บทความศึกษา 22
ปรับปรุงนิสัยการศึกษาส่วนตัว
“มองให้ออกว่าอะไรสำคัญกว่า”—ฟป. 1:10
เพลง 35 “มองให้ออกว่าอะไรสำคัญกว่า”
ใจความสำคัญ *
1. ทำไมบางคนอาจไม่ค่อยอยากศึกษาส่วนตัว?
ทุกวันนี้ผู้คนทำงานหนักมากเพื่อหาเลี้ยงตัวเอง พี่น้องเราหลายคนทำงานตั้งแต่เช้าจดค่ำเพื่อจะหาเงินมาใช้จ่ายสำหรับสิ่งจำเป็นในครอบครัว และมีพี่น้องอีกมากที่ใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมงเพื่อไปและกลับจากที่ทำงาน ส่วนหลายคนทำงานที่ต้องใช้แรง พอตกเย็นพี่น้องที่เหน็ดเหนื่อยเหล่านี้ก็หมดแรง สิ่งสุดท้ายที่พวกเขาอยากทำก็คือศึกษาส่วนตัว
2. คุณหาเวลาศึกษาส่วนตัวเมื่อไร?
2 ถึงจะเป็นอย่างนั้น เราต้องหาเวลาศึกษาคัมภีร์ไบเบิลรวมทั้งหนังสือและสื่อต่าง ๆ ขององค์การ และต้องศึกษาอย่างจริงจัง ความสัมพันธ์ของเรากับพระยะโฮวาและชีวิตตลอดไปขึ้นอยู่กับการทำอย่างนี้ (1 ทธ. 4:15, 16) เพื่อจะศึกษาคัมภีร์ไบเบิลหรือหนังสือขององค์การและคิดใคร่ครวญ บางคนใช้เวลาตอนเช้าทุกวันเมื่อสมองปลอดโปร่งหลังจากได้นอนหลับพักผ่อนแล้วและบ้านก็เงียบสงบ ส่วนคนอื่นใช้เวลาสั้น ๆ ก่อนนอนตอนไม่มีอะไรมารบกวนสมาธิ
3-4. มีการปรับเปลี่ยนอะไรในเรื่องหนังสือและสื่อต่าง ๆ ขององค์การ? และทำไมต้องปรับเปลี่ยน?
3 คุณคงเห็นด้วยว่าการหาเวลาศึกษาส่วนตัวสำคัญจริง ๆ แต่ควรศึกษาอะไรล่ะ? คุณอาจบอกว่า ‘มีอะไรต้องอ่านต้องดูเยอะแยะไปหมด มันยากนะที่จะตามให้ทัน’ พี่น้องบางคนสามารถจัดเวลาศึกษาและดูทุกอย่างขององค์การได้ไม่มีพลาด แต่ยังมีอีกหลายคนต้องพยายามมากจริง ๆ ที่จะหาเวลาทำแบบนั้น คณะกรรมการปกครองเข้าใจเรื่องนี้ดี จึงได้มีการตัดสินใจลดจำนวนสิ่งที่พวกเราต้องอ่านให้น้อยลงทั้งที่เป็นหนังสือและที่อยู่ในอินเทอร์เน็ต
ฟป. 1:10) ลองมาดูกันว่า คุณจะจัดลำดับความสำคัญอย่างไรและจะได้ประโยชน์เต็มที่จากการศึกษาส่วนตัวได้อย่างไร
4 ตัวอย่างเช่น ไม่มีหนังสือประจำปีของพยานพระยะโฮวา อีกต่อไป เพราะเราหาประสบการณ์มากมายที่ให้กำลังใจได้ในเว็บไซต์ jw.org® และในรายการทีวี JW ประจำเดือน นอกจากนั้น มีการพิมพ์หอสังเกตการณ์ ฉบับสาธารณะและตื่นเถิด! ออกมาแค่อย่างละ 3 เล่มต่อปี องค์การไม่ได้ปรับเปลี่ยนแบบนี้เพื่อให้เรามีเวลามากขึ้นในการทำอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการนมัสการพระยะโฮวา แต่เพื่อให้เราสามารถเอาใจใส่สิ่งที่ “สำคัญกว่า” (จัดลำดับความสำคัญ
5-6. มีอะไรบ้างที่เราควรศึกษาอย่างละเอียด?
