บทความศึกษา 16
ยึดมั่นกับความจริงในเรื่องความตาย
“เราแยกออกว่าถ้อยคำที่ดูเหมือนมาจากพระเจ้านั้น เป็นความจริงหรือเป็นเรื่องหลอกลวง”—1 ยน. 4:6
เพลง 73 ขอช่วยให้เรากล้าหาญ
ใจความสำคัญ *
1-2. (ก) ซาตานใช้วิธีอะไรบ้างเพื่อหลอกลวงผู้คน? (ข) เราจะคุยเรื่องอะไรบ้างในบทความนี้?
ซาตานเป็น “พ่อของการโกหก” มันหลอกมนุษย์ตั้งแต่สมัยอาดัมกับเอวา (ยน. 8:44) หนึ่งในเรื่องโกหกของซาตานคือคำสอนเท็จเกี่ยวกับความตายและชีวิตหลังความตาย คำสอนเหล่านี้ทำให้เกิดธรรมเนียมประเพณีหลายอย่างที่ผู้คนมากมายนับถือรวมทั้งการเชื่อโชคลาง นี่ทำให้พี่น้องของเราหลายคนต้อง “ต่อสู้อย่างหนักเพื่อปกป้องความเชื่อ” เมื่อบางคนในครอบครัวหรือในชุมชนของพวกเขาเสียชีวิต—ยด. 3
2 ถ้าคุณเจอเรื่องแบบนั้น อะไรจะช่วยคุณให้ยังคงยึดมั่นกับคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลเรื่องความตายได้? (อฟ. 6:11) คุณจะปลอบใจและให้กำลังใจพี่น้องที่เจอความกดดันให้ทำตามธรรมเนียมบางอย่างที่พระเจ้าไม่พอใจได้อย่างไร? และคุณจะช่วยให้เขาเข้มแข็งมากขึ้นได้อย่างไร? บทความนี้จะคุยกันเกี่ยวกับคำแนะนำที่พระยะโฮวาให้เรา ก่อนอื่นเราจะดูกันว่าคัมภีร์ไบเบิลพูดอย่างไรเกี่ยวกับความตาย
ความจริงเรื่องสภาพของคนตาย
3. การโกหกครั้งแรกทำให้เกิดผลอย่างไร?
3 พระเจ้าไม่ได้อยากให้มนุษย์ตาย แต่เพื่ออาดัมกับเอวาจะมีชีวิตตลอดไป พวกเขาต้องเชื่อฟังพระยะโฮวา พระองค์ให้คำสั่งง่าย ๆ กับพวกเขาว่า “ห้ามกินผลจากต้นไม้ที่ให้รู้ดีรู้ชั่ว ถ้าเจ้ากินผลจากต้นนั้นในวันไหน เจ้าจะต้องตายในวันนั้น” (ปฐก. 2:16, 17) แต่แล้วซาตานก็มาสร้างปัญหา มันบอกกับเอวาผ่านงูว่า “พวกคุณจะไม่ตายหรอก” น่าเศร้าจริง ๆ ที่เอวาเชื่อคำโกหกและกินผลไม้นั้นเข้าไป ต่อมาสามีของเธอก็กินด้วย (ปฐก. 3:4, 6) นี่เลยทำให้มนุษย์ทั้งโลกเป็นคนบาปและต้องตาย—รม. 5:12
4-5. ซาตานยังคงหลอกมนุษย์อย่างไร?
4 อาดัมกับเอวาตายเหมือนที่พระเจ้าบอกไว้ไม่มีผิด แต่ซาตานยังไม่เลิกโกหกเรื่องความตาย ต่อมามันเริ่มขยายเรื่องโกหกนั้นออกไปอีก เรื่องโกหกอย่างหนึ่งคือคำสอนที่ว่า ร่างกายตายก็จริงแต่ยังมีวิญญาณเหลืออยู่และอาจไปอยู่ในโลกวิญญาณ เรื่องโกหกนี้ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างหลากหลายได้หลอกมนุษย์มากมายนับไม่ถ้วนจนถึงสมัยของเรา—5 ทำไมมนุษย์มากมายถึงถูกหลอก? เพราะซาตานรู้ว่าเรารู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับความตาย มันเลยใช้เรื่องนี้เพื่อหลอกเรา เนื่องจากเราถูกสร้างให้มีชีวิตตลอดไป เราเลยไม่อยากตาย (ปญจ. 3:11) เราถือว่าความตายเป็นศัตรู—1 คร. 15:26
6-7. (ก) ซาตานปิดซ่อนความจริงเกี่ยวกับความตายได้สำเร็จไหม? ขออธิบาย (ข) ความจริงในคัมภีร์ไบเบิลช่วยเราไม่ให้กลัวอย่างไร?
