บทความศึกษา 15
เราเรียนอะไรได้จากการอัศจรรย์ของพระเยซู?
“พระเยซูเดินทางไปทั่วทุกแห่งเพื่อทำสิ่งดี ๆ และรักษาคน”—กจ. 10:38
เพลง 13 พระคริสต์เป็นตัวอย่างให้เรา
ใจความสำคัญ a
1. ขอให้เล่าเหตุการณ์ตอนที่พระเยซูทำการอัศจรรย์ครั้งแรก
ลองนึกภาพเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นช่วงปลายปีคริสต์ศักราช 29 ตอนที่พระเยซูเริ่มทำงานรับใช้บนโลก พระเยซู มารีย์แม่ของท่าน และสาวกบางคนได้รับเชิญให้ไปงานแต่งงานที่เมืองคานาซึ่งอยู่ทางเหนือของเมืองนาซาเร็ธบ้านเกิดของพระเยซู มารีย์สนิทกับครอบครัวเจ้าบ่าวเจ้าสาว และดูเหมือนว่ามารีย์จะไปช่วยพวกเขาต้อนรับแขก แต่มีปัญหาอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่กินเลี้ยงกันซึ่งทำให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวและครอบครัวอาจต้องขายหน้ามาก เหล้าองุ่นในงานแต่งงานกำลังจะหมด b ที่เป็นแบบนั้นอาจเป็นเพราะมีแขกมาร่วมงานมากกว่าที่พวกเขาคิดไว้ มารีย์ก็เลยรีบไปบอกพระเยซูลูกชายของเธอว่า “ทำยังไงดี เหล้าองุ่นจะหมดแล้ว?” (ยน. 2:1-3) แล้วพระเยซูทำยังไง? ท่านทำการอัศจรรย์โดยเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่นอย่างดี—ยน. 2:9, 10
2-3. (ก) พระเยซูใช้พลังทำการอัศจรรย์เพื่ออะไร? (ข) เราจะได้ประโยชน์อะไรบ้างจากการทบทวนเกี่ยวกับการอัศจรรย์ของพระเยซูในบทความนี้?
2 พระเยซูทำการอัศจรรย์อื่น ๆ อีกหลายอย่างตอนที่ท่านรับใช้บนโลก c ท่านใช้พลังในการทำการอัศจรรย์เพื่อช่วยคนเป็นหมื่น ๆ เช่น ในการอัศจรรย์ที่ท่านเลี้ยงอาหารผู้คนสองครั้ง ครั้งแรกถ้านับเฉพาะผู้ชายก็มีถึง 5,000 คน ส่วนอีกครั้งหนึ่งมีถึง 4,000 คน สองครั้งนั้นมีผู้หญิงและ เด็กกินด้วย เลยอาจเป็นไปได้ว่าพระเยซูเลี้ยงอาหารผู้คนมากกว่า 27,000 คน (มธ. 14:15-21; 15:32-38) และในการอัศจรรย์ทั้งสองครั้งนั้น พระเยซูยังรักษาคนป่วยอีกหลายคนด้วย (มธ. 14:14; 15:30, 31) ลองนึกดูว่าผู้คนจะรู้สึกทึ่งขนาดไหนตอนที่พระเยซูรักษาพวกเขาให้หายป่วยและได้กินอาหารจากท่าน
3 ในทุกวันนี้มีหลายอย่างที่เราเรียนได้จากการอัศจรรย์ของพระเยซู ในบทความนี้เราจะมาคุยกันว่าเราได้บทเรียนอะไรจากการอัศจรรย์ที่พระเยซูทำซึ่งช่วยเสริมความเชื่อของเรา และเราจะดูว่าพระเยซูแสดงความถ่อมและความเห็นอกเห็นใจยังไงตอนที่ท่านทำการอัศจรรย์ และเราจะเลียนแบบท่านได้ยังไง
เรียนเกี่ยวกับพระยะโฮวาและพระเยซูจากการอัศจรรย์
4. การอัศจรรย์ของพระเยซูสอนเราเกี่ยวกับใคร?