5 สิ่งสำคัญที่สุดและควรเป็นอย่างแรกที่เราศึกษาคืออะไร? เราควรศึกษาคัมภีร์ไบเบิลให้ได้ทุกวัน ที่จริง มีการลดข้อคัมภีร์ในการอ่านคัมภีร์ไบเบิลประจำสัปดาห์ลงด้วยเพื่อให้เรามีเวลามากขึ้นที่จะคิดใคร่ครวญและค้นคว้าเพิ่มเติม เป้าหมายของเราไม่ใช่แค่อ่านให้ครบทุกข้อ แต่ต้องให้เรื่องนั้นเข้าถึงหัวใจเราซึ่งจะทำให้เราสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้น—สด. 19:14
6 มีอะไรอีกที่เราควรศึกษาอย่างละเอียด? เราอยากเตรียมหอสังเกตการณ์ และหนังสือที่ใช้ในการศึกษาพระคัมภีร์ประจำประชาคมรวมทั้งเตรียมการประชุมกลางสัปดาห์ นอกจากนั้น เราน่าจะอ่านตื่นเถิด! และหอสังเกตการณ์ ฉบับสาธารณะรวมทั้งฉบับศึกษาทุกบทความด้วย
7. ถ้าเราอ่านหรือดูทุกอย่างในเว็บไซต์ของเราหรือในรายการทีวี JW ไม่ทัน เราควรท้อไหม?
7 คุณอาจบอกว่า ‘โอเค แต่เรื่องที่อยู่ในเว็บไซต์ jw.org กับรายการทีวี JW ล่ะ? มันเยอะแยะไปหมดเลย’ ถ้าอย่างนั้น ลองคิดถึงตัวอย่างนี้ ในร้านบุฟเฟ่ต์มีอาหารอร่อย ๆ เยอะมาก ลูกค้าไม่มีทางกินได้ทั้งหมด เขาเลยเลือกกินบางอย่าง เหมือนกัน ถ้าคุณไม่สามารถตามทันทุกอย่างขององค์การที่อยู่ในเว็บไซต์กับรายการทีวี อย่าเพิ่งท้อใจ ให้อ่านและดูเท่าที่คุณทำได้ ทีนี้เราจะมาคุยกันว่าการศึกษาหมายถึงอะไร และเราจะทำอย่างไรเพื่อให้ได้ประโยชน์มากที่สุดจากการศึกษาส่วนตัว
ออกความพยายาม
8. การเตรียมหอสังเกตการณ์ มีขั้นตอนอะไรบ้าง? คุณจะได้ประโยชน์อะไรถ้าทำตามขั้นตอนเหล่านั้น?
8 การศึกษาหมายถึงการตั้งใจอ่านเพื่อดูว่าจะได้อะไรจากเรื่องที่อ่าน การศึกษาส่วนตัวไม่ใช่แค่การอ่านผ่าน ๆ และขีดเส้นใต้หาคำตอบ ตัวอย่างเช่น ตอนเตรียมหอสังเกตการณ์ ให้คุณดูใจความสำคัญที่อยู่ตอนต้นของบทความก่อน แล้วดูชื่อเรื่อง หัวข้อย่อย และคำถามทบทวน จากนั้นให้อ่านทั้งเรื่องช้า ๆ อย่างละเอียด ให้สนใจประโยคที่เป็นจุดสำคัญของข้อซึ่งมักจะเป็นประโยคแรก ประโยคนั้นจะทำให้คุณรู้ว่าข้อนั้นเน้นเรื่องอะไร ตอนที่อ่านแต่ละข้อให้คิดว่าข้อนั้นเกี่ยวข้องกันกับหัวข้อย่อยและเรื่องหลักของบทความอย่างไร ให้จดคำและเรื่องที่คุณไม่เคยรู้มาก่อนรวมทั้งเรื่องที่คุณอยากค้นคว้าเพิ่มเติมทีหลัง
9. (ก) ตอนเตรียมหอสังเกตการณ์ ทำไมเราควรสนใจข้อคัมภีร์ต่าง ๆ เป็นพิเศษ? และเราจะทำแบบนั้นได้อย่างไร? (ข) อย่างที่บอกไว้ในโยชูวา 1:8 นอกจากอ่านข้อคัมภีร์แล้วเราควรทำอะไร?
