เรื่องราวชีวิตจริง
พระยะโฮวาช่วยให้เราเข้มแข็งทั้งในตอนที่มีสงครามและตอนที่สงบสุข
พอล: เรารู้สึกตื่นเต้นมาก ตอนนั้นเป็นเดือนพฤศจิกายน 1985 เราเพิ่งถูกแต่งตั้งเป็นมิชชันนารีและงานมอบหมายแรกของเราคือไลบีเรียซึ่งอยู่ทางแอฟริกาตะวันตก ตอนที่เราเดินทางไปที่นั่น เครื่องบินของเราแวะที่เซเนกัล แอนบอกว่า “อีกชั่วโมงเดียวเราก็จะถึงไลบีเรียแล้ว” ทันใดนั้นก็มีเสียงประกาศว่า “ผู้โดยสารที่จะไปไลบีเรีย ขอกรุณาลงจากเครื่องบิน เพราะมีการปฏิวัติที่ไลบีเรีย ทำให้เครื่องบินไม่สามารถลงจอดที่นั่นได้” ตลอด 10 วัน เราพักอยู่กับมิชชันนารีที่เซเนกัล เราได้ฟังข่าวว่าหลายคนที่ไลบีเรียถูกฆ่าและรัฐบาลสั่งให้มีเคอร์ฟิวที่ห้ามประชาชนออกนอกบ้านตามเวลาที่กำหนดไว้ไม่อย่างนั้นจะโดนยิง
แอน: เราสองคนไม่ใช่คนที่ชอบผจญภัย ที่จริงตั้งแต่เด็กใคร ๆ ก็เรียกฉันว่าแอนนี่ขี้กังวล ฉันกลัวมากแม้แต่ตอนข้ามถนนด้วยซ้ำ แต่เราก็ตั้งใจว่าจะไปที่เขตมอบหมายให้ได้
พอล: ผมกับแอนเกิดที่ภาคตะวันตกของอังกฤษ บ้านเราอยู่ห่างกันแค่ 8 กิโลเมตร เราเป็นไพโอเนียร์หลังจากจบชั้นมัธยม พ่อแม่ของผมกับแม่ของแอนสนับสนุนเราอย่างดีให้ทำงานรับใช้เต็มเวลา ตอนอายุ 19 ผมได้สิทธิพิเศษไปทำงานที่เบเธล และในปี 1982 ผมกับแอนแต่งงานกัน แล้วแอนก็รับใช้กับผมที่เบเธลด้วย
แอน: เราสองคนรักงานรับใช้ในเบเธลมาก แต่เราก็อยากไปรับใช้ในที่ที่ต้องการผู้ประกาศมากกว่าด้วย พี่น้องบางคนที่ทำงานในเบเธลเคยเป็นมิชชันนารีมาก่อน การได้ทำงานกับพวกเขาทำให้เรายิ่งอยากเป็นมิชชันนารี เราอธิษฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ทุกคืนตลอด 3 ปี จนในที่สุดเราก็ตื่นเต้นมากที่ได้รับเชิญให้เข้าโรงเรียนกิเลียดชั้นเรียนที่ 79 ในปี 1985 หลังจากจบชั้นเรียนนั้น เราก็ได้รับมอบหมายให้ไปที่ไลบีเรียซึ่งอยู่ทางตะวันตกของแอฟริกา
ความรักของพี่น้องทำให้เราเข้มแข็ง
พอล: ตอนอยู่ที่เซเนกัล พอเราได้ยินว่าเราสามารถเข้าไลบีเรียได้ เราก็รีบซื้อตั๋วเครื่องบินไปที่นั่นทันที พอไปถึงเราสัมผัสได้เลยว่าบรรยากาศในประเทศนั้นตึงเครียดและรัฐบาลยังคงประกาศเคอร์ฟิวในบางพื้นที่ ผู้คนอยู่ด้วยความหวาดกลัว แค่รถที่วิ่งเสียงดังก็ทำให้ผู้คนตกใจกลัวจนกรีดร้องออกมา เพื่อที่เราสองคนจะสงบใจได้ เราอ่านหนังสือสดุดีด้วยกันทุกคืน แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่เราก็รักงานมอบหมายของเรามาก ผมทำงานในเบเธลกับจอห์น a ส่วนแอนก็ออกประกาศในเขต ผมได้เรียนหลายอย่างจากจอห์นเพราะเขาอาศัยอยู่ในไลบีเรียมานานแล้ว เขารู้ว่าพี่น้องมีปัญหาอะไรและเจอสภาพการณ์แบบไหน
ชะรักแอน: อะไรทำให้เรารักไลบีเรียเร็วขนาดนี้น่ะเหรอ? พี่น้องค่ะ พี่น้องแสดงความรักต่อเรามากและพวกเขาซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาจริง ๆ เรารู้สึกว่าพวกเขาเป็นเหมือนครอบครัวใหม่ของเรา พี่น้องให้คำแนะนำดี ๆ กับเราหลายอย่างและชอบให้กำลังใจเราสองคน งานประกาศที่นี่ก็ดีมาก เจ้าของบ้านชอบให้เราอยู่คุยกับพวกเขานาน ๆ และจะออกอาการไม่พอใจถ้าเรารีบกลับบ้านเร็วเกินไป ผู้คนที่ไลบีเรียชอบคุยกันเรื่องคัมภีร์ไบเบิลแม้แต่ตอนที่อยู่ตามถนนหนทาง คุณสามารถเดินเข้าไปคุยกับพวกเขาได้เลย เราสองคนมีนักศึกษาเยอะมากจนแทบจะศึกษาทั้งหมดไม่ไหว มันสุดยอดจริง ๆ ค่ะ!
