นักวิทยาศาสตร์ตบตาประชาชน
นักวิทยาศาสตร์ตบตาประชาชน
โดยผู้สื่อข่าว ตื่นเถิด! ในประเทศสเปน
โธมัส เซอร์ราโน ชาวนาสเปนผู้สูงอายุซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน เชื่อมานานหลายปีแล้วว่าที่นาขนาดย่อมในแอนดาลูเซียของตนได้ปิดซ่อนสิ่งพิเศษบางอย่างไว้. ผาลไถนาของเขาขุดเอากระดูกและฟันแปลก ๆ ขึ้นมาบ่อย ๆ ซึ่งไม่ใช่ของฝูงสัตว์ท้องถิ่นอย่างแน่นอน. แต่เมื่อเขาเล่าเรื่องการค้นพบให้คนในหมู่บ้านฟัง กลับไม่มีใครสนใจ—อย่างน้อยจนกระทั่งปี 1980.
ในปีนั้น ทีมนักวิทยาว่าด้วยมนุษย์โบราณเดินทางมาถึงเพื่อสำรวจบริเวณดังกล่าว. ไม่นานพวกเขาก็ค้นพบขุมทรัพย์อันแท้จริงของฟอสซิล: กระดูกของหมี, ช้าง, ฮิปโปโปเตมัสและสัตว์อื่น ๆ ต่างกองทับถมกันอยู่ในบริเวณเล็ก ๆ ซึ่งดูเหมือนเป็นหนองน้ำที่แห้งแล้ว. อย่างไรก็ตาม ในปี 1983 พื้นที่อันอุดมแห่งนี้จึงได้ปรากฏพรวดขึ้นมาในพาดหัวข่าวระดับนานาชาติ.
เศษกระโหลกศีรษะขนาดเล็ก กระนั้นไม่เหมือนใครเพิ่งถูกค้นพบได้ไม่นาน. มันถูกป่าวประกาศว่าเป็น “ซากชิ้นส่วนมนุษย์ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดซึ่งได้ค้นพบในยุโรปและเอเชีย.” โดยคำนวณว่ามีอายุระหว่าง 900,000 ถึง 1,600,000 ปี นักวิทยาศาสตร์บางคนคาดว่าสิ่งนี้จะนำไปสู่ “การปฏิวัติด้านการศึกษาเรื่องเผ่าพันธุ์มนุษย์.”
ฟอสซิลซึ่งก่อให้เกิดความสนใจอย่างแรงกล้านี้ได้รับการขนานนามว่า “มนุษย์แห่งออร์เซ”—ตามชื่อหมู่บ้านในจังหวัดเกรนาดา ประเทศสเปน ที่มันถูกค้นพบ.
“มนุษย์แห่งออร์เซ” เผชิญสื่อมวลชน
วันที่ 11 มิถุนายน 1983 ฟอสซิลชิ้นนั้นถูกนำออกแสดงต่อสาธารณชนในสเปน. นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังชาวสเปน, ฝรั่งเศส, และอังกฤษต่างรับรองว่าฟอสซิลนั้นเป็นของแท้ และการสนับสนุนจากฝ่ายการเมืองก็มีมาอย่างรวดเร็ว. นิตยสารสเปนรายเดือนฉบับหนึ่งรายงานอย่างกระตือรือร้นว่า “สเปน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกรนาดา บัดนี้อยู่ในแถวหน้าสุด ด้าน [มนุษย์] โบราณในทวีปอันกว้างใหญ่แห่งยูเรเซีย.”
จริง ๆ แล้ว “มนุษย์แห่งออร์เซ” เป็นเช่นไร? นักวิทยาศาสตร์พรรณนาว่า เขาเป็นผู้ซึ่งเพิ่งอพยพมาจากแอฟริกา. กล่าวกันว่า ฟอสซิลชิ้นนี้เป็นของชายหนุ่มอายุราว 17 ปี และสูง 1.5 เมตร. คงเป็นนายพรานและคนเที่ยวเก็บโน่นเก็บนี่ซึ่งอาจยังไม่เคยเรียนวิธีใช้ไฟ. ดูท่าว่าเขาได้พัฒนาภาษาและศาสนาแบบพื้นฐานขึ้นมาแล้ว. เขากินผลไม้, ธัญพืช, ลูกไม้เล็ก ๆ และแมลง บางครั้งรวมทั้งซากสัตว์ซึ่งถูกหมาป่าฆ่าตาย.
