“ขอให้ฟังคำสั่งสอน จะได้ฉลาดขึ้น”
“ลูกของเรา . . . ขอให้ฟังคำสั่งสอน จะได้ฉลาดขึ้น”—สุภาษิต 8:32, 33
1. เราจะได้รับสติปัญญาได้อย่างไร? และมันจะเป็นประโยชน์กับเราอย่างไร?
สติปัญญามาจากพระยะโฮวาและพระองค์ให้สติปัญญากับมนุษย์อย่างใจกว้าง ที่ยากอบ 1:5 บอกว่า “ถ้าใครในพวกคุณขาดสติปัญญา ให้เขาพยายามขอจากพระเจ้าต่อ ๆ ไป แล้วเขาจะได้รับจากพระองค์ เพราะพระเจ้าเต็มใจให้ทุกคนอย่างใจกว้างและไม่เคยต่อว่า” วิธีหนึ่งที่เราจะได้รับสติปัญญาคือ การยอมรับการสั่งสอนจากพระยะโฮวา การทำอย่างนั้นจะช่วยไม่ให้เราทำผิดและช่วยให้เราสนิทกับพระองค์ต่อ ๆ ไป (สุภาษิต 2:10-12) สิ่งเหล่านี้จะทำให้เรามีโอกาสได้ชีวิตตลอดไปซึ่งเป็นความหวังที่ยอดเยี่ยม—ยูดา 21
2. เราจะเห็นคุณค่าการสั่งสอนจากพระเจ้ามากขึ้นได้อย่างไร?
2 เนื่องจากความไม่สมบูรณ์แบบหรือวิธีที่เราถูกเลี้ยงดูมา เราอาจรู้สึกว่ายากที่จะยอมรับการสั่งสอนหรือมองว่าการถูกสั่งสอนเป็นเรื่องที่ดี แต่เมื่อเราได้รับผลดีจากการถูกพระเจ้าสั่งสอน เราก็รู้ว่าพระองค์รักเรามากแค่ไหน สุภาษิต 3:11, 12 บอกว่า “ลูกพ่อ อย่าขัดขืนเมื่อพระยะโฮวาสั่งสอน . . . พระยะโฮวารักใครพระองค์ก็ตักเตือนคนนั้น” เราต้องจำไว้ว่าพระยะโฮวาอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเราเสมอ (อ่านฮีบรู 12:5-11) เพราะพระยะโฮวารู้จักเราดี การสั่งสอนของ พระองค์จึงเหมาะและพอดีกับเราเสมอ ในบทความนี้เราจะคุยกันเกี่ยวกับการสั่งสอน 4 แง่มุมคือ (1) การสอนตัวเอง (2) พ่อแม่สั่งสอนลูก (3) การสั่งสอนในประชาคม และ (4) สิ่งที่ทำให้เจ็บมากกว่าการถูกสั่งสอน
ทำไมการสอนตัวเองถึงเป็นเรื่องฉลาด?
3. ลูกจะสามารถสอนตัวเองได้อย่างไร? ขอยกตัวอย่าง
3 เมื่อเราสอนตัวเอง เราจะควบคุมสิ่งที่เราคิดและทำเพื่อจะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น เราไม่ได้เกิดมาแล้วสามารถสอนตัวเองและควบคุมตัวเองได้โดยอัตโนมัติ เราต้องเรียนรู้ที่จะทำอย่างนั้น ขอให้คิดถึงตัวอย่างนี้ ตอนที่ลูกเริ่มหัดปั่นจักรยาน ปกติแล้วพ่อแม่ต้องช่วยจับจักรยานไปด้วยเพื่อลูกจะไม่ล้ม พอลูกทรงตัวได้บ้าง พ่อแม่ก็ไม่จับจักรยานไว้ตลอดแต่จะค่อย ๆ ปล่อยให้ลูกปั่นเอง และพอพ่อแม่มั่นใจว่าลูกปั่นจักรยานเก่งแล้ว พวกเขาก็จะไม่ต้องช่วยลูกอีกต่อไป คล้ายกัน ตอนที่พ่อแม่ช่วยลูกต่อ ๆ ไปและอดทนฝึกลูก “ด้วยคำสั่งสอนและคำตักเตือนจากพระยะโฮวา” พวกเขาก็กำลังช่วยลูกให้สอนตัวเอง ควบคุมตัวเองได้และมีสติปัญญา—เอเฟซัส 6:4
4, 5. (ก) เพื่อจะมี “ลักษณะนิสัยใหม่” ทำไมการสอนตัวเองถึงสำคัญ? (ข) แม้เราทำผิด ทำไมเราไม่ควรหมดกำลังใจ?