6 แม้ซาตานจะพยายามเต็มที่ แต่มันก็ไม่สามารถปิดซ่อนความจริงเกี่ยวกับความตายได้ ที่จริง ตอนนี้มีมนุษย์มากกว่าสมัยไหน ๆ ที่รู้และบอกคนอื่นว่าคัมภีร์ไบเบิลสอนอย่างไรเกี่ยวกับสภาพของคนตายและความหวังสำหรับพวกเขา (ปญจ. 9:5, 10; กจ. 24:15) ความจริงนี้ทำให้เรามีกำลังใจและไม่รู้สึกกลัวหรือสงสัย ตัวอย่างเช่น เราไม่ต้องกลัวคนตายและไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่เรารักเมื่อเขาตายไป เรารู้ว่าพวกเขาไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปและทำร้ายคนอื่นไม่ได้ พวกเขาเป็นเหมือนคนนอนหลับสนิท (ยน. 11:11-14) และเรายังเข้าใจด้วยว่าคนตายไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร แม้พวกเขาจะตายมาหลายร้อยปีแล้ว พอพวกเขาฟื้นขึ้นจากตาย พวกเขาจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปแค่พริบตาเดียว
7 คุณเห็นด้วยใช่ไหมว่าความจริงเรื่องสภาพของคนตายเป็นเรื่องที่ชัดเจน เข้าใจง่าย และมีเหตุผล? ตรงกันข้ามกับเรื่องโกหกที่สร้างความสับสนของซาตาน เรื่องโกหกเกี่ยวกับความตายนอกจากจะทำให้ผู้คนหลงเข้าใจผิด มันยังเป็นการใส่ร้ายพระเจ้าผู้สร้างของเราด้วย เพื่อช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าซาตานทำให้เกิดความเสียหายอย่างไร เราจะคุยกันเกี่ยวกับ 3 คำถามต่อไปนี้ เรื่องโกหกนี้ของซาตานใส่ร้ายพระยะโฮวาอย่างไร? เรื่องโกหกนี้ทำให้ผู้คนคิดว่าไม่จำเป็นต้องเชื่อเรื่องค่าไถ่ของพระเยซูคริสต์อย่างไร? และเรื่องโกหกนี้ยิ่งทำให้มนุษย์เสียใจและเป็นทุกข์มากขึ้นอย่างไร?
การโกหกของซาตานทำให้เกิดผลเสียหายมากมาย
8. จากเยเรมีย์ 19:5 เรื่องโกหกของซาตานเกี่ยวกับความตายเป็นการใส่ร้ายพระยะโฮวาอย่างไร?
8 เรื่องที่ซาตานโกหกเกี่ยวกับความตายเป็นการใส่ร้ายพระยะโฮวา เรื่องโกหกอย่างหนึ่งก็คือคำสอนเท็จที่ว่าคนตายถูกทรมานในไฟนรก คำสอนแบบนั้นใส่ร้ายพระเจ้าชัด ๆ! มันทำให้ผู้คนเข้าใจว่าพระเจ้าที่รักมนุษย์มีนิสัยโหดร้ายเหมือนมารซาตาน (1 ยน. 4:8) เรื่องนี้ทำให้คุณรู้สึกอย่างไร? ที่สำคัญกว่านั้น เรารู้ว่าพระยะโฮวาเกลียดความโหดร้ายทุกรูปแบบ ลองคิดดูว่าเรื่องนี้จะทำให้พระองค์รู้สึกอย่างไร—อ่านเยเรมีย์ 19:5
9. เรื่องโกหกของซาตานส่งผลต่อความเชื่อในเรื่องค่าไถ่ที่มีบอกไว้ในยอห์น 3:16 และ 15:13 อย่างไร?
