ผมพบความมั่งคั่งที่แท้จริงในออสเตรเลีย
ผมพบความมั่งคั่งที่แท้จริงในออสเตรเลีย
ตอนนั้นเป็นเดือนเมษายน 1971. ผมเพิ่งจะกลับมาประเทศกรีซได้ไม่นานเพื่อเยี่ยมครอบครัวของผม. มันเป็นเวลาเย็น และผมกำลังนั่งเงียบ ๆ อยู่ที่โต๊ะกาแฟในจัตุรัสของหมู่บ้านคารีเอส เมื่อบาทหลวงประจำท้องถิ่นและนายกเทศมนตรีมานั่งประจันผม. เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องการมาหาเรื่อง.
โดยไม่มีแม้คำทักทายใด ๆ บาทหลวงคนนั้นกล่าวหาว่า ผมอพยพไปออสเตรเลียเพียงเพื่อจะหาเงิน. หากจะบอกว่าผมตะลึงงัน ก็คงจะน้อยไป. ผมตอบด้วยอาการสงบเท่าที่เป็นได้ว่า ขณะที่อยู่ในออสเตรเลียผมได้ความมั่งคั่งที่มีค่ายิ่งกว่าเงินเสียอีก.
คำตอบของผมทำให้เขาประหลาดใจ แต่แล้วเขาก็ต้องการทราบว่าผมหมายถึงอะไร. ผมตอบว่า นอกเหนือจากสิ่งอื่น ๆ แล้ว ผมได้เรียนรู้ว่าพระเจ้ามีพระนาม. “และนี่คือสิ่งหนึ่งที่คุณไม่ได้สอนผม” ผมบอกพร้อมกับจ้องตาเขาเขม็ง. ก่อนที่เขาจะทันโต้กลับ ผมก็ถามว่า “คุณจะกรุณาบอกผมถึงพระนามของพระเจ้าได้ไหม พระนามที่พระเยซูทรงอ้างถึงเมื่อพระองค์สอนเราให้อธิษฐานในคำอธิษฐานอันเป็นแบบฉบับที่ว่า ‘ขอให้พระนามของพระองค์ เป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์’?”—มัดธาย 6:9.
เรื่องเกี่ยวกับการโต้เถียงแพร่ไปในจัตุรัสของหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว และภายในสิบนาทีผู้คนประมาณ 200 ก็มามุงดู. บาทหลวงคนนั้นเริ่มรู้สึกอึดอัด. เขาไม่ตอบคำถามของผมเกี่ยวกับพระนามของพระเจ้า และเขายังให้คำตอบที่ไม่มีน้ำหนักสำหรับคำถามอื่น ๆ เกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล. ความอับอายของเขาแสดงออกมาด้วยการเรียกหาบริกรอยู่บ่อย ๆ เพื่อเติมอูโซ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของกรีก ให้เขาอีก.
สองชั่วโมงที่น่าสนใจได้ผ่านไป. คุณพ่อมาตามหาผม แต่เมื่อท่านเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ท่านจึงนั่งเงียบ ๆ อยู่ที่มุมหนึ่งและคอยสังเกตฉากเหตุการณ์. การถกกันอย่างถึงพริกถึงขิงยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่ง 23:30 น. เมื่อคนเมาคนหนึ่งเริ่มตะโกนอย่างหัวเสีย. ในตอนนั้นเอง ผมแนะฝูงชนว่าดึกแล้ว เราทุกคนควรกลับบ้าน.
อะไรเป็นสาเหตุของการประจันหน้าครั้งนี้? เหตุใดบาทหลวงกับนายกเทศมนตรีจึงพยายามหาเรื่องผม? การรู้พื้นเพเล็กน้อยเกี่ยวกับการเติบโตของผมในแถบนี้ของกรีซจะช่วยให้คุณเข้าใจ.
