การเพ่งดูโลก
การเพ่งดูโลก
การออกกำลังกายและอายุ
เคยมีคำว่าสายเกินไปไหมที่จะเริ่มออกกำลังกาย? ไม่เลย ตามการศึกษาวิจัยรายหนึ่งที่ทำเมื่อเร็ว ๆ นี้ในภาคตะวันออกของสหรัฐชี้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น. การสำรวจผู้ชายมากกว่า 10,000 คนพบว่าช่วงชีวิตโดยเฉลี่ยของพวกเขาเพิ่มขึ้นไม่ว่าอายุเท่าไรก็ตามเมื่อเริ่มออกกำลังกายอย่าง “กระฉับกระเฉงพอควร.” คนเหล่านั้นซึ่งอยู่ในวัยระหว่าง 45 ถึง 54 ปีเมื่อเริ่มออกกำลังกาย เป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์มากที่สุด โดยจะยืดอายุของตนออกไปประมาณสิบเดือน. กลุ่ม 65 ถึง 74 ปีมีอายุเพิ่มขึ้นหกเดือน และผู้ที่อายุ 75 ถึง 84 ปีเพิ่มขึ้นสองเดือน. ดร. ราล์ฟ เอส. พัฟเฟนบาร์เกอร์ ผู้อำนวยการงานวิจัยนั้น ย้ำว่านี้คือตัวเลขโดยเฉลี่ย ดังนั้น บางคนได้ประโยชน์จากการออกกำลังกายมากกว่าคนอื่น. ดูเหมือนว่าประโยชน์หลักอยู่ที่การป้องกันหัวใจวาย. อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ออกกำลังกายยังมีโอกาสน้อยลงที่จะเสียชีวิตด้วยสาเหตุอื่นอีกด้วย.
ดื่มเหล้าองุ่นเล็กน้อยเพื่อหัวใจของคุณ
การบริโภคเหล้าองุ่นแดงอย่างพอประมาณอาจลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจวายได้. เป็นเวลานานแล้วที่นักวิทยาศาสตร์ข้องใจเกี่ยวกับสิ่งที่มีการเรียกกันว่า “ข้อสรุปแย้งของชาวฝรั่งเศส.” แม้ว่าอาหารของชาวฝรั่งเศสโดยทั่วไปใช่ว่าจะมีระดับต่ำในเรื่องไขมันประเภทอิ่มตัว ซึ่งไขมันประเภทนี้เอื้อต่อการเกิดปัญหาหลอดเลือดหัวใจ กระนั้น ชาวฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในบรรดาชาติซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจต่ำที่สุดในแถบประเทศอุตสาหกรรมทางตะวันตก. ตามคำกล่าวของหนังสือพิมพ์ในปารีส เลอ ฟิกาโร ซึ่งอ้างถึงรายงานในวารสารทางการแพทย์ของอังกฤษ เดอะ แลนเซ็ต นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่าเรื่องนี้คงจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับเหล้าองุ่นแดงซึ่งชาวฝรั่งเศสมักดื่มเมื่อรับประทานอาหาร. ส่วนผสมที่เป็นกรดในเหล้าองุ่นแดง ซึ่งเรียกว่าฟีนอล มีการแสดงให้เห็นว่าไปยับยั้งสิ่งซึ่งเรียกว่า คอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ไม่ให้อุดตันหลอดเลือดเพราะไขมันจับตัวเป็นก้อน อันเป็นสาเหตุของหัวใจวาย. เลอ ฟิกาโร เสริมว่าฟีนอลเหล่านี้เป็นส่วนผสมของเหล้าองุ่นที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์ และการดื่มมากกว่า 480 ซีซีต่อวัน แอลกอฮอล์จะก่อความเสียหายมากกว่าประโยชน์.
กระดูกเสือ
ความต้องการกระดูกเสือเพื่อนำมาประกอบยาแผนโบราณของชาวตะวันออกเป็นอันตรายต่อประชากรเสือของโลกที่กำลังลดน้อยลง เป็นคำกล่าวจากวารสารทางการแพทย์ของอังกฤษชื่อ เดอะ แลนเซ็ต. แม้จะมีความพยายามระหว่างนานาชาติเพื่อควบคุมการค้าผลิตภัณฑ์จากเสือ แต่กระดูกเสือก็มีเกลื่อนตลาดในยาดองเหล้า, ยา, และยาเม็ดลูกกลอน. เฉพาะในปี 1991 กล่าวกันว่าประเทศหนึ่งในเอเชียส่งออกยาเม็ด 15,079 กล่อง, ยาลูกกลอน 6,260 กิโลกรัม และยาดองเหล้า 31,500 ขวดซึ่งมีกระดูกเสือเป็นส่วนผสม. จำนวนเสือที่ยังคงเหลืออยู่ทั่วโลกประมาณกันว่ามีราว ๆ 6,000 ตัว.
