาและอยากจะเชื่อฟังพระองค์—อ่านสดุดี 111:10
ความโง่” คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ความโง่ฝังลึกในใจเด็ก” (13. วัยรุ่นจะแสดงให้เห็นได้อย่างไรว่าเขามีสติปัญญาเพื่อจะรอด?
13 วัยรุ่นที่มีความเชื่อเข้มแข็งและมีความเป็นผู้ใหญ่จะไม่ “หลงเชื่อคนนั้นทีคนนี้ที . . . เหมือนเรือที่ถูกคลื่นลมซัดไปซัดมา” พวกเขาจะไม่ทำตามสิ่งที่วัยรุ่นคนอื่นกดดันหรือทำตามความต้องการของตัวเอง (เอเฟซัส 4:14) แทนที่จะเป็นอย่างนั้น พวกเขา “ได้ฝึกใช้ความคิดจนแยกออกว่าอะไรถูกอะไรผิด” (ฮีบรู 5:14) พวกเขาจึงตัดสินใจอย่างฉลาดและทำสิ่งที่ถูกต้องแม้พ่อแม่หรือผู้ใหญ่คนอื่น ๆ จะไม่เห็น (ฟีลิปปี 2:12) สติปัญญาแบบนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพื่อจะรอด (อ่านสุภาษิต 24:14) คุณจะช่วยลูกให้มีสติปัญญาแบบนั้นได้อย่างไร? คุณต้องแน่ใจว่าลูกรู้ว่าคุณมีมาตรฐานการใช้ชีวิตอย่างไร คุณต้องทำให้ลูกเห็นว่าคุณใช้ชีวิตตามมาตรฐานของคัมภีร์ไบเบิลทั้งคำพูดและการกระทำ—โรม 2:21-23
14, 15. (ก) วัยรุ่นที่อยากรับบัพติศมาควรคิดถึงคำถามอะไรบ้าง? (ข) พ่อแม่จะช่วยลูกอย่างไรให้คิดถึงสิ่งดี ๆ ที่เขาจะได้รับถ้าเขาเชื่อฟังกฎหมายของพระเจ้า?
14 เพื่อที่จะช่วยลูกให้มีความเชื่อ คุณต้องไม่เพียงแค่บอกเขาว่าอะไรถูกอะไรผิด คุณต้องช่วยเขาให้คิดหาเหตุผลโดยใช้คำถาม อย่างเช่น ‘ทำไมคัมภีร์ไบเบิลถึงห้ามทำบางอย่างที่ฉันชอบ? ฉันจะมั่นใจได้อย่างไรว่ามาตรฐานของคัมภีร์ไบเบิลดีที่สุดสำหรับฉัน?’—อิสยาห์ 48:17, 18
15 ถ้าลูกอยากจะรับบัพติศมา คุณต้องช่วยเขาให้คิดอย่างจริงจังว่าการรับบัพติศมาทำให้มีหน้าที่รับผิดชอบเพิ่มขึ้น เขารู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับหน้าที่เหล่านั้น? เขาจะมาระโก 10:29, 30) เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่จะคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับคำถามเหล่านี้ก่อนจะรับบัพติศมา ขอให้ช่วยลูกของคุณคิดถึงสิ่งดี ๆ ที่เขาจะได้รับถ้าเขาเชื่อฟังและคิดถึงผลเสียถ้าเขาไม่เชื่อฟัง เมื่อทำอย่างนี้เขาก็จะเชื่อมั่นมากขึ้นว่าการทำตามมาตรฐานในคัมภีร์ไบเบิลเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขาเสมอ—เฉลยธรรมบัญญัติ 30:19, 20
ได้ผลดีอะไรและต้องเสียสละอะไรบ้าง? เมื่อเทียบผลดีที่ได้กับสิ่งที่เขาต้องเสียสละ ทำไมถึงบอกได้ว่ามันคุ้มมาก? (เมื่อวัยรุ่นที่รับบัพติศมาแล้วมีปัญหาเกี่ยวกับความเชื่อ
16. พ่อแม่ควรทำอะไรถ้าลูกที่รับบัพติศมาแล้วมีความเชื่อน้อยลง?