ความยากลำบากในวัยเด็ก
ผมเกิดที่หมู่บ้านคารีเอสในเปโลปอนนิซอส เมื่อเดือน
ธันวาคม 1940. เรายากจนข้นแค้นสุดขีด และถ้าผมไม่ได้ไปโรงเรียน ผมจะทำงานเคียงข้างคุณแม่ตั้งแต่ตะวันขึ้นจนถึงตะวันตกในนาข้าว ยืนอยู่ในน้ำที่ท่วมสูงถึงหัวเข่า. พอผมเรียนจบชั้นประถมศึกษาเมื่ออายุ 13 ปี คุณพ่อคุณแม่จัดแจงให้ผมไปทำงานเป็นเด็กฝึกงาน. เพื่อให้ผมได้รับการฝึกอบรมเป็นช่างประปาและติดตั้งหน้าต่าง คุณพ่อคุณแม่จึงให้ข้าวสาลี 500 กิโลกรัมและน้ำมันพืช 20 กิโลกรัมแก่นายจ้างของผม ซึ่งเกือบเท่ากับรายได้ทั้งปีของท่านเลยทีเดียว.ชีวิตเด็กฝึกงาน—ซึ่งอยู่ไกลบ้านและมักทำงานตั้งแต่รุ่งสางถึงเที่ยงคืน—ไม่ง่ายเลย. บางครั้งผมคิดจะกลับบ้าน แต่ก็ไม่อาจทำเช่นนั้นกับคุณพ่อคุณแม่ได้. ท่านยอมเสียสละอย่างไม่เห็นแก่ตัวถึงขนาดนั้นเพื่อผม. ดังนั้น ผมจึงไม่เคยบอกให้ท่านทราบเกี่ยวกับปัญหาของผม. ผมบอกกับตนเองว่า ‘เจ้าต้องอดทน ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใด.’
ระหว่างช่วงฝึกงานหลายปี ผมสามารถไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่เป็นครั้งคราว และในที่สุดผมก็ฝึกงานจนสำเร็จเมื่ออายุได้ 18 ปี. จากนั้น ผมก็ตัดสินใจไปกรุงเอเธนส์เมืองหลวง ที่ซึ่งโอกาสจะได้งานทำมีมากกว่า. ที่นั่น ผมได้งานและเช่าห้องอยู่. แต่ละวันหลังเลิกงาน ผมกลับบ้าน, ทำอาหารรับประทานเอง, ทำความสะอาดห้อง, และต่อจากนั้นก็ใช้เวลาว่างที่มีอยู่เล็กน้อยเรียนภาษาอังกฤษ, เยอรมัน, และอิตาลี.
การพูดคุยและพฤติกรรมในทางผิดศีลธรรมของเด็กหนุ่มอื่น ๆ ทำให้ผมไม่สบายใจ ผมจึงหลีกเลี่ยงการคบหาสมาคมกับพวกเขา. แต่การทำเช่นนี้ทำให้ผมรู้สึกอ้างว้าง. เมื่อผมอายุครบ 21 ปี ผมถูกเกณฑ์ทหาร ในระหว่างนั้นผมยังคงเรียนภาษาต่อไป. และแล้วในเดือนมีนาคม 1964 หลังจากปลดประจำการ ผมได้ย้ายถิ่นไปอยู่ออสเตรเลีย โดยตั้งรกรากในกรุงเมลเบิร์น.
การสืบค้นศาสนาในดินแดนใหม่
ไม่ช้า ผมก็ได้งาน แล้วได้พบสาวกรีกคนหนึ่ง ชื่ออะเล็กซานดรา ซึ่งย้ายถิ่นมาอยู่เหมือนกัน และภายในหกเดือนหลังจากที่ผมมาถึง เราก็แต่งงานกัน. หลายปีต่อมา คือในปี 1969 สตรีสูงอายุคนหนึ่ง ซึ่งเป็นพยานพระยะโฮวา มาเยี่ยมที่บ้านของเรา และได้จำหน่ายวารสารหอสังเกตการณ์ และตื่นเถิด! ไว้. ผมเห็นว่าวารสารดังกล่าวน่าสนใจ ผมจึงเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัย โดยสั่งภรรยาของผมว่าอย่าโยนทิ้ง. หนึ่งปีต่อมา พยานฯอีกสองคนได้มาเยี่ยมและเสนอการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลที่บ้านโดยไม่คิดมูลค่า. ผมตอบรับ และสิ่งที่ผมเรียนรู้จากพระคัมภีร์เป็นสิ่งที่ผมแสวงหาอยู่ทีเดียว เพื่อเติมความรู้สึกว่างเปล่าที่เคยมีอยู่ในชีวิตของผมให้เต็ม.
