“ผมจะใช้ชีวิตตามแนวทางแห่งความจริงของพระองค์”
“พระยะโฮวา ขอสอนผมให้รู้จักทางของพระองค์ ผมจะใช้ชีวิต ตามแนวทางแห่งความจริงของพระองค์”—สดุดี 86:11
1-3. (ก) เราควรรู้สึกอย่างไรกับความจริงในคัมภีร์ไบเบิล? ขอยกตัวอย่าง (ดูภาพแรก) (ข) เราจะคุยอะไรกันในบทความนี้?
ทุกวันนี้ การซื้อของแล้วเอาไปคืนเป็นเรื่องธรรมดาในหลายประเทศโดยเฉพาะถ้าเป็นของที่ซื้อออนไลน์ หลายคนเอาของนั้นไปเปลี่ยนหรือขอเงินคืนเพราะอาจรู้สึกไม่ชอบ ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้ หรือไม่ก็มีตำหนิ
2 เราไม่อยากทำอย่างนั้นกับความจริงในคัมภีร์ไบเบิล เมื่อเรา “ซื้อ” ความจริงซึ่งก็คือเรียนความจริงแล้ว เราไม่อยากจะ “ขาย” ความจริงหรือทิ้งความจริงไป (อ่านสุภาษิต 23:23; 1 ทิโมธี 2:4) ในบทความที่แล้ว เราได้คุยกันแล้วว่า เราต้องสละเวลาเยอะมากเพื่อจะเรียนความจริง เราอาจทิ้งงานอาชีพที่ได้เงินเยอะ ๆ และยอมให้ความสัมพันธ์ที่เรามีกับคนอื่นเปลี่ยนไป เราอาจต้องเปลี่ยนความคิดและการกระทำของตัวเอง หรือเลิกยุ่งกับธรรมเนียมและประเพณีที่พระยะโฮวาไม่ชอบ แต่เรามั่นใจว่าสิ่งที่เราเสียสละไปเทียบไม่ได้เลยกับพรที่ได้จากการมารู้จักความจริง
มัทธิว 13:45, 46) เหมือนกัน ตอนแรกที่เราเรียนความจริงที่มีค่าเรื่องรัฐบาลของพระเจ้าและเรื่องอื่น ๆ ในคัมภีร์ไบเบิล เราเต็มใจสละทุกอย่าง และถ้าเรายังคงเห็นค่าความจริงนั้นอยู่ เราก็จะไม่มีวันทิ้งมันไป แต่น่าเสียดายที่ผู้รับใช้ของพระเจ้าบางคนไม่เห็นค่าและถึงกับทิ้งความจริงไป เราไม่อยากทำอย่างนั้นแน่ ๆ ดังนั้น เราต้องทำตามคำแนะนำของคัมภีร์ไบเบิลที่ให้ “ใช้ชีวิตตามความจริง” (อ่าน 3 ยอห์น 2-4) นี่หมายความว่าเราต้องให้ความจริงสำคัญที่สุดในชีวิตและแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเราทำแบบนั้น แต่คนเราอาจ “ขาย” หรือทิ้งความจริงอย่างไรและทำไมถึงทำอย่างนั้น? เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่มีวันทิ้งความจริง? และเราจะตั้งใจมากขึ้นที่จะ “ใช้ชีวิตตามความจริง” ได้อย่างไร?
3 พระเยซูได้เล่าตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องพ่อค้าที่เดินทางไปหาไข่มุกเม็ดงาม เมื่อเจอแล้วเขาก็ขายทุกสิ่งที่มีทันทีแล้วไปซื้อไข่มุกนั้น ไข่มุกหมายถึงความจริงเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า พระเยซูเปรียบเทียบแบบนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าความจริงมีค่ามากขนาดไหนต่อคนที่ค้นหามัน (บางคน “ขาย” ความจริงอย่างไร? และทำไมถึงทำอย่างนั้น?
4. ทำไมบางคนในสมัยพระเยซูไม่ใช้ชีวิตตามความจริงต่อ ๆ ไป?
