บทความศึกษา 51
มีใจสงบได้เมื่อเจอปัญหา
“พวกคุณไม่ต้องทุกข์ใจและไม่ต้องกลัว”—ยน. 14:27
เพลง 112 พระยะโฮวา พระเจ้าที่มีสันติสุข
ใจความสำคัญ a
1. “สันติสุขของพระเจ้า” หมายถึงอะไร? และถ้าเรามี “สันติสุขของพระเจ้า” เราจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง? (ฟีลิปปี 4:6, 7)
มีสันติสุขแบบหนึ่งที่คนทั่วไปในโลกไม่รู้จัก นั่นคือ “สันติสุขของพระเจ้า” สันติสุขของพระเจ้าหมายถึงการมีใจสงบเพราะมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพระยะโฮวาพ่อในสวรรค์ ถ้าเรามีสันติสุขของพระเจ้า เราจะรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัย (อ่านฟีลิปปี 4:6, 7) เราจะสนิทกับพระยะโฮวา “พระเจ้าผู้ให้สันติสุข” และเราก็จะสนิทกับคนที่รักพระองค์ด้วย (1 ธส. 5:23) นอกจากนั้น ถ้าเรารู้จักพระยะโฮวา ไว้ใจ และเชื่อฟังพระองค์ สันติสุขของพระเจ้าจะช่วยให้เรามีใจสงบและไม่กังวลมากเกินไปตอนที่เจอปัญหา
2. ทำไมเรามั่นใจได้ว่าเป็นไปได้ที่เราจะมีสันติสุขของพระเจ้า?
2 เป็นไปได้ไหมที่เราจะมีสันติสุขของพระเจ้าทั้ง ๆ ที่ต้องเจอปัญหาในชีวิต เช่น โรคระบาด ภัยพิบัติ ความไม่สงบในบ้านเมือง หรือการข่มเหง? ตอนที่เราต้องเจอปัญหาหนักแบบนั้น เราคงรู้สึกกลัว พระเยซูเคยให้คำแนะนำกับพวกสาวกว่า “พวกคุณไม่ต้องทุกข์ใจและไม่ต้องกลัว” (ยน. 14:27) เราเห็นว่ามีพี่น้องมากมายทั่วโลกที่ทำตามคำแนะนำของพระเยซู แล้วพระยะโฮวาก็ช่วยให้พวกเขามีสันติสุขและมีใจสงบได้จริง ๆ ทั้ง ๆ ที่ต้องเจอปัญหาหนัก ๆ ในชีวิต
มีใจสงบได้ในช่วงโรคระบาด
3. โรคระบาดอาจมีผลกับเรายังไงบ้าง?
3 โรคระบาดอาจมีผลกับชีวิตของเราอย่างมาก ลองคิดถึงโควิด-19 ในการสำรวจครั้งหนึ่งมีมากกว่าครึ่งหนึ่งของคนที่ถูกสำรวจบอกว่าพวกเขามีปัญหาเรื่องการนอนหลับ ในช่วงโควิดระบาดผู้คนวิตกกังวลมากขึ้นและซึมเศร้ามากขึ้น นอกจากนั้น คนติดเหล้า ติดยา ใช้ความรุนแรงในครอบครัว และพยายามฆ่าตัวตายมีจำนวนพุ่งสูงขึ้นมาก ถ้าคุณต้องเจอ โรคระบาด คุณควรทำอะไรเพื่อจะกังวลน้อยลงและยังมีสันติสุขของพระเจ้า?
4. ทำไมการรู้เรื่องคำพยากรณ์ของพระเยซูเกี่ยวกับสมัยสุดท้ายทำให้เราสงบใจได้?
4 พระเยซูบอกล่วงหน้าว่าในสมัยสุดท้ายจะเกิดโรคระบาด “หลายแห่ง” (ลก. 21:11) การรู้เรื่องนี้ทำให้เรามีใจสงบ เพราะอะไร? เรารู้ว่าสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างที่พระเยซูบอก เราเลยไม่รู้สึกตกใจมากเกินไป แล้วเราก็อยากทำตามคำแนะนำของพระเยซูที่ท่านบอกกับคนที่อยู่ในสมัยสุดท้ายว่า “ระวังอย่าตกใจกลัว”—มธ. 24:6
5. (ก) จากฟีลิปปี 4:8, 9 เราควรจะอธิษฐานเรื่องอะไรถ้าต้องเจอกับโรคระบาด? (ข) การฟังเสียงการอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นประโยชน์กับคุณยังไง?