9 การศึกษาหอสังเกตการณ์ คือการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ดังนั้น ตอนเตรียมหอสังเกตการณ์ ให้สนใจที่ข้อคัมภีร์เป็นพิเศษโดยเฉพาะข้อที่ให้อ่าน ให้ดูว่าคำไหนหรือวลีไหนในข้อคัมภีร์เกี่ยวข้องกับจุดสำคัญของข้อนั้น ๆ ในบทความ นอกจากนั้น ให้ใช้เวลาคิดใคร่ครวญโยชูวา 1:8
ข้อคัมภีร์ที่คุณอ่าน แล้วคิดว่าจะเอาไปใช้ในชีวิตของคุณอย่างไร—อ่านพวกคุณที่เป็นพ่อแม่ คุณควรสอนลูกให้รู้วิธีศึกษา (ดูข้อ 10) *
10. จากฮีบรู 5:14 ทำไมพ่อแม่ควรใช้เวลาตอนที่นมัสการประจำครอบครัวสอนลูกให้รู้วิธีศึกษาและค้นคว้า?
10 ตามปกติแล้ว พ่อแม่อยากให้ลูกรู้สึกสนุกตอนนมัสการประจำครอบครัว แม้พ่อแม่ควรวางแผนก่อนว่าจะทำอะไร แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรพิเศษหรือสนุก ๆ ทุกครั้ง แม้การนมัสการประจำครอบครัวอาจเป็นการดูรายการทีวี JW ประจำเดือนหรืออาจมีโปรเจ็คพิเศษ เช่น ต่อโมเดลเรือโนอาห์ แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่พ่อแม่จะสอนลูกให้รู้ว่าการศึกษาจริง ๆ เป็นอย่างไร ลูกต้องรู้ว่าการเตรียมการประชุมทำอย่างไร และเมื่อเจอปัญหาหรือมีคนถามที่โรงเรียน เขาควรจะค้นคว้าเรื่องนั้นอย่างไร (อ่านฮีบรู 5:14) ถ้าลูกได้ใช้เวลาศึกษาและค้นคว้าบางเรื่องที่บ้าน มันก็ง่ายขึ้นสำหรับเขาที่จะมีสมาธิและเข้าใจการประชุมประจำสัปดาห์ การประชุมหมวด และการประชุมภูมิภาคซึ่งการประชุมเหล่านั้นไม่ได้มีวีดีโอให้ดูตลอด แน่นอนว่าระยะเวลาที่พ่อแม่สอนลูกแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับอายุและนิสัยของเด็กแต่ละคนด้วย
11. ทำไมเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะสอนนักศึกษาให้รู้วิธีศึกษาอย่างลึกซึ้งด้วยตัวเอง?
11 นักศึกษาของเราก็ต้องรู้วิธีศึกษาด้วย ตอนที่เขายังศึกษาใหม่ ๆ เราคงดีใจที่เห็นหนังสือศึกษาและหนังสือประชุมของเขามีรอยขีดเส้นใต้ แต่เราต้องสอนนักศึกษาให้รู้วิธีค้นคว้าและรู้วิธีศึกษาอย่างลึกซึ้งด้วย เมื่อทำอย่างนั้น เขาจะไม่ต้องคอยถามคนอื่นว่าควรทำอย่างไรตอนที่เจอปัญหา แต่จะรู้วิธีหาคำแนะนำโดยค้นคว้าจากหนังสือขององค์การด้วยตัวเอง
ศึกษาอย่างมีเป้าหมาย
12. เราอาจตั้งเป้าหมายอะไรบ้างเมื่อศึกษาส่วนตัว?