4 ในสมัยพระเยซู ตอนแรกบางคนชอบคำสอนของท่าน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ใช้ชีวิตตามความจริงต่อ ๆ ไป เช่น หลังจากที่พระเยซูทำการอัศจรรย์และเลี้ยงอาหารผู้คนจำนวนมาก พวกเขาก็ตามท่านไปอีกฟากหนึ่งของทะเลกาลิลี แต่แล้วพระเยซูพูดบางอย่างที่ทำให้พวกเขาตกใจ ท่านบอกว่า “ถ้าคุณไม่กินเนื้อและดื่มเลือดของ ‘ลูกมนุษย์’ คุณจะไม่ได้ชีวิต” แทนที่พวกเขาจะขอให้พระเยซูอธิบายว่ามันหมายถึงอะไร พวกเขากลับพูดว่า “พูดแบบนี้ได้ยังไง? รับไม่ได้” ผลก็คือ “สาวกหลายคนเลิกติดตามท่านแล้วกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม”—ยอห์น 6:53-66
5, 6. (ก) ทำไมทุกวันนี้มีบางคนตั้งใจออกจากความจริง? (ข) คนเราจะค่อย ๆ ออกจากความจริงไปได้อย่างไร?
5 น่าเสียดายที่บางคนในทุกวันนี้ออกจากความจริงไป บางคนรับไม่ได้กับการปรับเปลี่ยนความเข้าใจในคัมภีร์ไบเบิล หรือรู้สึกไม่ดีกับคำพูดและการกระทำของพี่น้องที่มีหน้าที่รับผิดชอบสำคัญหรือพี่น้องที่ใคร ๆ ก็รู้จัก ส่วนบางคนอาจไม่ชอบที่มีคนมาแนะนำแม้จะใช้คัมภีร์ไบเบิล บางคนทะเลาะกับพี่น้อง และยังมีบางคนที่เชื่อคำสอนผิด ๆ ของคนทรยศพระเจ้าหรือคนที่พูดโกหกเกี่ยวกับเรา สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเหตุผลบางอย่างที่ทำให้บางคนตั้งใจทิ้งพระยะโฮวาและออกไปจากประชาคม (ฮีบรู 3:12-14) ที่จริง พวกเขาน่าจะเลียนแบบเปโตรที่ไว้ใจพระเยซู ตอนที่คนอื่นรับไม่ได้กับคำพูดของพระเยซู พระเยซูถามพวกอัครสาวกว่าอยากจะตามพวกนั้นไปด้วยไหม เปโตรตอบว่า “นายครับ พวกเราจะไปหาใครได้อีก? ในเมื่อท่านเองมีคำสอนที่ให้ชีวิตตลอดไป”—ยอห์น 6:67-69
6 นอกจากนั้นยังมีบางคนที่ออกจากความจริงทีละเล็กทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว เหมือนกับเรือที่ค่อย ๆ ห่างจากฝั่ง คัมภีร์ไบเบิลเตือนเราให้ระวัง ไม่อย่างนั้น “เราจะค่อย ๆ ห่างออกไป” (ฮีบรู 2:1) ปกติคนที่ค่อย ๆ ออกจากความจริงไม่ได้ตั้งใจจะทำอย่างนั้น เขาปล่อยให้ตัวเองห่างจากพระยะโฮวาและในที่สุดก็ไม่เป็นเพื่อนกับพระองค์อีกต่อไป ดังนั้น เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเรื่องนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นกับเรา?
เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่มีวันขายความจริง?
7. อะไรจะช่วยให้เราไม่มีวันขายความจริง?