5 โรคระบาดอาจทำให้รู้สึกกลัวและเครียดมาก ให้เรามาดูประสบการณ์ของพี่น้องหญิงที่ชื่อเดซี่ bด้วยกัน หลังจากที่อาของเธอ ลูกพี่ลูกน้อง และหมอต้องตายด้วยโควิด-19 เดซี่ก็รู้สึกกลัวมากว่าตัวเองจะติดโควิด แล้วเอาไปติดแม่ที่แก่แล้ว เธอยังกลัวที่จะตกงานมากด้วย เพราะถ้าเธอตกงาน เธอจะเอาเงินจากไหนมาซื้ออาหารและจ่ายค่าเช่าบ้าน เดซี่เครียดมากจนนอนไม่หลับ แต่อะไรช่วยให้เธอกลับมามีใจสงบอีกครั้ง? เดซี่อธิษฐานบอกพระยะโฮวาตรง ๆ ว่าขอพระองค์ช่วยให้เธอมีใจสงบและคิดบวก (อ่านฟีลิปปี 4:8, 9) นอกจากนั้น เธอยังฟังเสียงการอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำซึ่งเป็นเหมือนการที่พระยะโฮวาพูดกับเธอ เธอบอกว่า “เสียงของคนอ่านฟังแล้วสบายใจ มันช่วยให้ฉันสงบใจและไม่กังวลมากเกินไป ฉันรู้สึกเลยว่าพระยะโฮวาเป็นห่วงฉันมาก”—สด. 94:19
6. การศึกษาส่วนตัวและการไปประชุมจะช่วยคุณยังไง?
6 ช่วงโรคระบาดอาจทำให้เราทำอะไร ๆ ที่เราทำเป็นประจำไม่ได้ แต่ขอให้คุณยังประชุมสม่ำเสมอและศึกษาส่วนตัวเป็นประจำ ถ้าคุณอ่านประสบการณ์ต่าง ๆ และดูวีดีโอที่เป็นเรื่องราวของพี่น้อง คุณก็จะได้กำลังใจที่เห็นว่าพวกเขายังรับใช้พระยะโฮวาอย่างซื่อสัตย์ต่อ ๆ ไปได้ทั้ง ๆ ที่เจอปัญหาคล้าย ๆ กับคุณ (1 ปต. 5:9) ถ้าคุณไปประชุมเป็นประจำ คุณก็จะได้ยินแต่ข้อคิดดี ๆ จากคัมภีร์ไบเบิล และนั่นจะทำให้คุณคิดในแง่บวก นอกจากนั้น คุณจะได้กำลังใจและมีโอกาสให้กำลังใจคนอื่นด้วย (รม. 1:11, 12) และถ้าคุณคิดถึงพระยะโฮวาว่าพระองค์ช่วยผู้รับใช้ของพระองค์มาแล้วยังไงตอนที่พวกเขาป่วย รู้สึกกลัว หรือรู้สึกเหงา คุณก็จะมีความเชื่อเข้มแข็งขึ้นและมั่นใจว่าพระองค์ก็จะช่วยคุณเหมือนกัน
7. คุณได้เรียนอะไรจากตัวอย่างของอัครสาวกยอห์น?
7 ขอให้คุณพยายามติดต่อกับพี่น้องด้วย ในช่วงโรคระบาดเราอาจไม่ได้เจอกันเลย หรือถ้าเจอกัน เราก็อาจต้องรักษาระยะห่าง ถ้าเป็นแบบนั้น คุณอาจรู้สึกเหมือนกับอัครสาวกยอห์น เขาอยากเจอหน้ากายอัสเพื่อนรักของเขามาก แต่เขารู้ว่ายังเจอกันไม่ได้ เขาเลยทำสิ่งที่เขาทำได้ เขาเขียนจดหมายหากายอัส (3 ยน. 13, 14) เหมือนกัน ถ้าคุณยังไปหาพี่น้องไม่ได้ ก็ลองโทรศัพท์หาพวกเขา ส่งข้อความ หรือวีดีโอคอลคุยกันก็ได้ ถ้าคุณพยายามติดต่อและพูดคุยกับพี่น้อง คุณก็จะเหงาน้อยลงและมีใจสงบมากขึ้น แต่ถ้าคุณรู้สึกเครียดและกังวลมาก ก็ให้คุณติดต่อผู้ดูแลในประชาคมและขอกำลังใจจากพวกเขา—อสย. 32:1, 2
มีใจสงบได้ตอนที่เจอภัยพิบัติ
8. ภัยพิบัติอาจมีผลกับคุณยังไง?
