เด็กวัยรุ่น ทำให้ความเชื่อของคุณเข้มแข็งขึ้น
“ความเชื่อ . . . เป็นความแน่ใจเพราะมีหลักฐานชัดเจนว่าสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นมีจริง”—ฮบ. 11:1
1, 2. บางครั้งผู้รับใช้พระยะโฮวาที่เป็นวัยรุ่นอาจสงสัยเรื่องอะไร? และคัมภีร์ไบเบิลมีคำแนะนำที่ดีอย่างไร?
เพื่อนนักเรียนคนหนึ่งในประเทศอังกฤษบอกพี่น้องวัยรุ่นผู้หญิงของเราว่า “ฉันว่าเธอดูฉลาดเกินกว่าจะเชื่อพระเจ้านะ” พี่น้องชายในเยอรมนีเล่าว่า “คุณครูของผมมองเรื่องการสร้างที่อยู่ในไบเบิลว่าเป็นนิยาย พวกเขาคิดกันเอาเองว่าพวกนักเรียนเชื่อเรื่องวิวัฒนาการ” พี่น้องหญิงวัยรุ่นคนหนึ่งในฝรั่งเศสบอกว่า “ครูที่โรงเรียนของฉันแปลกใจที่ได้รู้ว่ายังมีนักเรียนที่เชื่อคัมภีร์ไบเบิลอยู่”
2 ผู้คนจำนวนมากในทุกวันนี้ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าที่สร้างตัวเรา ถ้าคุณเป็นผู้รับใช้พระยะโฮวาที่ยังเป็นวัยรุ่น หรือเป็นคนที่กำลังเรียนรู้เกี่ยวกับพระองค์ บางครั้งคุณอาจสงสัยว่าคุณจะเชื่อมั่นได้อย่างไรว่ามีพระเจ้าที่สร้างตัวคุณ คัมภีร์ไบเบิลช่วยเราให้คิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับเรื่องที่เราอ่านหรือได้ยินและพยายามคิดหาเหตุผล คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ความสุขุมรอบคอบจะปกป้องลูก” การเป็นคนสุขุมรอบคอบหรือเป็นคนรู้จักคิดจะปกป้องคุณได้อย่างไร? ถ้าเราคิดเป็น เราก็จะไม่ไปหลงเชื่อคำสอนผิด ๆ ที่ทำลายความเชื่อของเรา—อ่านสุภาษิต 2:10-12
3. เราจะเรียนอะไรในบทความนี้?
3 เพื่อเราจะมีความเชื่อที่เข้มแข็งในพระยะโฮวา เราต้องรู้จักพระองค์เป็นอย่างดี (1 ทธ. 2:4) ดังนั้น ตอนที่อ่านคัมภีร์ไบเบิลหรือหนังสือต่าง ๆ ที่มาจากองค์การ คุณต้องไม่อ่านแบบผ่าน ๆ แต่คุณควรใช้เวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ได้อ่าน และพยายามเข้าใจเรื่องที่อ่าน (มธ. 13:23) ในบทความนี้เราจะมาดูด้วยกันว่า ถ้าคุณอ่านและศึกษาแบบนี้ คุณจะเห็นหลักฐานมากขึ้นได้อย่างไรว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่สร้างตัวคุณ และคัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่มาจากพระองค์จริง ๆ—ฮบ. 11:1
วิธีทำให้ความเชื่อของคุณเข้มแข็งขึ้น
4. ความเชื่อเรื่องวิวัฒนาการและเรื่องการสร้างมีอะไรที่เหมือนกัน? และเราทุกคนต้องทำอะไร?
