ข้ามไปยังเนื้อหา

ข้ามไปยังสารบัญ

ตอนที่ 4 การปฏิวัติอุตสาหกรรม—นำไปสู่อะไร?

ตอนที่ 4 การปฏิวัติอุตสาหกรรม—นำไปสู่อะไร?

การ​เฟื่อง​ฟู​และ​ตก​ต่ำ​ของ​โลก​แห่ง​การ​ค้า

ตอน​ที่ 4 การ​ปฏิวัติ​อุตสาหกรรม—นำ​ไป​สู่​อะไร?

การ​ปฏิวัติ​อุตสาหกรรม​เริ่ม​ขึ้น​ใน​ศตวรรษ​ที่ 18 และ​ได้​เปลี่ยน​โลก​ดัง​ที่​ไม่​กี่​สิ่ง​ได้​ทำ​มา​ก่อน​หน้า​นั้น​แล้ว. ความ​รู้​ด้าน​เทคนิค, ทุน​ที่​เพียง​พอ, วัตถุดิบ​ที่​มี​ให้​ใช้​ได้, ความ​เป็น​ไป​ได้​ของ​การ​ขนส่ง​สิ่ง​เหล่า​นั้น​รวม​ทั้ง​ผลิตภัณฑ์​สำเร็จ​รูป​โดย​เสีย​ค่า​โสหุ้ย​น้อย—สิ่ง​ดัง​กล่าว​นี้​และ​ปัจจัย​อื่น ๆ ที่​จำเป็น​สำหรับ​ความ​ก้าวหน้า​ด้าน​อุตสาหกรรม​นั้น​บัดนี้​รวม​อยู่​ที่​ประเทศ​อังกฤษ. สิ่ง​นี้​ก่อ​ให้​เกิด​การ​เพิ่มพูน​ขึ้น​อย่าง​รวดเร็ว​และ​อย่าง​ไม่​เคยมี​มา​ก่อน​เลย​ใน​ด้าน​การ​ผลิต​สินค้า.

อย่าง​ไร​ก็​ตาม เหตุการณ์​ที่​เกิด​ขึ้น​ก่อน​หน้า​นี้​ได้​ปู​ทาง​ไว้. ถ่านหิน ซึ่ง​หา​ได้​ง่าย​ใน​อังกฤษ ได้​ถูก​นำ​มา​ใช้​เป็น​เชื้อเพลิง. นอกจาก​นั้น ขณะ​ที่​ผืน​แผ่นดิน​ใหญ่​ของ​ทวีป​ยุโรป​กำลัง​ถูก​แบ่งแยก​ด้วย​สงคราม​ศาสนา เมื่อ​เทียบ​แล้ว​อังกฤษ​ก็​ชื่นชม​กับ​สันติภาพ. ประเทศ​นี้​มี​ระบบ​การ​ธนาคาร​ที่​เหนือ​กว่า. แม้​แต่​การ​ตัด​ขาด​จาก​คริสต์จักร​โรมันคาทอลิก​ก็​เป็น​เรื่อง​ที่​สำคัญ เพราะ​ว่า​นิกาย​โปรเตสแตน​ต์​เน้น​หนัก​ใน​การ​มี​ฐานะ​ที่​ดี​ทาง​เศรษฐกิจ​แบบ​เห็น​ทัน​ตา โดย​พยายาม​จะ​สร้าง​สิ่ง​ที่​อาจ​ถือ​ว่า​เป็น​สวรรค์​บน​แผ่นดิน​โลก.

เริ่ม​ต้น​ใน​ทศวรรษ​ปี 1740 ประชากร​ของ​อังกฤษ​ได้​เพิ่ม​จำนวน​อย่าง​รวดเร็ว. การ​อุตสาหกรรม​จำ​ต้อง​หา​วิธีการ​ใหม่​เพื่อ​สนอง​ความ​ต้องการ​ที่​เพิ่ม​ขึ้น. แนว​โน้ม​สำหรับ​อนาคต​คือ​การ​ใช้​เครื่องจักร​มาก​ขึ้น​และ​ดี​ขึ้น. ขณะ​ที่​ระบบ​ธนาคาร​ได้​จัด​ให้​มี​เงิน​ทุน​สำหรับ​การ​ก่อตั้ง​ธุรกิจ​ใหม่ ฝูง​คน​งาน​ต่าง​หลั่งไหล​เข้า​สู่​โรงงาน​ต่าง ๆ ที่​มี​แต่​เครื่องจักร. สหภาพ​แรงงาน​ซึ่ง​เคย​ถูก​ห้าม ก็​ได้​ตั้ง​ขึ้น​ตาม​กฎหมาย. คน​งาน​ชาว​อังกฤษ ซึ่ง​ถูก​จำกัด​โดย​กฎเกณฑ์​ของ​สมาคม​พ่อค้า​น้อย​กว่า​คน​งาน​ใน​ยุโรป​แผ่นดิน​ใหญ่ ได้​รับ​ค่า​จ้าง​เป็น​ราย​ชิ้น. สิ่ง​นี้​จึง​เพิ่ม​แรง​กระตุ้น​ให้​พวก​เขา​หา​วิธี​ที่​ดี​กว่า​ใน​การ​ผลิต​สินค้า​ให้​ได้​เร็ว​ขึ้น.