8 ถ้าคุณต้องเจอภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว หรือไฟไหม้ คุณอาจรู้สึกเครียดและกังวลมากเป็นเวลานาน ยิ่งกว่านั้น ถ้ามันทำให้คุณต้องสูญเสียทรัพย์สิน บ้าน หรือคนที่คุณรัก คุณอาจเสียใจมาก รู้สึกท้อแท้หมดหวัง และถึงกับโกรธมากก็ได้ การที่คุณรู้สึกแบบนี้เป็นเรื่องปกติ และมันไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นคนรักเงิน รักทรัพย์สมบัติ หรือขาดความเชื่อ บางทีคนอื่นอาจคิดว่าเพราะคุณเจอเรื่องที่หนักมาก คุณคงต้องแสดงอะไรแย่ ๆ ออกมาแน่ ๆ (โยบ 1:11) แต่จริง ๆ แล้วคุณมีใจสงบได้ ให้เรามาดูด้วยกันว่าคุณต้องทำยังไง
9. พระเยซูช่วยเรายังไงให้เตรียมรับมือกับภัยพิบัติ?
9 ให้เราคิดถึงคำพยากรณ์ของพระเยซู บางคนในโลกอาจคิดว่าเขาไม่มีทางเจอภัยพิบัติหรอก แต่เรารู้ว่าภัยพิบัติจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ และวันหนึ่งเราอาจเจอกับตัวเองก็ได้ พระเยซูบอกพวกสาวกว่าจะเกิด “แผ่นดินไหวใหญ่” ในที่ต่าง ๆ และจะมีภัยพิบัติหลายอย่างก่อนที่จุดจบมาถึง (ลก. 21:11) นอกจากนั้น พระเยซูยังพยากรณ์ว่า “ความชั่วจะเพิ่มขึ้น” และเราก็เห็นแบบนั้น ในทุกวันนี้อาชญากรรม ความรุนแรง และการก่อการร้ายมีเพิ่มขึ้นมากจริง ๆ (มธ. 24:12) พระเยซูไม่เคยบอกว่าที่เราต้องเจอภัยพิบัติก็เพราะพระยะโฮวาไม่สนใจเรา จริง ๆ แล้วผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์หลายคนเจอภัยพิบัติหรือเหตุการณ์แย่ ๆ มาแล้ว (อสย. 57:1; 2 คร. 11:25) ถ้าเราต้องเจอภัยพิบัติ พระยะโฮวาอาจไม่ปกป้องเราโดยการอัศจรรย์ แต่พระองค์จะให้ทุกอย่างที่เราจำเป็นต้องมีเพื่อจะสงบใจได้
10. ทำไมการเตรียมรับมือกับภัยพิบัติตั้งแต่ตอนนี้แสดงว่าเรามีความเชื่อและไว้ใจพระยะโฮวา? (สุภาษิต 22:3)
10 ถ้าเราวางแผนล่วงหน้าว่าจะทำยังไงตอนที่เกิดภัยพิบัติ เราก็จะไม่ตกใจเกินไปและรับมือได้ง่ายกว่า แต่การทำอย่างนั้นหมายความว่าเราขาดความเชื่อไหม? ไม่ใช่ การที่เราเตรียมตัวไว้ก่อนแสดงว่าเรามีความเชื่อและมั่นใจว่าพระยะโฮวาสามารถดูแลเราได้ ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? คัมภีร์ไบเบิลแนะนำให้เราเตรียมรับมือกับภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้น (อ่านสุภาษิต 22:3) นอกจากนั้น องค์การก็เตือนเราบ่อย ๆ ทั้งทางบทความต่าง ๆ การประชุม และบางครั้งก็มีคำประกาศที่บอกตรง ๆ ว่าเราจะเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินยังไง c เราไว้ใจพระยะโฮวาไหม? ถ้าใช่ เราต้องทำตามที่พระองค์บอกตั้งแต่ตอนนี้
11. คุณได้เรียนอะไรจากประสบการณ์ของมากาเร็ต?