4 บางคนอาจมาบอกคุณว่า “ฉันเชื่อเรื่องวิวัฒนาการเพราะพวกนักวิทยาศาสตร์บอกว่าเป็นเรื่องจริง เธอเชื่อเรื่องพระเจ้าไปได้ยังไงทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า?” หลายคนคิดอย่างนี้ ก็จริงที่ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าหรือเห็นตอนที่สิ่งต่าง ๆ ถูกสร้างขึ้น (ยน. 1:18) แล้วคนที่เชื่อเรื่องวิวัฒนาการล่ะ? พวกเขาก็เชื่อในสิ่งที่พวกเขาเองก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน ไม่มีนักวิทยาศาสตร์หรือมนุษย์คนไหนเคยเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งวิวัฒนาการไปเป็นอีกชนิดหนึ่ง ตัวอย่างเช่น เราเคยเห็นสัตว์เลื้อยคลานวิวัฒนาการไปเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมไหม? หรือเคยเห็นงูกลายเป็นช้างไหม? (โยบ 38:1, 4) ดังนั้น พวกเราทุกคนต้องดูที่ข้อเท็จจริง ต้องคิดอย่างละเอียด และคิดว่าสิ่งเหล่านั้นช่วยเราให้ได้ข้อสรุปอะไร เปาโลบอกว่า “ถึงแม้พระเจ้าเป็นผู้ที่มนุษย์มองไม่เห็น แต่เมื่อมนุษย์สังเกตสิ่งที่พระองค์สร้างไว้ ก็จะเห็นคุณลักษณะต่าง ๆ ของพระองค์อย่างชัดเจนตั้งแต่การสร้างโลกเป็นต้นมา ทั้งความเป็นพระเจ้าและฤทธิ์อำนาจถาวรของพระองค์ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่มีข้อแก้ตัว”—รม. 1:20
5. เครื่องมือค้นคว้าอะไรที่สามารถช่วยเราให้เรียนมากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าสร้าง?
5 เมื่อเรามองดูธรรมชาติและคิดอย่างละเอียด เราจะเห็นว่าทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นอย่างน่ามหัศจรรย์ และทั้ง ๆ ที่เรามองไม่เห็นพระเจ้า แต่ “เพราะความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่า” มีพระเจ้าผู้สร้างตัวเรา เรารู้ว่าพระองค์มีคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมและมีสติปัญญาที่สูงส่งจริง ๆ (ฮบ. 11:3, 27) เราสามารถเรียนเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่พระเจ้าสร้างโดยการอ่านเกี่ยวกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ เราหาข้อมูลเหล่านั้นได้ในเครื่องมือค้นคว้าขององค์การ เช่น ดีวีดีสิ่งทรงสร้างที่น่าพิศวงเผยให้เห็นความล้ำเลิศของพระเจ้า จุลสารมีใครสร้างสิ่งมีชีวิตไหม? จุลสารต้นกำเนิดชีวิต—ห้าคำถามที่น่าคิด และหนังสือพระผู้สร้างผู้ใฝ่พระทัย ในตัวคุณมีไหม? นอกจากนั้น ในวารสารตื่นเถิด! ก็มีบทความที่สัมภาษณ์นักวิทยาศาสตร์และคนอื่น ๆ ถึงเหตุผลที่พวกเขาเชื่อว่ามีพระเจ้า และยังมีบทความชุดที่ชื่อว่า “มีผู้ออกแบบไหม?” บทความชุดนี้รวบรวมรายละเอียดเกี่ยวกับสัตว์ เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติ และตัวอย่างการประดิษฐ์คิดค้นของพวกนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามเลียนแบบสิ่งมีชีวิต
6. เครื่องมือค้นคว้าช่วยคุณอย่างไร?
6 พี่น้องชายอายุ 19 ในสหรัฐอเมริกาพูดเกี่ยวกับจุลสารที่พูดถึงในข้อ 5 ว่า “จุลสารสองเล่มนี้ดีมากจริง ๆ ผมอ่านเกิน 10 รอบแล้ว” พี่น้องหญิงในฝรั่งเศสบอกว่า “บทความ ‘มีผู้ออกแบบไหม?’ สุดยอดจริง ๆ ฉันเห็นเลยว่าวิศวกรที่เก่งที่สุดก็ไม่มีทางเลียนแบบธรรมชาติที่ถูกออกแบบอย่างสลับซับซ้อนได้” พ่อแม่ของเด็กผู้หญิงอายุ 15 ในแอฟริกาใต้บอกว่า “ทุกครั้งที่ลูกสาวของเราอ่านวารสารตื่นเถิด! เธอจะอ่านบทความที่ชื่อ ‘สัมภาษณ์’ เป็นเรื่องแรกเลย” หนังสือเหล่านี้ก็ช่วยคุณให้เห็นข้อพิสูจน์ว่ามีผู้สร้างได้เหมือนกัน คุณจะดูออกว่าอะไรเป็นเรื่องจริงหรืออะไรเป็นคำสอนผิด ๆ ที่ต้องหลีกเลี่ยง และความเชื่อของคุณจะเข้มแข็งเหมือนกับต้นไม้ที่มีรากลึกซึ่งสามารถยืนหยัดได้เมื่อต้องเจอกับลมแรง ๆ—ยรม. 17:5-8
ความเชื่อที่คุณมีในคัมภีร์ไบเบิล
7. ทำไมพระเจ้าอยากให้คุณใช้ความสามารถในการคิดหาเหตุผล?