แอฟริกาใต้ให้การเอาใจใส่ต่อวิกฤตการณ์ทำร้ายทางเพศ
ในเวลาเพียงห้าปี จำนวนเด็กที่ถูกข่มขืนในแอฟริกาใต้เพิ่มมากกว่าสองเท่าตัว ตามรายงานใน เดอะ สตาร์ หนังสือพิมพ์ในโจฮันเนสเบิร์ก. หนังสือพิมพ์นั้นบอกว่ามีการรายงานการข่มขืน 1,707 รายในปี 1988 พอถึงปี 1992 จำนวนนั้นได้พุ่งสูงขึ้นถึง 3,639 ราย. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กอบี กอตซี ได้ยกตัวเลขเหล่านี้ขึ้นมาอ้างเมื่อทำการเปิดศาลแห่งแรกของประเทศที่จัดตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาคดีข่มขืนโดยเฉพาะ ศาลนี้ตั้งอยู่ ณ เมืองวินเบิร์ก เคปทาวน์. เขาแสดงความหวังออกมาว่าศาลนี้จะจัดการกับคดีดังกล่าวอย่างรวดเร็วและด้วยความเห็นอกเห็นใจมากกว่าก่อน. ผู้ช่วยอธิบดีกรมอัยการ นาตาลี ไฟลแชค กล่าวว่าความริเริ่มใหม่นี้จะกำจัดความอัปยศอดสูและการขายหน้าไปบ้าง ซึ่งผู้ตกเป็นเหยื่อของการข่มขืนมักจะประสบระหว่างการดำเนินคดีและจะเร่งการ “หายปกติทางจิตใจ” ของพวกเขาอีกด้วย.
เพศที่เสียเปรียบ
“บ่อยครั้งในโลกที่สาม ชีวิตของเพศหญิงแทบไม่คุ้มที่จะดำรงอยู่” เป็นคำนำของชุดรายงานเมื่อเร็ว ๆ นี้ใน เดอะ วอชิงตัน โพสต์. นักข่าวของ โพสต์ หลังจากสัมภาษณ์ผู้หญิงหลายสิบคนในพื้นที่ยากจนแห่งแอฟริกา, เอเชีย และอเมริกาใต้ พบว่า “วัฒนธรรม, ศาสนาและกฎหมายบ่อยครั้งทำให้ผู้หญิงถูกริดรอนสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และบางครั้งเหยียดพวกเขาลงต่ำกว่ามนุษย์.” ตัวอย่างเช่น ในหมู่บ้านหนึ่งแถบเทือกเขาหิมาลัย พวกผู้หญิงทำงานร้อยละ 59 ของงานทั้งหมด, ตรากตรำถึง 14 ชั่วโมงต่อวันและบ่อยครั้งแบกสัมภาระหนัก 1.5 เท่าของน้ำหนักตัว. การศึกษาวิจัยรายหนึ่งพบว่า “หลังจากตั้งครรภ์ . . . สองหรือสามครั้ง กำลังวังชาของพวกเธอก็เหือดหาย อ่อนแอลง และเมื่อย่างเข้าสู่วัยสี่สิบ พวกเธอก็หมดแรง แก่และเหนื่อยอ่อน แล้วก็เสียชีวิตในไม่ช้า.” เด็กผู้หญิงมักได้รับอาหารน้อยกว่า ให้ออกโรงเรียนและเข้าทำงานเร็วกว่า และได้รับการดูแลทางแพทย์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับเด็กผู้ชาย. มารดาหลายคนฆ่าทารกเพศหญิงโดยมองพวกเขาว่าเป็นภาระที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง. นักข่าวให้ข้อสังเกตว่าในชนบทภาคใต้ของอินเดีย วิธีสังหารทารกที่ทำกันทั่วไปคือการกรอกซุปไก่ที่กำลังเดือดลงในคอเด็ก. เมื่อถามเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าอาชญากรรมดังกล่าวถูกลงโทษไหม เขาตอบว่า “มีหลายเรื่องที่สำคัญกว่านี้. มีไม่กี่รายที่เข้ามาถึงหูเรา. น้อยคนที่ใส่ใจ.”