4 เหมือนกัน คนที่มารู้จักพระยะโฮวาตอนโต ถึงเขาอาจสอนตัวเองและควบคุมตัวเองอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ พอเขาเริ่มสวมใส่ “ลักษณะนิสัยใหม่” และพยายามเป็นเหมือนพระคริสต์ มันก็จะช่วยให้เขาเป็นคริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น (เอเฟซัส 4:23, 24) การสอนตัวเองจะช่วยให้ “ปฏิเสธการทำชั่วและความต้องการแบบโลก และสอนเราให้ใช้ชีวิตในยุคนี้อย่างมีเหตุผล ทำสิ่งที่ถูกต้อง และมีความเลื่อมใสพระเจ้า” นี่จะช่วยให้คนเรามี “ลักษณะนิสัยใหม่”—ทิตัส 2:12
5 อย่างไรก็ตาม เราทุกคนเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ เราเลยทำผิดบางครั้ง (ปัญญาจารย์ 7:20) แต่เมื่อเราทำผิด นั่นหมายความว่าเราไม่ได้ควบคุมตัวเองและสอนตัวเอง หรือยังทำแบบนั้นไม่พอไหม? ก็ไม่ใช่เสมอไป ที่สุภาษิต 24:16 บอกว่า “เพราะคนดีอาจล้มถึงเจ็ดครั้งแต่จะลุกขึ้นมาได้” อะไรจะช่วยเราให้ “ลุกขึ้นมาได้”? ไม่ใช่กำลังของเราเอง แต่เป็นพลังของพระเจ้า (อ่านฟีลิปปี 4:13) ส่วนหนึ่งของผลที่เกิดจากพลังของพระเจ้าคือการควบคุมตัวเอง
6. เราจะมีนิสัยการศึกษาส่วนตัวที่ดีขึ้นได้อย่างไร? (ดูภาพแรก)
6 นอกจากนั้น การอธิษฐาน การศึกษาคัมภีร์ไบเบิล และการคิดใคร่ครวญจะช่วยเราให้สอนตัวเองและควบคุมตัวเองได้ดีขึ้นด้วย แต่ถ้าคุณรู้สึกไม่ชอบหรือรู้สึกว่ายากที่จะศึกษาส่วนตัวล่ะ? อย่าเพิ่งท้อ ถ้าคุณยอมให้พระยะโฮวาช่วย พระองค์จะช่วยคุณให้ “เพาะความรู้สึกอยากรับถ้อยคำบริสุทธิ์ของพระเจ้า” (1 เปโตร 2:2) อย่างแรก คุณต้องอธิษฐานขอพระยะโฮวาช่วยคุณบังคับตัวเองให้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิล บางทีคุณอาจเริ่มจากศึกษาโดยใช้เวลาสั้น ๆ ในแต่ละครั้ง เมื่อเวลาผ่านไปคุณจะค่อย ๆ รู้สึกว่าการศึกษาส่วนตัวเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายขึ้น และคุณจะสนุกกับการศึกษามากขึ้น คุณจะรู้สึกรักช่วงเวลาสงบ ๆ ที่ได้ใช้เวลาใคร่ครวญความคิดของพระยะโฮวา—1 ทิโมธี 4:15
7. การสอนตัวเองช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายในการรับใช้พระยะโฮวาได้อย่างไร?
