ชีวิตแต่งงานเริ่มต้นอย่างไรและมีจุดประสงค์อะไร?
“พระยะโฮวาพระเจ้าพูดว่า ‘ถ้าจะให้มนุษย์คนนั้นอยู่คนเดียวต่อไปก็ไม่เหมาะ เราจะให้เขามีผู้ช่วยคนหนึ่ง’”—ปฐก. 2:18
1, 2. (ก) ชีวิตแต่งงานเริ่มต้นอย่างไร? (ข) ผู้ชายและผู้หญิงคู่แรกรู้อะไรเกี่ยวกับการมีชีวิตคู่? (ดูภาพแรก)
เป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราจะแต่งงาน แต่การแต่งงานครั้งแรกเริ่มต้นอย่างไรและมีจุดประสงค์อะไร? การรู้เรื่องนี้ช่วยให้เรามีความคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแต่งงานและได้รับประโยชน์สูงสุดจากการมีชีวิตคู่ ตอนแรก พระเจ้าสร้างอาดัมมนุษย์คนแรกและบอกให้เขาตั้งชื่อสัตว์ อาดัมเห็นว่าสัตว์ทุกชนิดมีคู่ของมัน “แต่เขาก็ยังไม่มีผู้ช่วยที่มาเป็นคู่ที่เหมาะกับเขา” พระเจ้าจึงทำให้อาดัมหลับสนิท และเอาซี่โครงของเขาออกมาซี่หนึ่ง แล้วสร้างให้เป็นผู้หญิง พระยะโฮวาพาผู้หญิงคนนั้นมาหาอาดัม และเธอก็เป็นภรรยาของเขาตั้งแต่นั้นมา (อ่านปฐมกาล 2:20-24) เราเห็นได้ว่าชีวิตคู่เป็นของขวัญจากพระยะโฮวา
2 หลายปีต่อมา พระเยซูพูดถึงสิ่งที่พระยะโฮวาพูดในสวนเอเดน ท่านบอกว่า มธ. 19:4, 5) เนื่องจากพระเจ้าเอาซี่โครงของอาดัมมาสร้างเป็นผู้หญิงคนแรก เขาสองคนจึงรู้ว่าพวกเขาเป็นเหมือนคนคนเดียวกัน พระยะโฮวาไม่เคยอยากให้สามีภรรยาหย่ากันหรือมีคู่มากกว่าหนึ่งคน
“ผู้ชายจะจากพ่อแม่ไปผูกพันใกล้ชิดกับภรรยา แล้วทั้งสองจะเป็นหนึ่งเดียว” (การแต่งงานเป็นส่วนหนึ่งของความประสงค์ของพระยะโฮวา
3. จุดประสงค์สำคัญอย่างหนึ่งที่พระยะโฮวาให้มีการแต่งงานคืออะไร?
3 อาดัมมีความสุขมากเมื่อได้อยู่กับภรรยาซึ่งต่อมาเขาตั้งชื่อให้ว่าเอวา เธอเป็นทั้ง “ผู้ช่วย” และ “คู่ที่เหมาะกับเขา มาเติมเต็มชีวิตให้เขา” อาดัมทำหน้าที่สามีที่ดี และเอวาก็เป็นภรรยาที่ดีด้วย ทั้งสองคนจึงอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข (ปฐก. 2:18) จุดประสงค์สำคัญอย่างหนึ่งที่พระยะโฮวาให้มีการแต่งงานก็เพื่อมนุษย์จะมีลูกหลานมากมายเต็มโลก (ปฐก. 1:28) ถึงแม้ว่าลูก ๆ จะรักพ่อแม่ แต่ในที่สุดแล้วพวกเขาต้องแต่งงานและแยกจากพ่อแม่ไปมีครอบครัวของตัวเอง แล้วมนุษย์ก็จะมีลูกหลานจนเต็มโลกและทำให้ทั้งโลกเป็นสวนอุทยาน
4. เกิดอะไรขึ้นกับการแต่งงานครั้งแรกของมนุษย์?