ปีแห่งความเกลียดชัง
วารสาร นิวส์วีก ให้ข้อสังเกตว่า “ปี 1992 ทำให้ปัญหาเก่าแก่เกี่ยวกับธรรมชาติ
ของมนุษย์ปรากฏเด่นขึ้นมาอีก. การแบ่งแยก—ระหว่างเพื่อนบ้านกับเพื่อนบ้าน, เผ่าพันธุ์กับเผ่าพันธุ์, สัญชาติกับสัญชาติ—เป็นอะไรบางอย่างที่เรามีแนวโน้มจะทำเสมอ และเหตุการณ์ของปีนี้ก่อให้เกิดข้อสงสัยว่าเรากำลังประสานช่องว่างต่าง ๆ ได้ดีขึ้นหรือไม่.” วารสารนั้นให้ข้อสังเกตว่า “ดูเหมือนว่า ‘จงเกลียดเพื่อนบ้านของเจ้า’ จะเป็นคำขวัญประจำปี.” เหตุใด “ความน่ารังเกียจของมนุษย์” จึงเด่นเป็นพิเศษในปี 1992? วารสาร นิวส์วีก แถลงว่า “อนาธิปไตยสุดขีดเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ของความรุนแรงในปีที่ผ่านไปนี้” รวมทั้ง “การขาดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอย่างฉับพลัน” ซึ่งติดตามมาภายหลังการล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในโซเวียต. นอกเหนือจากนี้ก็คือความเกลียดชังระหว่างชุมชนที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลปลุกปั่นให้มีขึ้น. กองทหารรักษาสันติภาพเป็นหนทางแก้ปัญหานี้ไหม? วารสาร นิวส์วีก ตอบว่า “กองทหารของสหประชาชาติเข้าไปอยู่ในไซปรัสโดยแยกชุมชนชาวกรีกและชาวตุรกีออกจากกันเกือบ 20 ปีแล้ว. เนื่องด้วยมีความปลอดภัยที่อยู่เบื้องหลังแนวป้องกันของสหประชาชาติ แต่ละฝ่ายจึงไม่มีเหตุกระตุ้นใจเพื่อจะประนีประนอมกับอีกฝ่ายหนึ่งเลยแม้แต่น้อย.”ประเด็นโต้แย้งเรื่องธงและเพลงชาติในญี่ปุ่น
บันทึกที่เปิดเผยเมื่อเร็ว ๆ นี้ในยามาโต ประเทศญี่ปุ่นแสดงให้เห็นว่าครูใหญ่ของโรงเรียนได้ “บังคับให้เป็นไปตามคำสั่งของกระทรวงศึกษาธิการในเรื่องการชักธงชาติและร้องเพลงชาติ. . . . แม้ว่าจะมีการต่อต้านอย่างรุนแรงจากบรรดาครูน้อย” ตามการแถลงของหนังสือพิมพ์ ไมนิชิ เดลี นิวส์. “ประเด็นเรื่องการรวมฮิโนมารุ [ธงชาติ] และคิมิกาโย [เพลงชาติ] ในพิธีการของโรงเรียนนั้นได้ก่อความขัดแย้งขึ้นทั่วประเทศ เนื่องจากเข้าไปพัวพันกับลัทธิคลั่งไคล้ชาติและลัทธิจักรวรรดินิยมในช่วงสงครามของญี่ปุ่น.” ตามรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ อาซาฮี อีฟนิง นิวส์ ผู้ต่อต้านคัดค้านเชื่อมโยงธงและเพลงชาติเข้ากับการบูชาจักรพรรดิและกล่าวว่าการบังคับเด็กให้ร้องเพลงชาติ “จะเป็นการตั้งลัทธิศาสนาโดยเฉพาะให้กับพวกเด็ก.” พวกเขากล่าวว่า เป็นการละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญว่าด้วยเสรีภาพทางศาสนาและมโนธรรม.