9 เรื่องโกหกเกี่ยวกับความตายทำให้ผู้คนคิดว่าไม่จำเป็นต้องเชื่อเรื่องค่าไถ่ของพระเยซูคริสต์ (มธ. 20:28) อีกเรื่องที่ซาตานโกหกคือมนุษย์มีวิญญาณอมตะ ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริงก็เท่ากับว่ามนุษย์ทุกคนได้อยู่ตลอดไปอยู่แล้ว และพระเยซูก็ไม่จำเป็นต้องมาสละชีวิตเป็นค่าไถ่เพื่อให้เราได้ชีวิตตลอดไป จำไว้ว่าเครื่องบูชาไถ่ของพระเยซูเป็นการแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพื่อมนุษย์ (อ่านยอห์น 3:16; 15:13) ลองนึกดูว่าพระยะโฮวากับพระเยซูลูกของพระองค์จะรู้สึกอย่างไรกับคำสอนที่ทำให้ของขวัญที่มีค่ามากนี้กลายเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์
10. เรื่องโกหกของซาตานเกี่ยวกับความตายยิ่งทำให้มนุษย์เสียใจและเป็นทุกข์มากขึ้นอย่างไร?
10 เรื่องโกหกของซาตานยิ่งทำให้มนุษย์เสียใจและเป็นทุกข์มากขึ้น พ่อแม่ที่เสียใจเพราะลูกตายอาจได้ยินคนมาบอกว่าพระเจ้าเอาลูกของพวกเขาไปเป็นทูตสวรรค์ เรื่องโกหกของซาตานทำให้พวกเขาโศกเศร้าน้อยลงไหม หรือยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น? เรื่องโกหกอีกอย่างหนึ่งคือ คำสอนเท็จเรื่องไฟนรก มีการใช้คำสอนนี้เพื่อทำให้การทรมานดูเป็นเรื่องที่ถูกต้องและมีเหตุผล เช่น การเผาคนที่ต่อต้านคำสอนของคริสตจักรทั้งเป็นบนเสา ตามที่บอกไว้ในหนังสือเกี่ยวกับศาลศาสนาของสเปน บางคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทรมานโดยวิธีนี้อาจเชื่อว่า พวกเขาเพียงแต่ทำให้คนที่ไม่เห็นด้วยกับคำสอนของคริสตจักร “ได้ลิ้มรสว่าการถูกทรมานในไฟนรกตลอดกาลเป็นอย่างไร” เพื่อคนที่ถูกทรมานจะกลับใจก่อนตายและไม่ต้องโดนทรมานในไฟนรกจริง ๆ นอกจากนั้น ในหลายประเทศหลายคนรู้สึกว่าต้องไหว้ผีปู่ย่าตายายเพื่อจะขอให้ปกป้องคุ้มครอง ต้องเอาอาหารไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษ และต้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย ส่วนบางคนอยากทำให้บรรพบุรุษพอใจเพื่อจะไม่ถูกทำร้ายหรือถูกรังควาน น่าเศร้า ความเชื่อเหล่านี้ซึ่งเกิดจากคำโกหกของซาตานไม่ได้ทำให้ผู้คนได้กำลังใจจริง ๆ แต่มันกลับทำให้พวกเขายิ่งวิตกกังวลหรือหวาดกลัวโดยไม่จำเป็น
เราจะยึดมั่นกับความจริงในคัมภีร์ไบเบิลได้อย่างไร?
11. เพื่อนหรือญาติที่หวังดีอาจกดดันเราให้ทำสิ่งที่ขัดกับคำสอนของคัมภีร์ไบเบิลอย่างไร?
11 ความรักต่อพระยะโฮวาและคัมภีร์ไบเบิลทำให้เราตั้งใจและกล้าที่จะเชื่อฟังพระองค์แม้แต่ตอนที่ญาติหรือเพื่อนที่หวังดีพยายามกดดันเราให้ทำพิธีกรรมบางอย่างที่ไม่ถูกต้องตามคัมภีร์ไบเบิล พวกเขาอาจถึงกับพยายามทำให้เราอายถ้าเราไม่เข้าร่วมกับพวกเขา เช่น อาจพูดว่าเราไม่รักหรือไม่นับถือคนที่ตายไปแล้ว หรืออาจพูดว่าเรากำลังทำให้คนตายมาทำร้ายคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เราจะยึดมั่นกับความจริงในคัมภีร์ไบเบิลได้อย่างไร? ลองดูหลักการต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลต่อไปนี้และคิดว่าคุณจะเอาไปใช้อย่างไร
12. มีความเชื่อและธรรมเนียมอะไรบ้างเกี่ยวกับคนตายที่เห็นได้ชัดว่าไม่ถูกต้องตามคัมภีร์ไบเบิล?