4 การแต่งงานครั้งแรกของมนุษย์ล้มเหลวเพราะอาดัมและเอวาไม่เชื่อฟังพระยะโฮวา ซาตาน “งูตัวแรก” หลอกเอวาให้ไปกินผลไม้จาก “ต้นไม้ที่ให้รู้ดีรู้ชั่ว” ซาตานบอกว่าถ้าเธอกินผลจากต้นไม้นั้น เธอจะตัดสินใจได้เองว่าอะไรดีอะไรชั่ว เอวาไม่ได้ให้เกียรติอาดัมที่เป็นหัวหน้าครอบครัว เธอตัดสินใจเองและกินผลไม้นั้นโดยไม่ได้คุยกับสามีก่อน ส่วนอาดัมก็ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เขารับผลไม้นั้นจากภรรยามากิน—วว. 12:9; ปฐก. 2:9, 16, 17; 3:1-6
5. เราได้เรียนอะไรจากวิธีที่อาดัมและเอวาตอบพระยะโฮวา?
5 ตอนที่พระยะโฮวาถามว่าทำไมพวกเขาทำแบบนี้ อาดัมโทษภรรยาว่า “ผู้หญิงที่พระองค์ยกให้ผมนั่นแหละเอาผลของต้นนั้นให้ผม ผมถึงได้กิน” ส่วนเอวาก็โทษงูที่มาหลอกเธอ (ปฐก. 3:12, 13) คำแก้ตัวของอาดัมและเอวาฟังไม่ขึ้นเลย พวกเขาไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระยะโฮวาจึงตัดสินว่าสองคนนี้เป็นกบฏ สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาเตือนใจพวกเราในทุกวันนี้ว่า ชีวิตคู่จะประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อทั้งสามีและภรรยาเชื่อฟังพระยะโฮวา และรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง
6. ขออธิบายความหมายของปฐมกาล 3:15
6 แม้ซาตานจะทำให้เกิดปัญหาในสวนเอเดน แต่พระยะโฮวาก็ช่วยให้มนุษย์มีความหวังในอนาคตได้ ความหวังนี้อยู่ที่คำพยากรณ์แรกของคัมภีร์ไบเบิล (อ่านปฐมกาล 3:15) คำพยากรณ์นี้เปิดเผยว่าซาตานจะถูก “ลูกหลาน” ของ “ผู้หญิง” บดขยี้ พระยะโฮวามีกลุ่มทูตสวรรค์ที่ดีที่รับใช้พระองค์อยู่บนสวรรค์ พวกเขาใกล้ชิดกับพระองค์และเป็นเหมือนภรรยาของพระองค์ พระองค์จะส่งทูตสวรรค์องค์หนึ่งจากทูตสวรรค์กลุ่มนี้มา “บดขยี้” ซาตาน และเปิดโอกาสให้มนุษย์ที่เชื่อฟังมีชีวิตตลอดไปบนโลกเหมือนที่พระยะโฮวาตั้งใจอยากให้มนุษย์คู่แรกมี—ยน. 3:16
7. (ก) เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตคู่หลังจากที่อาดัมและเอวากบฏ? (ข) คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าสามีและภรรยาควรทำอะไร?
7 การกบฏของอาดัมและเอวาส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อชีวิตคู่ของพวกเขาและของทุกคู่หลังจากนั้น เช่น เอวาและผู้หญิงทุกคนต้องคลอดลูกอย่างเจ็บปวด พวกเธอเรียกร้องความรักและความเอาใจใส่จากสามี ส่วนสามีก็ชอบใช้อำนาจและบางครั้งก็ถึงกับทำร้ายภรรยาทั้งทางคำพูดและการกระทำ (ปฐก. 3:16) คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า พระยะโฮวาอยากให้สามีนำหน้าครอบครัวด้วยความรัก ส่วนภรรยาควรยอมอยู่ใต้อำนาจสามี (อฟ. 5:33) ถ้าคู่สมรสทำแบบนี้ ปัญหาหลายอย่างก็จะหมดไป
การแต่งงานตั้งแต่สมัยอาดัมจนถึงสมัยน้ำท่วมโลก
8. การแต่งงานตั้งแต่สมัยอาดัมจนถึงสมัยน้ำท่วมโลกเป็นอย่างไร?