ความสงสัยเกี่ยวกับการระบุตัว
เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 1984 เพียงสองสัปดาห์ก่อนการสัมมนาทางวิทยาศาสตร์ระหว่างชาติในเรื่องนี้ ความสงสัยอย่างรุนแรงได้เกิดขึ้นในเรื่องแหล่งที่มาของเศษชิ้นส่วนนี้. หลังจากขจัดหินปูนที่สะสม ณ ส่วนด้านในของกะโหลกออกอย่างระมัดระวัง นักวิทยาว่าด้วยมนุษย์โบราณได้พบ “สันนูน” ที่ทำให้ลำบากใจ. กะโหลกศีรษะมนุษย์ไม่มีสันนูนเช่นนั้น. การสัมมนาจึงถูกเลื่อนออกไป.
หนังสือพิมพ์รายวันของแมดริดชื่อ เอล ไพสพาดหัวข่าวว่า “มีการบ่งชี้หนักแน่นว่าหัวกะโหลกของ ‘มนุษย์แห่งออร์เซ’ เป็นของลา.” ในที่สุดข้อเขียนทางวิทยาศาสตร์ปี 1987 โดย ฮอร์ดี เอากุสตี และซัลวาเดอร์ โมยา สองนักวิทยาว่าด้วยมนุษย์โบราณซึ่งเกี่ยวข้องกับการค้นพบครั้งแรก ประกาศว่า การวิเคราะห์ด้วยรังสีเอ็กซ์ยืนยันอย่างแน่นอนว่าฟอสซิลนั้นเป็นของม้าพันธุ์หนึ่ง.
ทำไมพวกเขาถูกตบตา?
การพังพินาศนี้เกิดขึ้นด้วยเหตุผลหลายประการและไม่มีสักเหตุผลหนึ่งซึ่งพัวพันกับวิธีทางวิทยาศาสตร์. การ
ค้นพบที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับบรรพบุรุษมนุษย์ไม่ใคร่จะคงอยู่ได้นานในวงการของนักวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะ. บรรดานักการเมืองต่างกระโดดเข้าไปสนับสนุนสิ่งที่ดูเหมือนจะก่อประโยชน์ให้แก่เขา และความรอบคอบทางวิทยาศาสตร์ก็ถูกความเร่าร้อนในเรื่องชาตินิยมบดบัง.อธิบดีกองวัฒนธรรมประจำแคว้นคนหนึ่งประกาศว่า นั่นเป็นช่วงแห่งความภาคภูมิใจของแอนดาลูเซีย “ที่ได้เป็นแหล่งแห่งการค้นพบอันยิ่งใหญ่เช่นนี้.” เมื่อความสงสัยเกี่ยวกับการค้นพบแสดงออกมาในบางวงการ สภาปกครองท้องถิ่นของแอนดาลูเซียก็ยืนกรานแข็งขันว่า “ซากเหล่านั้นเป็นของแท้.”
ฟอสซิลที่ไม่สลักสำคัญชิ้นนั้น (เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 8 เซนติเมตร) ได้กลายมาเป็นสิ่งสำคัญอย่างใหญ่หลวงส่วนหนึ่งก็เพราะความขาดแคลนหลักฐานสนับสนุนเรื่องวิวัฒนาการของมนุษย์. ทั้ง ๆ ที่ฟอสซิลนี้มีขนาดเล็กมาก “มนุษย์แห่งออร์เซ” ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็น “การค้นพบทางวิชาว่าด้วยมนุษย์โบราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อีกทั้งเป็นตัวเชื่อมระหว่างมนุษย์แอฟริกาตามแบบฉบับ (โฮโม ฮาบิลิส) และมนุษย์ที่มีอายุมากที่สุดของทวีปยูเรเชีย (โฮโม อีเรกทุส).” พลังจินตนาการอันเหลือเฟือและการเดาสุ่มที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ก็เพียงพอแล้วที่จะแต่งเติมรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะและวิถีชีวิตของ “มนุษย์แห่งออร์เซ”.