2 คร. 6:17) ในประเทศหนึ่งแถบแคริบเบียน หลายคนเชื่อว่าเมื่อคนเราตาย “วิญญาณ” จะออกจากร่างและยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ ร่างของเขา และจะทำร้ายคนที่เคยทำไม่ดีกับเขาตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ หนังสือเล่มหนึ่งบอกว่า “วิญญาณ” นั้นอาจถึงกับทำให้ “ทั้งชุมชนเดือดร้อน” บางประเทศในแอฟริกามีธรรมเนียมที่จะเอาผ้าคลุมกระจกทุกบานในบ้านที่มีคนตาย และเอารูปภาพของคนตายทุกรูปหันหน้าเข้าผนัง ทำไมถึงทำแบบนั้น? บางคนอ้างว่าเพื่อคนตายจะไม่ต้องเห็นตัวเอง แต่เพราะเราเป็นผู้รับใช้พระยะโฮวา เราจะไม่มีส่วนร่วมในพิธีกรรมหรือเชื่อเรื่องที่เล่าต่อ ๆ กันมาซึ่งส่งเสริมเรื่องโกหกของซาตาน—1 คร. 10:21, 22
12 ตั้งใจที่จะ “แยกอยู่ต่างหาก” จากความเชื่อและธรรมเนียมที่ไม่ถูกต้องตามคัมภีร์ไบเบิล (13. ตามที่บอกไว้ในยากอบ 1:5 ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าธรรมเนียมบางอย่างทำได้หรือไม่ได้ คุณควรทำอย่างไร?
13 ถ้าคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับธรรมเนียมบางอย่าง ขอให้อธิษฐานถึงพระยะโฮวาและขอสติปัญญาจากพระองค์ (อ่านยากอบ 1:5) จากนั้นให้ค้นคว้าหนังสือและสื่อต่าง ๆ ขององค์การ ถ้าจำเป็นก็ให้คุยกับผู้ดูแลในประชาคมของคุณ พวกเขาจะไม่บอกว่าคุณควรทำอะไร แต่จะช่วยคุณให้ค้นหาหลักการต่าง ๆ จากคัมภีร์ไบเบิล เช่น หลักการต่าง ๆ ที่เราได้เรียนในบทความนี้ เมื่อคุณทำตามขั้นตอนทั้งหมดนี้ คุณก็กำลัง “ฝึกใช้ความคิด” ซึ่งจะช่วยให้คุณ “แยกออกว่าอะไรถูกอะไรผิด”—ฮบ. 5:14
14. เราควรทำอย่างไรเพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกไม่สบายใจ?
14 ‘ทำทุกสิ่งแบบที่จะทำให้พระเจ้าได้รับการยกย่องสรรเสริญ อย่าเป็นต้นเหตุให้คนอื่นไม่สบายใจ’ (1 คร. 10:31, 32) เมื่อต้องตัดสินใจว่าจะทำตามธรรมเนียมบางอย่างหรือไม่ เราต้องคิดด้วยว่าการตัดสินใจของเราจะส่งผลต่อความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของคนอื่นหรือเปล่าโดยเฉพาะของพี่น้อง เราไม่อยากทำให้ใครทิ้งความเชื่อหรือไม่สบายใจแน่ ๆ! (มก. 9:42) นอกจากนั้น เราไม่อยากทำให้คนที่ไม่ใช่พยานฯรู้สึกไม่ดีโดยไม่จำเป็น ความรักจะทำให้เราพูดกับพวกเขาด้วยความนับถือซึ่งจะเป็นการยกย่องสรรเสริญพระยะโฮวา และเราจะไม่ทะเลาะกับคนอื่นหรือดูถูกธรรมเนียมของพวกเขา ให้จำไว้ว่าความรักมีพลังมาก เมื่อเราแสดงความรักโดยคิดถึงความรู้สึกของพวกเขาและให้ความนับถือ เราก็อาจทำให้คนที่ต่อต้านเราใจอ่อนลงได้
15-16. (ก) ทำไมถึงฉลาดที่จะบอกให้คนอื่นรู้ความเชื่อของเรา? (ข) เราจะเอาคำพูดของเปาโลที่โรม 1:16 มาใช้อย่างไร?