8 ก่อนที่อาดัมและเอวาจะตาย พวกเขามีลูกชายและลูกสาวหลายคน (ปฐก. 5:4) ลูกชายคนแรกของพวกเขาชื่อคาอิน คาอินได้แต่งงานกับญาติคนหนึ่ง ลาเมคลูกหลานของคาอินเป็นคนแรกที่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่ามีภรรยา 2 คน (ปฐก. 4:17, 19) ตั้งแต่สมัยของอาดัมมาจนถึงสมัยของโนอาห์ มีคนไม่กี่คนที่รับใช้พระยะโฮวาอย่างซื่อสัตย์ เช่น อาเบล เอโนค และโนอาห์กับครอบครัว คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าในสมัยของโนอาห์ “ลูก ๆ ของพระเจ้าเที่ยงแท้สังเกตเห็นว่าลูกสาวของมนุษย์สวย จึงเลือกเอามาเป็นภรรยาตามใจชอบ” นี่เป็นเรื่องผิดธรรมชาติ ทูตสวรรค์เหล่านั้นกับพวกผู้หญิงมีลูกชายตัวใหญ่เหมือนยักษ์ ลูกชายเหล่านั้นถูกเรียกว่าเนฟิล พวกเขาชอบใช้ความรุนแรง ในสมัยนั้น “ความชั่วของมนุษย์มีมากมายบนโลกและใจเขามักคิดแต่เรื่องชั่ว ๆ เสมอ”—ปฐก. 6:1-5
9. พระยะโฮวาทำอะไรกับโลกชั่วในสมัยของโนอาห์? และเราได้เรียนอะไรจากสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น?
9 พระยะโฮวาบอกว่าพระองค์จะให้มีน้ำท่วมโลกเพื่อทำลายคนชั่ว “โนอาห์ผู้ประกาศแนวทางที่ถูกต้อง” บอกผู้คนว่าน้ำจะท่วมโลกแล้ว (2 ปต. 2:5) แต่พวกเขาไม่ฟังโนอาห์ เพราะพวกเขามัวยุ่งอยู่กับสิ่งที่ทำในชีวิตประจำวันซึ่งรวมไปถึงการแต่งงานด้วย พระเยซูเปรียบเทียบสมัยโนอาห์กับสมัยของเรา (อ่านมัทธิว 24:37-39) ในทุกวันนี้ พวกเราประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้าก่อนที่โลกชั่วจะถูกทำลาย แต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็ไม่ฟัง เราได้เรียนอะไรจากสมัยน้ำท่วมโลก? เราต้องไม่ยอมให้อะไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว เช่น การแต่งงาน การมีลูก เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเรามากจนลืมไปว่าวันของพระยะโฮวามาใกล้แล้ว
การแต่งงานหลังสมัยน้ำท่วมโลกจนถึงสมัยพระเยซู
10. (ก) ในหลายวัฒนธรรม ผู้คนมองการทำผิดศีลธรรมทางเพศอย่างไร? (ข) อับราฮัมและซาราห์เป็นตัวอย่างที่ดีของการมีชีวิตคู่อย่างไร?
10 โนอาห์และลูกชายทั้ง 3 คนมีภรรยาคนเดียว ถึงอย่างนั้น หลังจากน้ำท่วมโลกผู้คนจำนวนมากมีภรรยาหลายคน ในหลายวัฒนธรรมการทำผิดศีลธรรมทางเพศเป็นเรื่องธรรมดา และถึงกับเป็นส่วนหนึ่งของธรรมเนียมทางศาสนาด้วยซ้ำ ตอนที่อับราฮัมกับซาราห์ย้ายไปที่คานาอัน ผู้คนที่อยู่รอบตัวเขาเป็นคนที่ไม่มีศีลธรรม ไม่มองว่าการสมรสเป็นสิ่งสำคัญและไม่ให้เกียรติคู่ของตัวเอง พระยะโฮวาจึงทำลายเมืองโสโดมและโกโมราห์เพราะผู้คนที่นั่นทำผิดศีลธรรมกันอย่างหน้าด้าน ๆ แต่อับราฮัมไม่เหมือนกับพวกเขา อับราฮัมเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี และซาราห์ก็เป็นตัวอย่างที่ดีของภรรยาที่ยอมอยู่ใต้อำนาจ (อ่าน 1 เปโตร 3:3-6) อับราฮัมทำทุกอย่างเพื่อจะแน่ใจว่าอิสอัคลูกชายของเขาจะได้แต่งงานกับผู้หญิงที่นมัสการพระยะโฮวา และอิสอัคก็ทำอย่างนี้กับยาโคบลูกชายของเขาเหมือนกัน ในที่สุดลูกชายของยาโคบก็กลายมาเป็นต้นตระกูลของชาติอิสราเอล 12 ตระกูล
11. กฎหมายของโมเสสปกป้องชาวอิสราเอลอย่างไร?