นอกจาก​นั้น อังกฤษ​ยัง​มี​คน​งาน​ที่​ได้​รับ​การ​ฝึก​อย่าง​ดี. ศาสตราจารย์ เชเพิร์ด บี. คลัฟ กล่าว​ว่า “มหาวิทยาลัย​กลาสโกว์​และ​เอดินบะระ​ไม่​มี​ที่​ใด​จะ​เทียบ​ได้​ใน​เรื่อง​การ​ค้นคว้า​และ​การ​ทดลอง​ทาง​ด้าน​วิทยาศาสตร์​ใน​ตอน​ปลาย​ศตวรรษ​ที่​สิบ​แปด.” ด้วย​เหตุ​นั้น โดย​การ​นำ​ของ​อังกฤษ การ​ปฏิวัติ​อุตสาหกรรม​จึง​ได้​แพร่​กระจาย​ไป​ทั่ว​ยุโรป​และ​สหรัฐ​อเมริกา. ใน​ประเทศ​ต่าง ๆ ที่​กำลัง​พัฒนา ยัง​คง​มี​การ​ปฏิวัติ​อุตสาหกรรม​อยู่​จน​ทุก​วัน​นี้.

ด้าน​มืด

เนื่อง​จาก​การ​พัฒนา​ต่าง ๆ เหล่า​นี้ หนังสือ​ประวัติศาสตร์​โลก​โคลัมเบีย (ภาษา​อังกฤษ) กล่าว​ว่า “ความ​เจริญ​มั่งคั่ง​อย่าง​เด่น​ชัด​ได้​เข้า​มา​สู่​เมือง​ต่าง ๆ ของ​อังกฤษ ก่อ​ผล​เป็น​การ​ปรับปรุง​มาตรฐาน​แห่ง​ชีวิต, วัฒนธรรม​แห่ง​ท้องถิ่น​ที่​เจริญ​รุ่งเรือง, และ​ความ​ภาคภูมิ​ใจ​และ​มั่นใจ​ที่​เพิ่ม​มาก​ขึ้น.” อังกฤษ​กระทั่ง “ได้​บรรลุ​ฐานะ​ผู้​ทรง​อิทธิพล​ทางการ​ทหาร​ด้วย​โดย​เฉพาะ​ทาง​นาวี ซึ่ง​ต่อ​มา​ได้​ทำ​ให้​ประเทศ​นี้​มี​อำนาจ​มาก​ทาง ‘การ​ทูต.’” ความ​เชี่ยวชาญ​เกี่ยว​กับ​กระบวนการ​ด้าน​อุตสาหกรรม​บาง​อย่าง​ทำ​ให้​ประเทศ​นี้​มี​อำนาจ​ใน​การ​ต่อรอง​ทาง​เศรษฐกิจ​เหนือ​ประเทศ​คู่​แข่ง. ความ​ลับ​ทาง​อุตสาหกรรม​ของ​ประเทศ​นี้​มี​ค่า​มาก​ยิ่ง​จน​ได้​มี​การ​ออก​พระ​ราช​บัญญัติ​เพื่อ​ป้องกัน​ความ​ลับ​เหล่า​นั้น​ไว้​ไม่​ให้​สามัญ​ชน​มี​ความ​รู้.

ยก​ตัว​อย่าง เมื่อ​แซมมูเอล สเลเตอร์ ไป​จาก​อังกฤษ​ในปี 1789 เขา​ซ่อน​ฐานะ​ของ​ตัว​เอง​เพราะ​คน​งาน​ด้าน​สิ่งทอ​ไม่​อนุญาต​ให้​อพยพ​ออก​นอก​ประเทศ. เขา​เลี่ยง​กฎหมาย​ที่​ห้าม​การ​ส่ง​ออก​แปลน​โรงงาน​อุตสาหกรรม​สิ่งทอ​โดย​การ​จดจำ​แผนผัง​ทั้ง​หมด​ของ​โรงงาน​แห่ง​หนึ่ง​ของ​อังกฤษ. ด้วย​เหตุ​นี้​จึง​ทำ​ให้​เขา​สามารถ​สร้าง​โรงงาน​ปั่น​ฝ้าย​ขึ้น​เป็น​แห่ง​แรก​เท่า​ที่​มี​การ​สร้าง​กัน​ใน​สหรัฐ.