พระยะโฮวาช่วยให้เราเข้มแข็งแม้จะรู้สึกกลัว
พอล: หลังจากที่เราอยู่อย่างสงบสุขในไลบีเรียได้ 4 ปี ในปี 1989 ก็เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นซึ่งทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เราอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง กลุ่มกบฏเข้ามาใกล้เบเธลในวันที่ 2 กรกฎาคม 1990 ตั้งแต่นั้นตลอด 3 เดือนเราก็ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกรวมทั้งจากครอบครัวของเราและสำนักงานใหญ่ ในเมืองมีแต่ความรุนแรงและวุ่นวาย อาหารก็ขาดแคลน และผู้หญิงหลายคนถูกข่มขืน เหตุการณ์เลวร้ายอย่างนี้เกิดขึ้นทั่วประเทศตลอด 14 ปี
แอน: ถ้าคนต่างเผ่ามาเจอกัน พวกเขาก็จะฆ่ากัน และมีทหารอยู่ตามถนนเต็มไปหมด พวกเขามีอาวุธและแต่งตัวให้ดูน่ากลัว พวกเขาเข้าไปตามบ้านประชาชนและหยิบฉวยข้าวของไปตามอำเภอใจ พวกเขาฆ่าคนอื่นง่าย ๆ โดยไม่คิดอะไรไม่ต่างกับฆ่าไก่ พวกเขาตั้งด่านตามถนนเพื่อจะควบคุมประชาชนที่เดินทางไปมา มีชาวบ้านหลายคนโดนฆ่า แล้วพวกทหารก็จะเอาศพวางทับกัน เหตุการณ์ที่น่ากลัวแบบนี้เกิดขึ้นใกล้เบเธลด้วยซ้ำ พี่น้องที่ซื่อสัตย์บางคนก็ถูกฆ่ารวมทั้งเพื่อนมิชชันนารี 2 คนที่เรารักด้วย
พี่น้องของเรายอมเสี่ยงชีวิตเพื่อจะปกป้องกันและกันและช่วยหาที่ซ่อนเพื่อให้พี่น้องปลอดภัย พี่น้องที่เป็นมิชชันนารีและพี่น้องเบเธลก็ทำแบบนั้นด้วย พี่น้องบางคนที่หนีมาอยู่กับเรานอนอยู่ชั้นล่าง ส่วนคนอื่น ๆ ก็พักอยู่กับเราที่ชั้นบน มีครอบครัวหนึ่งที่มีกัน 7 คนมาอยู่ในห้องเดียวกับเราด้วย
พอล: พวกทหารพยายามจะเข้ามาในเบเธลทุกวันเพื่อดูว่าเราซ่อนใครไว้หรือเปล่า เราเลยมอบหมายพี่น้อง 4 คนให้ทำหน้าที่เฝ้ายาม ถ้ามีทหารมาที่หน้าเบเธล พี่น้องสองคนจะคอยเฝ้าดูที่หน้าต่างในบ้าน และอีกสองคนจะไปคุยกับพวก
ทหารที่ประตู ถ้าคนที่ไปคุยที่ประตูประสานมือไว้ด้านหน้า นั่นหมายความว่าปลอดภัยดี แต่ถ้าพวกเขาเอามือไพล่หลัง นั่นหมายความว่าพวกทหารกำลังโกรธ แล้วคนที่เฝ้าตรงหน้าต่างก็จะรีบพาพี่น้องไปซ่อนแอน: วันหนึ่งพี่น้องที่ทำหน้าที่เฝ้ายามไม่สามารถหยุดพวกทหารที่กำลังโกรธไม่ให้เข้ามาในเบเธลได้ ฉันกับพี่น้องหญิงอีกคนหนึ่งเลยรีบวิ่งไปซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำและล็อกประตูไว้ ในห้องน้ำมีตู้เล็ก ๆ อยู่หนึ่งตู้ พี่น้องหญิงคนนั้นพยายามยัดตัวเองเข้าไปอยู่ในตู้นั้น พวกทหารขึ้นมาจนถึงห้องน้ำที่เราอยู่ พวกเขาถือปืนมาด้วย พอมาถึงก็เคาะประตูเสียงดังลั่น พอลอ้อนวอนพวกทหารว่า “ภรรยาของผมใช้ห้องน้ำอยู่” ฉันพยายามเอาของที่ออกมาจากตู้นั้นขึ้นไปวางบนชั้น