การช่วยครอบครัวของผมให้มั่งคั่งฝ่ายวิญญาณ
การช่วยครอบครัวของผมให้มั่งคั่งฝ่ายวิญญาณ
เล่าโดย โยเซฟัต บูซาเน
ผมจะไม่มีวันลืมการเดินทาง โดยรถไฟไปเมืองโจฮันเนสเบิร์ก สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ในเดือนมกราคม 1941. ผมและเอเลียส คูเนเน ซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก กำลังจะกลับไปยังสถานที่ทำงาน หลังจากใช้เวลาพักผ่อนในซูลูแลนด์กันแล้ว.
ในรถไฟขบวนนั้น มีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งมากับเราด้วย เขามีมูติ ที่เชื่อกันว่าเป็นยาวิเศษ มักได้จากหมอผี. ชายคนนั้นแต้มมูติไว้ที่คิ้ว โดยเชื่อว่าจะทำให้นายจ้างซึ่งเป็นคนผิวขาวโปรดปรานเขา. ขณะที่เราลงจากรถไฟ เอเลียสบอกว่า “มูติเป็นพระเจ้าของเขา.” คำพูดเหล่านั้นทิ่มแทงหัวใจของผมราวกับถูกมีดเสียบทะลวง เพราะในกระเป๋าของผมก็มีมูติที่ผมได้เตรียมตามใบสั่งยาของหมอผี.
เอเลียสและผมกำลังศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวา และด้วยเหตุนี้ผมจึงตระหนักว่าเขาก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณไปไกลกว่า. ในทันทีทันใด ผมทิ้งมูติลงไปในถังขยะและจากนั้นก็เข้าร่วมการประชุมของพยานพระยะโฮวาเป็นประจำกับเอเลียส.
ทั้งเอเลียสและผมต่างก็สมรสแล้ว. ดังนั้น เหตุใดเราจึงทำงานในเมืองซึ่งอยู่ไกลบ้านถึง 400 กิโลเมตร? ชีวิตในเมืองเมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตชาวนาชาวไร่ที่ซูลูแลนด์แล้วเป็นอย่างไร? และการสมาคมคบหากับพยานพระยะโฮวายังประโยชน์ต่อครอบครัวของเราที่บ้านหรือไม่?
ชีวิตในซูลูแลนด์
ผมเกิดในซูลูแลนด์ สาธารณรัฐแอฟริกาใต้เมื่อปี 1908. ครอบครัวของเราอาศัยอยู่ในอำเภอเอ็มซิงกา แถบที่ราบซึ่งมีทุ่งหญ้าปกคลุม, มีภูเขา, และต้นไม้มีหนาม. ที่นี่ในฤดูใบไม้ร่วง ดอกของต้นหางจระเข้จะชูช่อปกคลุมภูมิประเทศจนเป็นสีแดงเพลิง. วัวและแพะจะเล็มหญ้าระหว่างแมกไม้ตามไหล่เขา. กราล (กลุ่มกระท่อม) และไร่ข้าวโพดมีกระจัดกระจายอยู่ตามพื้นที่ราบ ซึ่งข้าวโพดถือเป็นอาหารหลักของชาวซูลู.
กราลของเรา เหมือนกับของคนอื่น ๆ ประกอบด้วยกระท่อมหลังหนึ่งสำหรับคุณพ่อคุณแม่, หลังหนึ่งสำหรับพี่สาว, และหลังหนึ่งสำหรับผมกับน้องชาย. กระท่อมอีกหลังหนึ่งใช้เป็นห้องครัวของคนทั้งบ้าน, และมีหลังหนึ่งสำหรับเก็บของ. กระท่อมแต่ละหลังมีลักษณะคล้ายกรวย มีผนังเป็นดินสูงประมาณหนึ่งเมตร และหลังคาเป็นรูปโดมมุงแฝก. ระหว่างกระท่อมจะมีไก่คุ้ยเขี่ยดิน, จิกหา
อาหาร, และที่อยู่ใกล้ ๆ ก็เป็นคอกวัว. ครอบครัวของเราพอใจกับชีวิตทำไร่ไถนาแบบเรียบง่ายนี้. เรามีอาหารและที่พักอาศัย, และคุณพ่อไม่จำเป็นต้องหางานทำนอกบ้าน.กระนั้น มักมีการทำลายความสงบสุขในชนบทของซูลูแลนด์อยู่เนือง ๆ. ภูเขาและแม่น้ำอันงดงามเหล่านี้ถูกทำให้ชุ่มโชกไปด้วยโลหิตของมนุษย์. ต้นศตวรรษที่ 19 ซูลูแลนด์ถูกยึดครองโดยเผ่าอิสระหลายเผ่าด้วยกัน. ครั้นแล้วนักรบชาวซูลูชื่อ ชากา ลุกขึ้นสู้. กองทัพของเขาโจมตีเผ่าต่าง ๆ ที่อยู่โดยรอบทั้งหมด. ผู้ที่รอดชีวิตก็หนีไปหรือไม่ก็ถูกกลืนชาติเป็นเผ่าซูลู.