11 ให้เรามาดูประสบการณ์ของพี่น้องหญิงที่ชื่อมากาเร็ต เจ้าหน้าที่สั่งให้เธออพยพเพราะมีไฟป่าในเขตแถวบ้านเธอ มีรถเยอะมากบนถนนเพราะทุกคนกำลังพยายามหนี รถแน่นเต็มถนนจนไปไหนไม่ได้ ควันสีดำก็ค่อย ๆ หนาขึ้น และมากาเร็ตยังต้องติดอยู่ในรถ แต่ในที่สุด เธอก็รอดออกมาได้เพราะเธอเตรียมตัวไว้ก่อน เธอมีแผนที่ในกระเป๋า เธอก็เลยหาทางออกจากตรงนั้นได้โดยใช้ถนนเส้นอื่น นอกจากนั้น ก่อนหน้านี้เธอเคยลองขับรถตามแผนที่เพื่อเตรียมตัวไว้ว่าจะไปทางไหนตอนที่เกิดเหตุฉุกเฉิน เพราะมากาเร็ตเตรียมรับมือไว้ล่วงหน้า เธอก็เลยรอดชีวิต
12. ทำไมเราต้องทำตามคำแนะนำเรื่องความปลอดภัย?
12 บางครั้งอาจมีเคอร์ฟิวหรือประกาศฉุกเฉินจากรัฐบาล หรือเจ้าหน้าที่อาจสั่งให้เราอพยพหรือให้ทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยให้เราปลอดภัยและทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย บางคนอาจไม่ค่อยอยากเชื่อฟัง หรือไม่ยอมทำตามทันทีเพราะเป็นห่วงบ้านหรือทรัพย์สินของเขา แต่พวกเราที่เป็นคริสเตียนควรทำยังไง? คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่า “เพื่อเห็นแก่ผู้เป็นนาย ให้พวกคุณยอมอยู่ใต้อำนาจทุกอย่างที่มนุษย์ตั้งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ที่มีอำนาจสูงกว่า หรือผู้ว่าราชการ” (1 ปต. 2:13, 14) องค์การของพระเจ้าก็ให้คำแนะนำเพื่อช่วยให้เราปลอดภัยด้วย เช่น องค์การบอกเราบ่อย ๆ ให้เราเอาข้อมูลติดต่อล่าสุดของเรา เช่น ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ให้กับผู้ดูแล เพื่อพวกเขาจะติดต่อเราได้ตอนที่มีอะไรฉุกเฉินเกิดขึ้น คุณทำแบบนั้นแล้วไหม? นอกจากนั้น ถ้าเราได้รับคำแนะนำให้อยู่แต่ในบ้านไม่ไปไหนหรือให้อพยพ หรือถ้ามีคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีที่เราจะรับสิ่งของบรรเทาทุกข์ หรือเมื่อไหร่และตอนไหนที่เราจะไปช่วยคนอื่นได้ ก็ขอให้เราทำตามคำแนะนำเหล่านั้น เพราะถ้าเราไม่เชื่อฟัง เราอาจทำให้ตัวเราเองและผู้ดูแลตกอยู่ในอันตราย ให้จำไว้ว่าพวกผู้ดูแลมีหน้าที่คอยดูแลพวกเรา (ฮบ. 13:17) มากาเร็ตบอกว่า “ฉันมั่นใจว่าเพราะฉันทำตามคำแนะนำของพวกผู้ดูแลและองค์การ ฉันถึงรอดมาได้”
13. อะไรทำให้คริสเตียนที่ต้องย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่นยังมีความสุขและสงบใจได้?