4 การอัศจรรย์ของพระเยซูไม่ได้สอนเราเกี่ยวกับตัวพระเยซูเองเท่านั้น แต่สอนเราเกี่ยวกับพระยะโฮวาพ่อของท่านด้วย เพราะอะไร? พระยะโฮวาเป็นผู้ให้พลังกับพระเยซูทำการอัศจรรย์ กิจการ 10:38 บอกว่า “พระเจ้าได้เจิม [พระเยซู] ไว้ด้วยพลังบริสุทธิ์และให้อำนาจแก่ท่าน พระเยซูเดินทางไปทั่วทุกแห่งเพื่อทำสิ่งดี ๆ และรักษาคนที่ต้องทนทุกข์เพราะถูกมารครอบงำ ที่พระเยซูทำอย่างนี้ได้ก็เพราะพระเจ้าอยู่กับท่าน” นอกจากนั้น ทุกอย่างที่พระเยซูพูดและทำซึ่งรวมถึงการอัศจรรย์ทำให้เห็นว่าพระยะโฮวาคิดและรู้สึกยังไง (ยน. 14:9) ให้เรามาดู 3 อย่างที่เราเรียนได้จากการอัศจรรย์ของพระเยซู
5. อะไรทำให้พระเยซูทำการอัศจรรย์? (มัทธิว 20:30-34)
5 อย่างแรก พระเยซูกับพระยะโฮวาพ่อของท่านรักเรามาก ตอนที่พระเยซูอยู่บนโลก ท่านแสดงให้เห็นว่าท่านรักผู้คนมากขนาดไหนโดยทำการอัศจรรย์เพื่อช่วยคนที่มีความทุกข์ ครั้งหนึ่งมีผู้ชายตาบอด 2 คนมาขอให้พระเยซูช่วย (อ่านมัทธิว 20:30-34) คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระเยซู “เกิดความสงสาร” ท่านก็เลยรักษาพวกเขาจนหาย คำกรีกที่แปลว่า “เกิดความสงสาร” ในข้อนี้แสดงถึงความรู้สึกที่เห็นใจมาก ๆ มันเป็นความรู้สึกที่มาจากส่วนลึกข้างใน ความรู้สึกเดียวกันนี้แหละที่ทำให้พระเยซูเลี้ยงอาหารคนที่หิวและรักษาผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นโรคเรื้อนซึ่งแสดงว่าท่านรักพวกเขามาก (มธ. 15:32; มก. 1:41) นี่ทำให้เรามั่นใจว่าพระยะโฮวาซึ่งเป็นพระเจ้าที่ “เอ็นดูสงสาร” และพระเยซูลูกของพระองค์รักเรามากและรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อเห็นเราเจอความทุกข์ (ลก. 1:78; 1 ปต. 5:7) พระองค์ทั้งสองต้องอยากกำจัดความทุกข์ให้หมดไปจากโลกแน่ ๆ
6. พระยะโฮวาให้พลังอำนาจกับพระเยซูเพื่อจะทำอะไรบ้าง?
6 อย่างที่สอง พระยะโฮวาให้พลังอำนาจกับพระเยซูจัดการกับปัญหาทุกอย่างของมนุษย์ การอัศจรรย์ที่พระเยซูทำแสดงให้เห็นว่าท่านมีอำนาจที่จะแก้ไขปัญหาทุกอย่างที่มนุษย์เราไม่มีทางจัดการเองได้ เช่น พระเยซูมีพลังอำนาจที่จะกำจัดต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดของมนุษย์ซึ่งก็คือบาป รวมทั้งผลของบาป นั่นคือความเจ็บป่วยและความตาย (มธ. 9:1-6; รม. 5:12, 18, 19) การอัศจรรย์ของพระเยซูพิสูจน์ว่าท่านสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บ “ทุกชนิด” และถึงกับปลุกคนตายให้ฟื้นได้ (มธ. 4:23; ยน. 11:43, 44) นอกจากนั้น ท่านยังมีพลังอำนาจที่จะควบคุมพายุและขับไล่ปีศาจได้ (มก. 4:37-39; ลก. 8:2) เรารู้สึกสบายใจจริง ๆ ที่รู้ว่าพระยะโฮวาให้พลังอำนาจแบบนั้นกับพระเยซู
7-8. (ก) การอัศจรรย์ของพระเยซูทำให้เรามั่นใจได้ในเรื่องอะไร? (ข) คุณรอจะได้เห็นการอัศจรรย์อะไรในโลกใหม่ที่ใกล้จะถึง?
