แบบอย่างความสัตย์ซื่อของคุณพ่อ
แบบอย่างความสัตย์ซื่อของคุณพ่อ
นั่นเป็นวันที่ 6 กรกฎาคม 1947 และครอบครัวของเรากำลังเข้าร่วมการประชุมภาคของพยานพระยะโฮวาในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ. คุณพ่อน้ำตาคลอเบ้าด้วยความยินดี ขณะที่ยื่นมือมาช่วยผมขึ้นจากสระบัพติสมา. คุณพ่อกับผมเพิ่งรับบัพติสมา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์การอุทิศตัวของเราแด่พระยะโฮวา พระผู้สร้างและองค์บรมมหิศรแห่งเอกภพ. คุณแม่, พี่ชาย, และน้องชายสองคนก็อยู่ด้วยในโอกาสที่มีความสุขนี้.
แต่น่าเศร้า เอกภาพของครอบครัวในการนมัสการแบบคริสเตียนนั้นไม่ช้าก็พังทลาย. แต่ก่อนที่จะเล่าถึงเรื่องนี้และเล่าถึงความสัตย์ซื่อของคุณพ่อว่ามีผลกระทบต่อผมอย่างไรนั้น ขอให้ผมเล่าถึงชีวิตในวัยเยาว์ของคุณพ่อสักเล็กน้อย.
ภูมิหลังทางตะวันออก-ตะวันตก
คุณพ่อของผมชื่อเลสเตอร์ เกิดในฮ่องกง เมื่อเดือนมีนาคม 1908. คุณปู่เป็นผู้ช่วยผู้คุมท่าเรือ. ตอนที่คุณพ่อเป็นเด็ก คุณปู่จะพาท่านลงเรือไปด้วย เวลาตรวจความเป็นไปรอบเกาะฮ่องกงและเกาะใกล้เคียง. ครั้นแล้ว เมื่อคุณพ่ออายุได้เพียงแปดขวบ คุณปู่ก็เสียชีวิต. จากนั้น คุณย่าก็แต่งงานใหม่ และย้ายครอบครัวไปอยู่เซี่ยงไฮ้. ในปี 1920 คุณย่าพาคุณพ่อกับคุณอาฟิลน้องสาวซึ่งเวลานั้นอายุสิบขวบ ไปเรียนหนังสือที่อังกฤษ.
จากนั้นคุณพ่ออาศัยอยู่หลายปีในบริเวณใกล้ ๆ กับโบสถ์ใหญ่แคนเทอร์เบอรี สำนักงานกลางของคริสต์จักรแองกลิคัน. การเข้าโบสถ์ที่นั่นนับเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้ามาเกี่ยวข้องกับศาสนา. คุณอาฟิลเข้าโรงเรียนประจำ ทางเหนือของลอนดอน แต่คุณอากับคุณพ่อได้มาสนิทกันมากในช่วงนั้น เพราะทั้งสองคนอยู่ด้วยกันในช่วงปิดภาคเรียน. ห้าปีต่อมา คือปี 1925 เมื่อคุณพ่อเรียนจบ คุณย่ากลับมาที่อังกฤษและดูให้แน่ใจว่า คุณพ่อมีความมั่นคงในธุรกิจการงาน. จากนั้น ในปีถัดไป คุณย่ากลับไปที่เซี่ยงไฮ้ โดยพาคุณอาฟิลไปด้วย.