มันเลยมีเสียงดังและเสียเวลานิดหน่อย พวกทหารต้องสงสัยแน่ว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่ ฉันเลยกลัวมากจนสั่นไปทั้งตัว แล้วแบบนี้ฉันจะเปิดประตูห้องน้ำได้ยังไง? ฉันก็เลยอธิษฐานสั้น ๆ ขอพระยะโฮวาช่วยให้ฉันสงบใจลงได้ พอเปิดประตูออกมา ฉันพยายามทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทหารคนหนึ่งดันตัวฉันออกไปเพื่อจะเข้าไปในห้องน้ำ เขาเปิดตู้ใบเล็ก จากนั้นก็รื้อของบนชั้นลงมาหมด เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไม่มีใครซ่อนอยู่เลย แล้วเขากับพวกทหารก็ไปค้นตามห้องอื่น ๆ รวมทั้งบนหลังคาด้วย แต่ไม่เจอใคร
ความจริงยังคงส่องแสง
พอล: ในเบเธลแทบไม่มีอะไรกินอยู่หลายเดือน แต่เราก็ได้รับอาหารที่เสริมความเชื่อไม่ขาด การนมัสการตอนเช้าในเบเธลเป็นแค่ “อาหารเช้า” อย่างเดียวที่เรามี และมันก็ทำให้เรามีความเชื่อเข้มแข็งขึ้นมาก
เรารู้ว่าถ้าน้ำหรืออาหารในเบเธลหมดเมื่อไหร่ เรากับพี่น้องคงจำเป็นต้องออกไปข้างนอก และเราคงไม่สามารถปกป้องพี่น้องที่เราซ่อนไว้ พวกเขาอาจจะโดนฆ่าด้วยซ้ำ แต่พระยะโฮวาก็ช่วยเราจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นต้องมีในเวลาที่เหมาะสมและในวิธีที่เรานึกไม่ถึงจริง ๆ พระยะโฮวาคอยดูแลและช่วยเราให้ยังคงมีความสงบใจได้
ถึงแม้สถานการณ์ในประเทศยิ่งแย่ลง แต่ความจริงก็ยิ่งฉายแสงสว่างขึ้นเรื่อย ๆ พี่น้องของเราต้องอพยพหลายครั้งแต่ก็ยังมีความเชื่อเข้มแข็งและสงบใจได้ทั้ง ๆ ที่ลำบากมาก บางคนบอกว่าที่พวกเขาเจอแบบนี้เป็น “การซ้อมสำหรับความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่” ผู้ดูแลและพี่น้องชายวัยรุ่นช่วยเหลือพี่น้องอย่างกล้าหาญ ตอนพี่น้องต้องอพยพพวกเขาจะช่วยเหลือกันและกันและเริ่มประกาศในที่ที่พวกเขาไปอาศัยอยู่ พวกเขาใช้ทุกสิ่งที่หาได้เพื่อจะสร้างหอประชุมชั่วคราวในป่าและพยายามที่จะจัดการประชุม ในช่วงเวลาที่น่ากลัวแบบนั้นการประชุมและประกาศคือสิ่งที่ทำให้พี่น้องมีความหวังและได้กำลังใจจริง ๆ และเมื่อเราไปแจกสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้พี่น้องเหล่านั้น พวกเขามักจะขอกระเป๋าประกาศแทนที่จะขอเสื้อผ้า มันทำให้เรารู้สึกประทับใจจริง ๆ ผู้คนที่กำลังลำบากและเป็นทุกข์ต่างก็อยากได้ยินข่าวดี พวกเขาแปลกใจมากที่เห็นว่าพยานฯ ยังคงมีความสุขและมองในแง่บวก พี่น้องเป็นเหมือนแสงสว่างในช่วงเวลาที่มืดมน (มธ. ) ความกระตือรือร้นของพี่น้องถึงกับทำให้ทหารบางคนเข้ามาเป็นพยานฯ ด้วย 5:14-16
พระยะโฮวาช่วยให้เราเข้มแข็งเมื่อเราต้องจากพี่น้องไป