7 อย่างที่สาม เรามั่นใจได้เต็มร้อยว่ารัฐบาลของพระเจ้าจะทำให้สิ่งดี ๆ เกิดขึ้นอย่างที่พระองค์สัญญาไว้ การอัศจรรย์ของพระเยซูทำให้เรารู้ว่าท่านจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นตอนที่ท่านเป็นกษัตริย์ปกครองทั้งโลก ให้เราลองนึกดูว่าตอนนั้นจะเป็นยังไง เราจะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์แบบเพราะพระเยซูจะกำจัดโรคภัยไข้เจ็บทุกอย่าง และจะไม่มีใครต้องพิการอีกต่อไป (อสย. 33:24; 35:5, 6; วว. 21:3, 4) เราจะไม่ต้องอดอยากหรือไม่ต้องเจอภัยธรรมชาติอีกแล้ว (อสย. 25:6; มก. 4:41) เราจะมีความสุขมากที่ได้ต้อนรับคนที่เรารักซึ่งฟื้นขึ้นจากตาย พวกเขาจะถูกเรียกออกมาจาก “อุโมงค์ฝังศพ” (ยน. 5:28, 29) แล้วคุณล่ะ คุณรอจะได้เห็นการอัศจรรย์อะไรในโลกใหม่ที่ใกล้จะถึง?
8 ตอนที่พระเยซูทำการอัศจรรย์ ท่านเห็นอกเห็นใจและถ่อมมากซึ่งเป็นคุณลักษณะที่เราทุกคนต้องเลียนแบบ ให้เรามาดูการอัศจรรย์ 2 ครั้งที่พระเยซูทำ ครั้งแรกคือที่งานแต่งงานที่เมืองคานา
เรียนเรื่องความถ่อม
9. ทำไมพระเยซูถึงทำการอัศจรรย์ในงานแต่งงาน? (ยอห์น 2:6-10)
9 อ่านยอห์น 2:6-10 ตอนที่เหล้าองุ่นในงานแต่งงานใกล้จะหมด มันเป็นหน้าที่ของพระเยซูไหมที่ต้อง จัดการเรื่องนี้? ไม่ใช่เลย ไม่มีคำพยากรณ์ข้อไหนในคัมภีร์ไบเบิลที่บอกว่าเมสสิยาห์จะต้องทำการอัศจรรย์เพื่อให้มีเหล้าองุ่น แต่ลองนึกดูว่าถ้าเป็นงานแต่งงานของคุณเอง แล้วเครื่องดื่มเกิดหมดขึ้นมา คุณจะรู้สึกยังไง? พระเยซูคงเข้าใจความรู้สึกของครอบครัวเจ้าบ่าวเจ้าสาว โดยเฉพาะท่านเห็นใจตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาว ท่านก็เลยอยากจะช่วยพวกเขาไม่ให้ขายหน้า ท่านจึงทำการอัศจรรย์เปลี่ยนน้ำให้กลายเป็นเหล้าองุ่นอย่างดีประมาณ 390 ลิตร บางทีที่พระเยซูให้มีเหล้าองุ่นมากขนาดนี้อาจเผื่อไว้สำหรับวันหน้า หรืออาจให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวเอาไว้ขายเพื่อจะได้เงินมาใช้จ่าย พอเจ้าบ่าวเจ้าสาวได้เห็นการอัศจรรย์ของพระเยซู พวกเขาคงรู้สึกโล่งใจมากจริง ๆ
10. เราเห็นรายละเอียดที่น่าสนใจอะไรในยอห์นบท 2? (ดูภาพด้วย)
10 ให้เรามาดูรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่บันทึกในยอห์นบท 2 คุณสังเกตไหมว่าพระเยซูไม่ได้เป็นคนเอาน้ำใส่ในโอ่งเอง แต่ท่านบอกให้พวกคนรับใช้ทำเพื่อที่คนอื่นจะไม่สนใจที่ตัวท่านมากเกินไป (ข้อ 6, 7) และหลังจากที่ท่านเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่นแล้ว ท่านก็ไม่ได้เป็นคนเอาเหล้าองุ่นนั้นไปให้ผู้ดูแลงานเลี้ยงด้วยตัวเอง แต่ท่านบอกให้พวกคนรับใช้ทำ (ข้อ 8) และท่านก็ไม่ได้ถือแก้วเหล้าองุ่นไปโชว์ต่อหน้าแขก แล้วอวดว่า ‘ชิมดูสิ นี่ฝีมือผมเอง’
11. เราได้เรียนอะไรจากการอัศจรรย์ของพระเยซู?