ก่อนจะไป คุณย่าให้หนังสือแก่คุณพ่อเล่มหนึ่ง ซึ่งเขียนโดยทวดของคุณพ่อ. หนังสือนั้นเป็นบทกวีว่าด้วยพุทธประวัติ ซึ่งมีชื่อว่า “ดวงประทีปแห่งเอเชีย” (ภาษาอังกฤษ). สิ่งนี้ทำให้คุณพ่อเริ่มคิดถึงเหตุผลที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่. ที่แคนเทอร์เบอรี ท่านประทับใจในความโอ่อ่าของโบสถ์และความเคร่งขรึมของพิธีทางศาสนา แต่เนื่องจากไม่ได้รับการสอนในสิ่งฝ่ายวิญญาณ ทำให้ท่านมีความรู้สึกที่ว่างเปล่า. ดังนั้น ท่านจึงสงสัยว่า ‘ศาสนาของทางตะวันออกมีคำตอบให้ไหม?’ ท่านตัดสินใจตรวจสอบดู. ในช่วงหลายปีต่อมา ท่านศึกษาศาสนาพุทธ, ชินโต, ฮินดู, ขงจื๊อ, และอิสลาม. ทว่าแต่ละศาสนาไม่สามารถตอบคำถามของท่าน.
คุณพ่ออาศัยอยู่ในกรีฑาสโมสร ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทที่ท่านทำงานให้ และท่านชอบพายเรือ, เล่นรักบี้, และกีฬาอื่น ๆ. ไม่ช้า ท่านก็หลงรักเอ็ดนา สาวสวยซึ่งชอบกีฬาเหมือนกัน. ทั้งสองสมรสกันในปี 1929 และได้บุตรชายสี่คนในช่วงสิบปีต่อมา.
ช่วงสงครามที่สร้างความบอบช้ำ
ระหว่างทศวรรษปี 1930 เมฆทะมึนของสงครามโลกที่สองกำลังก่อตัว ดังนั้น คุณพ่อจึงตัดสินใจย้ายออกจากลอนดอนไปอยู่ชนบท. เราย้ายบ้านเพียงไม่กี่เดือนก่อนสงครามระเบิดขึ้น ในเดือนกันยายน 1939.
เริ่มมีการเกณฑ์ทหารเพื่อออกรบ และอายุเข้าเกณฑ์ค่อย ๆ สูงขึ้นขณะที่สงครามยืดเยื้อออกไป. แทนที่จะรอให้ถูกเกณฑ์ คุณพ่ออาสาสมัครเข้าประจำการในกองทัพอากาศ และถูกเรียกตัวในเดือนพฤษภาคม 1941. แม้ว่าท่านจะลากลับบ้านได้เป็นครั้งคราว แต่ก็เป็นเวลาถึงหกปี กว่าสัมพันธภาพตามปกติในครอบครัวจะมีขึ้นอีกครั้งหนึ่ง. ภาระในการเลี้ยงดูพวกเราที่เป็นลูก—ซึ่งคนโตสองคนเวลานั้นกำลังเป็นวัยรุ่น—จึงตกอยู่กับคุณแม่เพียงคนเดียว.
ความสดชื่นฝ่ายวิญญาณ
ประมาณสองปีก่อนที่คุณพ่อจะปลดประจำการจากกองทัพอากาศ มีพยานพระยะโฮวาสองคนมาเยี่ยมคุณแม่และเริ่มการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับท่าน. คุณแม่เขียนจดหมายถึงคุณพ่อและเล่าให้ฟังว่า ท่านเพลิดเพลินกับสิ่งที่กำลังเรียนรู้สักเพียงใด. ครั้งหนึ่ง เมื่อคุณพ่อลากลับบ้าน คุณแม่พาคุณพ่อไปยังการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลประจำประชาคมในบ้านส่วนตัว.