อสย. 43:10) ถ้ามีบางคนในครอบครัวของคุณเสียชีวิต ญาติและเพื่อนบ้านอาจโกรธมากถ้าคุณไม่ยอมทำตามธรรมเนียมบางอย่าง ดังนั้น คุณจะรับมือกับสถานการณ์นี้ได้ง่ายขึ้นถ้าคุณอธิบายความเชื่อให้พวกเขารู้ก่อนหน้านั้น ฟรานเชสกุซึ่งอาศัยอยู่ที่โมซัมบิกเขียนว่า “ตอนที่ผมกับแคโรลีน่าภรรยาของผมเรียนความจริง เราบอกครอบครัวว่าจะไม่ทำพิธีกรรมเกี่ยวกับคนตายอีกต่อไป แต่พอพี่สาวของแคโรลีน่าตาย เรื่องนี้ทดสอบเราสองคนจริง ๆ ครับ ประเทศโมซัมบิกมีพิธีอาบน้ำให้กับร่างของคนตาย แล้วญาติที่ใกล้ชิดที่สุดของคนตายจะต้องนอนตรงที่ทิ้งน้ำอาบศพ 3 คืน ธรรมเนียมนี้มีขึ้นเพื่อจะทำให้วิญญาณคนตายหายโกรธ ครอบครัวของแคโรลีน่าต้องการให้เธอทำแบบนั้น”
15 ทำให้ทุกคนในละแวกที่คุณอยู่รู้ว่าคุณเป็นพยานพระยะโฮวา (16 แล้วฟรานเชสกุกับภรรยาทำอย่างไร? ฟรานเชสกุบอกว่า “เพราะเรารักพระยะโฮวาและอยากทำให้พระองค์พอใจ เราเลยไม่ยอมทำครับ แต่ครอบครัวของแคโรลีน่าโกรธมาก พวกเขาบอกว่าเราไม่นับถือพี่สาวที่ตายไปแล้วและจะไม่มาเยี่ยมหรือช่วยเหลืออะไรเราอีก แต่ก่อนหน้านี้เราได้อธิบายไปแล้วว่าความเชื่อเราเป็นยังไง เราเลยไม่คุยเรื่องนี้ตอนที่พวกเขากำลังโมโห ญาติบางคนถึงกับปกป้องเราโดยบอกว่าเราเคยบอกไปแล้วว่าอะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ ตอนหลังญาติของแคโรลีน่าค่อย ๆ หายโกรธ แล้วเราก็กลับมาคุยกันดีเหมือนเดิม ที่จริงบางคนถึงกับมาที่บ้านเราเพื่อขอหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลด้วย” ดังนั้น ขอเราอย่าอายที่จะปกป้องความจริงเกี่ยวกับความตาย—อ่านโรม 1:16
ปลอบใจและช่วยคนที่กำลังโศกเศร้า
17. อะไรจะช่วยเราให้เป็นเพื่อนแท้ของพี่น้องที่กำลังโศกเศร้า?
17 เมื่อเพื่อนคริสเตียนสูญเสียคนที่เขารัก เราควรพยายามเป็น “เพื่อนแท้ . . . เหมือนพี่น้องที่เกิดมาเพื่อช่วยกันในเวลาลำบาก” (สภษ. 17:17) เราจะเป็น “เพื่อนแท้” ได้อย่างไรโดยเฉพาะกับพี่น้องที่โศกเศร้าซึ่งถูกกดดันให้เข้าร่วมพิธีกรรมบางอย่างที่ไม่ถูกต้องตาม คัมภีร์ไบเบิล? ขอให้ดูหลักการ 2 ข้อที่ช่วยเราปลอบใจคนที่สูญเสียคนที่รัก
18. ทำไมพระเยซูร้องไห้? และเราเรียนอะไรได้จากตัวอย่างของท่าน?