นโยบาย​ป้องกัน​ความ​ลับ​ทาง​การ​ค้า​ยัง​คง​มี​อยู่. นิตยสาร​ไทม์ ให้​ความเห็น​ว่า “บริษัท​และ​ประเทศ​ต่าง ๆ เสาะ​หา​ความ​ลับ​ต่าง ๆ ของ​บรรษัท​ราว​กับ​ปลา​ฉลาม​ที่​ยื้อแย่ง​กัน​ใน​เวลา​ให้​อาหาร.” การ​ขโมย​ความรู้​ของ​ใคร​สัก​คน​สามารถ​ประหยัด​เวลา​ค้นคว้า​หลาย​ปี​และ​ค่าใช้จ่าย​มหาศาล. ดัง​นั้น “ไม่​ว่า​ผลิตภัณฑ์​นั้น​จะ​เป็น​ยา​หรือ​ขนม​มัฟฟิน บริษัท​ต่าง ๆ ก็​มุ่งมั่น​ใน​การ​หา​หนทาง​ป้องกัน​ความ​ลับ​ทางการ​ค้า​ของ​เขา​ยิ่ง​กว่า​แต่​ก่อน.” เจ้าหน้าที่​รับ​คน​งาน​คน​หนึ่ง​ใน​โรงงาน​อุตสาหกรรม​อิเล็กทรอนิกส์​ยอม​รับ​ว่า “ที่​ตลาด​มี​แต่​ความ​ละโมบ. ถ้า​คุณ​สามารถ​เข้า​ไป​อยู่​ใน​สถานการณ์​ที่​เข้า​จังหวะ​แล้ว​ละ​ก็ คุณ​จะ​เป็น​เศรษฐี​ใน​ทันที.”

อุตสาหกรรม​สิ่งทอ​เป็น​สิ่ง​ที่​แสดง​ให้​เห็น​ถึง​ด้าน​มืด​ของ​กระบวน​การ​ทาง​เศรษฐกิจ. เมื่อ​วิธีการ​ทอ​แบบ​ใหม่​ทำ​ให้​การ​ผลิต​สินค้า​ที่​ทำ​จาก​ฝ้าย​โดย​ใช้​เครื่องจักร​เป็น​ไป​ได้ ความ​ต้องการ​ฝ้าย​ดิบ​ก็​เพิ่ม​ขึ้น. แต่​การ​ทำ​ฝ้าย​ด้วย​มือ​ต้อง​ใช้​เวลา​มาก​ซึ่ง​สนอง​ความ​ต้องการ​ไม่​ทัน. ครั้น​แล้ว ในปี 1793 อีไล วิทนีย์ ได้​ประดิษฐ์​เครื่อง​บด​ฝ้าย​ขึ้น​มา. ภาย​ใน 20 ปี ผล​เก็บ​เกี่ยว​ฝ้าย​ของ​สหรัฐ​ได้​เพิ่ม​ขึ้น​ถึง 57 เท่า​ของ​ที่​เคยมี! แต่​ดัง​ที่​ศาสตราจารย์ คลัฟ ชี้​ให้​เห็น สิ่ง​ประดิษฐ์​ของ​วิทนีย์​ยัง​จะ​ต้อง​รับผิดชอบ​เช่น​กัน “ต่อ​การ​ขยาย​ตัว​ของ​ระบบ​การ​เพาะปลูก​และ​การ​ที่​ชาว​นิโกร​ตก​เป็น​ทาส.” ฉะนั้น ถึง​แม้​จะ​มี​ประโยชน์ คลัฟ​อธิบาย​ว่า เครื่อง​บด​ฝ้าย​มี​ส่วน​เสริม​มาก​ต่อ “ความ​ตึงเครียด​ที่​เกิด​ขึ้น​ระหว่าง​รัฐ​ฝ่าย​เหนือ​และ​ฝ่าย​ใต้ ซึ่ง​ใน​ที่​สุด​ได้​นำ​ไป​สู่​สงคราม​ระหว่าง​รัฐ​ต่าง ๆ.”