คุณพ่อปลดประจำการในเดือนธันวาคม 1946 และเริ่มเข้าร่วมกับคุณแม่ในการพิจารณาคัมภีร์ไบเบิลกับสตรีพยานฯสองคน. พยานฯสองคนนี้สังเกตเห็นความสนใจของท่าน จึงให้ เออร์นี บีเวอร์ ผู้ดูแลผู้เป็นประธาน มาเยี่ยมคุณพ่อ. ภายในเย็นวันเดียวเท่านั้นบราเดอร์บีเวอร์ใช้คัมภีร์ไบเบิลตอบข้อคัดค้านทั้งหมดของคุณพ่อ. ในช่วงสองสัปดาห์ต่อมา ขณะที่นั่งรถไฟไปทำงานในลอนดอนแต่ละวัน คุณพ่ออ่านหนังสือสามเล่มที่บราเดอร์บีเวอร์ให้ไว้. เมื่อบราเดอร์บีเวอร์มาเยี่ยมอีกครั้งหนึ่ง คุณพ่อกล่าวต้อนรับเขาด้วยคำพูดว่า “นี่คือความจริงที่ผมแสวงหาอยู่! ผมต้องทำอะไร?”
จากนั้นเป็นต้นมา คุณพ่อเริ่มพาพวกเราลูก ๆ ไปยังการประชุม. อย่างไรก็ตาม คุณแม่ไม่ได้ไปกับเราทุกครั้ง. ความสนใจของท่านเริ่มลดน้อยลง. กระนั้น พวกเราทุกคนไปยังการประชุมใหญ่ในกรุงลอนดอนเดือนกรกฎาคม 1947 ซึ่งคุณพ่อกับผมรับบัพติสมาที่นั่น. จากนั้น คุณแม่ไปยังการประชุมเพียงครั้งคราวเท่านั้น.
ไม่นานหลังจากการรับบัพติสมานั้น คุณอาฟิลมาเที่ยวที่อังกฤษ และยังความยินดีอย่างยิ่งแก่คุณพ่อ คุณอารับความจริงจากคัมภีร์ไบเบิลและรับบัพติสมา. เมื่อเธอกลับไปเซี่ยงไฮ้ เธอติดต่อกับ สแตนลีย์ โจนส์ และ แฮโรลด์ คิง มิชชันนารีสองคนที่เป็นพยานพระยะโฮวา ซึ่งถูกส่งไปที่นั่นไม่นานก่อนหน้านั้น. ต่อมา มิชชันนารีสองคนนี้ถูกรัฐบาลคอมมิวนิสต์ซึ่งมีอำนาจปกครองอยู่สั่งจำคุก เป็นเวลาเจ็ดปีและห้าปีตามลำดับ. ทั้งสองคนนี้ให้ความช่วยเหลือทางฝ่ายวิญญาณแก่คุณอาฟิล จนกระทั่งคุณอาเขยเกษียณอายุจากงานในประเทศจีน. จากนั้น คุณอากับสามีก็กลับมาที่อังกฤษ และตั้งรกรากใกล้กับเรา.
ความแตกร้าวอันน่าเศร้าในครอบครัว
ในเวลาเดียวกัน การสื่อความแท้จริงระหว่างคุณแม่กับคุณพ่อกลายเป็นปัญหา. คุณแม่เห็นความกระตือรือร้นที่คุณพ่อมีต่อความเชื่อใหม่ที่เพิ่งพบ และคิดว่า ความมั่นคงทางวัตถุของครอบครัวคงจะถูกคุกคาม คุณแม่จึงเริ่มต่อต้านกิจกรรมฝ่ายคริสเตียนของคุณพ่อ. ในที่สุด ในเดือนกันยายน 1947 ท่านยื่นคำขาดให้คุณพ่อละทิ้งความเชื่อแบบคริสเตียน ไม่เช่นนั้นท่านจะเป็นฝ่ายไป.