7 เพื่อที่เราจะใช้ชีวิตตามความจริงต่อไป เราต้องยอมรับและเชื่อฟังทุกอย่างที่พระยะโฮวาบอก เราต้องให้ความจริงสำคัญที่สุดในชีวิตเราและทำตามหลักการของคัมภีร์ไบเบิลในทุกแง่มุมของชีวิต กษัตริย์ดาวิดสัญญากับพระยะโฮวาในคำอธิษฐานว่า “ผมจะใช้ชีวิตตามแนวทางแห่งความจริงของพระองค์” (สดุดี 86:11) ดาวิดตั้งใจใช้ชีวิตตามความจริงต่อ ๆ ไป เราเองก็ต้องทำอย่างนั้นด้วย ไม่อย่างนั้นเราอาจเริ่มคิดถึงสิ่งที่ได้เสียสละไปและอาจถึงกับอยากได้บางอย่างกลับคืนมา ที่จริง เราเลือกไม่ได้ว่าความจริงในคัมภีร์ไบเบิลเรื่องไหนที่เราอยากยอมรับหรือไม่อยากยอมรับ เราต้องใช้ชีวิตตาม “ความจริงทั้งหมด” (ยอห์น 16:13) บทความที่แล้วพูดถึง 5 อย่างที่เราได้เสียสละไปเพื่อเรียนและใช้ชีวิตตามความจริง ตอนนี้ให้เรามาดูว่าเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่มีวันกลับไปหาสิ่งที่ทิ้งไปแล้ว—มัทธิว 6:19
8. การใช้เวลาอย่างไม่ฉลาดอาจทำให้คริสเตียนค่อย ๆ ออกจากความจริงได้อย่างไร? ขอยกตัวอย่าง
8 เวลา เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่ออกจากความจริงทีละเล็กทีละน้อย เราต้องใช้เวลาอย่างฉลาด ถ้าไม่ระวังเราอาจใช้เวลามากไปกับการเล่นอินเทอร์เน็ต ดูทีวี ทำงานอดิเรก หรือพักผ่อนหย่อนใจ เช่น เล่นกีฬา หรือไปเที่ยว แม้การทำสิ่งเหล่านี้อาจจะไม่ผิด แต่เราอาจเอาเวลาที่เคยใช้ศึกษาส่วนตัวและรับใช้พระยะโฮวาไปทำกิจกรรมเหล่านั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นกับเอมม่า * เธอชอบม้าตั้งแต่เด็กและเมื่อไรที่มีเวลาก็จะไปขี่ม้า แต่แล้วเธอก็เริ่มรู้สึกผิดที่ใช้เวลามากเกินไป เธอเลยเปลี่ยนตัวเองและให้ความสำคัญกับกิจกรรมของคริสเตียนมากกว่า เอมม่ายังได้กำลังใจจากประสบการณ์ของคอร์รี่ เวลส์พี่น้องหญิงที่เคยขี่ม้าผาดโผน * ตอนนี้เอมม่าใช้เวลารับใช้พระยะโฮวามากขึ้น และยังใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนคริสเตียนมากขึ้น นอกจากนั้น เธอรู้สึกสนิทกับพระยะโฮวาและมีความสุขที่รู้ว่าได้ใช้เวลาอย่างฉลาด
9. ทรัพย์สมบัติเงินทองจะกลายเป็นสิ่งสำคัญเกินไปสำหรับเราได้อย่างไร?
9 ทรัพย์สมบัติเงินทอง เพื่อใช้ชีวิตตามความจริงต่อไป เราต้องไม่ยอมให้ทรัพย์สมบัติหรือเงินทองสำคัญสำหรับเรามากเกินไป เมื่อเราเรียนความจริง เรารู้ว่าการรับใช้พระยะโฮวาสำคัญกว่าทรัพย์สมบัติ เรามีความสุขที่ได้สละสิ่งเหล่านั้นเพื่อความจริง แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราอาจเห็นคนอื่นซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รุ่นล่าสุดและใช้เงินซื้อหรือทำสิ่งที่ชอบ มันเลยทำให้เรารู้สึกอยากได้อยากมีเหมือนคนอื่นเขา เรากลายเป็นคนไม่พอใจกับสิ่งที่มีอยู่และเริ่มทุ่มเทหาเงินมากกว่ารับใช้พระเจ้า นี่ทำให้เราคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับดามาส “เขารักโลกนี้” มากจนทิ้งงานมอบหมายกับอัครสาวกเปาโล (2 ทิโมธี 4:10) ที่เป็นอย่างนั้นอาจเป็นเพราะเขารักทรัพย์สมบัติมากกว่าการรับใช้พระเจ้า หรือเขาอาจไม่อยากเสียสละตัวเองเพื่อรับใช้กับเปาโลอีกต่อไป บทเรียนที่เราได้จากเรื่องนี้คือ ในอดีตเราอาจเคยรักทรัพย์สมบัติเงินทองมาก และถ้าเราไม่ระวัง ความรู้สึกแบบนั้นจะกลับมาอีกและมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเราไม่รักความจริงอีกต่อไป
10. เราต้องต้านทานความกดดันอะไร?
10 ความสัมพันธ์กับคนอื่น เพื่อจะใช้ชีวิตตามความจริงต่อไป เราต้องไม่ยอมแพ้แรงกดดันจากคนที่ไม่ได้รับใช้พระยะโฮวา เมื่อเราเรียนความจริง เราอาจไม่ค่อยสนิทกับเพื่อนหรือคนในครอบครัวที่ไม่ได้เป็นพยานฯ บางคนอาจนับถือความเชื่อใหม่ของเรา แต่บางคนก็ต่อต้าน (1 เปโตร 4:4) ถึงเราจะพยายามเต็มที่ที่จะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในครอบครัวและทำดีกับพวกเขา แต่เราจะไม่ทิ้งมาตรฐานของพระยะโฮวาเพื่อจะเอาใจพวกเขา และอย่างที่บอกใน 1 โครินธ์ 15:33 เรารู้ว่าเพื่อนสนิทของเราต้องเป็นคนที่รักพระยะโฮวาเท่านั้น
11. อะไรจะช่วยเราไม่ให้คิดและทำสิ่งที่ไม่สะอาดในสายตาพระเจ้า?