7 การสอนตัวเองช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายในการรับใช้พระยะโฮวาได้ ตัวอย่างเช่น พี่น้องชายคนหนึ่งที่มีครอบครัวแล้วรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยกระตือรือร้นในงานรับใช้เหมือนเมื่อก่อน เขาเลยตั้งเป้าที่จะเป็นไพโอเนียร์ประจำ การสอนตัวเองและการควบคุมตัวเองช่วยเขาอย่างไร? เขาอ่านบทความเกี่ยวกับการเป็นไพโอเนียร์ในวารสาร
ต่าง ๆ และอธิษฐานขอให้พระยะโฮวาช่วย การทำแบบนี้ทำให้เขาสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้น เขายังสมัครเป็นไพโอเนียร์สมทบเมื่อมีโอกาสด้วย ผลเป็นอย่างไร? ถึงจะมีอุปสรรคอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังมุ่งทำตามเป้าหมายของตัวเองต่อไป ในที่สุด เขาก็เป็นไพโอเนียร์ประจำได้สำเร็จเลี้ยงลูกด้วยคำสอนจากพระยะโฮวา
เด็กไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดโดยอัตโนมัติ เขาต้องได้รับการสั่งสอน (ดูข้อ 8)
8-10. อะไรจะช่วยพ่อแม่ให้ประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกให้รับใช้พระยะโฮวา? ขอยกตัวอย่าง
8 พระยะโฮวามอบหมายให้พ่อแม่มีหน้าที่เลี้ยงลูก “ด้วยคำสั่งสอนและคำตักเตือนจากพระยะโฮวา” (เอเฟซัส 6:4) การทำอย่างนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในโลกทุกวันนี้ (2 ทิโมธี 3:1-5) ตอนที่เด็กคลอดออกมา เขาไม่ได้รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดในทันที และความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเขาก็ยังไม่ถูกฝึก ดังนั้น เขาจำเป็นต้องถูกสั่งสอนเพื่อจะฝึกใช้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในแบบที่ถูกต้อง (โรม 2:14, 15) นักวิชาการด้านคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งอธิบายว่า คำภาษากรีกที่แปลว่า “การสั่งสอน” อาจหมายถึง “การพัฒนาเด็ก” หรือการเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้เป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ
9 เมื่อพ่อแม่สั่งสอนลูกด้วยความรัก ลูกจะรู้สึกมั่นคงปลอดภัยและรู้ว่าพ่อแม่เป็นห่วงเขา นอกจากนั้น ลูกจะรู้ว่าแม้จะมีอิสระแต่ก็ต้องมีขอบเขต และทุกอย่างที่เขาทำจะมีผลตามมา ดังนั้น เป็นเรื่องสำคัญมากที่พ่อแม่คริสเตียนต้องพึ่งคำแนะนำจากพระยะโฮวาในการเลี้ยงลูก แต่ละประเทศและแต่ละยุคสมัยมีแนวคิดเรื่องการเลี้ยงลูกไม่เหมือนกัน ถึงอย่างนั้น พ่อแม่ที่เชื่อฟังพระยะโฮวาจะไม่เดาเอาเองว่าเขาควรทำอะไร เขาจะไม่พึ่งประสบการณ์หรือความคิดของมนุษย์
10 เราเรียนอะไรได้จากตัวอย่างของโนอาห์? ตอนที่พระยะโฮวาบอกโนอาห์ให้สร้างเรือ เขาไม่รู้ว่าจะต้องสร้างอย่างไร เขาพึ่งพระยะโฮวาและ “ทำตามทุกอย่าง” ที่พระองค์บอก (ปฐมกาล 6:22) ผลเป็นอย่างไร? เรือที่โนอาห์สร้างช่วยชีวิตเขาและครอบครัวให้รอด โนอาห์ยังเป็นพ่อที่ประสบความสำเร็จด้วย เพราะอะไรเขาถึงประสบความสำเร็จ? เพราะเขาพึ่งสติปัญญาของพระเจ้า เขาเลยสอนลูกและเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกได้ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำอย่างนั้นในช่วงก่อนน้ำท่วมโลกซึ่งตอนนั้นมีแต่ความชั่ว—ปฐมกาล 6:5
11. ทำไมพ่อแม่ต้องพยายามเต็มที่ที่จะสอนลูก?