ทันทีที่เพื่อนบ้านของผมทราบว่าผมกำลังศึกษากับพวกพยานฯ เธอแนะให้ไปหานิกายอิแวนเจลิสต์ โดยอ้างว่าเป็นศาสนาที่ดีกว่า. ผลก็คือ ผมได้เริ่มศึกษากับผู้อาวุโสคนหนึ่งจากคริสตจักรอิแวนเจลิสต์ด้วย. ไม่ช้า ผมเริ่มเข้าร่วมการประชุมของทั้งพวกอิแวนเจลิสต์และพวกพยานฯเพราะผมตั้งใจแน่วแน่ที่จะหาศาสนาแท้ให้พบ.
ในเวลาเดียวกัน เพื่อความเป็นธรรมที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบกรีก ผมจึงเริ่มฝักใฝ่ศาสนาออร์โทด็อกซ์ลึกซึ้งยิ่งขึ้น. วันหนึ่ง ผมไปที่โบสถ์ของกรีกออร์โทด็อกซ์สามแห่งด้วยกัน. เมื่อผมอธิบายจุดมุ่งหมายของการเยี่ยมที่โบสถ์แห่งแรก บาทหลวงค่อย ๆ พาไปที่ประตู. ขณะเดียวกันก็อธิบายว่า เราเป็นชาวกรีก และด้วยเหตุนี้จึงเป็นการผิดที่จะคบหาไม่ว่ากับพวกพยานฯหรือกับอิแวนเจลิสต์.
เจตคติของเขาทำให้ผมประหลาดใจ แต่ผมคิดว่า ‘บาทหลวงคนนี้อาจจะไม่ใช่ตัวแทนที่ดีของคริสตจักรก็ได้.’ ที่ผมคาดไม่ถึงก็คือ บาทหลวงในโบสถ์แห่งที่สองมีปฏิกิริยาคล้ายคลึงกัน. อย่างไรก็ตาม เขาบอกผมว่า มีชั่วโมงศึกษาคัมภีร์ไบเบิลซึ่งนำโดยนักเทววิทยาที่โบสถ์ของเขาทุกเย็นวันเสาร์. เมื่อผมลองไปโบสถ์แห่งที่สาม ผมก็ยิ่งผิดหวังเข้าไปอีก.
อย่างไรก็ตาม ผมตัดสินใจเข้าร่วมในชั่วโมงศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ณ โบสถ์แห่งที่สอง โดยไปที่นั่นในวันเสาร์ถัดมา. ผมเพลิดเพลินที่ได้ติดตามการอ่านพระธรรมกิจการจากคัมภีร์ไบเบิล. เมื่ออ่านถึงตอนที่โกระเนเลียวหมอบแทบเท้ากราบไหว้เปโตร นักเทววิทยาคนนั้นกิจการ 10:24-26) ตอนนี้เอง ผมยกมือและบอกว่าผมมีคำถาม.
ขัดจังหวะการอ่านและชี้ให้เห็นว่าเปโตรทำถูกต้องแล้วที่ปฏิเสธการนมัสการจากโกระเนเลียว. (“ครับ คุณสงสัยอะไรหรือ?”
“เอาละ ถ้าอัครสาวกเปโตรไม่ยอมรับการนมัสการจากใคร แล้วเหตุใดเราจึงมีรูปของท่านและนมัสการรูปนั้นล่ะ?”
ทุกคนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ. ครั้นแล้วราวกับถูกถล่มด้วยลูกระเบิด. อารมณ์ก็ลุกเป็นไฟทันที และมีเสียงร้องถามว่า “คุณมาจากไหน?” เป็นเวลาสองชั่วโมงที่มีการโต้เถียงกันอย่างดุเดือดด้วยเสียงตะโกนดังลั่น. ในที่สุด ขณะที่ผมกำลังจะไป เขาก็ยื่นหนังสือเล่มหนึ่งให้ผมนำกลับบ้าน.
เมื่อผมเปิดอ่าน ถ้อยคำแรกที่ผมเห็นก็คือ “เราเป็นชาวกรีก และศาสนาของเราได้หลั่งเลือดเพื่อปกปักรักษาขนบประเพณีเอาไว้.” ผมทราบว่า พระเจ้าไม่ได้เป็นของชาวกรีกเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ผมจึงตัดความสัมพันธ์กับคริสตจักรกรีกออร์โทด็อกซ์ทันที. ตั้งแต่นั้นมา ผมศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพวกพยานฯเท่านั้น. ในเดือนเมษายน 1970 ผมแสดงสัญลักษณ์ของการอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาด้วยการรับบัพติสมาในน้ำ และหกเดือนต่อมาภรรยาของผมก็รับบัพติสมา.
ติดต่อกับบาทหลวงประจำหมู่บ้าน
เมื่อใกล้จะถึงปลายปีนั้น บาทหลวงจากหมู่บ้านที่เป็นบ้านเกิดของผมในประเทศกรีซส่งจดหมายขอให้ผมส่งเงินเพื่อช่วยซ่อมแซมโบสถ์ประจำหมู่บ้าน. แทนที่จะส่งเงินไป ผมกลับส่งหนังสือความจริงซึ่งนำไปสู่ชีวิตถาวรพร้อมกับจดหมายที่อธิบายว่าขณะนี้ผมเป็นพยานพระยะโฮวา และเชื่อว่าผมพบความจริงแล้ว. เมื่อได้รับจดหมายของผม เขาประกาศในโบสถ์ว่า ผู้ที่ย้ายถิ่นไปทำงานในออสเตรเลียคนหนึ่งทรยศเสียแล้ว.
ภายหลัง บรรดาคุณแม่ซึ่งมีลูกชายอยู่ในออสเตรเลียคอยเฝ้าถามบาทหลวงคนนั้นว่าเป็นลูกชายของตนหรือไม่. คุณแม่ของผมถึงกับไปที่บ้านของเขาและขอร้องให้เขาบอกท่าน. เขาบอกว่า “น่าเสียดาย เป็นลูกชายของคุณ.” ต่อมา คุณแม่บอกผมว่า ท่านอยากให้เขาฆ่าท่านเสียยังดีกว่าบอกท่านเรื่องอย่างนี้เกี่ยวกับผม.
กลับประเทศกรีซ
หลังจากที่เรารับบัพติสมา ภรรยาและผมอยากกลับประเทศกรีซ เพื่อบอกครอบครัวและเพื่อน ๆ ของเราถึงสิ่งดี ๆ ที่เราได้เรียนรู้จากคัมภีร์ไบเบิล. ดังนั้นในเดือนเมษายน 1971 พร้อมด้วยดิมิเทรีย ลูกสาววัยห้าขวบ เราได้เดินทางกลับเพื่อการพักผ่อนที่ยืดเวลายาว โดยอาศัยอยู่ในเมืองคีพาริสเซีย อยู่ห่างจากหมู่บ้านคารีเอสบ้านเกิดของผมประมาณ 30 กิโลเมตร. ตั๋วเครื่องบินไปกลับของเราใช้ได้สำหรับการพักอาศัยหกเดือน.