11 ความคิดและการกระทำที่ไม่สะอาดในสายตาพระเจ้า เพื่อจะใช้ชีวิตตามความจริงต่อไป เราต้องสะอาดบริสุทธิ์ในสายตาพระยะโฮวา (อิสยาห์ 35:8; อ่าน 1 เปโตร 1:14-16) เมื่อเรียนความจริง เราทุกคนได้เปลี่ยนแปลงชีวิตเพื่อทำตามมาตรฐานในคัมภีร์ไบเบิล และบางคนก็ต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เราต้องระวังที่จะไม่เอาชีวิตที่สะอาดด้านศีลธรรมไปแลกกับชีวิตที่ผิดศีลธรรม อะไรจะช่วยเราให้ต้านทานการล่อใจให้ทำผิดศีลธรรม? เราต้องคิดถึงสิ่งที่พระยะโฮวาให้เราเพื่อจะเป็นคนบริสุทธิ์ พระองค์ให้ชีวิตที่มีค่าของพระเยซูลูกชายที่รักของพระองค์กับเรา (1 เปโตร 1:18, 19) ดังนั้น เพื่อที่เราจะสะอาดในสายตาพระยะโฮวาได้ต่อไป เราต้องคิดเสมอว่าค่าไถ่ของพระเยซูมีค่ามากขนาดไหน
12, 13. (ก) การมองประเพณีและวันหยุดต่าง ๆ เหมือนพระยะโฮวาเป็นประโยชน์กับเราอย่างไร? (ข) ต่อไปเราจะคุยเรื่องอะไร?
12 ธรรมเนียมและประเพณีที่พระเจ้าไม่ชอบ ครอบครัว คนในที่ทำงาน และเพื่อนนักเรียนอาจพยายามชวนเราเข้าร่วมงานฉลองและประเพณีต่าง ๆ ที่พระเจ้าไม่ชอบ อะไรจะช่วยเราไม่ให้ยอมแพ้แรงกดดันนั้น? เราต้องรู้เหตุผลที่พระยะโฮวาไม่ยอมรับประเพณีและวันหยุดต่าง ๆ และต้องคิดถึงเหตุผลนั้นเสมอ เราจึงต้องค้นคว้าหนังสือขององค์การและคิดถึงต้นตอของงานฉลองและประเพณีเหล่านั้น เมื่อเราคิดใคร่ครวญถึงเหตุผลตามหลักพระคัมภีร์ที่ว่าทำไมไม่ควรฉลอง มันจะช่วยเราให้มั่นใจว่าเรากำลังใช้ชีวิตตามแนวทางที่ “ผู้เป็นนายพอใจ” (เอเฟซัส 5:10) เมื่อเราวางใจพระยะโฮวาและคัมภีร์ไบเบิล เราไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร—สุภาษิต 29:25
13 เราหวังว่าจะใช้ชีวิตตามความจริงตลอดไป แต่อะไรจะช่วยเราให้ตั้งใจมากขึ้นที่จะทำอย่างนั้น? มี 3 อย่างที่ช่วยเราได้
ตั้งใจมากขึ้นที่จะใช้ชีวิตตามความจริง
14. (ก) การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลต่อ ๆ ไปช่วยเราอย่างไรให้ตั้งใจที่จะไม่ทิ้งความจริง? (ข) ทำไมสติปัญญา คำสั่งสอน และความเข้าใจถึงจำเป็นสำหรับเรา?