12 ถ้าคุณไม่ใช่คนชอบเรียนชอบศึกษา คุณอาจนึกไม่ออกว่าคุณจะชอบการศึกษาส่วนตัวได้อย่างไร แต่คุณทำได้ ให้เริ่มจากใช้เวลาสั้น ๆ แล้วค่อยเพิ่มเวลามากขึ้นเรื่อย ๆ คุณต้องมีเป้าหมายด้วย แน่นอนว่าเป้าหมายสูงสุดคือ เราศึกษาเพราะอยากสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้น แต่เรามีเป้าหมายระยะสั้นด้วย เราอาจอยากได้คำตอบที่มีคนถาม หรืออยากค้นคว้าเกี่ยวกับวิธีรับมือกับปัญหาที่เรากำลังเจออยู่
13. (ก) เมื่อวัยรุ่นอยากอธิบายความเชื่อที่โรงเรียน เขาควรทำตามขั้นตอนอะไร? (ข) คุณจะเอาคำแนะนำที่โคโลสี 4:6 ไปใช้อย่างไร?
13 ตัวอย่างเช่น คุณยังเรียนหนังสืออยู่ไหม? เพื่อน ๆ ที่โรงเรียนอาจเชื่อเรื่องวิวัฒนาการ คุณอยากจะอธิบายความเชื่อในคัมภีร์ไบเบิลเรื่องพระเจ้ารม. 1:20; 1 ปต. 3:15) คุณอาจถามตัวเองก่อนว่า ‘ทำไมเพื่อนที่โรงเรียนถึงบอกว่าเชื่อเรื่องวิวัฒนาการ?’ จากนั้น ให้ค้นคว้าจากหนังสือขององค์การ การอธิบายความเชื่ออาจไม่ยากอย่างที่คุณคิด คนส่วนใหญ่เชื่อเรื่องวิวัฒนาการเพราะคนที่เขานับถือบอกว่ามันเป็นเรื่องจริง ถ้าคุณเจอข้อเท็จจริงแค่หนึ่งหรือสองข้อที่คุณสามารถบอกเขาได้ คุณก็อาจช่วยบางคนที่กำลังอยากรู้ความจริงได้—อ่านโคโลสี 4:6
ผู้สร้างให้พวกเขาฟัง แต่คุณอาจรู้สึกว่าทำไม่ได้ ถ้าคุณรู้สึกอย่างนั้น ลองเอาเรื่องนี้เป็นโปรเจ็คศึกษาส่วนตัวดูสิ คุณอาจตั้งเป้าหมาย 2 อย่างคือ (1) เพื่อทำให้คุณเชื่อมั่นมากขึ้นว่าพระเจ้าสร้างทุกสิ่ง และ (2) เพื่ออธิบายความเชื่อของคุณได้เก่งขึ้น (กระตุ้นตัวเองให้อยากเรียนรู้
14-16. (ก) ถ้าคุณไม่คุ้นเคยกับหนังสือบางเล่มในคัมภีร์ไบเบิล คุณน่าจะทำอะไร? (ข) ข้อคัมภีร์ท้ายข้อนี้ช่วยคุณให้เข้าใจหนังสืออาโมสดีขึ้นอย่างไร? (และดูกรอบ “ ทำให้บุคคลในคัมภีร์ไบเบิลมีตัวตนขึ้นมาจริง ๆ”)
14 สมมุติว่าที่การประชุมกำลังจะมีการอ่านและพูดถึงหนังสือเล่มหนึ่งในคัมภีร์ไบเบิลที่เขียนโดยผู้พยากรณ์น้อยคนหนึ่ง อาจเป็นคนที่คุณไม่ค่อยรู้จักเรื่องของเขา สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือการกระตุ้นตัวเองให้อยากเรียนรู้มากขึ้นว่าผู้พยากรณ์คนนั้นเขียนเกี่ยวกับอะไร คุณจะกระตุ้นตัวเองให้อยากเรียนรู้อย่างไร?