ในคืนที่สองที่เรากลับบ้าน คุณแม่เริ่มร้องไห้และบอกผมพร้อมด้วยน้ำตานองหน้าว่า ผมเลือกทางผิดและทำให้ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลเสื่อมเสีย. ท่านร้องไห้สะอึกสะอื้น และอ้อนวอนผมให้หันจากทาง “ผิด” ของผมเสีย. แล้วท่านก็เป็นลมล้มฟุบในอ้อมแขนของผม. วันถัดมา ผมพยายามหาเหตุผลกับท่าน โดยอธิบายว่าผมเพียงแต่มีความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับพระเจ้าที่ท่านได้สอนพวกเราด้วยความรักตั้งแต่วัยทารก. ในเย็นวันถัดมา ผมก็เผชิญกับบาทหลวงประจำท้องถิ่นและนายกเทศมนตรี ซึ่งเป็นเหตุการณ์นั้นที่ต้องจดจำไปนาน.
น้องชายของผมสองคน ซึ่งอยู่ในกรุงเอเธนส์ มาอยู่ที่บ้านในช่วงเทศกาลอีสเตอร์. เขาทั้งสองพยายามหลบหน้าผม ราวกับผมเป็นโรคเรื้อนยังไงยังงั้น. อย่างไรก็ตาม วันหนึ่งน้องคนโตเริ่มฟัง. หลังจากการถกกันหลายชั่วโมง เขาบอกว่าเห็นด้วยกับทุกสิ่งที่ผมแสดงให้เห็นจากคัมภีร์ไบเบิล. ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาปกป้องผมต่อหน้าสมาชิกคนอื่น ๆ ของครอบครัว.
หลังจากนั้น ผมมักจะไปที่เอเธนส์เพื่ออยู่กับน้องชายคนนี้. แต่ละครั้งที่ผมไป เขาจะเชิญครอบครัวอื่น ๆ ให้มาฟังข่าวดี. ผมปีติยินดีมากที่เขาและภรรยาพร้อมด้วยอีกสามครอบครัวที่เขานำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลด้วย ในเวลาต่อมาได้แสดงสัญลักษณ์ของการอุทิศตัวแด่พระเจ้าด้วยการรับบัพติสมาในน้ำ!
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และไม่นานก่อนที่ระยะ
เวลาหกเดือนจะสิ้นสุดลง พยานฯคนหนึ่งซึ่งรับใช้ในประชาคมที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านของเรา 70 กิโลเมตรได้มาเยี่ยม. เขาชี้ว่างานประกาศในบริเวณนั้นต้องการความช่วยเหลือ และถามว่าผมเคยคิดที่จะอยู่ถาวรไหม. คืนนั้น ผมพิจารณาความเป็นไปได้กับภรรยา.เราทั้งสองเห็นพ้องกันว่าคงเป็นการยากที่จะอยู่. แต่เห็นชัดว่ามีความจำเป็นมากที่ประชาชนจะได้ยินความจริงจากคัมภีร์ไบเบิล. ในที่สุด เราตัดสินใจที่จะอยู่อย่างน้อยปีหรือสองปี. ภรรยาของผมจะกลับไปออสเตรเลียเพื่อขายบ้านและรถยนต์ และนำข้าวของกลับมาเท่าที่เธอจะทำได้. เมื่อตัดสินใจแล้ว เราจึงเข้าเมืองในเช้าวันรุ่งขึ้นและเช่าบ้านหลังหนึ่ง. เราได้พาลูกสาวไปสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาประจำท้องถิ่นด้วย.
การต่อต้านระเบิดขึ้น
ไม่ช้า เกือบจะถือได้ว่ามีการประกาศสงครามกับเรา. การต่อต้านมาจากตำรวจ, ครูใหญ่, และครู. ที่โรงเรียน ดิมิเทรียจะไม่ทำสัญลักษณ์ไม้กางเขน. เจ้าหน้าที่โรงเรียนเรียกตำรวจมาคนหนึ่งเพื่อพยายามทำให้เธอกลัวจะได้ทำตาม แต่เธอยืนหยัดมั่นคง. ผมถูกเรียกไปพบครูใหญ่ และเขาเอาจดหมายจากอาร์ชบิชอปให้ผมดู ซึ่งสั่งให้ผมพาดิมิเทรียออกไป. อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ผมถกกับครูใหญ่เสียยืดยาว เธอก็ได้รับอนุญาตให้อยู่ต่อไปในโรงเรียน.