11 หลังจากนั้น พระยะโฮวาก็ทำสัญญาหรือข้อตกลงเฉลยธรรมบัญญัติ 7:3, 4) นอกจากนั้น ถ้าคู่สมรสไม่ซื่อสัตย์ หึงหวง หรือขี้ระแวง พระยะโฮวาก็ให้มีกฎหมายเพื่อจัดการกับเรื่องพวกนี้ด้วย และเมื่อเกิดปัญหาร้ายแรงในชีวิตคู่ พวกเขาก็ยังมีพวกผู้นำคอยช่วยเหลือ กฎหมายของโมเสสอนุญาตให้ชาวอิสราเอลหย่าได้ แต่ก็มีกฎหมายที่ปกป้องแต่ละฝ่าย ตัวอย่างเช่น ถ้าภรรยา “ทำอะไรบางอย่างที่ไม่เหมาะสม” สามีก็หย่าได้ (ฉธบ. 24:1) ถึงคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้บอกว่ามีอะไรบ้างที่ “ไม่เหมาะสม” แต่สามีไม่ควรใช้ข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ มาเป็นข้ออ้างที่จะหย่าภรรยา—ลนต. 19:18ข
กับชาติอิสราเอล พระองค์ให้พวกเขามีกฎหมายของโมเสสเพื่อช่วยปกป้องสายสัมพันธ์ที่สามีและภรรยามีกับพระยะโฮวา เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการมีภรรยาหลายคน และกฎหมายที่ห้ามชาวอิสราเอลไม่ให้แต่งงานกับคนที่นมัสการพระเท็จ (อ่านอย่านอกใจคู่สมรส
12, 13. (ก) ในสมัยมาลาคี สามีบางคนทำไม่ดีกับภรรยาอย่างไร? (ข) จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพี่น้องที่รับบัพติศมาแล้วทำผิดศีลธรรมทางเพศเพื่อไปแต่งงานใหม่?
12 ในสมัยผู้พยากรณ์มาลาคี สามีชาวยิวหลายคนชอบหาข้ออ้างสารพัดอย่างเพื่อจะหย่าภรรยา แล้วไปแต่งงานกับผู้หญิงสาว ๆ หรือผู้หญิงที่ไม่ได้รับใช้พระยะโฮวา ในสมัยของพระเยซู ผู้ชายชาวยิวยังชอบหาเรื่องหย่าภรรยา “ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม” (มธ. 19:3) พระยะโฮวาเกลียดการหย่าร้างที่ไม่ถูกต้อง—อ่านมาลาคี 2:13-16
13 ในทุกวันนี้ การนอกใจคู่สมรสเป็นเรื่องที่ผู้รับใช้ของพระยะโฮวายอมรับไม่ได้ สมมุติว่ามีพี่น้องที่รับบัพติศมาแล้วคนหนึ่งทำผิดศีลธรรมทางเพศและหย่ากับคู่ของตัวเองเพื่อจะไปแต่งงานใหม่กับคนนั้น ถ้าพี่น้องคนนี้ไม่กลับใจ เขาก็จะถูกตัดสัมพันธ์เพื่อจะรักษาประชาคมให้สะอาดบริสุทธิ์ (1 คร. 5:11-13) เขาต้อง ‘ทำให้เห็นว่าเขากลับใจจริง ๆ’ ก่อนที่จะถูกรับกลับมาในประชาคมอีกครั้ง (ลก. 3:8; 2 คร. 2:5-10) ไม่มีระยะเวลากำหนดที่บอกไว้แน่นอนว่าเขาจะต้องถูกตัดสัมพันธ์นานแค่ไหนถึงจะถูกรับกลับมา แต่ในกรณีแบบนี้อาจต้องใช้เวลา 1 ปีหรือมากกว่านั้นเพื่อคนที่ทำผิดจะพิสูจน์ว่าเขากลับใจจริง และถึงเขาจะถูกรับกลับมาแล้ว เขาก็ยังต้อง “ยืนต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระเจ้า” เพื่อให้การว่าเขากลับใจจริง ๆ หรือไม่—รม. 14:10-12; ดู หอสังเกตการณ์ 15 มิถุนายน 1980 น. 30-32
การแต่งงานของคริสเตียน
14. พระเจ้าให้กฎหมายกับชาวอิสราเอลเพื่ออะไร?