13 พี่น้องของเราหลายคนต้องทิ้งบ้านไปอยู่ในอีกที่หนึ่งเพราะเจอภัยพิบัติ สงคราม หรือความไม่สงบใน บ้านเมือง แต่พวกเขาก็พยายามปรับตัวและกลับไปทำกิจกรรมของคริสเตียนเป็นประจำเหมือนเดิม พวกเขาทำเหมือนกับคริสเตียนรุ่นแรก ถึงคริสเตียนเหล่านั้นจะเจอการข่มเหงและต้องย้ายไปในที่ต่าง ๆ แต่พวกเขาก็ “ประกาศข่าวดีเกี่ยวกับคำสอนของพระเจ้า” ทั่วทุกแห่งที่พวกเขาไป (กจ. 8:4) การประกาศช่วยพวกเขาให้สนใจที่รัฐบาลของพระเจ้าแทนที่จะสนใจแต่ปัญหาของตัวเอง พวกเขาก็เลยมีความสุขและสงบใจได้
มีใจสงบได้ตอนที่เจอการข่มเหง
14. การข่มเหงทำให้ใจเราไม่สงบยังไง?
14 เมื่อเราเจอการข่มเหง เราอาจต้องเจอหลายอย่างที่ทำให้ใจไม่สงบ ปกติแล้วเรามีความสุขที่ได้เจอกัน ได้ประชุมด้วยกัน และได้ไปประกาศด้วยกันอย่างอิสระ และทำอะไร ๆ ที่เราทำเป็นประจำโดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกจับ แต่พองานของเราถูกสั่งห้ามและเราไม่มีอิสระ เราก็รู้สึกเครียด รู้สึกกังวลว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น หรือกลัวว่าเมื่อไหร่เราจะถูกจับ ความรู้สึกแบบนี้เป็นเรื่องปกติ พระเยซูก็บอกพวกสาวกว่าการข่มเหงอาจทำให้พวกเขารู้สึกท้อและทิ้งท่านก็ได้ (ยน. 16:1, 2) ถ้าอย่างนั้น เราจะมีใจสงบได้ยังไงตอนที่ถูกข่มเหง? ให้เรามาดูด้วยกัน
15. ทำไมเราไม่ควรกลัวการข่มเหง? (ยอห์น 15:20; 16:33)
15 คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่า “ทุกคนที่ตั้งใจใช้ชีวิตด้วยความเลื่อมใสพระเจ้าและเป็นสาวกพระคริสต์เยซูต้องถูกข่มเหงกันทั้งนั้น” (2 ทธ. 3:12) ให้เรามาดูประสบการณ์ของพี่น้องที่ชื่อว่าอันเดร เขาไม่อยากยอมรับว่างานของพยานฯในประเทศที่เขาอยู่ถูกสั่งห้าม เขาคิดว่า ‘ในประเทศนี้มีพยานฯตั้งเยอะ พวกเขาจับพวกเราทุกคนไม่ได้หรอก’ แต่การที่อันเดรคิดแบบนี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้น แต่กลับทำให้รู้สึกเครียดและกังวลมาก แต่พี่น้องคนอื่นไม่ได้คิดแบบนั้น พวกเขาคิดว่าอาจเป็นไปได้ที่วันหนึ่งจะถูกจับ แต่พวกเขาก็ไว้ใจพระยะโฮวาและฝากเรื่องนี้ไว้กับพระองค์ พวกเขาก็เลยไม่เครียดมากเกินไปเหมือนกับอันเดร พออันเดรเห็นแบบนั้น เขาก็เปลี่ยนความคิดและพยายามจะคิดให้เหมือนกับพี่น้องเหล่านั้นแล้วไว้ใจพระยะโฮวาเต็มที่ พอทำแบบนี้ เขาก็รู้สึกสบายใจและสงบใจมากขึ้นทั้ง ๆ ที่เขาก็ต้องเจอ ความยากลำบาก พวกเราก็เหมือนกัน พระเยซูบอกไว้แล้วว่าเราคาดหมายได้เลยว่าสักวันหนึ่งเราจะถูกข่มเหง แต่ท่านก็รับรองกับเราด้วยว่าถึงจะถูกข่มเหง เราสามารถซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาต่อ ๆ ไปได้—อ่านยอห์น 15:20; 16:33
16. ตอนที่เจอการข่มเหง เราต้องเชื่อฟังคำแนะนำอะไร?