การ​ปฏิวัติ​อุตสาหกรรม​ได้​ช่วย​ก่อ​ระบบ​โรงงาน​ขนาด​ใหญ่​ใน​มือ​ของ​คน​มั่ง​มี. เฉพาะ​แต่​คน​มั่ง​มี​เท่า​นั้น​ที่​สามารถ​ซื้อ​เครื่องจักร​ราคา​แพง​ได้ ซึ่ง​ขนาด​และ​น้ำหนัก​ของ​เครื่องจักร​เหล่า​นั้น​ทำ​ให้​ต้อง​ติดตั้ง​ใน​อาคาร​ถาวร​ที่​มี​การ​ก่อ​สร้าง​อย่าง​ดี. สิ่ง​เหล่า​นี้​ถูก​สร้าง​ขึ้น​ใน​ที่​ซึ่ง​มี​พลังงาน​ไว้​พร้อม​จะ​ใช้​อยู่​แล้ว และ​ที่​ซึ่ง​สามารถ​จัด​ส่ง​วัตถุดิบ​ได้​ใน​ราคา​ต่ำ. ดัง​นั้น ธุรกิจ​ต่าง ๆ จึง​มี​แนวโน้ม​ที่​จะ​มุ่ง​สู่​ศูนย์กลาง​ทาง​อุตสาหกรรม​ขนาด​มหึมา.

การ​ใช้​พลังงาน​อย่าง​ประหยัด—เริ่ม​แรก​เป็น​พลัง​น้ำ​และ​ต่อ​มา​ก็​พลัง​ไอน้ำ—ซึ่ง​เป็น​สิ่ง​จำเป็น​เพื่อ​เดิน​เครื่องจักร​นั้น​ต้อง​เดิน​เครื่อง​หลาย​เครื่อง​ใน​เวลา​เดียว​กัน. ดัง​นั้น โรงงาน​ต่าง ๆ จึง​มี​ขนาด​ใหญ่​ขึ้น. และ​ยิ่ง​โรงงาน​มี​ขนาด​ใหญ่​ขึ้น ก็​ยิ่ง​ไม่​ใช่​ลักษณะ​บุคคล. พวก​ลูกจ้าง​ไม่​ได้​ทำ​งาน​ให้​แก่​บุคคล​อีก​ต่อ​ไป พวก​เขา​ทำ​งาน​ให้​แก่​บริษัท.

ธุรกิจ​ยิ่ง​มี​ขนาด​ใหญ่​เท่า​ใด ปัญหา​เรื่อง​การ​จัด​หา​เงิน​ทุน​ก็​ยิ่ง​มาก​เท่า​นั้น. ห้าง​หุ้น​ส่วน​ต่าง ๆ ก็​เพิ่ม​มาก​ขึ้น และ​พวก​บริษัท​จำกัด ซึ่ง​เกิด​ขึ้น​ครั้ง​แรก​ใน​ศตวรรษ​ที่ 17 ก็​ได้​ก้าว​เข้า​สู่​ยุค​อัน​รุ่งเรือง​ของ​ตน. (ดู​ที่​กรอบ) แต่​สิ่ง​เหล่า​นี้​ช่วย​ใน​การ​รวม​อำนาจ​ให้​อยู่​ใน​มือ​ของ​คน​ไม่​กี่​คน เนื่อง​จาก​พวก​ผู้​ลง​ทุน หรือ​ผู้​ถือ​หุ้น มี​ส่วน​ควบคุม​ฝ่าย​จัดการ​น้อย​มาก. นัก​ธุรกิจ​ซึ่ง​ดำรง​ตำแหน่ง​เป็น​ผู้​อำนวยการ​ของ​บริษัท​หรือ​ธนาคาร​หลาย​แห่ง​ใน​เวลา​เดียว​กัน​ก็​มี​อำนาจ​มาก​มาย. คลัฟ​กล่าว​ถึง “การ​เป็น​กรรมการ​ของ​หลาย​บริษัท” ซึ่ง​โดย​วิธี​นี้ “กลุ่ม​เล็ก ๆ กลุ่ม​หนึ่ง​สามารถ​กำหนด​แนวทาง​สินเชื่อ​ที่​ธุรกิจ​ต่าง ๆ จะ​รับ​ได้, สามารถ​ปฏิเสธ​การ​ให้​สินเชื่อ​แก่​คู่​แข่ง, และ​สามารถ​ได้​มา​ซึ่ง​อำนาจ​ล้น​ฟ้า​จน​กลุ่ม​นั้น​สามารถ​กำหนด​นโยบาย​ของ​รัฐบาล​และ​กระทั่ง​ล้มล้าง​การ​ปกครอง​ที่​เป็น​ปฏิปักษ์​กับ​ตน​ได้.”—ตัว​เอน​เป็น​ของ​เรา.

ด้วย​เหตุ​นี้ การ​ปฏิวัติ​อุตสาหกรรม​จึง​ให้​อำนาจ​มาก​ขึ้น​อีก​แก่​โลก​การ​ค้า. อำนาจ​นั้น​จะ​ถูก​ใช้​อย่าง​มี​ความ​รับ​ผิด​ชอบ​ไหม?