16 พ่อแม่จะทำอย่างไรถ้าลูกเริ่มสงสัยเกี่ยวกับความจริงในคัมภีร์ไบเบิลหลังจากรับบัพติศมาแล้ว? ตัวอย่างเช่น ลูกอาจเริ่มติดใจสิ่งต่าง ๆ ของโลกซาตาน หรือเขาอาจเริ่มสงสัยว่าการทำตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิลเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขาจริง ๆ ไหม (สดุดี 73:1-3, 12, 13) สิ่งที่คุณทำเมื่อมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอาจจะมีผลต่อเขาว่าจะรับใช้พระยะโฮวาต่อไปหรือเปล่า และไม่ว่าเขาจะยังเล็กมากหรือโตเป็นวัยรุ่นแล้ว อย่าเพิ่งด่าหรือทะเลาะกับเขา แทนที่จะทำอย่างนั้น คุณต้องทำให้ลูกเห็นว่าคุณรักและอยากจะช่วยเขาจริง ๆ
17, 18. ถ้าลูกเริ่มสงสัยความจริงในคัมภีร์ไบเบิล พ่อแม่จะช่วยเขาอย่างไร?
17 เมื่อวัยรุ่นรับบัพติศมาก็หมายความว่าเขาได้อุทิศตัวให้กับพระยะโฮวาแล้ว การทำอย่างนั้นเป็นการสัญญาว่าจะรับใช้และรักพระองค์มากกว่าอะไรทั้งหมด (อ่านมาระโก 12:30) พระยะโฮวามองว่าการอุทิศตัวเป็นการให้คำสัญญาที่จริงจัง และเราก็ควรมองแบบนั้นด้วย (ปัญญาจารย์ 5:4, 5) คุณต้องเตือนลูกให้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก่อนอื่น พ่อแม่ต้องอ่านและศึกษาสิ่งต่าง ๆ ที่องค์การของพระยะโฮวาจัดเตรียมให้พ่อแม่ จากนั้น พ่อแม่ต้องค่อย ๆ คุยกับลูกและหาเวลาเหมาะ ๆ ที่จะเน้นกับเขาว่า การตัดสินใจอุทิศตัวให้กับพระยะโฮวาและรับบัพติศมาเป็นเรื่องจริงจังมาก แต่เขาจะได้รับพรมากมายด้วย
18 ตัวอย่างเช่น คุณสามารถหาคำแนะนำดี ๆ ในภาคผนวกที่ชื่อ “พ่อแม่ถามว่า” ที่อยู่ด้านหลังของหนังสือคำถามที่หนุ่มสาวถาม—คำตอบที่ได้ผล เล่ม 1 ส่วนนี้บอกว่าพ่อแม่ไม่ควรด่วนสรุปว่าลูกทิ้งความจริงไปแล้ว แต่ควรพยายามหาดูว่าเขามีปัญหาอะไรจริง ๆ บางทีลูกอาจถูกเพื่อนกดดันหรืออาจรู้สึกเหงา หรืออาจรู้สึกว่าเด็กวัยรุ่นคนอื่นก้าวหน้าในงานรับใช้มากกว่าเขาแต่เขาทำอย่างนั้นไม่ได้ ในภาคผนวกได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าเมื่อลูกมีปัญหาแบบนั้นก็ไม่ได้แปลว่าเขาไม่เห็นด้วยกับความเชื่อของคุณ แต่คงเป็นเพราะเขามีปัญหาอื่น ๆ บางอย่าง ในภาคผนวกยังให้คำแนะนำพ่อแม่ว่าจะช่วยลูกที่เริ่มสงสัยความจริงในคัมภีร์ไบเบิลอย่างไร
19. พ่อแม่จะช่วยลูกให้มี ‘สติปัญญาที่ทำให้รอด’ ได้อย่างไร?
19 ในฐานะพ่อแม่ คุณมีหน้าที่รับผิดชอบสำคัญและสิทธิพิเศษที่จะเลี้ยงดูลูกด้วย “คำสั่งสอนและคำตักเตือนจากพระยะโฮวา” (เอเฟซัส 6:4) อย่างที่เราได้เรียนมาแล้ว นี่หมายความว่า คุณต้องสอนเรื่องคัมภีร์ไบเบิลกับลูก และช่วยเขาให้มั่นใจในสิ่งที่เรียน เมื่อความเชื่อของเขาเข้มแข็งขึ้น เขาก็จะตัดสินใจอุทิศตัวให้กับพระยะโฮวาและให้สิ่งดีที่สุดกับพระองค์ ขอให้คัมภีร์ไบเบิล พลังของพระยะโฮวาและความพยายามของคุณช่วยลูกให้มี ‘สติปัญญาที่ทำให้รอด’
^ วรรค 9 “คู่มือประกอบการเรียน” ของหนังสือ “เรียนคัมภีร์ไบเบิลแล้วได้อะไร?” เป็นเครื่องมือที่ดีมากในการช่วยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ให้รู้วิธีอธิบายคำสอนในคัมภีร์ไบเบิล คุณสามารถเข้าไปที่ jw.org ที่มีในหลายภาษา เข้าไปที่ คำสอนของคัมภีร์ไบเบิล > เครื่องมือศึกษาคัมภีร์ไบเบิล