14 ชาวอิสราเอลอยู่ใต้กฎหมายของโมเสสเป็นเวลากว่า 1,500 ปี กฎหมายนี้ช่วยพวกเขาหลายอย่าง เช่น กฎหมายนี้ให้หลักการพวกเขาในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัว และนำพวกเขาไปถึงเมสสิยาห์ (กท. 3:23, 24) แต่หลังจากพระเยซูตาย กฎหมายนี้ก็สิ้นสุดลง และพระเจ้าก็มีการจัดเตรียมใหม่ให้กับพวกเขา (ฮบ. 8:6) ดังนั้น มีบางอย่างที่กฎหมายของโมเสสยอมให้ทำ แต่คริสเตียนไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอีกต่อไป
15. (ก) มาตรฐานเรื่องการแต่งงานของคริสเตียนเป็นอย่างไร? (ข) ถ้าคริสเตียนคิดจะหย่า เขาต้องคิดถึงเรื่องอะไรบ้าง?
15 เมื่อพระเยซูตอบคำถามของพวกฟาริสี ท่านบอกว่า พระเจ้ายอมให้ชาวอิสราเอลหย่ากับคู่ของตัวเองภายใต้กฎหมายของโมเสสทั้ง ๆ ที่พระองค์ไม่ได้อยากให้เป็นอย่างนั้นตั้งแต่แรก (มธ. 19:6-8) คำตอบของพระเยซูช่วยให้เราเห็นว่า มาตรฐานเรื่องการแต่งงานของ คริสเตียนเป็นมาตรฐานเดียวกันกับมาตรฐานของพระเจ้าเรื่องการแต่งงานตั้งแต่ตอนเริ่มต้น (1 ทธ. 3:2, 12) สามีกับภรรยาต้องอยู่ด้วยกัน เขาต้องรักพระเจ้าและรักกัน ถ้าทำอย่างนี้พวกเขาก็จะ “เป็นหนึ่งเดียว” และผูกพันกัน คู่สมรสไม่ควรหย่ากัน แต่ถ้ามีการหย่าโดยที่ไม่มีใครทำผิดศีลธรรมทางเพศ พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปแต่งงานใหม่ (มธ. 19:9) บางคนอาจเลือกที่จะให้อภัยคู่ของตัวเองที่ทำผิดศีลธรรมและกลับใจ นี่เป็นเหมือนกับผู้พยากรณ์โฮเชยาที่ให้อภัยโกเมอร์ภรรยาที่ผิดศีลธรรมของเขา และเหมือนกับพระยะโฮวาที่ให้อภัยชาวอิสราเอลที่กลับใจ (ฮชย. 3:1-5) นอกจากนั้น ถ้าคนหนึ่งรู้ว่าคู่ของเขาทำผิดศีลธรรมแต่ก็ยังมีเพศสัมพันธ์ด้วย ก็หมายความว่า เขาได้ให้อภัยคู่ของเขาแล้ว ในกรณีนี้ไม่มีเหตุผลตามหลักพระคัมภีร์ที่เขาจะหย่า
16. พระเยซูพูดอย่างไรเกี่ยวกับการเป็นโสด?