การ​ประกอบ​การ​โดย​เสรี​หรือ​เศรษฐกิจ​ที่​ถูก​ควบ​คุม

ลัทธิ​นายทุน​รุ่งเรือง​เต็ม​ที่​ใน​อังกฤษ. เป็น​ที่​รู้​จัก​เช่น​กัน​ใน​ฐานะ​เป็น​ระบบ​ประกอบ​การ​โดย​เสรี​หรือ​ใน​ฐานะ​เศรษฐกิจ​การ​ตลาด​ด้วย ลัทธิ​นายทุน​ได้​ผลิต​เศรษฐี​ขึ้น​มาก​เกิน​กว่า​สัดส่วน​ที่​น่า​จะ​ผลิต​ขึ้น​มา รวม​ทั้ง​ทำ​ให้​มี​มาตรฐาน​การ​ครอง​ชีพ​ที่​สูง​สุด​ใน​ประวัติศาสตร์.

กระนั้น แม้​แต่​ผู้​สนับสนุน​ที่​แข็งขัน​ที่​สุด​ของ​ลัทธิ​นายทุน​ก็​ยัง​ยอมรับ​ว่า​ลัทธิ​นายทุน​มี​จุด​อ่อน. ตัว​อย่าง​เช่น การ​เติบโต​ทาง​เศรษฐกิจ​ภาย​ใต้​ลัทธิ​นายทุน​เป็น​สิ่ง​ที่​วาง​ใจ​ไม่​ได้. การ​ขาด​ซึ่ง​เสถียรภาพ​ของ​ลัทธิ​นายทุน​เป็น​เหตุ​ให้​สภาพ​เศรษฐกิจ​ขึ้น ๆ ลง ๆ, ธุรกิจ​เฟื่อง​ฟู​และ​ธุรกิจ​ตกต่ำ. การ​ขึ้น​ลง​เช่น​นั้น​ซึ่ง​ใน​สมัย​ก่อน​เกิด​ขึ้น​โดย​แรง​กดดัน​จาก​ภาย​นอก​เช่น สงคราม​หรือ​ดิน​ฟ้า​อากาศ มา​บัด​นี้​ก็​สามารถ​เกิด​ขึ้น​ได้​โดย​ตัว​ของ​ระบบ​เศรษฐกิจ​เอง.

จุด​อ่อน​ประการ​ที่​สอง​คือ​ขณะ​ผลิต​สินค้า​โภคภัณฑ์​ที่​ดี​ขึ้น​มา ลัทธิ​นายทุน​มัก​ก่อ​ผล​ข้าง​เคียง​ที่​ไม่​ดี​ด้วย—เช่น ควัน, ของ​เสีย​ที่​เป็น​พิษ, หรือ​ภาวะ​การ​ทำงาน​ที่​ไม่​ถูก​สุขอนามัย. การ​ปฏิวัติ​อุตสาหกรรม​ทำ​ให้​สิ่ง​เหล่า​นี้​ปรากฏ​ชัด​เหลือ​เกิน โดย​ทำ​ให้​เกิด​สิ่ง​ที่​เรียก​กัน​ว่า​ภาวะ​เรือน​กระจก​พร้อม​ด้วย​ผลลัพธ์​อัน​ไม่​พึง​ปรารถนา. *

ข้อ​บกพร่อง​ประการ​ที่​สาม​คือ ลัทธิ​นายทุน​ไม่​รับประกัน​การ​แบ่งปัน​ทรัพย์​หรือ​สินค้า​อย่าง​ยุติธรรม. ให้​เรา​ดู​สหรัฐ​เป็น​ตัว​อย่าง. ในปี 1986 หนึ่ง​ใน​ห้า​ของ​ครอบครัว​ที่​มี​ฐานะ​ต่ำ​สุด​ของ​ประเทศ​นี้​มี​รายได้​น้อย​กว่า​ร้อย​ละ 5 ของ​รายได้​รวม​ของ​ประเทศ ใน​ขณะ​ที่​หนึ่ง​ใน​ห้า​ของ​ผู้​มี​อัน​จะ​กิน​ได้​รับ​เกือบ​ร้อย​ละ 45.