7 ผิดไหมที่จะถามคำถามอย่างเช่น ‘ทำไมฉันถึงเชื่อในสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลบอก?’ ไม่ผิดเลยที่จะถามแบบนั้น พระยะโฮวาไม่อยากให้เราเชื่อแค่เพราะคนอื่นเชื่อ พระองค์อยากให้เราใช้ “ความสามารถในการคิดหาเหตุผล” เพื่อจะรู้จักคัมภีร์ไบเบิลมากขึ้นและพิสูจน์ได้ว่าคัมภีร์ไบเบิลมาจากพระองค์จริง ๆ ยิ่งคุณรู้ว่าคัมภีร์ไบเบิลบอกอย่างไร คุณก็ยิ่งจะมีความเชื่อในคัมภีร์ไบเบิลมากขึ้น (อ่านโรม 12:1, 2; 1 ทิโมธี 2:4) วิธีหนึ่งที่คุณจะรู้จักคัมภีร์ไบเบิลมากขึ้นก็คือ คุณน่าจะศึกษาแบบเจาะลึกในเรื่องที่คุณอยากรู้
8, 9. (ก) บางคนชอบศึกษาเรื่องอะไรในคัมภีร์ไบเบิลเป็นพิเศษ? (ข) บางคนได้ประโยชน์อะไรเมื่อคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับสิ่งที่ได้อ่าน?
8 บางคนชอบศึกษาเกี่ยวกับคำพยากรณ์ต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิล พวกเขาชอบเปรียบเทียบสิ่งที่เขียนในคัมภีร์ไบเบิลกับคำพูดของนักประวัติศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์หรือนักโบราณคดี ตัวอย่างเช่น ทันทีหลังจากที่อาดัมและเอวากบฏต่อต้านพระยะโฮวาและการปกครองของพระองค์ พระยะโฮวาให้คำพยากรณ์ที่สำคัญมากซึ่งอยู่ในปฐมกาล 3:15 คำพยากรณ์ในข้อนั้นเป็นข้อแรกที่ช่วยเราให้เข้าใจวิธีที่รัฐบาลของพระเจ้าจะพิสูจน์ว่าการปกครองของพระองค์ดีที่สุด และจะทำให้ความทุกข์หมดไปจริง ๆ คุณจะศึกษาปฐมกาล 3:15 ให้ลึกขึ้นได้อย่างไร? คุณน่าจะลองหาข้อคัมภีร์อื่น ๆ ที่ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่าปฐมกาล 3:15 เกิดขึ้นจริงอย่างไร และเอาข้อคัมภีร์เหล่านั้นมาเรียงตามลำดับเวลาที่ถูกเขียน แล้วคุณก็จะเห็นว่าถึงผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลแต่ละคนมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่ต่างกัน แต่สิ่งที่พวกเขาเขียนทำให้เราเข้าใจคำพยากรณ์นี้ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ นี่จะช่วยให้คุณเห็นหลักฐานว่าพลังบริสุทธิ์ของพระยะโฮวาชี้นำพวกเขาจริง ๆ—2 ปต. 1:21
9 พี่น้องชายคนหนึ่งในเยอรมนีพูดถึงคัมภีร์ไบเบิลว่า “ถึงแม้ว่ามีคนถึง 40 คนที่เขียนคัมภีร์ไบเบิล และพวกเขาหลายคนก็มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่ต่างกันและไม่รู้จักกันเป็นส่วนตัว แต่หนังสือทุกเล่มก็เขียนเกี่ยวกับเรื่องรัฐบาลของพระเจ้าเหมือนกัน” พี่น้องหญิงในออสเตรเลียได้ศึกษาบทความในวารสารหอสังเกตการณ์ 15 ธันวาคม 2013 และได้เรียนรู้ว่าปัสกาเกี่ยวข้องอย่างไรกับเมสสิยาห์และปฐมกาล 3:15 เธอบอกว่า “การเรียนเรื่องนี้ทำให้ฉันเห็นว่าพระยะโฮวาสุดยอดจริง ๆ ฉันประทับใจความ คิดของพระยะโฮวาที่พระองค์ให้ชาวอิสราเอลฉลองปัสกา แล้วพระองค์ก็จัดให้พระเยซูมาทำให้ภาพพยากรณ์เกี่ยวกับปัสกาเกิดขึ้นจริง ตอนที่อ่าน ฉันถึงกับต้องหยุดและคิดอย่างละเอียดว่าการฉลองปัสกาเป็นภาพพยากรณ์ที่น่าทึ่งจริง ๆ” อะไรทำให้พี่น้องหญิงคนนั้นรู้สึกแบบนี้? เธอคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านและเข้าใจเรื่องนั้น นี่ทำให้เธอมีความเชื่อที่เข้มแข็งขึ้นและใกล้ชิดกับพระยะโฮวามากขึ้น—มธ. 13:23
10. การที่ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลเขียนอย่างซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาทำให้เราเชื่อมั่นในคัมภีร์ไบเบิลมากขึ้นอย่างไร?