11 ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ คุณจะ “ทำตามทุกอย่าง” ที่พระยะโฮวาบอกได้อย่างไร? คุณต้องเชื่อฟังพระยะโฮวา พระองค์ให้คำแนะนำผ่านทางคัมภีร์ไบเบิลและองค์การเพื่อช่วยคุณให้เลี้ยงลูกอย่างประสบความสำเร็จ และคุณควรทำตามคำแนะนำนั้น เมื่อถึงเวลา ลูกจะเห็นคุณค่าที่คุณได้ทำอย่างนั้น พี่น้องชายคนหนึ่งเขียนว่า “ผมรู้สึกขอบคุณที่พ่อแม่เลี้ยงผมมาแบบนี้ พ่อแม่พยายามมาก
จริง ๆ ที่จะสอนแบบที่เข้าถึงหัวใจผม” เขาบอกว่าพ่อแม่นั่นแหละที่เป็นคนช่วยเขาให้สนิทกับพระยะโฮวา เรารู้ว่าถึงแม้พ่อแม่พยายามสอนลูกเต็มที่แล้ว แต่ลูกก็อาจทิ้งพระยะโฮวาได้ พ่อแม่ที่ทำสุดความสามารถจะไม่รู้สึกผิดต่อพระยะโฮวา และพวกเขายังหวังได้ว่าสักวันหนึ่งลูกจะกลับมาหาพระองค์12, 13. (ก) ถ้าลูกถูกตัดสัมพันธ์ พ่อแม่จะแสดงอย่างไรว่า พวกเขาเชื่อฟังพระยะโฮวา? (ข) ครอบครัวหนึ่งได้ประโยชน์อย่างไรจากการที่พ่อแม่เชื่อฟังพระยะโฮวา?
12 สำหรับพ่อแม่บางคน หนึ่งในการทดสอบที่ยากที่สุดเรื่องการเชื่อฟังก็คือตอนที่ลูกถูกตัดสัมพันธ์ พี่น้องหญิงคนหนึ่งมีลูกสาวที่ถูกตัดสัมพันธ์และออกจากบ้านไป เธอยอมรับว่า “ตอนที่ฉันอ่านหนังสือขององค์การ ฉันพยายามมองหาช่องโหว่เพื่อจะไปหาลูกสาวกับหลานสาวของฉันได้” แต่สามีพยายามช่วยเธอให้เห็นว่าพวกเขาต้องภักดีต่อพระยะโฮวา ตอนนี้ไม่ใช่หน้าที่ของพวกเขาที่จะช่วยลูก พวกเขาไม่ควรไปแทรกแซงการสั่งสอนที่มาจากพระองค์
13 หลายปีต่อมา ลูกสาวก็ได้กลับมาเป็นพยานฯ อีกครั้ง แม่พูดว่า “ตอนนี้ลูกโทรหาฉันและก็ส่งข้อความหาฉันเกือบทุกวัน ลูกนับถือเราสองคนมากเพราะรู้ว่าเราเชื่อฟังพระเจ้า เรามีความสุขและสนิทกันมากจริง ๆ” ถ้าลูกของคุณถูกตัดสัมพันธ์ คุณจะ “วางใจพระยะโฮวาสุดหัวใจ” ไหม? คุณจะแสดงให้พระองค์เห็นไหมว่าคุณไม่ “พึ่งความเข้าใจของตัวเอง”? (สุภาษิต 3:5, 6) ขอจำไว้ว่า การสั่งสอนจากพระยะโฮวาทำให้เห็นว่าพระองค์รักเราขนาดไหนและพระองค์ฉลาดแค่ไหน อย่าลืมว่าพระองค์ให้ลูกชายของพระองค์เพื่อเราทุกคน ซึ่งรวมถึงลูก ๆ ของคุณด้วย พระยะโฮวาอยากให้ทุกคนได้ชีวิตตลอดไป (อ่าน 2 เปโตร 3:9) ดังนั้น คุณที่เป็นพ่อแม่ แม้ว่าตอนที่คุณเชื่อฟังพระองค์คุณจะรู้สึกเจ็บ แต่ขอให้ไว้ใจต่อ ๆ ไปว่าการสั่งสอนและคำแนะนำของพระยะโฮวาถูกต้องเสมอ ให้เชื่อฟังการสั่งสอนของพระองค์ อย่าต่อต้านเลย
ในประชาคม
14. เราจะได้ประโยชน์จากคำแนะนำที่พระยะโฮวาให้ผ่านทาง “คนรับใช้ที่ซื่อสัตย์” ได้อย่างไร?