11 เราได้เรียนอะไรจากการอัศจรรย์ที่พระเยซูเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่น? เราได้เรียนเรื่องความถ่อมใจ พระเยซูไม่ได้อวดว่าท่านทำการอัศจรรย์นี้ ที่จริง ท่านไม่เคยอวดความสำเร็จของตัวเองเลยสักครั้ง ตรงกันข้าม ท่านถ่อมและยกย่องสรรเสริญพระยะโฮวาเสมอ และบอกว่าพระองค์เป็นผู้ที่ช่วยให้ท่านสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ (ยน. 5:19, 30; 8:28) ถ้าเราเลียนแบบพระเยซูโดยเป็นคนถ่อมเสมอ เราก็จะไม่อวดความสำเร็จของเรา และไม่ว่าเราจะทำงานรับใช้แบบไหน อย่าให้เราอวดตัวเราเอง แต่ให้เราอวดเรื่องพระยะโฮวาพระเจ้าที่เรามีสิทธิพิเศษได้รับใช้ (ยรม. 9:23, 24) ให้เรายกย่องสรรเสริญพระยะโฮวาที่เราสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ จริง ๆ แล้วเราไม่มีทางทำสิ่งดี ๆ ได้สำเร็จเลยถ้าพระองค์ไม่ช่วย—1 คร. 1:26-31
12. อีกวิธีหนึ่งที่เราจะเลียนแบบความถ่อมของพระเยซูคืออะไร? ขอยกตัวอย่าง
12 นอกจากนั้น ยังมีอีกวิธีหนึ่งด้วยที่เราจะเลียนแบบความถ่อมของพระเยซู ขอให้นึกถึงตัวอย่างนี้ ผู้ดูแลคนหนึ่งใช้เวลาเยอะมากช่วยผู้ช่วยงานรับใช้ที่เป็นวัยรุ่นให้เตรียมคำบรรยายสาธารณะครั้งแรก พี่น้องชายคนนั้นก็เลยบรรยายได้ดีมาก และพี่น้องทุกคนในประชาคมก็ชอบ หลังจบการประชุมพี่น้องหลายคนมาหาผู้ดูแล และบอกว่าพี่น้องคนนั้นบรรยายดีมากเลย ผู้ดูแลคนนั้นจะบอกไหมว่า ‘ใช่ ก็เพราะผมช่วยเขานั่นแหละ’? หรือเขาควรจะบอกด้วยความถ่อมตัวว่า ‘ใช่ เขาบรรยายดีจริง ๆ’? ถ้าเราถ่อม เราจะไม่ถือว่าที่คนอื่นทำอะไรได้ดีเป็นเพราะเรา แต่เรารู้ว่าพระยะโฮวาเห็นสิ่งที่เราทำและพระองค์เห็นค่า (เทียบกับมัทธิว 6:2-4; ฮบ. 13:16) ถ้าเราเลียนแบบพระเยซูในเรื่องความถ่อม พระยะโฮวาจะพอใจเรา—1 ปต. 5:6
เรียนเรื่องความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกคนอื่น
13. ตอนที่พระเยซูใกล้จะถึงเมืองนาอิน ท่านเห็นอะไร? และท่านทำอะไร? (ลูกา 7:11-15)
13 อ่านลูกา 7:11-15 ลองนึกถึงเหตุการณ์นี้ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่พระเยซูรับใช้ได้ประมาณปีครึ่งแล้ว ท่าน กำลังเดินทางไปเมืองนาอินในแคว้นกาลิลีที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองชูเนมซึ่งเป็นที่ที่เอลีชาปลุกลูกชายของผู้หญิงคนหนึ่งให้ฟื้นขึ้นจากตายเมื่อประมาณ 900 ปีก่อนหน้านั้น (2 พก. 4:32-37) ตอนที่พระเยซูใกล้จะถึงประตูเมืองนาอิน มีขบวนแห่ศพสวนทางออกมา บรรยากาศตอนนั้นเศร้ามากเพราะผู้ชายที่ตายเป็นลูกคนเดียวของแม่ม่าย มีคนมากมายจากเมืองนั้นเดินมากับแม่ม่ายที่กำลังเสียใจมาก พระเยซูเข้าไปหาคนกลุ่มนี้และทำสิ่งมหัศจรรย์เพื่อแม่ม่ายที่หัวใจสลาย ท่านปลุกลูกชายของเธอให้ฟื้นขึ้นจากตาย นี่เป็นครั้งแรกในทั้งหมด 3 ครั้งที่พระเยซูปลุกคนให้ฟื้นขึ้นจากตายที่บันทึกไว้ในหนังสือข่าวดี