ต่อมา มีการสู้รบระหว่างเผ่าซูลูกับชาวดัตช์ที่เข้ามาตั้งรกราก. คราวหนึ่งมีการต่อสู้ที่แม่น้ำสายหนึ่งไม่ไกลจากบ้านของเรา. เลือดไหลนองจนน้ำแดงฉาน จึงมีการตั้งฉายาให้แม่น้ำนั้นว่าแม่น้ำเลือด. จากนั้น กองทัพอังกฤษก็ยาตราเข้ามา. ณ ภูเขาที่ชื่อ อีซานดึลวานา ซึ่งไม่ไกลจากบ้านของผม ประชาชนนับพันถูกสังหารในการสู้รบที่ดุเดือดครั้งหนึ่งในหลาย ๆ ครั้งระหว่างทหารอังกฤษและซูลู. น่าเศร้าใจแถบที่เราอาศัยอยู่ในซูลูแลนด์ไม่เคยมีสันติสุขแบบถาวรเลย. บางครั้งบางคราวความเกลียดชังระหว่างเผ่าซึ่งมีมานมนานจะปะทุขึ้นมา.
การแสวงหาความร่ำรวยฝ่ายวัตถุ
คุณแม่ของผมเสียชีวิตเมื่อผมอายุได้ห้าขวบ. คุณพ่อและเบอร์ตินาพี่สาว ดูแลผมและช่วยให้ผมได้เรียนหนังสือจนครบหกปี. จากนั้น พออายุได้ 19 ปี ผมเริ่มทำงานเป็นพนักงานขายของในเมืองดันดีซึ่งอยู่ใกล้ ๆ.
ผมได้ยินว่าชายหนุ่มหลายคนหาเงินได้มากกว่าเมื่ออยู่ในเมืองโจฮันเนสเบิร์ก ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมทำเหมืองทองของแอฟริกา. ดังนั้น ในปีถัดมา ผมจึงย้ายไปโจฮันเนสเบิร์กและทำงานติดป้ายโฆษณาเป็นเวลาหลายปี.
ในโจฮันเนสเบิร์ก ผมหลงระเริงกับสิ่งชวนตาชวนใจและลู่ทางให้ทำอะไร ๆ ได้หลายอย่าง แต่ในไม่ช้าผมก็ตระหนักว่าชีวิตในเมืองบ่อนทำลายศีลธรรมที่คนในหมู่บ้านของผมถือปฏิบัติกันมา. อย่างไรก็ตาม แม้ว่าชายหนุ่มจำนวนมากละทิ้งครอบครัวของตนซึ่งอาศัยอยู่ในชนบท แต่ผมไม่เคยลืมครอบครัวและส่งเงินให้ทางบ้านเป็นประจำ.
คุณพ่อของผมเสียชีวิตเมื่อปี 1938. ในฐานะลูกชายคนโต ผมจึงจำเป็นต้อง “กอบกู้” กราลครอบครัวของเราตามธรรมเนียมชาวซูลู. ดังนั้น ในปีต่อมา ผมแต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ่งจากซูลูแลนด์ ชื่อ คลอดินา มาดอนโด. แม้จะสมรสแล้ว ผมยังคงทำงานไกลถึง 400 กิโลเมตรในโจฮันเนสเบิร์ก. เพื่อนรุ่นเดียวกันส่วนใหญ่ก็ทำเช่นนั้น. แม้จะทุกข์ทรมานใจที่ต้องอยู่แยกจากครอบครัวเป็นเวลานาน แต่ผมรู้สึกว่าเป็นพันธะที่จะต้องช่วยให้คนในครอบครัวมีมาตรฐานความเป็นอยู่ดีขึ้น.