เมื่อ​ลัทธิ​นายทุน​เติบโต​เต็ม​ที่​ใน​ช่วง​การ​ปฏิวัติ​อุตสาหกรรม ข้อ​บกพร่อง​ต่าง ๆ ก็​ไม่​พ้น​สาย​ตา​ไป​ได้. ผู้​คน​เช่น​คาร์ล มาร์กซ์ ตำหนิ​ลัทธิ​นี้ โดย​เรียก​ร้อง​ให้​แทน​ที่​ด้วย​ระบบ​เศรษฐกิจ​ที่​มี​การ​ควบคุม​หรือ​มี​การ​วาง​แผน​โดย​ส่วน​กลาง. พวก​เขา​สนับสนุน​ให้​รัฐบาล​เป็น​ผู้​ตั้ง​เป้า​การ​ผลิต, กำหนด​ราคา, และ​จัดการ​ดำเนิน​ธุรกิจ​ส่วน​ใหญ่​โดย​กีด​กัน​ปัจเจกบุคคล. กระนั้น​ใน​ปัจจุบัน หลัง​จาก​หลาย​ทศวรรษ​แห่ง​การ​ทดลอง​ระบบ​นี้​ใน​สหภาพ​โซเวียต​และ​ยุโรป​ตะวันออก ระบบ​นี้​ก็​ไม่​เป็น​ที่​สนใจ​อีก. การ​วาง​แผน​โดย​ส่วน​กลาง​ได้​ผล​ที่​สุด​เมื่อ​จำเป็น​ต้อง​มี​การ​วาง​แผน​อย่าง​รีบ​เร่ง เช่น​ใน​การ​ทำ​สงคราม​หรือ​ใน​การ​พัฒนา​โครงการ​อวกาศ. ใน​ตลาด​การ​ทำ​มา​หา​กิน​ประจำ​วัน ระบบ​นี้​ขาด​ตก​บกพร่อง​อย่าง​ร้ายแรง.

อย่างไร​ก็​ตาม พวก​ผู้​สนับสนุน​ลัทธิ​นายทุน​คง​จะ​ยอมรับ​เช่น​เดียว​กับ​อดัม สมิท ซึ่ง​ลัทธิ​นาย​ทุน​อาศัย​คำ​สอน​ของ​เขา​เป็น​พื้นฐาน ว่า​การ​ที่​รัฐบาล​มี​ความ​เกี่ยวพัน​ใน​ทาง​เศรษฐกิจ​เป็น​เรื่อง​ที่​ไม่​อาจ​หลีก​เลี่ยง​ได้. หาก​จะ​จัดการ​กับ​ปัญหา​อย่าง​เช่น เงิน​เฟ้อ​และ​การ​ว่างงาน​อย่าง​สำเร็จ​ผล​พอ​สมควร​ละ​ก็ ต้อง​จัด​การ​ใน​ระดับ​รัฐบาล. ดัง​นั้น ชาติ​ต่าง ๆ ส่วน​ใหญ่​ที่​มี​ระบบ​การ​ประกอบ​การ​โดย​เสรี​จึง​ได้​เปลี่ยน​จาก​ลัทธิ​นายทุน​ล้วน ๆ ไป​เป็น​แบบ​ผสม​หรือ​ระบบ​ที่​ได้​ปรับปรุง​พัฒนา.

เกี่ยว​กับ​แนวโน้ม​เช่น​นี้ หนังสือ​บริแทนนิกา​ประจำ​ปี 1990 (ภาษา​อังกฤษ) พยากรณ์​ว่า: “ดู​เหมือน​จะ​เป็น​ไป​ได้ . . . [ว่า] ​ระบบ​ต่าง ๆ ทาง​เศรษฐกิจ​อาจ​สูญ​เสีย​ข้อ​แตกต่าง​อัน​แจ่ม​ชัด​บาง​อย่าง​ซึ่ง​เป็น​ลักษณะ​เฉพาะ​ของ​ตนใน​อดีต​และ​กลาย​มา​เป็น​องค์​เอกภาพ​ต่อเนื่อง​แทน ซึ่ง​ส่วน​ประกอบ​สำคัญ​ของ​ทั้ง​การ​ตลาด​และ​การ​วางแผน​ต่าง​อยู่​ร่วม​กัน​ใน​สัดส่วน​ที่​ต่าง​กัน. สังคม​ต่าง ๆ ที่​มี​องค์​เอกภาพ​เช่น​นั้น​อาจ​ระบุ​ตน​เอง​เป็น​นัก​ทุนนิยม​และ​นัก​สังคมนิยม แต่​พวก​เขา​อาจ​จะ​เผย​ให้​เห็น​แง่มุม​ต่าง ๆ ร่วม​กัน​ใน​การ​แก้​ปัญหา​ทาง​เศรษฐกิจ​ให้​มาก​พอ ๆ กับ​ที่​พวก​เขา​อาจ​ยัง​คง​แสดง​ให้​เห็น​ความ​แตกต่าง​อัน​สำคัญ.”

สร้าง​ปัญหา

ในปี 1914 สงคราม​โลก​ที่​หนึ่ง​เริ่ม​ขึ้น. และ​เมื่อ​เริ่ม การ​ค้า​ที่​ละโมบ​ก็​อยู่​พร้อม​จะ​จัด​หา ปืน, รถ​ถัง, และ​เครื่องบิน​ซึ่ง​ประเทศ​ต่าง ๆ ที่​ทำ​สงคราม​ต้องการ และ​ซึ่ง​การ​ปฏิวั​ติ​อุตสาหกรรม​ได้​ทำ​ให้​เป็น​ไป​ได้.