16 ถ้าเราอยู่ในประเทศที่งานของเราไม่มีอิสระเต็มที่หรือถูกสั่งห้าม เราอาจได้รับคำแนะนำจากผู้ดูแลในประชาคมและจากสาขา ที่พวกเขาให้คำแนะนำกับเราก็เพื่อปกป้องเรา และอยากให้เราได้รับความรู้ที่เสริมความเชื่อเป็นประจำ และพวกเขาอยากช่วยเราให้ยังประกาศต่อ ๆ ไปเท่าที่ทำได้ ขอให้คุณพยายามเชื่อฟังพวกเขา ถึงคุณอาจไม่เข้าใจเหตุผล (ยก. 3:17) นอกจากนั้น อย่าให้ข้อมูลของพี่น้องและข้อมูลของประชาคมกับคนที่ไม่มีสิทธิ์จะรู้—ปญจ. 3:7
17. เราตั้งใจจะทำอะไรเหมือนกับพวกอัครสาวก?
17 เหตุผลหลักอย่างหนึ่งที่ซาตานพยายามทำสงครามกับคนของพระเจ้าก็เพราะพวกเขา “ทำงานประกาศเรื่องพระเยซู” (วว. 12:17) แต่เราไม่ต้องกลัวซาตานกับคนที่อยู่ฝ่ายมัน ถึงเราจะถูกต่อต้านแต่ถ้าเรายังประกาศและสอนเรื่องของพระเจ้าต่อ ๆ ไป เราก็จะมีความสุขและมีใจสงบ ในศตวรรษแรกตอนที่พวกผู้นำชาวยิวสั่งให้เลิกประกาศ พวกอัครสาวกก็ไม่ได้ทำตาม พวกเขายังเชื่อฟังพระเจ้าและประกาศต่อ ๆ ไป และนั่นทำให้พวกเขามีความสุขมาก (กจ. 5:27-29, 41, 42) ถ้าเราอยู่ในประเทศที่งานของเราถูกสั่งห้ามหรือไม่มีอิสระเต็มที่ เราก็อยากจะประกาศต่อไป แต่เราก็ต้องระมัดระวังด้วย (มธ. 10:16) ถ้าเราพยายามประกาศเต็มที่เท่าที่เราทำได้ เราจะมีสันติสุขและมีใจสงบ เพราะเรารู้ว่าเรากำลังทำให้พระยะโฮวาพอใจ และเรากำลังประกาศข่าวดีที่ช่วยชีวิตผู้คน
“พระเจ้าที่มีสันติสุขจะอยู่กับพวกคุณ”
18. ใครเท่านั้นที่จะให้สันติสุขแท้กับเราได้?
18 ให้คุณมั่นใจว่าถึงคุณจะเจอปัญหาที่หนักที่สุดในชีวิต คุณก็ยังมีใจสงบได้ จำไว้ว่าสันติสุขที่คุณจำเป็นต้องมีก็คือสันติสุขของพระเจ้าซึ่งพระยะโฮวาเท่านั้นจะให้คุณได้ ถ้าคุณต้องเจอโรคระบาด ภัยพิบัติ และการข่มเหง ขอให้คุณไว้ใจพระยะโฮวาและพยายามใกล้ชิดกับประชาคมและองค์การของพระองค์ ให้คุณมองไปที่อนาคตที่ยอดเยี่ยมที่ใกล้จะถึงอยู่แล้ว ถ้าคุณทำแบบนี้ “พระเจ้าที่มีสันติสุขจะอยู่กับพวกคุณ” (ฟป. 4:9) ในบทความหน้า เราจะมาดูกันว่าเราจะช่วยพี่น้องที่เจอปัญหาและความยากลำบากให้มีสันติสุขของพระเจ้าได้ยังไง
เพลง 38 พระองค์จะทำให้คุณเข้มแข็ง
a พระยะโฮวาสัญญาว่าจะให้สันติสุขกับทุกคนที่รักพระองค์ แต่สันติสุขที่พระยะโฮวาจะให้นั้นเป็นแบบไหน? และเราจะได้สันติสุขนั้นยังไง? นอกจากนั้น “สันติสุขของพระเจ้า” จะช่วยเรายังไงถ้าเราต้องเจอโรคระบาด ภัยพิบัติหรือการข่มเหง? ในบทความนี้เราจะได้คำตอบ
b บางชื่อเป็นชื่อสมมุติ
c ดูบทความ “วิธีรอดชีวิตจากภัยพิบัติ” ในตื่นเถิด! ฉบับที่ 5 ปี 2017