10 อีกอย่างหนึ่งที่จะช่วยเราให้มั่นใจในคัมภีร์ไบเบิลมากขึ้นก็คือ การคิดเกี่ยวกับความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาของผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิล พวกเขาเขียนเรื่องจริงเสมอและไม่กลัวที่จะทำอย่างนั้น คนเขียนทั่วไปมักเขียนแต่เรื่องดี ๆ ของชาติและผู้นำของตัวเอง แต่ผู้พยากรณ์ของพระยะโฮวาไม่ได้เขียนแค่เรื่องดี ๆ เท่านั้น พวกเขาเขียนเรื่องไม่ดีที่คนในอิสราเอลและกษัตริย์ของพวกเขาทำด้วย (2 พศ. 16:9, 10; 24:18-22) พวกเขาถึงกับเขียนเกี่ยวกับความผิดของตัวเองและของผู้รับใช้พระยะโฮวาคนอื่น ๆ (2 ซม. 12:1-14; มก. 14:50) พี่น้องชายวัยรุ่นคนหนึ่งในอังกฤษบอกว่า “ความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาอย่างนี้หายากจริง ๆ นี่ทำให้ผมมั่นใจมากขึ้นว่าคัมภีร์ไบเบิลต้องมาจากพระยะโฮวา”
11. ถ้าเราให้คัมภีร์ไบเบิลชี้นำชีวิตของเรา นี่จะทำให้เราเชื่อมั่นว่าคัมภีร์ไบเบิลมาจากพระเจ้าได้อย่างไร?
11 ถ้าคนเราเอาคำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิลมาใช้ในชีวิต เขาก็จะเห็นว่าชีวิตเขาดีขึ้นจริง ๆ และจะมั่นใจมากขึ้นว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่มาจากพระเจ้า (อ่านสดุดี 19:7-11) พี่น้องหญิงวัยรุ่นคนหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นบอกว่า “เพราะครอบครัวของฉันใช้คำสอนในคัมภีร์ไบเบิล เราก็เลยมีความสุขกันมาก อยู่กันอย่างอบอุ่น เรารักและกลมเกลียวกันจริง ๆ” นอกจากนั้น คัมภีร์ไบเบิลยังช่วยหลายคนให้รู้ว่าบางอย่างที่พวกเขาเชื่อถืออยู่นั้นเป็นเรื่องไม่จริง (สด. 115:3-8) คัมภีร์ไบเบิลช่วยผู้คนให้พึ่งพระยะโฮวาพระเจ้าผู้มีพลังอำนาจสูงสุด ส่วนคนที่เชื่อวิวัฒนาการและบอกว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติก็ยกย่องธรรมชาติให้เป็นเหมือนพระเจ้า คัมภีร์ไบเบิลยังมีคำสัญญาสำหรับอนาคตที่ดีด้วย ส่วนคนอื่นบอกว่ามนุษย์สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้นได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าเราดูว่ามนุษย์ทำอะไรไปแล้วบ้าง เราก็จะเห็นว่าพวกเขาไม่สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ในโลกได้เลย—สด. 146:3, 4
วิธีพูดกับคนอื่นอย่างมีเหตุผล
12, 13. เราจะคุยกับคนอื่นเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลหรือเกี่ยวกับการสร้างอย่างไร?