ต่อมา ผมทราบว่ามีสามีภรรยาคู่หนึ่งในคีพาริสเซีย ซึ่งเคยเข้าร่วมการประชุมใหญ่ของพยานพระยะโฮวา และเราสามารถทำให้เขาทั้งสองกลับสนใจขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง. ภรรยาและผมยังเชิญพวกพยานฯจากหมู่บ้านใกล้เคียงแห่งหนึ่งให้มาที่บ้านของเราเพื่อศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. อย่างไรก็ตาม ไม่นานตำรวจก็มาจับเราไปโรงพักหมดทุกคนเพื่อสอบปากคำ. ผมถูกข้อหาว่าใช้บ้านเป็นสถานที่นมัสการโดยไม่ได้รับอนุญาต. แต่เรายังคงประชุมต่อไปเพราะเราไม่ถูกคุมขัง.
แม้ผมจะได้รับการเสนองานให้ทำ แต่ทันทีที่บิชอปทราบเรื่องนี้ เขาก็ข่มขู่ว่าจะให้คนมาปิดร้านนายจ้างของผมถ้าไม่ไล่ผมออก. มีการประกาศขายร้านรับติดตั้งท่อประปาและรางน้ำ และเราสามารถซื้อได้. แทบจะทันทีทันใด บาทหลวงสองคนก็มาพร้อมกับข่มขู่ว่าจะปิด
กิจการของเรา และไม่กี่สัปดาห์ต่อมา อาร์ชบิชอปมีคำสั่งออกมาว่าครอบครัวของเราถูกบัพพาชนียกรรม (ตัดออกจากศาสนา). ในเวลานั้น ใครก็ตามที่ถูกบัพพาชนียกรรมจากคริสตจักรกรีกออร์โทด็อกซ์จะไม่มีใครคบหาเลย. เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งถูกจัดให้อยู่หน้าร้านของเรา เพื่อกันไม่ให้ใคร ๆ เข้ามา. แม้ไม่มีลูกค้า เราก็ยังดันทุรังเปิดร้านทุกวัน. ไม่ช้า สภาพที่เราถูกบีบกลายเป็นเรื่องโจษขานกันไปทั่วเมือง.ถูกจับและถูกพิจารณาคดี
เสาร์วันหนึ่ง ผมกับอีกคนหนึ่งออกเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์เพื่อให้คำพยานในเมืองใกล้เคียง. ที่นั่น ตำรวจสกัดเราไว้และพาไปยังโรงพัก ที่ซึ่งเราถูกกักขังตลอดสุดสัปดาห์. เช้าวันจันทร์ เราถูกนำตัวกลับไปที่คีพาริสเซียโดยทางรถไฟ. ข่าวที่ว่าเราถูกจับแพร่ออกไป และฝูงชนมาออกันที่สถานีรถไฟเพื่อรอดูเรามาถึงพร้อมตำรวจควบคุมตัว.
หลังจากมีการพิมพ์ลายนิ้วมือ เราก็ถูกพาตัวไปหาอัยการ. เขาเริ่มพิจารณาคดีด้วยการบอกว่า เขาจะอ่านออกเสียงข้อกล่าวหา ซึ่งมีการรวบรวมจากชาวบ้านที่ถูกตำรวจสอบปากคำ. ข้อกล่าวหาประการแรกคือ “พวกเขาบอกเราว่า พระเยซูคริสต์ได้เป็นกษัตริย์แล้วในปี 1914.”
“คุณไปได้ความคิดประหลาดนี้มาจากไหน?” อัยการถามอย่างชวนหาเรื่อง.
ผมก้าวไปข้างหน้าและหยิบคัมภีร์ไบเบิลที่เขามีบนโต๊ะ และเปิดไปที่พระธรรมมัดธายบท 24 และเสนอแนะให้เขาอ่าน. เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็หยิบคัมภีร์ไบเบิลขึ้นมาอ่าน. หลังจากอ่านไปได้สองสามนาที เขาได้พูดอย่างตื่นเต้นว่า “เฮ้ ถ้านี่เป็นความจริง ผมก็ควรสละทุกสิ่งและบวชเสีย!”