14 อย่างแรกคุณต้องจัดเวลาเป็นประจำที่จะศึกษาและคิดใคร่ครวญเรื่องที่ได้เรียนจากคัมภีร์ไบเบิล ยิ่งสุภาษิต 23:23 บอกให้เรา “ซื้อความจริงไว้” และยังบอกอีกว่าเราควร “ซื้อสติปัญญา คำสั่งสอน กับความเข้าใจด้วย” การมีความรู้เกี่ยวกับความจริงแค่นั้นยังไม่พอ เราต้องเอาสิ่งที่เรียนมาใช้ด้วย เมื่อเรามีความเข้าใจ เราจะเอาสิ่งใหม่ที่ได้เรียนมารวมกับสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว และถ้าเรามีสติปัญญา มันก็จะกระตุ้นให้เราลงมือทำตามความรู้ที่เรามี นอกจากนั้น บางครั้งความจริงยังสั่งสอนเราด้วยโดยทำให้เราเห็นว่าต้องเปลี่ยนอะไรบ้างและเราก็ต้องรีบเปลี่ยนตามนั้น คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า คำสั่งสอนมีค่ามากกว่าเงิน—สุภาษิต 8:10
คุณศึกษามากขึ้น คุณก็จะยิ่งรักความจริงและตั้งใจที่จะไม่มีวันทิ้งความจริง15. ความจริงป้องกันเราเหมือนเข็มขัดทหารอย่างไร?
15 อย่างที่ 2 คุณต้องตั้งใจเอาความจริงในคัมภีร์ไบเบิลมาใช้ทุกวัน ความจริงเป็นเหมือนเข็มขัดทหาร (เอเฟซัส 6:14) ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล ทหารใส่เข็มขัดเพื่อป้องกันช่วงเอวตอนที่เขาต่อสู้ แต่เขาต้องใส่แน่น ๆ เพราะถ้าหลวมมันจะป้องกันเขาไม่ได้ แล้วความจริงป้องกันเราอย่างไร? ถ้าเราคิดถึงความจริงเสมอและเอามาใช้เป็นประจำ มันก็จะป้องกันความคิดที่ผิดและช่วยเราให้ตัดสินใจอย่างถูกต้อง เมื่อเราเจอปัญหาหนักหรือถูกล่อใจให้ทำผิด ความจริงจะช่วยเราให้ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้อง และเหมือนกับทหารที่จะไม่มีทางออกไปรบถ้าไม่ได้ใส่เข็มขัด เราก็จะไม่มีวันทิ้งความจริง เราต้องแน่ใจว่าได้เอาความจริงในคัมภีร์ไบเบิลมาใช้ทุกแง่มุมของชีวิต นอกจากนั้น ทหารยังเหน็บดาบไว้ที่เข็มขัด ให้เรามาดูว่าเราจะทำคล้ายกันได้อย่างไร
16. การสอนความจริงช่วยเราอย่างไรให้ใช้ชีวิตตามความจริงต่อ ๆ ไป?
16 อย่างที่ 3 คุณต้องสอนความจริงในคัมภีร์ไบเบิลให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ คัมภีร์ไบเบิลเป็นเหมือนดาบ ทหารที่เก่งต้องจับดาบไว้ให้แน่น เราก็ต้องยึดมั่นกับถ้อยคำของพระเจ้าเสมอ (เอเฟซัส 6:17) เราทุกคนสามารถเป็นผู้สอนที่ดีขึ้นและ “ใช้ถ้อยคำของพระองค์ที่เป็นความจริงอย่างถูกต้อง” (2 ทิโมธี 2:15) เมื่อเราใช้คัมภีร์ไบเบิลในการสอนคนอื่น เราจะรู้จักและรักความจริงมากขึ้น และตั้งใจมากขึ้นที่จะใช้ชีวิตตามความจริงนั้น
17. ทำไมคุณถึงมองว่าความจริงมีค่า?
17 ความจริงเป็นของขวัญที่มีค่าจากพระยะโฮวา มันทำให้เราสนิทกับพระเจ้าผู้เป็นพ่อในสวรรค์ของเราซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด พระยะโฮวาสอนเรามาแล้วมากมาย แต่นี่เป็นแค่การเริ่มต้น พระองค์สัญญาว่าจะสอนเราตลอดไป ดังนั้น คุณต้องมองความจริงเหมือนไข่มุกที่มีค่า และตั้งใจต่อ ๆ ไปที่จะ “ซื้อความจริงไว้และอย่าขายเลย” ถ้าคุณทำอย่างนั้น คุณจะเป็นเหมือนดาวิดที่ได้ทำตามที่สัญญากับพระยะโฮวาว่า “ผมจะใช้ชีวิตตามแนวทางแห่งความจริงของพระองค์”—สดุดี 86:11
^ วรรค 8 ชื่อสมมุติ
^ วรรค 8 ดูรายการทีวี JW ในหัวข้อการสัมภาษณ์และประสบการณ์ > ความจริงเปลี่ยนชีวิตคน