พยานพระยะโฮวาได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นฝ่ายถูกในการต่อสู้ เพื่อคุ้มครองดูแลบุตร
พยานพระยะโฮวาได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นฝ่ายถูกในการต่อสู้ เพื่อคุ้มครองดูแลบุตร
อิงกริด ฮอฟฟ์มันน์ ทำการต่อสู้เพื่อจะได้เป็นผู้เลี้ยงดูบุตรสองคนของเธอตั้งแต่กลางทศวรรษที่แล้ว. เธอเป็นสตรีชาวออสเตรียซึ่งถือกำเนิดและเติบโตมาในนิกายโรมันคาทอลิก. เธอสมรสกับผู้ที่นับถือคาทอลิกด้วยกัน และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งในปี 1980 และบุตรสาวคนหนึ่งในปี 1982. แต่ในปี 1983 คู่สมรสนี้หย่ากัน ทั้งบิดามารดาต่างก็ขอที่จะคุ้มครองดูแลบุตร. ฝ่ายบิดากล่าวหาว่าศาสนาของฝ่ายมารดา—ซึ่งเธอได้เข้าเป็นพยานพระยะโฮวาคนหนึ่ง—จะเป็นอันตรายต่อบุตร ทำให้บุตรไม่ได้รับการเลี้ยงดูแบบปกติอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ. เขายกประเด็นต่าง ๆ เช่น พวกพยานไม่ฉลองวันหยุดซึ่งเป็นเรื่องปกติในประเทศของเขาและไม่รับการถ่ายเลือด.—กิจการ 15:28,29.
ข้ออ้างเหล่านี้ซึ่งดูเหมือนมีเหตุผล แต่ฟังไม่ขึ้น. ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่รับฟังข้ออ้างของฝ่ายบิดาและให้การคุ้มครองดูแลแก่ฝ่ายมารดา. อย่างไรก็ตาม ในเดือนกันยายน 1986 ศาลสูงสุดของออสเตรียกลับคำตัดสินของศาลชั้นก่อนหน้า โดยลงความเห็นว่าคำตัดสินเหล่านี้ได้ละเมิดพระราชบัญญัติการศึกษาทางศาสนาของออสเตรีย กฎหมายซึ่งกำหนดให้เด็กที่ถือกำเนิดเป็นคาทอลิกต้องได้รับการศึกษาอย่างคาทอลิก. ศาลยังตัดสินว่าคงจะไม่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงต่อเด็กเหล่านั้นหากปล่อยให้เลี้ยงดูอย่างพยานพระยะโฮวา!
อิงกริด ฮอฟฟ์มันน์ดำเนินการอย่างไรต่ออคติทางศาสนาที่เห็นชัด ๆ เช่นนั้น? ในเดือนกุมภาพันธ์ 1987 คดีของเธอถูกส่งไปยังคณะกรรมาธิการเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป. ในวันที่ 13 เมษายน 1992 คณะกรรมาธิการนี้ซึ่งประกอบด้วยผู้พิพากษาที่เป็นตัวแทนจากบรรดาชาติสมาชิกของประชาคมยุโรปได้เสนอเรื่องนี้เพื่อการพิจารณาคดีอย่างละเอียดต่อศาลเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป.
ศาลได้ตัดสินในวันที่ 23 มิถุนายน 1993. ศาลแถลงว่า “ฉะนั้น ศาลยุโรปยอมรับว่ามีความแตกต่างเกิดขึ้นในการพิจารณาคดี และความแตกต่างนั้นเนื่องมาจากศาสนา ข้อสรุปนี้ยืนยันได้จากน้ำเสียงและสำนวนการพิจารณาของศาลสูงสุด [แห่งออสเตรีย] ในเรื่องผลกระทบจากศาสนาของผู้อุทธรณ์. การแบ่งแยกในการปฏิบัติเช่นนั้น เป็นการกระทำอย่างไม่เป็นธรรม.” [เราเปลี่ยนเป็นตัวเอน.] ศาลยังให้ข้อสังเกตต่อไปว่า ศาลสูงสุด “พิจารณาข้อเท็จจริงต่างไปจากศาลชั้นก่อนหน้า ซึ่งการหาเหตุผลนั้นได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิทยาด้วยซ้ำ. แม้จะมีข้อโต้แย้งใด ๆ ในทางตรงกันข้าม แต่การเลือกปฏิบัติโดยอาศัยความแตกต่างทางศาสนาเป็นพื้นฐานเพียงอย่างเดียวนั้นไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้.”
ด้วยคะแนนเสียงห้าต่อสี่ ผู้พิพากษาตัดสินให้อิงกริด ฮอฟฟ์มันน์เป็นฝ่ายชนะและออสเตรียเป็นฝ่ายแพ้ โดยแถลงมีใจความว่าออสเตรียได้ปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่อเธอโดยใช้ศาสนาของเธอเป็นข้ออ้างและได้ละเมิดสิทธิของเธอที่จะเลี้ยงดูครอบครัว. นอกจากนั้น ด้วยคะแนนเสียงแปดต่อหนึ่ง ผู้พิพากษายังได้ตัดสินให้ชดเชยเงินค่าเสียหายแก่เธอ.
ชัยชนะอันเด่นชัดเกี่ยวกับเสรีภาพทางศาสนานี้เกิดขึ้นเพียงเดือนเดียวหลังจากอีกคดีหนึ่งซึ่งได้รับชัยชนะในศาลเดียวกันนี้—นั่นคือคดีของ ค็อคคีนาคิสกับกรีซ ซึ่งศาลตัดสินว่าประเทศกรีซได้ละเมิดสิทธิของคน ๆ หนึ่งในการสอนพระคำของพระเจ้าตามบ้าน. ชนผู้รักเสรีภาพทั่วโลกปีติยินดีเมื่อความพยายามที่จะระงับเสรีภาพทางศาสนาเช่นนั้นถูกขัดขวาง และสิทธิส่วนบุคคลในการนมัสการพระเจ้าและเลี้ยงดูครอบครัวตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิลได้รับการปกป้อง.