ความมั่งคั่งฝ่ายวัตถุหรือฝ่ายวิญญาณ?
คุณแม่เป็นคนเดียวในครอบครัวที่ไปโบสถ์ และคัมภีร์ไบเบิลของท่านก็เป็นหนังสือเล่มเดียวที่มีอยู่ในบ้าน. หลังจากท่านเสียชีวิตไประยะหนึ่ง ผมก็อ่านออกเขียนได้และเริ่มอ่านพระคัมภีร์ทันที. แต่คำสอนและแนวปฏิบัติต่าง ๆ ของคริสต์จักรเริ่มรบกวนใจผม. ยกตัวอย่าง สมาชิกของโบสถ์ยังคงเป็นที่นับหน้าถือตาถึงแม้จะทำผิดประเวณีก็ตาม. ผมถามพวกนักเทศน์ถึงความไม่สอดคล้องลงรอยเช่นนี้ แต่ไม่มีใครให้คำอธิบายที่น่าพอใจแก่ผมได้.
ขณะที่อยู่ในโจฮันเนสเบิร์ก เอเลียส คูเนเน และผม ตัดสินใจเสาะหาศาสนาแท้. เราเข้าไปตามคริสต์จักรต่าง ๆ ในละแวกบ้านแต่ไม่พอใจคริสต์จักรใดเลย. ครั้นแล้ว เอเลียสก็พบพยานพระยะโฮวา. เมื่อเขาพยายามอธิบายให้ผมฟังถึงสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากพยานฯ ผมบอกเขาว่าเขาถูกชักนำให้หลงเสียแล้ว. แต่หลังจากฟังการถกกันระหว่างเขากับพวกผู้นำคริสต์จักรและเห็นว่าพวกนั้นไม่สามารถพิสูจน์ว่าเขาผิด ผมจึงเริ่มอ่านสรรพหนังสือของสมาคมว็อชเทาเวอร์ที่เอเลียสให้ผม. ช่วงนี้เองที่ผมเดินทางโดยรถไฟซึ่งเป็นการเดินทางที่จะไม่มีวันลืมเมื่อเอเลียสช่วยให้ผมเห็นถึงอันตรายของการวางใจในมูติ.—พระบัญญัติ 18:10-12; สุภาษิต 3:5,6.
จากนั้น ผมกับเอเลียสก็สมทบเป็นประจำกับประชาคมผิวดำแห่งแรกของพยานพระยะโฮวาในโจฮันเนสเบิร์ก. ในปี 1942 หลังจากอุทิศชีวิตแด่พระยะโฮวา
แล้ว ผมก็ได้รับบัพติสมาในออร์ลันโด โซเวโต. เมื่อเดินทางกลับบ้านที่ซูลูแลนด์ ผมพยายามจะเล่าความเชื่อของผมให้คลอดินาฟัง แต่เธอเข้าไปพัวพันอย่างลึกซึ้งในกิจกรรมต่าง ๆ ของคริสต์จักร.อย่างไรก็ตาม เธอเริ่มเปรียบเทียบหนังสือของเรากับคัมภีร์ไบเบิลของเธอ และความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าค่อย ๆ เข้าถึงหัวใจเธอ. ในปี 1945 เธอได้รับบัพติสมา. เธอกลายเป็นคริสเตียนที่รับใช้อย่างกระตือรือร้น โดยแบ่งปันความจริงในคัมภีร์ไบเบิลกับเพื่อนบ้านและปลูกฝังความจริงนั้นเข้าไว้ในหัวใจของลูก ๆ.