พอล: มีบางครั้งที่เราต้องออกจากไลบีเรีย มีอยู่ 3 ครั้งที่เราไปช่วงสั้น ๆ และมี 2 ครั้งที่เราต้องออกไปนานเป็นปี พี่น้องหญิงคนหนึ่งที่เป็นมิชชันนารีพูดถึงความรู้สึกของเราได้ดีมาก เธอบอกว่า “โรงเรียนกิเลียดสอนเราให้รักพี่น้องในเขตมอบหมายสุดหัวใจ และเราก็ทำอย่างนั้น การต้องจากพวกเขาในสถานการณ์แบบนี้เลยทำให้เรารู้สึกเหมือนถูกควักหัวใจออกไป” ถึงจะเป็นอย่างนั้น ตอนที่เราอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านของไลบีเรีย เราก็ดีใจที่ได้ทำหลายอย่างเพื่อช่วยเหลือพี่น้องและสนับสนุนงานประกาศที่นั่น
แอน: เดือนพฤษภาคม 1996 พวกเรา 4 คนต้องขับรถของสาขาซึ่งในรถมีเอกสารสำคัญปึกใหญ่เกี่ยวกับงานของเรา เพื่อไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยกว่าซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของเมือง ที่นั่นอยู่ห่างออกไป 16 กิโลเมตร พอขับรถไปได้ไม่นานก็มีการยิงต่อสู้กัน ทหารยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อให้เราหยุดรถ พอเราจอด ทหารก็ดึงเรา 3 คนออกจากรถ แล้วก็ขับรถออกไปทั้ง ๆ ที่พอลยังนั่งอยู่ในนั้น เราทุกคนช็อคไปเลย ทันใดนั้นพอลก็เดินมาหาเรา เขามีเลือดไหลที่หน้าผาก ตอนแรกเราคิดว่าเขาโดนยิงที่หัว แต่เราก็นึกได้ทันทีว่าเขาเดินมาหาเราได้นี่! ปรากฏว่าพอลมีแผลที่หน้าผากเพราะทหารคนหนึ่งที่อยู่ในรถต่อยพอลเพื่อจะให้เขาลงจากรถ เราดีใจที่เขาได้รับบาดเจ็บแค่นิดหน่อย
แล้วเราก็เห็นรถบรรทุกของทหารคันหนึ่งอยู่ใกล้ ๆ มีชาวบ้านนั่งอยู่เต็มรถด้วยสีหน้าหวาดกลัว เราตัดสินใจว่าจะขึ้นบนรถบรรทุกคันนั้น แต่เนื่องจากรถเต็มมาก เราเลยต้องเกาะอยู่นอกตัวรถ เราแทบจะหาที่เกาะไม่ได้เลย ทหารขับรถเร็วมากจนเราเกือบร่วงหลายครั้ง เราพยายามขอให้เขาหยุดรถ แต่เขาก็กลัวเกินกว่าจะหยุด เราเลยต้องพยายามสุดความสามารถที่จะไม่ร่วงลงจากรถ พอถึงที่หมาย เราก็หมดแรงไปเลยเพราะต้องเกาะรถไว้ตลอดเวลา เรากลัวมากจนสั่นไปทั้งตัว
พอล: พอพวกเรามองหน้ากันก็เห็นว่าแต่ละคนเนื้อตัวสกปรกมอมแมมไปหมด เสื้อผ้าก็ขาด แต่เหลือเชื่อจริง ๆ ที่พวกเรายังมีชีวิตอยู่ คืนนั้นเรานอนกลางทุ่ง ข้าง ๆ เรามีเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งซึ่งมีรอยกระสุนหลายรูและสภาพดูแย่มาก แต่เฮลิคอปเตอร์ลำนี้แหละที่จะพาเราไปเซียร์ราลีโอนในวันรุ่งขึ้น หลังจากไปถึงเซียร์ราลีโอน เรารู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่เราก็เป็นห่วงพี่น้องในไลบีเรียมาก
พระยะโฮวาช่วยให้เราเข้มแข็งเพื่อจะอดทนปัญหาอื่น ๆ อีก