14. เราเห็นรายละเอียดที่น่าสนใจอะไรในลูกาบท 7? (ดูภาพด้วย)
14 ให้เรามาดูรายละเอียดที่น่าสนใจเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ที่ลูกาบท 7 พระเยซู “เห็น” แม่ม่ายคนนี้กำลังเสียใจมาก ท่านเลยรู้สึก “สงสาร” เธอ (ข้อ 13) ท่านอาจสังเกตเห็นว่าเธอร้องไห้ตอนเดินข้างหน้าศพลูกชาย ท่านรู้สึกสงสารและเห็นอกเห็นใจเธอมาก แต่พระเยซูไม่ใช่แค่รู้สึกสงสาร ท่านแสดงออกว่าเข้าใจความรู้สึกของเธอจริง ๆ ท่านเข้าไปคุยกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “อย่าร้องไห้เลย” แล้วท่านก็เป็นฝ่ายเริ่มช่วยแม่ม่ายคนนี้ ท่านปลุกลูกชายของเธอให้ฟื้นขึ้นจากตายและ “มอบเขาให้แม่”—ข้อ 14, 15
15. เราได้เรียนอะไรจากการอัศจรรย์ของพระเยซู?
15 เราได้เรียนอะไรจากที่พระเยซูปลุกลูกชายของหญิงม่าย? เราควรแสดงความเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกของคนที่กำลังโศกเศร้าเสียใจ ถึงเราจะปลุกคนให้ฟื้นขึ้นจากตายอย่างที่พระเยซูทำไม่ได้ แต่เราเลียนแบบท่านได้โดยเป็นคนช่างสังเกต นอกจากนั้น เราควรเป็นฝ่ายเข้าไปคุยหรือทำบางอย่างเพื่อช่วยและปลอบใจคนที่กำลังโศกเศร้า d (สภษ. 17:17; 2 คร. 1:3, 4; 1 ปต. 3:8) แค่คำพูดง่าย ๆ หรือการทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็อาจให้กำลังใจพวกเขาได้มากจริง ๆ
16. จากที่เห็นในภาพสมมุติ คุณได้เรียนอะไรจากประสบการณ์ของพี่น้องหญิงที่ลูกสาวเพิ่งตาย?
16 ให้เรามาดูประสบการณ์หนึ่งด้วยกัน หลายปีที่แล้วตอนที่กำลังร้องเพลงในหอประชุม พี่น้องหญิงคนหนึ่งเห็นพี่น้องอีกคนที่นั่งใกล้ ๆ กำลังร้องไห้เพราะลูกสาวของเธอเพิ่งตาย และเพลงนั้นพูดถึงการฟื้นขึ้นจากตาย พี่น้องหญิงคนนี้เลยรีบไปยืนข้างเธอ เอาแขนโอบเธอไว้ และร้องเพลงด้วยกันกับเธอจนจบ พี่น้องหญิงที่เป็นแม่เล่าให้ฟังทีหลังว่า “ฉันรู้เลยว่าพี่น้องรักฉันมาก” เธอดีใจมากที่ได้ไปประชุมวันนั้น เธอบอกว่า “เราจะได้รับความช่วยเหลือที่หอประชุมนี่แหละ” เรามั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาเห็นทุกอย่างที่เราทำ ถึงแม้เราอาจแสดงความเห็นอกเห็นใจกับ “คนที่เศร้าเสียใจ” โดยใช้วิธีง่าย ๆ แต่พระยะโฮวาก็เห็นค่า—สด. 34:18
การศึกษาค้นคว้าที่เสริมความเชื่อ
17. เราได้เรียนอะไรมาบ้างในบทความนี้?