ในเวลาเดียวกัน ที่โจฮันเนสเบิร์ก ผมมีสิทธิพิเศษได้ช่วยบางคนให้เข้ามาเรียนรู้ความจริงในคัมภีร์ไบเบิล. พอถึงปี 1945 มีประชาคมผิวดำสี่แห่งในบริเวณใกล้เคียงโจฮันเนสเบิร์ก และผมรับใช้เป็นผู้ดูแลผู้เป็นประธานของประชาคมสมอล มาร์เก็ต. เหมาะสมกับเวลาทีเดียวมีการให้คำชี้นำตามหลักพระคัมภีร์แก่ชายที่สมรสแล้วซึ่งทำงานไกลบ้านให้กลับไปหาครอบครัวของตนและใส่ใจมากขึ้นในเรื่องหน้าที่รับผิดชอบฐานะหัวหน้าครอบครัว.—เอเฟโซ 5:28-31; 6:4.
เอเลียสเป็นคนแรกที่ออกจากโจฮันเนสเบิร์ก และไม่เคยจากครอบครัวอีกเลย. ผลก็คือภรรยาและลูกทั้งห้าคนได้มาเป็นพยานพระยะโฮวาที่แข็งขัน. เอเลียสยังเลี้ยงหลานสาวและหลานชายที่กำพร้าอีกสี่คน ซึ่งได้มาเป็นพยานฯที่อุทิศตัวแล้ว. ในปี 1983 เขาได้เสียชีวิตลง โดยวางแบบอย่างที่ดีในการดำเนินตามคำชี้นำอย่างสัตย์ซื่อที่พระยะโฮวาทรงให้ผ่านทางพระวจนะของพระองค์และองค์การของพระองค์บนแผ่นดินโลกนี้.
ในปี 1949 ผมออกจากงานในโจฮันเนสเบิร์กเพื่อดูแลครอบครัวในวิถีทางของพระยะโฮวา. เมื่อกลับถึงบ้าน ผมได้ทำงานกับเจ้าหน้าที่ตรวจปศุสัตว์ในฐานะผู้ช่วยจุ่มสัตว์ในแท็งก์น้ำยาฆ่าพยาธิ. เป็นการยากที่จะเลี้ยงดูครอบครัวซึ่งมีลูกหกคนด้วยเงินเดือนที่ผมได้รับเพียงน้อยนิด. ดังนั้น เพื่อให้พอกับค่าใช้จ่าย ผมจึงขายผักและข้าวโพดที่เราปลูกเองที่บ้านอีกด้วย.
พระพรต่าง ๆ ซึ่งล้ำค่ากว่า
แม้ว่าครอบครัวของเราไม่ร่ำรวยฝ่ายวัตถุ แต่เรามีทรัพย์สมบัติฝ่ายวิญญาณเนื่องจากเอาใจใส่ต่อคำชี้นำของพระเยซูที่ว่า “อย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในโลก, ที่ตัวหนอนและสนิมอาจทำลายเสียได้, และที่ขโมยอาจขุดช่องล้วงลักเอาไปได้. แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์, ที่หนอนหรือสนิมทำลายเสียไม่ได้, และที่ไม่มีขโมยขุดช่องล้วงลักเอาไปได้.”—มัดธาย 6:19,20.
การที่จะให้ได้มาซึ่งทรัพย์สมบัติฝ่ายวิญญาณเหล่านี้จำต้องทำงานหนัก เหมือนกับการขุดหาทองในเหมืองรอบ ๆ โจฮันเนสเบิร์ก. ทุกเย็น ผมจะยกข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่งขึ้นมาพูดกับลูก ๆ และแต่ละคนต้องบอกผมว่าเขาได้เรียนอะไรบ้าง. ตอนสุดสัปดาห์ ผมจะพาลูก ๆ ออกไปในงานเผยแพร่ทีละคน. ขณะที่เราเดินจากกราลหนึ่งไปยังอีกกราลหนึ่ง ผมจะอธิบายเรื่องราวในพระคัมภีร์ และพยายามประทับมาตรฐานอันสูงส่งทางศีลธรรมของคัมภีร์ไบเบิลไว้ในหัวใจของลูก ๆ.—พระบัญญัติ 6:6,7.