​หนังสือ​ประวัติศาสตร์​โลก​โคลัมเบีย ให้​ข้อ​สังเกต​ว่า ขณะ​ที่ “การ​ส่ง​เสริม​อุตสาหกรรม​ได้​ช่วย​แก้​ปัญหา​ของ​มนุษย์​หลาย​อย่าง​ทาง​วัตถุ” อุตสาหกรรม​ก็​ยัง “เพิ่ม​ปัญหา​สังคม​ซึ่ง​ทั้ง​รุนแรง​และ​สลับ​ซับซ้อน.”

ปัจจุบัน 78 ปี​ภาย​หลัง​ปี 1914 เรา​มี​เหตุ​ผล​ที่​จะ​เห็น​ด้วย​กับ​ถ้อยคำ​เหล่า​นั้น​มาก​ขึ้น​กว่า​แต่​ก่อน. อย่าง​เหมาะเจาะ​ทีเดียว เรื่อง​ที่​จะ​ลง​ต่อ​ไป​ใน​บทความ​ชุด​นี้​คือ “ธุรกิจ​ขนาด​ยักษ์​บีบ​รัด​แน่น​ยิ่ง​ขึ้น.”

[เชิงอรรถ]

^ วรรค 19 ดู​อะเวค! 8 กันยายน 1989.

[กรอบ​หน้า 28]

ตลาด​หุ้น—จาก​เริ่ม​ต้น​จน​ถึง​สิ้น​สุด

เมื่อ​ถึง​ศตวรรษ​ที่ 17 เป็น​กิจ​ปฏิบัติ​โดย​ทั่ว​ไป​ที่​จะ​เริ่ม​ดำเนิน​ธุรกิจ​ใหม่​โดย​การ​รวม​ทุน​จาก​ผู้​ลงทุน​หลาย ๆ คน. มี​การ​เสนอ​ขาย​หุ้น​ใน​ราคา​ที่​ได้​กำหนด​ไว้. การ​จัด​การ​รวม​หุ้น​เช่น​นี้​มี​การ​เรียก​กัน​ว่า​เป็น​หนึ่ง​ใน​การ​คิดค้น​อัน​สำคัญ​ยิ่ง​ที่​เคย​ทำ​กัน​ใน​การ​จัด​ระบบ​ธุรกิจ. ชาว​อังกฤษ​ได้​พยายาม​ตั้ง​ธุรกิจ​การ​ค้า​แบบ​นี้​หลาย​ครั้ง​ใน​ช่วง​กลาง​ทศวรรษ​ปี 1500 แต่​ได้​มี​การ​แพร่​หลาย​ตั้ง​แต่​การ​ตั้ง​บริษัท อิงลิช อีสต์ อินเดีย​ใน​ปี 1600.

ขณะ​ที่​บริษัท​ร่วม​หุ้น​เพิ่ม​จำนวน​มาก​ขึ้น ความ​จำเป็น​ต้อง​มี​พวก​นายหน้าหุ้น​ก็​มี​มาก​ขึ้น​ตาม​ตัว. ใน​ตอน​แรก พวก​เขา​พบ​กับ​ลูกค้า​ใน​ที่​ต่าง ๆ กัน​หลาย​แห่ง บาง​ครั้ง​ใน​ร้าน​กาแฟ. ต่อ​มา มี​การ​ตั้ง​ตลาด​หุ้น​ขึ้น​เพื่อ​ให้​มี​สถาน​ที่​สำหรับ​ดำเนิน​การ​ใน​เรื่อง​หุ้น. ตลาด​หุ้น​ลอนดอน​ถูก​ตั้ง​ขึ้น​ในปี 1773. แต่​ตลาด​หุ้น​ที่​เก่า​ที่​สุด​ของ​โลก​อาจ​เป็น​ตลาด​หุ้น​ใน​อัมสเตอร์ดัม​ซึ่ง​บาง​คน​บอก​ว่า​ได้​เปิด​ในปี 1642 หรือ​อาจ​จะ​เป็น​ตลาด​หุ้น​ใน​แอนทเวิร์ป ซึ่ง​มี​ผู้​อ้าง​ว่า​วัน​เปิด​ดำเนิน​การ​ย้อน​ไป​ถึง​ปี 1531.