คุณพ่อรู้สึกว่า ท่านได้ปลอบคุณแม่ให้หายกลัวแล้วโดยยกเหตุผลจากพระคัมภีร์ แสดงให้เธอเห็นว่าไม่มีเหตุผลที่จะกลัว. อย่างไรก็ตาม จุดแตกหักก็มาถึงโดยปราศจากเสียงเตือนอีกต่อไป ในวันที่ 1 ตุลาคม 1947. เมื่อคุณพ่อกลับจากงานมาถึงบ้านในวันนั้น ท่านพบบ้านว่างเปล่า แล้วก็ผม ซึ่งนั่งอยู่ตรงบันไดหน้าประตู พร้อมด้วยกระเป๋าเสื้อผ้าของเรา. คุณแม่ไปแล้ว โดยเอาของทุกอย่างไปด้วย รวมทั้งพี่ชายและน้องชายสองคนของผม. ผมบอกคุณพ่อว่า ผมเลือกที่จะอยู่กับท่าน. คุณแม่ไม่ได้ทิ้งข้อความไว้เลย.—มัดธาย 10:35-39.
เออร์นี บีเวอร์ จัดแจงให้เราอยู่กับสามีภรรยาสูงอายุคู่หนึ่ง จนกว่าคุณพ่อจะหาที่พักได้. สามีภรรยาคู่นี้กรุณาเรามากและปลอบประโลมเราด้วยถ้อยคำของอัครสาวกเปาโลที่พระธรรม 1 โกรินโธ 7:15 ที่ว่า “ถ้าแม้คนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อถือพระคริสต์จะไป, ก็ให้เขาไปเถิด พี่น้องชายหญิงเรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นจะผูกมัดผู้ใดให้จำใจอยู่ด้วยกัน แต่พระเจ้าได้ทรงเรียกเราทั้งหลายมาให้อยู่เย็นเป็นสุข.”
ในที่สุด เราติดต่อกับครอบครัวของเราได้และไปเยี่ยมเขา แต่ไม่ช้าก็ตระหนักว่า การอะลุ้มอล่วยความเชื่อของเราจะเป็นหนทางแก้ไขเพียงอย่างเดียวที่คุณแม่ยอมรับ. เรารู้ว่า การอะลุ้มอล่วยจะไม่นำมาซึ่งพระพรจากพระยะโฮวา. ดังนั้น คุณพ่อจึงทำงานอาชีพต่อไป โดยให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่คุณแม่ เพื่อเลี้ยงดูลูก ๆ ซึ่งอยู่กับคุณแม่. เมื่อออกจากโรงเรียนในปี 1947 ผมทำงานบางเวลา และในเดือนมกราคม 1948 ผมถูกรับเข้าทำงานเผยแพร่เต็มเวลา.
การสนทนาเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลที่ยากจะลืมได้
วันหนึ่ง ขณะอยู่ในงานเผยแพร่ ตอนที่ผมยังอายุเพียง 17 ปี ผมคุยกับชายคนหนึ่งที่บ้านพักในฟาร์ม. ขณะที่ผมเยี่ยมที่นั่นอยู่ วินสตัน เชอร์ชิลล์ ผู้นำของอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ก็มาถึง. การสนทนาของผมถูกขัดจังหวะ แต่เชอร์ชิลล์สังเกตเห็นวารสารเดอะ ว็อชเทาเวอร์ และกล่าวชมเชยผมที่ทำงานนี้.
หลายวันต่อมา ผมออกเผยแพร่อีกแล้วก็กดกระดิ่งที่บ้านใหญ่หลังหนึ่ง. หัวหน้าคนรับใช้มาเปิดประตู และเมื่อผมขอพูดกับเจ้าของบ้าน เขาถามว่า ผมทราบไหมว่าเจ้าของบ้านเป็นใคร. ผมไม่ทราบ. เขาบอกว่า “นี่คือชาร์ตเวลล์ บ้านของวินสตัน เชอร์ชิลล์.” ในจังหวะนั้นเอง เชอร์ชิลล์ก็ปรากฏตัว. เขาจำได้ที่เราพบกันก่อนหน้านี้และเชิญผมเข้าไปในบ้าน. เราคุยกันเล็กน้อย และเขารับหนังสือไว้สามเล่มและเชิญผมให้กลับมาอีก.