12 เมื่อเราคุยกับคนอื่นเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลหรือเกี่ยวกับการสร้าง เราต้องรู้ก่อนว่าคนที่เราคุยด้วยเชื่ออะไรจริง ๆ อย่าลืมว่าบางคนที่เชื่อเรื่องวิวัฒนาการก็เชื่อเรื่องพระเจ้าด้วย พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าใช้วิวัฒนาการสร้างสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง ส่วนคนอื่น ๆ ก็เชื่อเรื่องวิวัฒนาการเพราะที่โรงเรียนสอนอย่างนั้น และก็ยังมีบางคนที่เลิกเชื่อพระเจ้าเพราะพวกเขาผิดหวังกับศาสนา ดังนั้น เราต้องถามก่อนว่าพวกเขาเชื่ออะไรและทำไมถึงเชื่ออย่างนั้น จากนั้น เราต้องตั้งใจฟังเวลาที่เขาพูด เพราะถ้าเราทำอย่างนั้น เขาก็อาจจะเต็มใจฟังในสิ่งที่เราพูดด้วย—ทต. 3:2
13 ถ้ามีบางคนบอกว่าเราโง่มากที่เชื่อว่ามีผู้สร้าง เราจะตอบเขาอย่างไร? เราน่าจะถามเขาอย่างให้เกียรติโดยขอให้เขาอธิบายว่าเขาคิดว่าชีวิตมาจากไหน เราน่าจะบอกว่าถ้าชีวิตวิวัฒนาการมาจริง ๆ สิ่งมีชีวิตแรกหรือเซลล์แรกต้องสามารถทำให้เกิดเซลล์ที่สองได้ด้วยตัวมันเอง ศาสตราจารย์ทางเคมีคนหนึ่งบอกไว้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องมีคุณลักษณะอย่างน้อย 4 อย่าง (1) ต้องมีเยื่อหุ้มเซลล์ (2) ต้องมีความสามารถที่จะรับพลังงานและเอาพลังงานนั้นไปใช้ (3) ต้องมีข้อมูลที่จะควบคุมรูปร่าง ลักษณะและการเจริญเติบโต (ดีเอ็นเอ) (4) ต้องสามารถทำสำเนาของดีเอ็นเอได้ ศาสตราจารย์คนนั้นบอกว่า “สิ่งที่น่าทึ่งคือแม้แต่สิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างแบบง่ายที่สุดก็ยังมีความซับซ้อนมาก” ดังนั้น จะเป็นไปได้หรือที่สิ่งมีชีวิตจะเกิดมาจากวิวัฒนาการ?
14. คุณสามารถใช้เหตุผลง่าย ๆ อะไรเมื่อคุยกับคนอื่นเรื่องมีผู้สร้าง?
14 เมื่อพูดถึงเรื่องการสร้าง คุณสามารถใช้เหตุผลง่าย ๆ เหมือนที่อัครสาวกเปาโลใช้ เขาบอกว่า “บ้านทุกหลังต้องมีคนสร้าง แต่ผู้ที่สร้างทุกสิ่งก็คือพระเจ้า” (ฮบ. 3:4) แน่นอน บ้านทุกหลังต้องมีคนออกแบบและสร้าง ดังนั้น สิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนกว่าบ้านก็ต้องมีผู้ออกแบบและสร้างเหมือนกัน คุณอาจใช้หนังสืออื่น ๆ ขององค์การด้วย พี่น้องหญิงคนหนึ่งคุยกับชายหนุ่มที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า เธอให้เขาดูจุลสารมีใครสร้างสิ่งมีชีวิตไหม? และจุลสารต้นกำเนิดชีวิต—ห้าคำถามที่น่าคิด หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์ ผู้ชายคนนั้นบอกว่า “ตอนนี้ผมเชื่อแล้วว่ามีพระเจ้า” แล้วเขาก็เริ่มเรียนคัมภีร์ไบเบิลและในที่สุดก็รับบัพติศมา
15, 16. เราควรทำอะไรก่อนที่จะอธิบายให้คนอื่นรู้ว่าคัมภีร์ไบเบิลมาจากพระเจ้า? และเราควรจำอะไรไว้เสมอ?