บริษัท​ค้า​หุ้น​มี​ส่วน​ดี​ต่าง ๆ ดัง​ต่อ​ไป​นี้: จัด​ให้​มี​ทุน​มาก​เพียง​พอ​เพื่อ​ดำเนิน​การ​ประกอบ​การ​ขนาด​ใหญ่; ทำ​ให้​สาธารณชน​มี​โอกาส​ใช้​ทุน​เพียง​เล็ก​น้อย​เพื่อ​หา​ผล​ประโยชน์; ลด​ปริมาณ​การ​สูญเสีย​แก่​ผู้​ลงทุน​คน​ใด ๆ ใน​กรณี​ที่​ล้มเหลว; เปิด​โอกาส​ให้​ผู้​ถือ​หุ้น​ได้​รับ​เงิน​สด​ทันที​โดย​การ​ขาย​หุ้น​ของ​ตน​ทั้ง​หมด​หรือ​บาง​ส่วน; และ​ยอม​ให้​มี​การ​โอน​หุ้น​ได้​ใน​ฐานะ​เป็น​มรดก.

อย่างไร​ก็​ตาม การ​เปลี่ยนแปลง​โดย​ไม่​ได้​คาด​หมายใน​ราคา​หุ้น​อาจ​หมาย​ถึง​ความ​หายนะ​ได้. นอกจาก​นั้น ดัง​ที่​เรื่อง​ฉาวโฉ่​ที่​วอลล์สตรีท​แสดง​ให้​เห็น ตลาด​หุ้น​อาจ​ถูก​ควบคุม​อย่าง​ผิด​กฎหมาย อาจ​เป็น​ได้​ด้วย​การ​ใช้​วิธี​ซื้อ​ขาย​โดย​บุคคล​ที่​อยู่​วง​ใน ซึ่ง​เป็น​พฤติกรรม​ที่​เพิ่ม​ขึ้น​เรื่อย ๆ. ปัจเจก​บุคคล​ใช้​หรือ​ขาย​ข้อมูล​สำคัญ​ล่วง​หน้า—อาจ​เป็น​ข่าว​เรื่อง​การ​รวม​ตัว​ของ​สอง​บริษัท​ซึ่ง​อยู่​ใน​ระหว่าง​เจรจา​กัน—โดย​วิธี​นั้น จึง​ได้​กำไร​โดย​ความ​เคลื่อนไหว​จาก​หุ้น​ของ​บริษัท​เหล่า​นั้น. เพื่อน​ของ​ชาย​คน​หนึ่ง​ที่​ถูก​กล่าว​หา​ใน​เรื่อง​นี้​ในปี 1989 ได้​ตำหนิ​การ​กระทำ​ดัง​กล่าว​ว่า​เป็น​ความ​โลภ. ถึง​แม้​มี​การ​เคลื่อนไหว​ใน​หลาย​ประเทศ​เพื่อ​ห้าม​การ​ซื้อ​ขาย​กัน​ภาย​ใน​เช่น​นั้น นิตยสาร​ไทม์ ให้​ข้อ​คิด​เห็น​ว่า: “แค่​กฎหมาย​อย่าง​เดียว​ไม่​เพียงพอ​จะ​แก้​ปัญหา​นี้​ได้​หรอก.”

ใน​วัน​แห่ง​การ​พิพากษา​ของ​พระ​ยะโฮวา​ที่​กำลัง​เคลื่อน​ใกล้​เข้า​มา​อย่าง​รวดเร็ว ปัญหา​นี้​จะ​ถูก​แก้​ไข​ตลอด​กาล. เงิน​และ​ทอง​จะ​ไม่​มี​ค่า อีก​ทั้ง​หุ้น​และ​พันธบัตร​ก็​จะ​ไม่​มี​ค่า​ไป​กว่า​กระดาษ​ที่​ใช้​ใน​การ​พิมพ์​สิ่ง​เหล่า​นั้น. พระธรรม​ยะเอศเคล 7:19 กล่าว​ว่า: “เขา​จะ​ทิ้ง​เงิน​ของ​เขา​ที่​ถนน​ทั้ง​หลาย และ​ทองคำ​ของ​เขา​จะ​เป็น​ดุจ​ของ​โสโครก.” ซะฟันยา 1:18 กล่าว​เสริม​ว่า: “เงิน​หรือ​ทอง​ของ​เขา​ทั้ง​หลาย​จะ​ไม่​มี​กำลัง​ช่วย​ไถ่​เขา​ไว้​ใน​วัน​พิโรธ​แห่ง​พระ​ยะโฮวา.”

[รูปภาพ​หน้า 27]

การ​ประดิษฐ์​เครื่อง​บด​ฝ้าย​นำ​ไป​สู่​การ​ใช้​คน​งาน​ทาส​มาก​ขึ้น

[ที่​มา​ของ​ภาพ]

The Old Print Shop/Kenneth M. Newman