ต่อมา ตอนบ่ายวันหนึ่งที่อากาศอบอุ่น ผมกลับไปและได้รับเชิญให้เข้าไปในบ้านอีก. เชอร์ชิลล์เชิญให้ผมดื่มน้ำมะนาว และหลังจากทักทายกันสั้น ๆ เขาบอกว่า “ผมจะให้เวลาคุณครึ่งชั่วโมง เพื่อบอกถึงสิ่งที่คุณคิดว่า
ราชอาณาจักรของพระเจ้าหมายถึง แต่หลังจากนั้น คุณจะต้องให้ผมบอกสิ่งที่ผมเชื่อว่าราชอาณาจักรนั้นหมายถึง.” นั่นคือสิ่งที่เราได้ทำ.เชอร์ชิลล์เชื่อว่า ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะได้รับการสถาปนา โดยผ่านทางรัฐบุรุษที่เกรงกลัวพระเจ้า และราชอาณาจักรนั้นจะไม่มีวันมาตั้งอยู่จนกว่ามนุษย์เรียนรู้ที่จะอยู่อย่างสันติ. ผมสามารถอธิบายทัศนะของคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับราชอาณาจักรของพระเจ้าและพระพรต่าง ๆ ที่ราชอาณาจักรนั้นจะนำมา. เชอร์ชิลล์เป็นคนที่มีไมตรีจิต และบ่งบอกว่า เขาเคารพงานของเรา.
น่าเสียดาย ผมไม่สามารถติดต่อเขาได้อีกเลย. แต่ผมปลื้มปีติที่ แม้จะยังอยู่ในวัยรุ่น แต่โดยได้รับการฝึกอบรมและการหนุนใจจากคุณพ่อ ผมสามารถให้คำพยานที่ดีแก่รัฐบุรุษผู้มีชื่อเสียงของโลกเช่นนั้นได้.—บทเพลงสรรเสริญ 119:46.
งานรับใช้ที่ขยายออกไป
ในเดือนพฤษภาคม 1950 คุณแม่เขียนจดหมายมาบอกว่า ท่านกำลังจะอพยพไปแคนาดาและจะพาจอห์น น้องชายคนเล็กไปด้วย. ในเวลานั้น พี่ปีเตอร์และน้องเดวิดเลี้ยงตัวเองได้แล้ว. ดังนั้น หลังจากทำงานกับบริษัทนี้ 18 ปี (ซึ่งรวมทั้งช่วงสงครามที่ท่านยังมีชื่ออยู่ในรายชื่อลูกจ้าง) คุณพ่อยื่นใบลาออกและสมัครทำงานรับใช้เป็นไพโอเนียร์ประจำ. ท่านเริ่มงานเผยแพร่เต็มเวลาในเดือนสิงหาคม 1950 หลังจากที่กลับจากการเข้าร่วมประชุมนานาชาติครั้งใหญ่ของพยานพระยะโฮวาในนิวยอร์ก. จากนั้นเพียงปีเศษ ในเดือนพฤศจิกายน 1951 คุณพ่อถูกแต่งตั้งเป็นผู้ดูแลเดินทางและเริ่มเยี่ยมประชาคมต่าง ๆ เพื่อหนุนกำลังใจ. ระหว่างนั้น ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 1949 ผมได้รับเชิญให้ทำงานที่สำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวาในกรุงลอนดอน อังกฤษ.
จากนั้น พระพรอันล้ำค่าอีกอย่างหนึ่งก็มีมา—คุณพ่อและผมได้รับเชิญให้เข้าชั้นเรียนที่ 20 ของโรงเรียนมิชชันนารีกิเลียดในนิวยอร์ก. การเรียนเริ่มเดือนกันยายน 1952 และเราสำเร็จการศึกษาในเดือนกุมภาพันธ์ถัดมา. จากนั้น ผมได้ทำงานที่สำนักงานกลางของพยานพระยะโฮวาในบรุกลิน นิวยอร์ก ขณะที่คุณพ่อถูกส่งออกไปฐานะผู้ดูแลเดินทางในรัฐอินเดียนา.
