ครอบครัวไร้พ่อ—การยุติวัฏจักรนี้
ครอบครัวไร้พ่อ—การยุติวัฏจักรนี้
ถ้าแนวโน้มในปัจจุบันยังดำเนินต่อไป อีกไม่นานครอบครัวไร้พ่อก็จะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา. รายงานหนึ่งจากกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษยชนของสหรัฐ อ้างว่า “เด็กที่ถูกเลี้ยงดูโดยบิดาหรือมารดาไร้คู่มักจะได้คะแนนต่ำกว่า, มีปัญหาด้านพฤติกรรมมากกว่า, และมีอัตราความผิดปกติเรื้อรังด้านสุขภาพและจิตใจสูงกว่า. . . . การถูกเลี้ยงดูในครอบครัวที่มีเพียงมารดา เพิ่มความเสี่ยงมากขึ้นต่อการมีลูกในวัยรุ่น, ออกจากโรงเรียนก่อนจบมัธยมปลาย, [และ] การถูกจำคุก.”
ดังนั้น แทบไม่แปลกใจที่นักสังคมศาสตร์, ผู้ให้คำปรึกษาด้านครอบครัว, ครูอาจารย์, และกระทั่งนักการเมือง พยายามหาหนทางอย่างเต็มที่เพื่อหยุดยั้งแนวโน้มที่ก่อความเสียหายนี้. มีการจัดงานชุมนุมใหญ่ ๆ สำหรับผู้ชายเพื่อกระตุ้นให้เกิดความภูมิใจในความเป็นพ่อและเพื่อตอกย้ำพันธะที่ผู้ชายพึงมีต่อครอบครัว. หนังสือเกี่ยวกับการเป็นพ่อมีเกลื่อนตลาด. มีการพยายามบีบบังคับให้ผู้เป็นพ่อเอาใจใส่หน้าที่รับผิดชอบของตนด้วยซ้ำ. ในสหรัฐ “พ่อที่ไม่ยอมอุปการะเลี้ยงดูลูก” ถูกประณามโดยผู้พิพากษา, ถูกโจมตีโดยรายการสนทนาทางทีวี, และกระทั่งถูกเหยียดหยามโดยสาธารณชน. กระนั้น ความพยายามดังกล่าวได้ผลเพียงเล็กน้อย.
การแก้ปัญหาแบบรวดเร็วทันใจ
วิธีแก้ปัญหาแบบรวดเร็วทันใจอาจยังผลไม่แน่นอนเช่นกัน. ยกตัวอย่าง ผู้หญิงที่หย่าร้างอาจรีบแต่งงานใหม่ โดยหวังจะให้ลูกของเธอมีพ่อใหม่. แม้การแต่งงานใหม่อาจเป็นประโยชน์ แต่ก็อาจก่อปัญหาได้. บางครั้ง ลูกไม่ยอมรับคนใหม่เป็นพ่อของตน. บางทีพวกเขาไม่ยอมรับเลย. การศึกษาวิจัยรายหนึ่งเผยว่า “เกือบสองในสามของผู้หญิงที่อยู่กับพ่อเลี้ยงออกจากบ้านก่อนอายุ 19 ปี . . . แต่ผู้หญิงที่อยู่ในครอบครัวที่ไม่แตกแยกอัตราอยู่ที่ 50 เปอร์เซ็นต์.” แม้ในครอบครัวที่มีพ่อเลี้ยงซึ่งเข้ากันได้ดี บางครั้งก็ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าพ่อเลี้ยงจะเป็นที่ยอมรับของเด็ก. *
ทำนองเดียวกัน ไม่มีวิธีแก้ปัญหาแบบรวดเร็วทันใจสำหรับการตั้งครรภ์ของวัยรุ่น. ยกตัวอย่าง การทำแท้งเป็นการละเมิดกฎหมายของพระเจ้า อีกทั้งผู้หญิงคนนั้นจะต้องข่มใจไม่เมตตาสงสารชีวิตน้อย ๆ ที่กำลังก่อตัวในครรภ์ของเธอ. (เอ็กโซโด 20:13; 21:22, 23; บทเพลงสรรเสริญ 139:14-16; เทียบกับ 1 โยฮัน 3:17.) เป็นไปได้อย่างไรที่การทำเช่นนี้จะไม่ทิ้งแผลเป็นทางอารมณ์ไว้? หลายคนมองว่าการยกเด็กให้เป็นลูกบุญธรรมเป็นวิธีแก้ที่มีมนุษยธรรมมากกว่า แต่ก็อีกนั่นแหละ อาจทิ้งรอยแผลเป็นทางอารมณ์ไว้ได้—ทั้งต่อแม่และลูก.