แอน: ตอนที่เรามาถึงเบเธลที่เมืองฟรีทาวน์ประเทศเซียร์ราลีโอน เรารู้สึกปลอดภัยและพี่น้องก็ดูแลเราดีมาก แต่แล้วฉันก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีบางอย่างที่ผิดปกติ ฉันเห็นภาพเลวร้ายในไลบีเรียแวบเข้ามาในหัวเป็นระยะ ๆ ตอนกลางวันฉันจะตื่นตระหนกและหวาดระแวงตลอดเวลา ภาพรอบตัวเบลอไปหมด แต่พอตกกลางคืนฉันจะสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะกลัวจนเหงื่อท่วมตัว ฉันรู้สึกหายใจไม่ออก พอลจะกอดฉันไว้และอธิษฐานกับฉัน เราร้องเพลงราชอาณาจักรด้วยกันจนฉันหายตัวสั่น ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้า และคิดว่าคงรับใช้เป็นมิชชันนารีไม่ไหวแล้ว
แต่ฉันไม่มีวันลืมสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นเลย สัปดาห์ถัดมาเราได้รับวารสารสองเล่ม เล่มหนึ่งคือตื่นเถิด! 8 มิถุนายน 1996 ซึ่งมีชื่อเรื่องว่า “การรับมือกับโรคแพนิก” ในที่สุดฉันก็รู้แล้วว่าฉันเป็นอะไร วารสารฉบับที่สองคือหอสังเกตการณ์ 15 พฤษภาคม 1996 ซึ่งมีหัวเรื่องว่า “พวกเขาได้กำลังความเข้มแข็งมาจากไหน?” บทความนั้นมีรูปผีเสื้อปีกขาด ในนั้นอธิบายว่าผีเสื้อก็ยังคงหาอาหารและบินต่อไปแม้ปีกของมันจะเสียหายค่อนข้างมาก เหมือนกันถ้าเรารู้สึกอ่อนแอเพราะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับเรา พระยะโฮวาจะช่วยเราให้ยังคงช่วยคนอื่นได้ต่อไป ฉันรู้สึกเลยว่าพระยะโฮวาจัดเตรียมบทความเหล่านี้เพื่อฉัน (มธ. 24:45) และฉันยังค้นหาบทความคล้าย ๆ กันและเก็บรวบรวมไว้เป็นแฟ้มซึ่งมันเป็นสิ่งที่ช่วยฉันได้มากจริง ๆ พอเวลาผ่านไปอาการของฉันก็ค่อย ๆ ดีขึ้น
พระยะโฮวาช่วยเราให้เข้มแข็งเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
พอล: เราเข้า ๆ ออก ๆ ไลบีเรียหลายรอบ แต่ทุกครั้งที่ได้กลับมาไลบีเรียเราก็มีความสุขมาก พอถึงปลายปี 2004 เราก็รับใช้ที่นี่มาเกือบ 20 ปีแล้ว ตอนนั้นสงครามจบลงแล้วและมีการวางแผนว่าจะสร้างสำนักงานสาขาขึ้นที่ไลบีเรีย แต่จู่ ๆ เราก็ได้รับงานมอบหมายใหม่
นี่เป็นการทดสอบครั้งใหญ่สำหรับเรา เราสนิทกับพี่น้องที่ไลบีเรียมากเพราะพวกเขาเป็นเหมือนครอบครัวของเรา เราไม่อยากจากพวกเขาไปเลย แต่เราก็คิดได้ว่าพระยะโฮวาเคยช่วยเราตอนที่ต้องจากครอบครัวเพื่อไปเรียนที่โรงเรียนกิเลียด เราเลยเต็มใจรับงานมอบหมายใหม่เพราะรู้ว่าพระองค์จะช่วยเราเหมือนกัน เราได้รับงานมอบหมายให้ไปที่ประเทศกานา
แอน: เราร้องไห้หลายครั้งเมื่อต้องออกจากไลบีเรีย แล้วเราก็ต้องแปลกใจที่แฟรงค์ซึ่งเป็นผู้ดูแลที่สูงอายุและฉลาดได้บอกเราว่า “คุณต้องลืมพวกเรานะ” เขาบอกว่า “เรารู้ว่าคุณจะไม่มีวันลืมพวกเราหรอก แต่คุณต้องทุ่มเทให้กับงานมอบหมายใหม่ มันเป็นงานมอบหมายจากพระยะโฮวา ดังนั้น คุณต้องทุ่มเทหัวใจให้กับพี่น้องที่นั่น” คำพูดของเขาช่วยเราให้พร้อมที่จะมีเพื่อนใหม่ในประเทศที่มีไม่กี่คนรู้จักเราและทุกอย่างเป็นเรื่องใหม่สำหรับเรา