14 พระยะโฮวาสัญญาว่าพระองค์จะปกป้อง ดูแล และสอนคริสเตียนในประชาคม พระองค์ทำอย่างนั้นในหลายวิธี ตัวอย่างเช่น พระองค์แต่งตั้งพระเยซูลูกชายของพระองค์ให้ดูแลประชาคม และท่านก็มอบหมายให้ “คนรับใช้ที่ซื่อสัตย์” แจกจ่ายอาหารที่เสริมความเชื่อเพื่อช่วยให้เรารักษาความซื่อสัตย์ (ลูกา 12:42) “อาหาร” ที่พวกเขาให้นั้นมีคำแนะนำและการสั่งสอนที่เป็นประโยชน์มากสำหรับเรา คุณคงคิดถึงตอนที่คุณฟังคำบรรยายหรืออ่านบทความในวารสารที่ช่วยให้คุณเปลี่ยนความคิดและการกระทำของคุณ ถ้าคุณปรับปรุงตัวเอง คุณก็จะมีความสุขเพราะมันหมายความว่าคุณกำลังยอมให้พระยะโฮวาสั่งสอนคุณ—สุภาษิต 2:1-5
15, 16. (ก) เราจะได้ประโยชน์จากสิ่งที่ผู้ดูแลทำได้อย่างไร? (ข) เราจะทำให้ผู้ดูแลมีความสุขมากขึ้นในการทำหน้าที่ของพวกเขาได้อย่างไร?
15 นอกจากนั้น พระเยซูคริสต์ยังจัดให้มีผู้ดูแลเพื่อเอาใจใส่ประชาคมด้วยความรัก คัมภีร์ไบเบิลเรียกคนเหล่านี้ว่า “ของขวัญที่เป็นมนุษย์” (เอเฟซัส 4:8, 11-13) เราจะได้ประโยชน์จากสิ่งที่ผู้ดูแลทำได้อย่างไร? วิธีหนึ่งคือ โดยเลียนแบบความเชื่อและตัวอย่างที่ดีของพวกเขา และอีกวิธีหนึ่งก็คือ การทำตามคำแนะนำของพวกเขาที่มาจากคัมภีร์ไบเบิล (อ่านฮีบรู 13:7, 17) ผู้ดูแลรักเราและอยากให้เราสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้น ถ้าพวกเขาสังเกตว่าเราขาดการประชุมหรือไม่ค่อยกระตือรือร้นเหมือนเดิม พวกเขาจะช่วยเราทันที พวกเขาจะฟัง เรา แล้วก็ให้กำลังใจเราด้วยความรักรวมทั้งให้คำแนะนำที่เหมาะสมจากคัมภีร์ไบเบิล คุณมองว่าความช่วยเหลือจากพวกเขาเป็นการแสดงความรักจากพระยะโฮวาไหม?
16 ขอจำไว้ว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้ดูแลจะให้คำแนะนำเรา ลองนึกภาพดูว่า ผู้พยากรณ์นาธันจะรู้สึกอย่างไรตอนที่เขาต้องไปพูดกับกษัตริย์ดาวิดหลังจากที่ดาวิดทำผิดร้ายแรงแล้วพยายามปกปิดไว้? (2 ซามูเอล 12:1-14) อัครสาวกเปาโลจะรู้สึกอย่างไรตอนที่เขาต้องให้คำแนะนำเปโตรเรื่องที่เปโตรปฏิบัติกับคริสเตียนชาวยิวดีกว่าคริสเตียนที่เป็นคนต่างชาติ? ลองคิดดูว่าเปาโลต้องกล้าขนาดไหนที่จะแนะนำคนที่เป็นหนึ่งในอัครสาวก 12 คน (กาลาเทีย 2:11-14) ดังนั้น คุณจะทำอย่างไรเพื่อที่ผู้ดูแลจะให้คำแนะนำคุณง่ายขึ้น? คุณต้องถ่อมตัว รู้จักขอบคุณ และเป็นคนที่คุยด้วยง่าย ถ้าคุณมองว่าความช่วยเหลือจากพวกเขาเป็นการแสดงความรักจากพระเจ้า คุณจะได้ประโยชน์ และผู้ดูแลก็จะทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างมีความสุข
17. ผู้ดูแลช่วยพี่น้องหญิงคนหนึ่งอย่างไร?