18 “ร้องไห้กับคนที่ร้องไห้” (รม. 12:15) เราอาจรู้สึกว่าการหาคำพูดมาปลอบใจคนที่กำลังเสียใจเป็นเรื่องยาก บางครั้งน้ำตาก็บอกอะไรได้มากกว่าคำพูด แม้เราไม่รู้ว่าจะพูดอะไร แต่ถ้าพวกเขาเห็นเราร้องไห้กับพวกเขา พวกเขาก็รู้ว่าเราเป็นห่วงจริง ๆ ตอนที่ลาซารัสเพื่อนพระเยซูตาย มาร์ธากับมารีย์และคนอื่น ๆ ร้องไห้เสียใจมาก สี่วันต่อมาตอนที่พระเยซูมาถึง ท่านก็ “ร้องไห้น้ำตาไหล” ด้วยทั้ง ๆ ที่รู้ว่ากำลังจะปลุกลาซารัสให้ฟื้นขึ้นจากตายอยู่แล้ว (ยน. 11:17, 33-35) การที่พระเยซูร้องไห้ทำให้รู้ว่าพระยะโฮวารู้สึกอย่างไรที่ลาซารัสตาย และเมื่อครอบครัวของลาซารัสเห็นพระเยซูร้องไห้ พวกเขาก็รู้ว่าท่านรักพวกเขามากจริง ๆ นี่ต้องทำให้มาร์ธากับมารีย์ได้กำลังใจมากแน่ ๆ เหมือนกัน เมื่อพี่น้องรู้สึกว่าเรารักและเป็นห่วง พวกเขาก็จะรู้ว่าไม่ได้อยู่ตามลำพัง แต่มีเพื่อนที่รักและห่วงใยพร้อมจะเคียงข้างพวกเขาเสมอ
19. เราจะใช้คำแนะนำที่ปัญญาจารย์ 3:7 อย่างไรตอนที่ปลอบใจพี่น้องที่โศกเศร้า?
19 “เวลาเงียบและเวลาพูด” (ปญจ. 3:7) อีกวิธีหนึ่งที่จะให้กำลังใจเพื่อนคริสเตียนที่กำลังโศกเศร้าคือการเป็นผู้ฟังที่ดี คุณควรปล่อยให้พี่น้องระบายความรู้สึกออกมาและอย่าโกรธถ้าเขา “พูดไปโดยไม่ยั้งคิด” (โยบ 6:2, 3) เพื่อนของคุณอาจเครียดมากอยู่แล้ว และอาจยิ่งเครียดไปอีกเพราะถูกญาติพี่น้องที่ไม่ใช่พยานฯกดดัน ดังนั้น ให้อธิษฐานกับเขา ขอพระเจ้า “ผู้ฟังคำอธิษฐาน” ให้กำลังกับเขาและช่วยเขาให้คิดออกว่าควรทำอย่างไร (สด. 65:2) และถ้าเห็นว่าเหมาะก็ให้อ่านคัมภีร์ไบเบิลด้วยกัน หรืออ่านบทความที่เหมาะกับเขา เช่น เรื่องราวชีวิตจริงที่ให้กำลังใจ
20. เราจะคุยเรื่องอะไรในบทความหน้า?
20 เรารู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่ได้รู้ความจริงเกี่ยวกับความตายและอนาคตที่ยอดเยี่ยมสำหรับคนที่ตายไปแล้ว (ยน. 5:28, 29) ดังนั้น ขอให้เราแสดงออกทั้งคำพูดและการกระทำว่าเรากล้ายึดมั่นกับความจริงในคัมภีร์ไบเบิล รวมทั้งบอกคนอื่นทุกครั้งที่มีโอกาส ในบทความหน้าเราจะดูอีกวิธีหนึ่งที่ซาตานใช้เพื่อพยายามทำให้ผู้คนไม่รู้ความจริง นั่นคือไสยศาสตร์ซึ่งเป็นกับดักของพวกปีศาจ เราจะดูกันว่าทำไมต้องหลีกเลี่ยงพิธีกรรมและความบันเทิงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์
เพลง 24 ไปที่ภูเขาของพระยะโฮวา
^ วรรค 5 ซาตานและพวกปีศาจหลอกมนุษย์โดยใช้เรื่องโกหกเกี่ยวกับสภาพของคนตาย เรื่องโกหกเหล่านี้ทำให้เกิดธรรมเนียมหลายอย่างที่ไม่ถูกต้องตามคัมภีร์ไบเบิล บทความนี้จะช่วยคุณให้ยังคงรักษาความซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาแม้จะถูกกดดันให้ทำตามธรรมเนียมเหล่านั้น
^ วรรค 55 คำอธิบายภาพ ญาติคนหนึ่งของพยานฯเสียใจเพราะคนที่รักตาย พยานฯเข้าไปปลอบใจ
^ วรรค 57 คำอธิบายภาพ หลังจากพยานฯค้นคว้าเรื่องธรรมเนียมงานศพแล้ว เขาค่อย ๆ อธิบายความเชื่อของเขาให้ญาติ ๆ ฟัง
^ วรรค 59 คำอธิบายภาพ ผู้ดูแลประชาคมปลอบใจและช่วยเหลือพยานฯที่สูญเสียคนที่รัก