15 อย่างแรก ให้ถามตัวเองว่า ‘ฉันรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับผู้เขียนหนังสือเล่มนั้น? เขาเป็นใคร อยู่ที่ไหน และมีอาชีพอะไร?’ ภูมิหลังของผู้เขียนอาจทำให้รู้ว่าทำไมเขาถึงเลือกคำหรือตัวอย่างเปรียบเทียบแบบนั้น เมื่อคุณอ่านคัมภีร์ไบเบิล ให้ดูคำหรือข้อความที่อาจช่วยให้รู้ว่าผู้เขียนเป็นคนอย่างไร
16 จากนั้น ให้ดูว่าหนังสือนี้เขียนขึ้นเมื่อไร วิธีง่าย ๆ ก็คือดูที่ “ตารางรายชื่อหนังสือในคัมภีร์ไบเบิล” ซึ่งอยู่ด้านหลังของคัมภีร์ไบเบิลฉบับแปลโลกใหม่ นอกจากนั้น คุณอาจดูที่ภาคผนวก ก 6 ซึ่งเป็นแผนภูมิเกี่ยวกับผู้พยากรณ์และกษัตริย์ เมื่อคุณอ่านหนังสือเกี่ยวกับคำพยากรณ์ คงจะดีถ้าค้นดูว่า ชีวิตของผู้คนในสมัยที่มีการเขียนหนังสือเล่มนั้นเป็นอย่างไร? ผู้คนสมัยนั้นมีความคิดและการกระทำที่เลวร้ายอะไรบ้างที่ทำให้ผู้พยากรณ์ถูกส่งไปช่วยพวกเขาให้เปลี่ยนแปลงตัวเอง? มีใครที่อยู่ในยุคเดียวกับผู้พยากรณ์คนนั้นบ้าง? และเพื่อจะเห็นภาพชัดขึ้น คุณอาจต้องอ่านหนังสือเล่มอื่นในคัมภีร์ไบเบิลด้วย เช่น เพื่อจะเข้าใจมากขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้นในสมัยของผู้พยากรณ์อาโมส คุณน่าจะอ่านข้ออ้างโยงของอาโมส 1:1 ซึ่งอ้างถึงข้อคัมภีร์จาก 2 พงศ์กษัตริย์และ 2 พงศาวดาร นอกจากนั้น คุณอาจอ่านหนังสือของโฮเชยาซึ่งน่าจะมีชีวิตอยู่ในสมัยเดียวกับอาโมส การอ่านข้อคัมภีร์เหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจมากขึ้นว่าชีวิตในสมัยของผู้พยากรณ์อาโมสเป็นอย่างไร—2 พก. 14:25-28; 2 พศ. 26:1-15; ฮชย. 1:1-11; อมส. 1:1
สนใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ
17-18. ใช้ตัวอย่างใน 2 ข้อนี้หรือตัวอย่างอื่น ๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าข้อมูลที่ดูเหมือนไม่สำคัญอาจช่วยให้คุณสนุกกับการศึกษามากขึ้นได้
17 เมื่ออ่านคัมภีร์ไบเบิล คงจะดีถ้าเราจะอ่านด้วยความสงสัยและอยากรู้ เช่น สมมุติว่าคุณอ่านคำพยากรณ์ที่เศคาริยาห์บท 12 ซึ่งบอกล่วงหน้าเรื่องการตายของเมสสิยาห์ (ศคย. 12:10) พออ่านมาถึงข้อ 12 คุณเจอประโยคที่บอกว่า “ตระกูลนาธัน” ร้องไห้เสียใจที่เมสสิยาห์ตาย แทนที่จะอ่านผ่าน ๆ ไป คุณอาจหยุดคิด และถามตัวเองว่า ‘ตระกูลนาธันเกี่ยวข้องอย่างไรกับเมสสิยาห์? มีข้อมูลเพิ่มเติมที่อื่นไหม?’ คุณอาจต้องทำตัวเป็น “นักสืบ” สักหน่อย ถ้าคุณดูที่ข้ออ้างโยงของเศคาริยาห์ 12:12 คุณจะเห็นข้อคัมภีร์ข้อแรกคือ 2 ซามูเอล 5:13, 14 ซึ่งทำให้รู้ว่านาธันเป็นลูกชายของกษัตริย์ดาวิด แล้วคุณก็เห็นข้อคัมภีร์อีกข้อคือลูกา 3:23, 31 ข้อนี้ทำให้รู้ว่าพระเยซูเป็นลูกหลานของนาธันทางมารีย์แม่ของพระเยซู * แล้วคุณก็ตื่นเต้นมาก! คุณรู้ว่ามีการบอกล่วงหน้าว่าพระเยซูจะเกิดมาทางเชื้อสายของดาวิด (มธ. 22:42) คิดดูสิ ดาวิดมีลูกชายมากกว่า 20 คน แต่เศคาริยาห์สามารถบอกได้อย่างเจาะจงว่าตระกูลนาธันมีเหตุผลที่จะร้องไห้เพราะการตายของพระเยซู น่าทึ่งจริง ๆ ใช่ไหม?