ชั้นเรียนที่ 20 ทั้งชั้นถูกรั้งไว้ก่อนที่จะไปยังงานมอบหมายมิชชันนารีของเรา เพื่อจะได้เข้าร่วมการประชุมนานาชาติในนครนิวยอร์กเดือนกรกฎาคม. ผมเกิดถูกใจเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งมาก ชื่อ เค วิตสัน และเราตกลงใจแต่งงานกัน. เราได้รับมอบหมายงานเดินทางเยี่ยมในรัฐมิชิแกน และสองปีต่อมา เราได้รับงานมอบหมายมิชชันนารีในไอร์แลนด์เหนือ.
อย่างไรก็ตาม ขณะถึงกำหนดจะออกเดินทางโดยเรือ เคพบว่าเธอตั้งครรภ์. ดังนั้น เราจึงเริ่มงานมอบหมายอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ การเลี้ยงดูลูกชายคนหนึ่งและลูกสาวสามคน ให้กลายเป็นผู้เผยแพร่เต็มเวลาที่ประสบผลสำเร็จ อย่างที่คุณพ่อเคยฝึกอบรมผม. ในเดือนพฤศจิกายน 1953 คุณพ่อออกเดินทางไปแอฟริกา และในวันที่ 4 มกราคม 1954 ก็ไปถึงงานมอบหมายมิชชันนารีของท่านในประเทศโรดีเซียใต้ (ปัจจุบันคือซิมบับเว).
คุณพ่อมีอะไรมากมายต้องเรียนรู้—วิถีชีวิตใหม่, ธรรมเนียมใหม่ และการทดลองแนวใหม่ต่อความเชื่อ.
ย้อนไปในปี 1954 โรดีเซียใต้ไม่ได้รับผลกระทบจากวิถีชีวิตแบบตะวันตกมากนัก. หลังจากปีหนึ่งในสำนักงานสาขา คุณพ่อถูกส่งออกไปในงานที่ต้องเดินทางฐานะผู้ดูแลภาค. ท่านถูกเรียกกลับมาที่สำนักงานสาขาอีกครั้งหนึ่งในปี 1956. ท่านรับใช้ที่นั่นจนกระทั่งเสียชีวิตในวันที่ 5 กรกฎาคม 1991. ท่านเห็นผู้ที่ทำงานในสาขา เพิ่มจำนวนขึ้นจาก 5 คนในปี 1954 จนถึงกว่า 40 คนและจำนวนผู้ประกาศราชอาณาจักรจาก 9,000 คนจนถึงกว่า 18,000 คน.ชีวิตบั้นปลายของคุณพ่อและคุณแม่
คุณพ่อและคุณแม่ไม่เคยหย่ากัน. หลังจากที่ออกจากอังกฤษ คุณแม่อยู่ในแคนาดาระยะหนึ่ง แล้วย้ายไปที่สหรัฐกับจอห์น. ไม่มีพี่น้องของผมคนใดเข้ามาเป็นพยานฯ. อย่างไรก็ตาม มีพยานฯมาพบคุณแม่กลางทศวรรษปี 1960. จากนั้นในปี 1966 ท่านย้ายไปยังเมืองมอมบาซา ประเทศเคนยา ซึ่งท่านเริ่มการศึกษาอีกครั้งหนึ่งที่นั่น. อย่างไรก็ตาม ในปีถัดไป ท่านป่วยเป็นโรคประสาท.
พี่ปีเตอร์และน้องเดวิด จัดการให้คุณแม่ไปอังกฤษ ซึ่งท่านได้รับการรักษาที่นั่น. คุณแม่หายเป็นปกติ และอีกครั้งหนึ่ง ท่านเริ่มศึกษากับพวกพยานฯ. คุณลองนึกถึงความปีติยินดีของคุณพ่อเมื่อคุณแม่เขียนไปบอกว่า ท่านกำลังจะรับบัพติสมา ณ การประชุมภาคในกรุงลอนดอนปี 1972. ผมกับภรรยาบินจากสหรัฐเพื่ออยู่กับคุณแม่ตอนที่ท่านรับบัพติสมา.