16 พระเยซูบอกว่าสำหรับคริสเตียนแล้ว การทำผิดศีลธรรมเป็นเหตุผลเดียวที่จะหย่าได้ หลังจากนั้นท่านก็พูดถึง ‘คนที่ได้รับพรจากพระเจ้า’ ที่จะเป็นโสด ท่านบอกว่า “ถ้าใครจัดชีวิตอย่างนั้นได้ ก็ให้เขาทำเถอะ” (มธ. 19:10-12) หลายคนเลือกที่จะเป็นโสดเพราะพวกเขาตั้งใจจะรับใช้พระยะโฮวาโดยที่ไม่ต้องห่วงอะไร และพวกเขาควรจะได้รับคำชมเชยที่ตัดสินใจอย่างนั้น
17. อะไรจะช่วยให้ตัดสินใจว่าจะอยู่เป็นโสดหรือจะแต่งงานดี?
17 อะไรจะช่วยให้ตัดสินใจว่าจะอยู่เป็นโสดหรือจะแต่งงานดี? เขาต้องคิดว่าเขาจะพยายามอยู่เป็นโสดและมีความสุขได้หรือเปล่า อัครสาวกเปาโลสนับสนุนให้อยู่เป็นโสด แต่เขาก็บอกว่า “เพราะการผิดศีลธรรมทางเพศมีแพร่หลาย ให้ผู้ชายทุกคนมีภรรยา และให้ผู้หญิงทุกคนมีสามี” และเขายังบอกอีกว่า “ถ้าควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็ให้แต่งงานเถอะ เพราะทำอย่างนั้นก็ดีกว่ามีใจเร่าร้อนด้วยความใคร่” การแต่งงานอาจช่วยคนที่มีความต้องการทางเพศสูงไม่ให้ทำผิดศีลธรรมหรือสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง แต่คนที่อยากจะแต่งงานต้องคิดว่าเขาโตพอไหมที่จะแต่งงาน เปาโลบอกว่า “ใครที่คิดว่าตัวเองจะทำตัวไม่เหมาะสมถ้ายังเป็นโสดต่อไป และเขาเลยช่วงหนุ่มสาวไปแล้ว ก็ให้เขาแต่งงานอย่างที่เขาต้องการ ถ้าทำอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ทำบาปอะไร” (1 คร. 7:2, 9, 36; 1 ทธ. 4:1-3) คนเราไม่ควรคิดจะแต่งงานแค่เพราะว่าเขามีความต้องการทางเพศสูงซึ่งเป็นเรื่องปกติในช่วงวัยรุ่น เขาอาจจะเป็นผู้ใหญ่ไม่พอที่จะรับผิดชอบหน้าที่ต่าง ๆ ในครอบครัว
18, 19. (ก) ชีวิตแต่งงานของคริสเตียนควรเริ่มต้นอย่างไร? (ข) เราจะเรียนอะไรในบทความถัดไป?
18 ชีวิตแต่งงานของคริสเตียนควรเริ่มต้นจากผู้ชายกับผู้หญิงที่รับบัพติศมาแล้ว เขาสองคนต้องรักพระยะโฮวาสุดหัวใจและรักกันมากจนรู้สึกว่าอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยกันตลอดไป พระยะโฮวาจะอวยพรถ้าพวกเขาเชื่อฟังคำแนะนำที่ให้แต่งงานเฉพาะกับ “คนที่เชื่อถือผู้เป็นนาย” (1 คร. 7:39) ชีวิตคู่ของพวกเขาจะประสบความสำเร็จถ้าพวกเขาใช้คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิลต่อ ๆ ไป
19 ในทุกวันนี้ พวกเรามีชีวิตอยู่ใน “สมัยสุดท้าย” และคนส่วนใหญ่ไม่ได้มีลักษณะนิสัยที่ช่วยให้ชีวิตคู่ประสบความสำเร็จ (2 ทธ. 3:1-5) ดังนั้น ในบทความถัดไปเราจะมาดูด้วยกันว่า มีหลักการที่มีประโยชน์อะไรบ้างในคัมภีร์ไบเบิลที่จะช่วยให้คริสเตียนมีชีวิตคู่ที่มีความสุขและประสบความสำเร็จทั้ง ๆ ที่อาจมีปัญหา หลักการเหล่านั้นจะช่วยพวกเขาให้เดินอยู่บนทางที่นำไปถึงชีวิตตลอดไป—มธ. 7:13, 14