15 ถ้ามีคนสงสัยเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล คุณจะคุยกับเขาอย่างมีเหตุผลได้อย่างไร? ก่อนอื่น เราต้องถามว่าเขาเชื่ออะไร และรู้ให้ได้ว่าเขาสนใจเรื่องอะไรจริง ๆ (สภษ. 18:13) ถ้าเขาชอบเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ คุณก็น่าจะให้เขาเห็นตัวอย่างว่าคัมภีร์ไบเบิลถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ หรือถ้าเขาชอบประวัติศาสตร์ คุณอาจพูดถึงเหตุการณ์บางอย่างในประวัติศาสตร์และแสดงให้เขาเห็นว่าคัมภีร์ไบเบิลบอกล่วงหน้านานหลายปีก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น คนอื่น ๆ ก็อาจฟังคุณถ้าเขาเห็นว่าคัมภีร์ไบเบิลช่วยให้ชีวิตเขาดีขึ้นได้ เช่น คุณอาจพูดถึงคำแนะนำที่อยู่ในคำบรรยายบนภูเขาของพระเยซู
16 อย่าลืมว่าพวกเราไม่ได้อยากเถียงกับผู้คน แต่อยากให้เขามีความสุขที่ได้คุยกับเราและเรียนคัมภีร์ไบเบิล ดังนั้น เราต้องถามคำถามด้วยความนับถือ และฟังพวกเขาอย่างตั้งใจ ตอนอธิบายความเชื่อของคุณ ขอให้ทำอย่างสุภาพโดยเฉพาะกับคนที่อายุมากกว่า ถ้าคุณนับถือคนอื่น เขาก็จะนับถือคุณ เขาจะประทับใจที่ได้เห็นว่าคุณคิดจริงจังเกี่ยวกับสิ่งที่คุณเชื่อทั้ง ๆ ที่คุณอายุยังน้อย แต่ถ้ามีคนล้อเลียนคุณหรือชวนทะเลาะ คุณก็ไม่จำเป็นต้องคุยกับเขาต่อ—สภษ. 26:4
ค้นพบความจริงในคัมภีร์ไบเบิลและทำให้ความเชื่อเข้มแข็งขึ้น
17, 18. (ก) อะไรจะช่วยคุณให้เชื่อมั่นในคัมภีร์ไบเบิลมากขึ้น? (ข) เราจะได้คำตอบของคำถามอะไรในบทความถัดไป?
17 เราอาจรู้คำสอนพื้นฐานในคัมภีร์ไบเบิล แต่เราต้องรู้มากกว่านั้นเพื่อจะมีความเชื่อที่เข้มแข็ง เราต้องค้นคว้าเพื่อจะพบความจริงที่ลึกซึ้งที่อยู่ในคัมภีร์ไบเบิลเหมือนกับเราค้นหาสมบัติที่ซ่อนอยู่ (สภษ. 2:3-6) วิธีที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งที่จะทำให้ความเชื่อของคุณเข้มแข็งขึ้นก็คือการอ่านคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่ม คุณอาจจะลองอ่านให้จบเล่มภายในหนึ่งปี การทำอย่างนี้ช่วยผู้ดูแลหมวดคนหนึ่งให้สนิทกับพระยะโฮวามากขึ้นตอนที่เขาเป็นวัยรุ่น เขาเล่าว่า “สิ่งหนึ่งที่ช่วยผมให้มั่นใจว่าคัมภีร์ไบเบิลมาจากพระเจ้าก็คือการอ่านต่อเนื่องตั้งแต่ต้นจนจบ เรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลที่ผมเคยเรียนตั้งแต่เด็กก็เริ่มมีเหตุผลสำหรับผมมากขึ้น” นอกจากนั้น คุณน่าจะใช้เครื่องมือค้นคว้าขององค์การเพื่อช่วยให้เข้าใจเรื่องที่อ่านมากขึ้น คุณอาจใช้ คู่มือค้นคว้าสำหรับพยานพระยะโฮวา ห้องสมุดออนไลน์ของว็อชเทาเวอร์ ดัชนีสรรพหนังสือของว็อชเทาเวอร์ (ภาษาอังกฤษ) หรือซีดีห้องสมุดว็อชเทาเวอร์ (ภาษาอังกฤษ)
18 คุณที่เป็นพ่อแม่ คุณต้องสอนลูกเกี่ยวกับพระยะโฮวาด้วยตัวเอง แต่คุณจะช่วยลูก ๆ ให้มีความเชื่อที่เข้มแข็งได้อย่างไร? ในบทความหน้าเราจะมาดูบางวิธีด้วยกัน