18 ขอดูอีกตัวอย่างหนึ่ง ลูกาบท 1 บอกว่าทูตสวรรค์กาเบรียลมาบอกมารีย์ว่าเธอจะตั้งท้อง แล้วเขาก็บอกเกี่ยวกับลูกชายของเธอว่า “ท่านผู้นี้จะยิ่งใหญ่ และจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของพระเจ้าองค์สูงสุด พระยะโฮวาพระเจ้าจะยกบัลลังก์ของดาวิดบรรพบุรุษของท่านให้กับท่าน และท่านจะเป็นกษัตริย์ปกครองลูกหลานของยาโคบตลอดไป” (ลก. 1:32, 33) ปกติเรามักจะสนใจแค่คำพูดส่วนแรกของกาเบรียลที่บอกว่าพระเยซูจะได้ชื่อว่า “ลูกของพระเจ้าองค์สูงสุด” แต่สังเกตว่ากาเบรียลยังบอกอีกว่าพระเยซูจะ “เป็นกษัตริย์” ด้วย ตอนนี้ลองถามตัวเองว่า มารีย์คิดอย่างไรกับคำพูดของทูตสวรรค์กาเบรียล? เธอจะคิดไหมว่าที่กาเบรียลบอกหมายความว่าพระเยซูจะมาแทนที่กษัตริย์เฮโรดหรือผู้สืบต่ออำนาจจากเฮโรดเพื่อปกครองอิสราเอล? ถ้าพระเยซูเป็นกษัตริย์ มารีย์ก็จะได้ เป็นแม่ของกษัตริย์ และครอบครัวของเธอก็ต้องไปอยู่ในวัง แต่จากที่เราอ่านในคัมภีร์ไบเบิลไม่มีตรงไหนบอกว่ามารีย์พูดอะไรแบบนั้นกับกาเบรียล และไม่มีตรงไหนที่บอกว่ามารีย์ขอตำแหน่งในรัฐบาลของพระเจ้าเหมือนที่สาวก 2 คนขอ (มธ. 20:20-23) รายละเอียดนี้ยิ่งทำให้เรามั่นใจว่ามารีย์เป็นตัวอย่างของผู้หญิงที่ถ่อมมากจริง ๆ
19-20. อย่างที่บอกไว้ในยากอบ 1:22-25 และ 4:8 เป้าหมายของเราในการศึกษาส่วนตัวคืออะไรบ้าง?
19 ขอให้จำไว้ว่าเป้าหมายสูงสุดของเราในการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลรวมทั้งหนังสือกับสื่อต่าง ๆ ขององค์การคือ เพื่อสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้น นอกจากนั้น เราอยากรู้ว่า “ตัวเองเป็นอย่างไร” จริง ๆ และต้องปรับเปลี่ยนอะไรเพื่อทำให้พระเจ้าพอใจ (อ่านยากอบ 1:22-25; 4:8) ดังนั้น ก่อนจะเริ่มการศึกษาแต่ละครั้งให้อธิษฐานขอพลังบริสุทธิ์จากพระยะโฮวา เราควรขอพระองค์ช่วยให้เราได้ประโยชน์มากที่สุดจากเรื่องที่ศึกษา ช่วยให้เรามองตัวเองอย่างที่พระองค์มอง และรู้ว่าต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไร
20 ขอให้เราทุกคนเป็นเหมือนผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้าซึ่งผู้เขียนหนังสือสดุดีพูดถึงเขาว่า “เขาชื่นชอบกฎหมายของพระยะโฮวา เขาอ่านกฎหมายของพระองค์ด้วยเสียงเบา ๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน . . . ไม่ว่าเขาทำอะไรก็จะสำเร็จ”—สด. 1:2, 3
เพลง 88 โปรดสอนให้รู้จักแนวทางของพระองค์