ยกตัวอย่าง เพื่อเป็นที่แน่นอนว่าลูกของเราไม่ได้ขโมย ผมจะทำให้แน่ใจว่าสิ่งของใด ๆ ที่พวกเขานำเข้าบ้านไม่ได้ขโมยมา. (เอเฟโซ 4:28) ในทำนองเดียวกัน หากคนหนึ่งโกหก ผมจะไม่ยับยั้งจากการใช้ไม้เรียวแห่งการตีสอน. (สุภาษิต 22:15) อนึ่ง ผมยังเรียกร้องให้พวกเขาแสดงความนับถืออย่างเหมาะสมต่อผู้สูงอายุเช่นกัน.—เลวีติโก 19:32.
ในฐานะหัวหน้าครอบครัว ผมวางแบบอย่างโดยไม่ขาดการประชุม และลูก ๆ จะต้องเข้าร่วมประชุมด้วย. ผมคอยดูแลให้ลูกแต่ละคนมีหนังสือเพลง, คัมภีร์ไบเบิล, และหนังสืออื่น ๆ ที่จะใช้ ณ การประชุม. เรายังเตรียมตัวสำหรับการประชุมด้วยกัน และหากลูกคนหนึ่งคนใดไม่
ออกความคิดเห็น ผมจะพยายามช่วยให้เขาออกความคิดเห็นในการประชุมคราวต่อไป.เป็นเวลาหลายปีที่ครอบครัวของเราเป็นเพียงครอบครัวเดียวที่อยู่ในสถานภาพจะให้การต้อนรับขับสู้แก่ผู้ดูแลเดินทาง. ตัวแทนเหล่านี้ของสมาคมว็อชเทาเวอร์มีอิทธิพลที่ดีต่อลูก ๆ ของเรา และสร้างความปรารถนาภายในตัวเขาที่จะเป็นไพโอเนียร์ หรือผู้เผยแพร่เต็มเวลา. ภรรยาและผมดีใจที่ แอฟริกา ลูกชายคนโตของเรา เริ่มงานไพโอเนียร์หลังจากเรียนหนังสือครบสิบปี. ในที่สุด เขาได้รับใช้ในฐานะผู้ดูแลเดินทาง และในเวลาต่อมา เขาได้รับเชิญไปยังสำนักงานสาขาของสมาคมว็อชเทาเวอร์ประจำสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ที่ซึ่งเขาทำงานเป็นผู้แปล. เวลานี้ เขาแต่งงานแล้ว และมีลูกของตัวเอง. เขารับใช้ฐานะผู้ปกครองที่ประชาคมแห่งหนึ่งในซูลูแลนด์ และยังมีสิทธิพิเศษที่ได้ช่วยสำนักงานสาขาประจำสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ในเรื่องปัญหาทางกฎหมายซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวเนื่องจากประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการนมัสการแท้.
เรามีลูกชายทั้งหมดห้าคนด้วยกันและลูกสาวหนึ่งคน. เวลานี้ ลูก ๆ ทั้งหกคนก็โตกันแล้วและเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณ. สิ่งนี้ทำให้หัวใจของเราเปี่ยมด้วยความสุขยิ่งนัก—ซึ่งเป็นความอิ่มใจพอใจอย่างล้ำลึกที่ไม่มีวันจะซื้อได้ด้วยสิ่งฝ่ายวัตถุ. ลูกชายของผมสี่คนรับใช้ฐานะผู้ปกครองในประชาคมของพยานพระยะโฮวาที่พวกเขาสมทบด้วย. คนหนึ่งในพวกเขาคือ ทีโอฟีลัส ซึ่งขณะนี้ชื่นชมกับสิทธิพิเศษในงานรับใช้ที่เบเธล ณ สำนักงานสาขาประจำสาธารณรัฐแอฟริกาใต้.
การเผยแพร่ความจริงในซูลูแลนด์
เมื่อในที่สุดผมกลับไปอยู่กับครอบครัวที่ซูลูแลนด์ในปี 1949 มีผู้เผยแพร่ข่าวราชอาณาจักรเพียงสามคนในประชาคมโคลเลสซีของเรา. ในเวลาอันสมควร ประชาคมก็เติบใหญ่ขึ้น และประชาคมแห่งที่สองก็ได้รับการก่อตั้งห่างออกไปอีก 30 กิโลเมตรในหมู่บ้านพอเมรอย.