ความพยายามของสหประชาชาติเพื่อให้มีสันติภาพเกิดสั่นคลอนเพราะขาดเงิน
เป็นที่คาดกันว่า ค่าใช้จ่ายในการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติจะพุ่งถึง 92.5 พันล้านบาทในปีนี้. อย่างไรก็ตาม “การที่ประเทศสมาชิกไม่จ่ายในส่วนของตนกำลังก่อให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความสามารถขององค์การในการจัดหาเงินอย่างเพียงพอเพื่อปฏิบัติงานในอนาคต หรือในการสนับสนุนความพยายามเพื่อสันติภาพซึ่งกำลังดำเนินการอยู่เวลานี้” เป็นคำแถลงจากหนังสือพิมพ์ เดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส. สหประชาชาติควรจ่ายชดเชยให้ประเทศที่ช่วยด้านปฏิบัติการทางทหารเพื่อรักษาสันติภาพประมาณเดือนละ 25,000 บาทต่อทหารหนึ่งคนที่ส่งไป. แต่หลายเดือนได้ผ่านไปโดยไม่มีการจ่ายเงินชดเชยให้แก่ประเทศที่ส่งกองทหารไปปฏิบัติการในอดีตยูโกสลาเวียและในกัมพูชา. พอถึงปลายเดือนเมษายน ค่าโสหุ้ยในการรักษาสันติภาพที่ยังไม่จ่ายมีถึง 37.5 พันล้านบาท โดยยังมีอีก 24,250 ล้านบาทที่ยังไม่ได้จ่ายสำหรับงบประมาณปกติ. เมื่อไม่ได้จ่ายเงินชดเชย รัฐบาลของประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศได้ถอนกองกำลังออกไปแล้ว หรือได้ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมปฏิบัติการทางทหารที่จะมีขึ้น.
อัตราการเกิดลดลงในจีน
สถิติสำหรับปี 1992 แสดงระดับอัตราการเกิดต่ำสุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศจีน—คือมีเด็กเกิด 18.2 คนต่อ 1,000 คน ลดลงจาก 23.33 ในปี 1987 ตามรายงานของเดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส. แม้ไม่ได้คาดหมายว่าจะบรรลุเป้านั้นจนกว่าจะถึงปี 2010 แต่ก็ได้บรรลุแล้ว “เนื่องจากพรรคการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐบาลทุกระดับให้ความสนใจมากขึ้นต่อการวางแผนครอบครัว และนำมาตรการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นมาใช้” ตามคำกล่าวของนายเป็ง เป่ยหยัน หัวหน้าคณะกรรมาธิการการวางแผนครอบครัวแห่งชาติ. ภายใต้โครงการนี้ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นต้องรับผิดชอบเป็นส่วนตัวในการลดจำนวนเด็กที่เกิดในเขตปกครองของตน และอาจถูกลงโทษหากทำไม่สำเร็จ. ในหลายสภาพการณ์ สิ่งนี้นำไปสู่การบังคับให้สตรีทำหมันเมื่อมีบุตรแล้วหนึ่งคน และตั้งค่าปรับสูงมากสำหรับผู้ที่ให้กำเนิดบุตรโดยไม่ได้รับการอนุมัติ. เมื่อชาวบ้านไม่สามารถจ่ายค่าปรับ ทรัพย์สมบัติของพวกเขาจะถูกริบหรือไม่ก็ถูกทำลาย และบ้านของพวกเขามักจะถูกรื้อ. ประชากร 1.17 พันล้านคนของประเทศจีนคิดเป็น 22เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก.
ความหายนะจากนิวเคลียร์ถูกแพร่งพราย
ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับตำแหน่งที่เกิดอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์หนึ่งในครั้งร้ายแรงที่สุดของโลกนั้นถูกแพร่งพรายหลังจากปกปิดไว้เป็นเวลาหลายปี ตามรายงานของหนังสือพิมพ์รายวันในกรุงปารีสชื่อ อินเตอร์แนชันแนล เฮรัลด์ ทรีบูน. ในการแข่งขันเพื่อพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ รัฐบาลของอดีตโซเวียตได้สร้างโรงงานพลูโตเนียมในเทือกเขาอูราล. นับจากที่เริ่มก่อสร้างในปี 1948 ถึง 1951 มีการทิ้งกากกัมมันตรังสีลงไปในแม่น้ำท้องถิ่นสายต่าง ๆ ซึ่งมีการนำน้ำจากแม่น้ำนั้นไปใช้ในการเกษตรและใช้เป็นน้ำดื่มด้วย. ต่อมาในปี 1957 กากนิวเคลียร์ที่นั่นบางส่วนเกิดระเบิด ปล่อยธาตุกัมมันตรังสีจำนวนมหาศาลเข้าสู่บรรยากาศของโลก. อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในปี 1967 เมื่อทะเลสาบที่อยู่ใกล้เคียงซึ่งถูกใช้เป็นที่ทิ้งกากนิวเคลียร์เกิดแห้งลง. ลมจึงพัดพาเอากากกัมมันตรังสีลอยกระจายเหนือบริเวณอันกว้างใหญ่. นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการปนเปื้อนทางกัมมันตรังสีจากเหตุการณ์ทั้งสามนี้มีผลกระทบต่อผู้คนประมาณ 450,000 คน.