17 ถ้าเราศึกษาค้นคว้าเรื่องราวตอนที่พระเยซูทำการอัศจรรย์ เราจะได้กำลังใจมากและมีความเชื่อเข้มแข็งขึ้น เรื่องราวเหล่านั้นสอนเราว่าพระยะโฮวากับพระเยซูรักเรามาก และยังสอนด้วยว่าพระเยซูมีพลังอำนาจที่จะจัดการกับปัญหาทุกอย่างของมนุษย์ และยังช่วยให้เรามั่นใจว่ารัฐบาลของพระเจ้าจะทำให้สิ่งดี ๆ เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้แน่นอน นอกจากนั้น ตอนที่เราอ่านเรื่องราวเหล่านั้น เราน่าจะคิดด้วยว่าเราจะเลียนแบบคุณลักษณะต่าง ๆ ของพระเยซูได้ยังไงบ้าง ทำไมไม่ลองศึกษาค้นคว้าเรื่องราวการอัศจรรย์ของพระเยซูตอนศึกษาส่วนตัวหรือนมัสการประจำครอบครัวด้วยกันล่ะ? ลองดูว่าคุณได้เรียนอะไรบ้าง หลังจากนั้นก็เล่าให้คนอื่นฟัง ถ้าคุณทำอย่างนั้น ทุกคนจะได้ประโยชน์และได้กำลังใจมากแน่ ๆ—รม. 1:11, 12
18. เราจะคุยอะไรกันในบทความหน้า?
18 ช่วงท้ายของการรับใช้ของพระเยซูบนโลก ท่านปลุกคนตายให้ฟื้นอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 และเป็นครั้งสุดท้ายที่พระเยซูทำซึ่งมีการบันทึกในคัมภีร์ไบเบิล แต่ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งอื่น ๆ เพราะท่านปลุกเพื่อนรักของท่านเองซึ่งตายมา 4 วันแล้ว เราเรียนอะไรได้จากการอัศจรรย์ครั้งนี้? และเราจะมั่นใจในความหวังเรื่องการฟื้นขึ้นจากตายมากขึ้นได้ยังไง? ให้เรามาดูคำตอบในบทความหน้า
เพลง 20 พระองค์สละลูกที่รักเพื่อเรา
a พระเยซูทำให้พายุสงบ รักษาคนป่วย และถึงกับปลุกคนตายให้ฟื้น เมื่อเราอ่านเกี่ยวกับการอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ มันทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นจริง ๆ แต่เรื่องราวเหล่านี้ในคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้มีไว้เพื่อให้เราอ่านสนุก ๆ เท่านั้น แต่มีไว้เพื่อสอนเราด้วย ให้เรามาดูการอัศจรรย์บางอย่างของพระเยซูที่สอนเราเกี่ยวกับพระยะโฮวาและพระเยซูซึ่งช่วยเสริมความเชื่อของเรา และเราจะมาดูคุณลักษณะบางอย่างที่เราควรเลียนแบบ
b นักวิชาการด้านคัมภีร์ไบเบิลอธิบายว่า “ในแถบตะวันออก การต้อนรับแขกเป็นหน้าที่ที่สำคัญมาก เจ้าของบ้านหรือเจ้าของงานต้องดูแลแขกอย่างดีและต้องให้แขกได้รับทุกอย่างแบบเหลือเฟือ และโดยเฉพาะในงานแต่งงาน เจ้าภาพที่ดีต้องจัดอาหารกับเครื่องดื่มให้แขกแบบไม่อั้น”
c หนังสือข่าวดีพูดถึงการอัศจรรย์ที่พระเยซูทำมากกว่า 30 ครั้ง และบางครั้งท่านก็ทำการอัศจรรย์หลายอย่างในเหตุการณ์ครั้งเดียว เช่น มีครั้งหนึ่งที่ “คนทั้งเมือง” มาหาพระเยซู ท่าน “จึงรักษาคนมากมายที่ป่วย”—มก. 1:32-34
d คุณอาจดูคำแนะนำว่าจะพูดอะไรหรือทำอะไรเพื่อให้กำลังใจคนที่โศกเศร้าเสียใจได้จากบทความที่ชื่อว่า “ปลอบโยนผู้สูญเสียผู้เป็นที่รักอย่างที่พระเยซูทำ” ในหอสังเกตการณ์ 1 พฤศจิกายน 2010
e คำอธิบายภาพ เจ้าบ่าวเจ้าสาวกับแขกกำลังกินเหล้าองุ่นอย่างดี พวกเขามีความสุขกันมาก ส่วนพระเยซูยืนมองอยู่ไม่ไกล