17 พี่น้องหญิงคนหนึ่งบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอในอดีตทำให้เธอรู้สึกสิ้นหวัง และเธอรู้สึกว่ายากที่จะรักพระยะโฮวา เธอบอกว่า “ฉันรู้ว่าฉันต้องคุยกับผู้ดูแล พวกเขาไม่ต่อว่าฉัน แต่ให้กำลังใจและทำให้ฉันรู้สึกเข้มแข็งขึ้น หลังการประชุมจบทุกครั้งถึงผู้ดูแลจะยุ่งแค่ไหนก็จะมีอย่างน้อยหนึ่งคนมาถามว่าฉันเป็นยังไงบ้าง ฉันรู้สึกว่าไม่คู่ควรที่จะได้รับความรักจากพระเจ้าเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันในอดีต แต่หลายครั้งพระยะโฮวาใช้พี่น้องในประชาคมกับพวกผู้ดูแลมาทำให้ฉันมั่นใจว่าพระองค์รักฉัน ฉันอธิษฐานขอพระองค์ช่วยให้ฉันไม่มีวันทิ้งพระองค์”
อะไรทำให้เจ็บมากกว่าการถูกสั่งสอน?
18, 19. อะไรทำให้เจ็บมากกว่าการถูกสั่งสอน? ขอยกตัวอย่าง
18 การถูกสั่งสอนอาจทำให้เจ็บ แต่การไม่ยอมรับการสั่งสอนจากพระเจ้าจะทำให้เจ็บมากกว่า (ฮีบรู 12:11) ให้เรามาดูตัวอย่างที่ไม่ดีของคาอินและกษัตริย์เศเดคียาห์ ตอนที่พระยะโฮวาเห็นคาอินเกลียดน้องของตัวเองและอยากฆ่าเขา พระองค์เตือนคาอินว่า “ทำไมเจ้าโกรธและหน้าตาบึ้งตึงอย่างนี้? ถ้าเจ้าเปลี่ยนใจมาทำดี เราจะพอใจเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่เปลี่ยน บาปก็จะซุ่มคอยตะครุบเจ้าอยู่ที่ประตู เจ้าน่าจะเอาชนะมันไม่ใช่หรือ?” (ปฐมกาล 4:6, 7) แต่คาอินไม่ฟังพระยะโฮวา เขาฆ่าน้องชายตัวเอง และเขาต้องรับผลจากสิ่งที่เขาทำตลอดชีวิตที่เหลือ (ปฐมกาล 4:11, 12) ถ้าคาอินยอมรับการสั่งสอนจากพระเจ้า เขาก็ไม่ต้องเจ็บมากขนาดนี้
19 เศเดคียาห์เป็นกษัตริย์ที่ขี้ขลาดและชั่วช้า ตอนนั้นสภาพการณ์ในกรุงเยรูซาเล็มเลวร้ายมาก ผู้พยากรณ์เยเรมีย์เตือนเศเดคียาห์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเขาต้องเปลี่ยน แต่เขาไม่ยอมรับการสั่งสอนจากพระยะโฮวา เขาจึงต้องได้รับผลที่เลวร้าย (เยเรมีย์ 52:8-11) พระยะโฮวาไม่อยากให้เราต้องเจ็บโดยไม่จำเป็น—อ่านอิสยาห์ 48:17, 18
20. จะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ไม่ยอมรับการสั่งสอนจากพระเจ้า?
20 หลายคนในทุกวันนี้ไม่สนใจการสั่งสอนจากพระเจ้าและถึงกับเยาะเย้ย แต่อีกไม่นาน คนที่ไม่ยอมรับการสั่งสอนจากพระองค์จะต้องรับผลที่เจ็บปวด (สุภาษิต 1:24-31) ดังนั้น “ขอให้ฟังคำสั่งสอน จะได้ฉลาดขึ้น” และเหมือนที่สุภาษิต 4:13 บอกว่า “ให้ยึดคำสั่งสอนของพ่อไว้ อย่าปล่อยมันไป รักษาไว้ให้ดี เพราะมันคือชีวิตของลูก”