ในช่วงเวลาหลายปี งานเผยแพร่ของเราจะชะงักในบางครั้งเนื่องจากการต่อสู้ของกลุ่มที่ขัดแย้งกันในชุมชนต่าง ๆ. ผู้ที่ไปโบสถ์ก็มีส่วนพัวพันในการต่อสู้ระหว่างเผ่า. มีเพียงพยานพระยะโฮวาเท่านั้นผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในเรื่องการรักษาความเป็นกลาง. ครั้งหนึ่ง เกิดการต่อสู้ระหว่างเผ่ามาบาโซและมาโบมวูในบริเวณที่ผมทำงานจุ่มวัวอยู่. ผู้คนในแถบนั้นเป็นเผ่ามาบาโซ และโดยปกติแล้วคงจะฆ่าผมเพราะพวกเขารู้ว่าผมมาจากเผ่ามาโบมวู. อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็รู้เช่นกันว่าผมเป็นพยานพระยะโฮวา และดังนั้นจึงไม่ทำอันตรายผม.
ในช่วงทศวรรษปี 1970 เหตุการณ์สู้รบระหว่างเผ่าเลวร้ายลงไปอีก และอำเภอเอ็มซิงกาไม่มีความปลอดภัย. ผมกับคนอื่น ๆ บางคน จึงตัดสินใจย้ายครอบครัวไปยังส่วนที่มีความสงบสุขกว่าของซูลูแลนด์. ในปี 1978 เราตั้งรกรากในเมืองโนนโกมา ที่ซึ่งเราเริ่มสมทบกับประชาคมลินดิซเว. ในปีต่อมา คลอดินา ภรรยาสุดที่รักของผมเสียชีวิต. การสูญเสียเธอทำให้ผมตกตะลึงสุดขีด และสุขภาพของผมทรุดโทรมลงมาก.
กระนั้น ด้วยพระกรุณาคุณอันไม่พึงได้รับของพระยะโฮวา ผมฟื้นตัวและมีความสามารถพอที่จะเข้าสู่งานไพโอเนียร์ในสองปีต่อมา. ผมรู้สึกขอบคุณพระยะโฮวาสักเพียงไรที่สุขภาพของผมดีขึ้นอย่างแท้จริง เนื่องด้วยกิจกรรมเผยแพร่ที่ทำมากขึ้นนี้! ขณะนี้ผมอายุ 85 ปีและยังคงสามารถทำงานเผยแพร่โดยเฉลี่ย 90 ชั่วโมงแต่ละเดือน. ในเดือนมกราคม 1992 ผมกับลูกชายที่ชื่อ นิโคลัส ได้ย้ายไปยังมูเด็น ส่วนหนึ่งของซูลูแลนด์ที่ซึ่งมีความต้องการผู้เผยแพร่ข่าวราชอาณาจักรมากขึ้น.
ผมรู้สึกขอบคุณสำหรับการชี้นำจากองค์การของพระยะโฮวา ที่สนับสนุนผู้คนอย่างผมให้เอาใจใส่มากขึ้นต่อความต้องการฝ่ายวิญญาณของครอบครัว! พระพรต่าง ๆ ที่ได้รับเป็นผลสืบเนื่องนั้น ล้ำค่ากว่าสิ่งใด ๆ ที่เงินจะหาซื้อได้. (สุภาษิต 10:22) ผมสรรเสริญเทิดทูนพระยะโฮวาสำหรับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดและอธิษฐานขอให้เวลานั้นมาถึงเมื่อราชอาณาจักรของพระองค์จะเปลี่ยนแผ่นดินโลกให้เป็นอุทยาน. แล้วชีวิตในภูเขาและหุบเขาอันงดงามแห่งซูลูแลนด์จะสงบเงียบตลอดไป ขณะที่ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่นจะ “นั่งอยู่ใต้ซุ้มเถาองุ่นและใต้ต้นมะเดื่อเทศของตน” โดย “ไม่มีอะไรมาทำให้เขาสะดุ้งกลัว.”—มีคา 4:4.