พอล: พอไปถึงกานาได้ไม่นาน เราก็รักพี่น้องที่นั่นมาก ที่กานามีพยานฯ เยอะจริง ๆ เราได้เรียนหลายอย่างจากพี่น้องที่มีความเชื่อเข้มแข็งและซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวา และหลังจากที่เรารับใช้ที่กานาได้ 13 ปี เราก็ต้องแปลกใจอีกครั้งเพราะเราได้รับมอบหมายให้ไปอยู่ที่เคนยาซึ่งอยู่ทางตะวันออกของแอฟริกา แม้ว่าเราจะรักพี่น้องที่กานามาก ๆ แต่พอไปถึงเคนยาได้ไม่นานเราก็รู้สึกรักพี่น้องที่ซื่อสัตย์ในเคนยาด้วย ตอนนี้เรายังคงรับใช้ในเขตนี้ที่มีงานประกาศให้ทำเยอะมากเหมือนไลบีเรียและกานา
มองย้อนกลับไป
แอน: ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ฉันเจอประสบการณ์ที่ยากลำบากหลายอย่าง และบางครั้งฉันก็กลัวมากด้วย ตอนที่เราเจอกับสถานการณ์ที่อันตรายและยากลำบาก มันอาจทำให้เราเจ็บป่วยและกลัวจนทำอะไรไม่ถูก และเราไม่อาจคาดหมายให้พระยะโฮวาช่วยเราอย่างอัศจรรย์ เมื่อไหร่ที่ได้ยินเสียงปืน ฉันจะรู้สึกปั่นป่วนในท้อง รู้สึกไม่สบาย และมือชาไปหมด แต่ฉันก็ได้เรียนรู้ว่าเมื่อเราพึ่งการจัดเตรียมทุกอย่างของพระยะโฮวารวมทั้งการช่วยเหลือจากพี่น้อง มันช่วยฉันได้มากจริง ๆ ฉันได้เรียนรู้ว่าการทำกิจวัตรทางด้านความเชื่ออย่างสม่ำเสมอเป็นวิธีที่พระยะโฮวาช่วยเราให้ยังคงทำงานรับใช้ต่อไปได้
พอล: มีพี่น้องบางคนถามผมว่า ‘คุณรักงานมอบหมายของคุณไหม?’ สำหรับผม ประเทศต่าง ๆ อาจสวยงาม แต่อาจเกิดความไม่มั่นคง วุ่นวาย และอันตรายได้ ดังนั้น สิ่งที่เรารักก็คือพี่น้องที่มีค่าของเรา พวกเขาเป็นครอบครัวของเราจริง ๆ แม้พี่น้องจะมาจากภูมิหลังที่ต่างกัน แต่เราก็มีความคิดจิตใจเดียวกัน เราเคยคิดว่าเราถูกส่งไปให้กำลังใจพวกเขา แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาต่างหากที่ให้กำลังใจเรา
เมื่อไหร่ที่เราต้องเปลี่ยนงานมอบหมาย เราได้เจอสิ่งอัศจรรย์ในสมัยปัจจุบันทุกครั้ง นั่นก็คือพี่น้องที่รักของเรา ตราบใดที่เราเป็นส่วนหนึ่งของประชาคม เราจะมีครอบครัวและมีบ้านที่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัย เรามั่นใจว่าถ้าเรายังคงพึ่งพระยะโฮวาเสมอ พระองค์จะช่วยให้เรามีกำลังทนได้ทุกสิ่งเพราะพระองค์ให้กำลังกับเรา—ฟป. 4:13
a ดูเรื่องราวชีวิตจริงของจอห์น ชะรักได้ในบทความชื่อ “ผมขอบคุณพระเจ้าและพระคริสต์” ในหอสังเกตการณ์ 15 มีนาคม 1973 (ภาษาอังกฤษ)