ประมาณหนึ่งปีก่อนการค้นพบ “มนุษย์แห่งออร์เซ” ดร. โจเซฟ จีเบิร์ต หัวหน้าคณะทางวิทยาศาสตร์ได้คาดการณ์ว่าจะมีการค้นพบสิ่งแปลกประหลาดในบริเวณนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย. เขายืนยันว่า “นั่นเป็นหนึ่งในที่รวมสำคัญที่สุดแห่งส่วนล่างของชั้นดินยุคควาเตอร์นารีในยุโรป.” และแม้กระทั่งหลังจากที่ความจริงเกี่ยวกับฟอสซิลนั้นได้รับการเปิดเผยออกมาแล้วก็ตาม ดร. จีเบิร์ต ยังยืนกรานว่า “ประชาคมวิทยาศาสตร์นานาชาติเชื่ออย่างมั่นคงว่าในบริเวณ กวาดิกซ์-บาซา [อันเป็นแหล่งที่พบเศษชิ้นส่วนนั้น] ไม่ช้าก็เร็ว ฟอสซิลมนุษย์ที่มีอายุมากกว่าหนึ่งล้านปีจะถูกค้นพบ และนั่นจะเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน.” ช่างเป็นความคิดเพ้อฝันอะไรเช่นนั้น!
“วิทยาศาสตร์มีส่วนเกี่ยวข้องกับ การค้นพบความจริง”
ผู้ร่วมการค้นพบ “มนุษย์แห่งออร์เซ” คนหนึ่งชื่อ ดร. ซัลวาเดอร์ โมยา ยอมรับอย่างตรงไปตรงมากับตื่นเถิด! ว่า “ดร. ฮอร์ดิ เอากุสติและผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับว่านั้นไม่ใช่ฟอสซิลของมนุษย์. อย่างไรก็ตาม วิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับการค้นพบความจริง ถึงจะไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ”.
ประเด็นขัดแย้งซึ่งรุมล้อมกรอบ “มนุษย์แห่งออร์เซ” แสดงให้เห็นว่าเป็นงานที่ยากลำบากสำหรับ วิชาว่าด้วยมนุษย์โบราณในการค้นหาความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าวิวัฒนาการของมนุษย์. ทั้ง ๆ ที่มีการขุดค้นกันมานานหลายทศวรรษ แต่ก็ไม่เคยพบซากอันแท้จริงของบรรพบุรุษคล้ายลิงของมนุษย์ที่ถูกสมมุติขึ้นมา. แม้จะไม่เป็นที่สบอารมณ์ของนักวิทยาศาสตร์บางคน แต่เป็นไปได้ไหม การขาดแคลนหลักฐานอันแน่นหนาชี้ถึงข้อเท็จจริงที่ว่ามนุษย์มิใช่ผลผลิตของวิวัฒนาการแต่อย่างใด?
ผู้สังเกตการณ์ที่ไม่เข้าข้างใครอาจถามตัวเองว่า มนุษย์วานรที่มีชื่อเสียงตัวอื่นมีหลักฐานพิสูจน์ได้มากกว่า “มนุษย์แห่งออร์เซ” หรือเปล่า?. * ดังที่ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นอย่างเพียงพออยู่แล้ว วิทยาศาสตร์สามารถนำมนุษย์ไปสู่ความจริงได้ แต่นักวิทยาศาสตร์จะปราศจากความผิดพลาดก็หามิได้. เป็นเช่นนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความลำเอียงทางการเมือง, ทางปรัชญา และความลำเอียงส่วนบุคคลเข้ามาทำให้ประเด็นคลุมเครือ—และเมื่อหลักฐานเพียงน้อยนิดถูกนำมาใช้เพื่อพยายามอธิบายเรื่องราวมากมาย.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 21 สำหรับรายละเอียดการวิเคราะห์มนุษย์วานรตัวอื่น ดูได้จากบทที่ 9 ของหนังสือ ชีวิต—เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? โดยวิวัฒนาการหรือมีผู้สร้าง? พิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่งนิวยอร์ก.
[รูปภาพหน้า 22]
บน: แบบจำลองเศษชิ้นส่วนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 7.5 เซนติเมตรของสิ่งที่เชื่อกันว่าเป็น “มนุษย์แห่งออร์เซ”
ขวา: ภาพเขียนมนุษย์โบราณที่สมมุติขึ้นตามจินตนาการของนักวิวัฒนาการ