ในปีถัดไป คุณพ่อมีสิทธิลาพักผ่อนได้ และเมื่ออยู่ในอังกฤษ ท่านมีความสุขที่ได้ทำงานร่วมกับคุณแม่ในงานเผยแพร่ตามบ้าน. จากนั้น คุณพ่อมาเยี่ยมครอบครัวของเราในสหรัฐ. คุณพ่อและคุณแม่หารือเรื่องการคืนดีกัน แต่คุณแม่บอกว่า “เราแยกกันอยู่นานเกินไป. จะเป็นการยาก. ให้เราคอยจนกระทั่งโลกใหม่ เมื่อทุกสิ่งเรียบร้อย.” ดังนั้น คุณพ่อจึงกลับไปยังงานมอบหมายของท่าน. ความเจ็บป่วยของคุณแม่ตอนที่อยู่ในเคนยาทิ้งรอยบอบช้ำไว้ และผลสุดท้าย ท่านต้องอยู่ในโรงพยาบาล และเสียชีวิตที่นั่นในปี 1985.
ในปี 1986 คุณพ่อเริ่มป่วยหนัก ดังนั้น พี่ปีเตอร์กับผมจึงไปเยี่ยมท่านที่บ้านในประเทศซิมบับเว. การทำเช่นนี้หนุนใจท่านมาก และดูเหมือนว่าเป็นการชุบชีวิตท่านใหม่. พี่น้องแอฟริกากรุณาผมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เพราะผมเป็นลูกชายของคุณพ่อเลสเตอร์! แท้ที่จริง แบบอย่างของคุณพ่อมีอิทธิพลในเชิงก่อ ต่อทุกชีวิตที่ท่านเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย.
ตอนนี้ ผมเกิดล้มป่วยเสียเอง. แพทย์บอกว่า ผมจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน. พวกเขาบอกว่า ผมเป็นแอมิลอยโดซิส โรคซึ่งน้อยคนจะเป็นและถึงตายได้. อย่างไรก็ตาม ผมมีความสุขที่ลูก ๆ ติดตามแบบอย่างของผม อย่างที่ผมติดตามแบบอย่างของคุณพ่อผู้สัตย์ซื่อ. ลูกทุกคนยังคงรับใช้พระยะโฮวาด้วยความซื่อสัตย์ภักดีด้วยกันกับเรา. ช่างเป็นการปลอบประโลมที่ทราบว่า ไม่ว่าเราจะมีชีวิตอยู่หรือตายไป เรามีความหวังแน่นอนที่จะได้รับพระพรอันล้ำค่าตลอดไปจากพระบิดาฝ่ายสวรรค์ที่สำแดงความรัก เพราะเราทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์ด้วยความสัตย์ซื่อ! (เฮ็บราย 6:10)—เล่าโดยไมเคิล เดวี. *
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 39 วันที่ 22 มิถุนายน 1993 ขณะที่บทความนี้กำลังจะเสร็จ ไมเคิล เดวีได้นอนหลับไปในความตาย.
[รูปภาพหน้า 25]
ซ้าย: คุณพ่อคุณแม่กับพี่ชายและผม
[รูปภาพหน้า 26]
ผมสามารถพูดกับวินสตัน เชอร์ชิลล์ ค่อนข้างละเอียดเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า
[ที่มาของภาพ]
USAF photo
[รูปภาพหน้า 27]
คุณพ่อเลสเตอร์ ไม่นานก่อนท่านเสียชีวิต
[รูปภาพหน้า 28]
กับเค ภรรยาของผม