“ไม่ใช่” ผมบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ. “คุณควรเรียนรู้ความจริงในคัมภีร์ไบเบิลแล้วช่วยผู้อื่นให้พบความจริงเช่นกัน.”
ทนายความสองสามคนมาถึง และเราสามารถให้คำพยานแก่พวกเขาบางคนในช่วงวันนั้นด้วย. แต่น่าขัน สิ่งนี้ยังผลด้วยข้อหาอีกกระทงหนึ่ง—พยายามโน้มน้าวผู้อื่นให้เปลี่ยนศาสนา!
ในปีนั้น เรามีคดีที่ศาลสามคดี แต่ในที่สุดเราพ้นผิดทุกข้อหา. ชัยชนะดูเหมือนจะทำลายความเย็นชาตราบเท่าที่เกี่ยวข้องกับเจตคติของผู้คนที่มีต่อเรา. ตั้งแต่นั้น พวกเขาเริ่มเข้าหาเราอย่างสะดวกใจยิ่งขึ้นและฟังสิ่งที่เราพูดเกี่ยวกับราชอาณาจักรของพระเจ้า.
ในที่สุด กลุ่มการศึกษาเล็ก ๆ ในบ้านของเราที่คีพาริสเซียก็ถูกก่อตั้งเป็นประชาคม. คริสเตียนผู้ปกครองคนหนึ่งถูกย้ายมาที่ประชาคมใหม่ของเรา และผมถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้รับใช้ในประชาคม. ไม่ช้า พยานฯขยันขันแข็ง 15 คนก็เข้าร่วมการประชุมในบ้านของเราเป็นประจำ.
กลับไปออสเตรเลีย
หลังจากเวลาผ่านไปสองปีกับสามเดือน เราก็ตัดสินใจกลับออสเตรเลีย. เวลาที่นี่ผ่านไปเร็วเหลือเกิน. ดิมิเทรียลูกสาวของผมยังคงรักษาความเชื่อ และแต่งงานกับผู้รับใช้ที่รับการแต่งตั้งในประชาคมเมลเบิร์น. เวลานี้ ผมทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองในประชาคมภาษากรีกที่เมลเบิร์น ที่ซึ่งภรรยาและมาร์ธาลูกสาวอายุ 15 ปีร่วมสมทบด้วย.
ประชาคมเล็ก ๆ ในคีพาริสเซียที่เราจากมา บัดนี้เติบโตขึ้นมาก และผู้ที่ควรแก่การช่วยเหลือเป็นจำนวนมากที่นั่นได้เปิดหัวใจของตนต่อความจริงในคัมภีร์ไบเบิล. ระหว่างช่วงฤดูร้อนของปี 1991 ผมแวะเยี่ยมที่ประเทศกรีซเป็นเวลาสองสามสัปดาห์ และให้คำบรรยายสาธารณะในคีพาริสเซีย มีผู้เข้าฟัง 70 คน. น่าดีใจ มาเรียน้องสาวของผมได้เข้าเป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวาทั้ง ๆ ที่ครอบครัวต่อต้าน.
ผมรู้สึกขอบคุณที่ในออสเตรเลียผมมีโอกาสได้รับความมั่งคั่งแท้—ซึ่งเป็นความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้ายะโฮวา พระผู้สร้างของเรา และการปกครองแห่งราชอาณาจักรของพระองค์. เวลานี้ ชีวิตของผมมีจุดมุ่งหมายแท้ อีกทั้งครอบครัวและผมรอคอยอนาคตอันใกล้ที่จะได้เห็นพระพรต่าง ๆ แห่งรัฐบาลของพระเจ้าทางภาคสวรรค์แผ่ไปทั่วโลก.—เล่าโดยจอร์จ คัตซีคาโรนีส.
[รูปภาพหน้า 17]
คีพาริสเซียที่ที่ผมอาศัยอยู่ภายหลังกลับจากออสเตรเลีย
[รูปภาพหน้า 17]
กับอะเล็กซานดรา ภรรยาของผม