เปล่าเลย การแก้ปัญหาแบบรวดเร็วทันใจจะไม่ยุติเอเฟโซ 3:14, 15) พระองค์ทรงทราบดีกว่าใคร ๆ ว่าเด็กต้องการอะไร.
วัฏจักรของครอบครัวไร้พ่อ. จะหยุดยั้งแนวโน้มของครอบครัวในปัจจุบันได้ก็ต่อเมื่อผู้คนเต็มใจเปลี่ยนความคิด, เจตคติ, พฤติกรรม, และศีลธรรมของตนอย่างถอนราก. หากจะกระตุ้นผู้คนให้ทำการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ดังกล่าว จำเป็นต้องมีอะไรมากกว่านี้ ไม่ใช่แค่โวหารเลิศหรูหรือหลักจิตวิทยาที่นิยมกัน. ที่ว่า “อะไรมากกว่านี้” หาพบได้ในคัมภีร์ไบเบิล พระคำของพระเจ้า. จริง ๆ แล้ว พระเจ้าเองเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันครอบครัวขึ้นมา. (หลักการของคัมภีร์ไบเบิลช่วยครอบครัวรับมือได้
แต่คัมภีร์ไบเบิลจะช่วยเด็กที่ไม่มีพ่อได้จริง ๆ หรือ? พวกเขาไม่เสียหายเกินกว่าจะแก้ไขแล้วหรือ? ไม่ ยังแก้ไขได้. ตอนต้นของบทความนี้ เราได้อ้างถึงรายงานหนึ่งของรัฐบาลสหรัฐซึ่งแจกแจงอันตรายหลายประการที่เด็กเหล่านี้เผชิญ. แม้จะใช้ถ้อยคำที่น่าตกใจ แต่รายงานนั้นสรุปว่า “ทั้ง ๆ ที่มีหลักฐานไม่ขาดสายว่าอาจประสบอันตรายได้มากกว่า แต่การวิจัยก็แสดงให้เห็นด้วยว่าเด็กส่วนใหญ่ในครอบครัวที่มีมารดาไร้คู่เติบโตขึ้นอย่างเป็นปกติ.” ใช่แล้ว ผลพวงจากการเป็นลูกไร้พ่อสามารถขจัดได้ หรืออย่างน้อยก็ทำให้ลดลงได้ โดยเฉพาะถ้าใช้หลักการของคัมภีร์ไบเบิลในการเลี้ยงลูก.
ทั้งนี้มารดาไร้คู่จำต้องออกแรงอย่างหนัก ซึ่งตอนแรกอาจดูเหมือนเหลือกำลัง. แต่ถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว คุณก็อาจเรียนรู้ที่จะหมายพึ่งพระยะโฮวาพระเจ้าอย่างเต็มที่ได้. (สุภาษิต 3:1, 2) สตรีคริสเตียนบางคนในสมัยคัมภีร์ไบเบิลก็เผชิญสถานการณ์ที่น่าเศร้า เช่น การเป็นม่าย. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงบุคคลเหล่านี้ว่า “ผู้หญิงที่เป็นแม่ม่ายอย่างแท้จริง และถูกทิ้งให้สิ้นเนื้อประดาตัว ฝากความหวังกับพระเจ้าและมุ่งหน้าไม่ละลดในการอ้อนวอน และอธิษฐานทั้งกลางวันและกลางคืน.” (1 ติโมเธียว 5:5, ล.ม.) โปรดจำไว้ว่าพระยะโฮวาเรียกพระองค์เองว่า “บิดาของเด็กชายกำพร้าพ่อ.” (บทเพลงสรรเสริญ 68:5, ล.ม.) คุณมั่นใจได้ว่าพระองค์จะทรงอุปถัมภ์เหล่าสตรีที่ยำเกรงพระเจ้าซึ่งพยายามเลี้ยงดูลูก ๆ ของเธอ.
การนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลประจำครอบครัวกับลูก ๆ อย่างสม่ำเสมอเป็นวิธีสำคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยพวกเขาให้โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่อาวุโสและหนักแน่นมั่นคง. (พระบัญญัติ 6:6-9) ท่ามกลางพยานพระยะโฮวา มารดาไร้คู่หลายคนใช้สรรพหนังสือต่าง ๆ ที่อาศัยคัมภีร์ไบเบิลซึ่งทำขึ้นสำหรับเยาวชนโดยเฉพาะ อย่างเช่น หนังสือคำถามที่หนุ่มสาวถาม—คำตอบที่ได้ผล. * ข้อมูลในหนังสือดังกล่าวช่วยลูกให้พัฒนามาตรฐานทางศีลธรรมซึ่งอาจช่วยพวกเขาให้หลีกเลี่ยงการทำผิดแบบที่พ่อแม่เคยทำ. เมื่อลูกได้มารู้จักพระยะโฮวาพระเจ้า พวกเขาก็อาจเริ่มรับรู้ว่าตนมีพระบิดาฝ่ายสวรรค์ผู้ทรงใฝ่พระทัยเขาอย่างลึกซึ้ง. (บทเพลงสรรเสริญ 27:10) สิ่งนี้สามารถช่วยเขาให้รับมือกับความรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง. เด็กหญิงชาวบริเตนคนหนึ่งซึ่งพ่อแม่แยกทางกันเล่าว่า “ตลอดเวลาที่ผ่านมา คุณแม่พร่ำสอนฉันให้สำนึกถึงความจำเป็นของการอธิษฐานและการหมายพึ่งพระยะโฮวาสุดหัวใจ. นี่แหละช่วยเราให้รับมือได้.”
การรักษาความผูกพันระหว่างพ่อกับลูก
คัมภีร์ไบเบิลบอกอย่างชัดเจนว่า บุตรต้องให้เกียรติทั้งมารดาและ บิดาของตน. (เอ็กโซโด 20:12) และการหย่าร้างไม่ได้ตัดความผูกพันระหว่างพ่อกับลูก. ถึงแม้อดีตสามีไม่ได้อยู่ในบ้านเดียวกันอีกต่อไป แต่เด็ก ๆ ยังคงได้รับประโยชน์จากการมีสายสัมพันธ์อันอบอุ่นกับเขาได้. * ปัญหาคือว่า ผู้เป็นแม่อาจรู้สึกโกรธเขาและไม่พอใจที่เขามายุ่งกับลูก ๆ. ผู้เป็นแม่จะรับมือกับความรู้สึกนี้ได้อย่างไร?
คัมภีร์ไบเบิลให้คำแนะนำที่ดีโดยเตือนว่า ‘จงระวังอย่าให้ความโกรธโน้มน้าวใจเจ้าให้กระทำด้วยเจตนาร้าย . . . จงระวังอย่าหันไปสู่สิ่งซึ่งทำให้เกิดผลเสียหาย.’ (โยบ 36:18-21, ล.ม.) จริงอยู่ ไม่ง่ายที่จะพูดด้วยความกรุณาเกี่ยวกับคนที่ทำให้คุณเจ็บปวดหรือทอดทิ้งคุณ. แต่ขอให้ถามตัวเองว่า ‘เด็กผู้หญิงสามารถเรียนรู้ที่จะไว้วางใจผู้ชายได้ไหมถ้าเธอได้รับการกรอกหูอยู่ทุกวี่ทุกวันว่าพ่อเป็นคนไม่ดีเพียงไร? เด็กชายจะพัฒนาบุคลิกภาพแบบลูกผู้ชายที่หนักแน่นมั่นคงได้อย่างไรถ้าเขาถูกดุด่า ว่า “แกมันเหมือนพ่อไม่มีผิด”? เด็ก ๆ จะมีทัศนะที่ถูกต้องต่ออำนาจได้ไหมถ้าพวกเขาถูกสอนให้ชิงชังพ่อหรือถูกห้ามไม่ให้พบหน้าพ่อเลย?’ เห็นได้ชัดว่า การบ่อนทำลายสายสัมพันธ์ฉันพ่อลูกของคุณนั้นก่อความเสียหาย.
คุณอาจประหลาดใจก็ได้ที่ทราบว่า คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้ตำหนิความขุ่นเคืองแบบที่ชอบธรรม. คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “โกรธเถิด และถึงกระนั้นก็อย่าทำบาป.” (เอเฟโซ 4:26, ล.ม.) การโกรธไม่บาป แต่บาปอยู่ที่การถูกครอบงำโดย “การโกรธแค้น, การมีโทโส, การชั่ว, การพูดหยาบช้า.” (โกโลซาย 3:8, ล.ม.) ดังนั้น จงหลีกเลี่ยงการพูดโจมตีพ่อต่อหน้าลูก. ถ้าคุณรู้สึกว่าจำเป็นต้องเผยความข้องขัดใจออกมา ก็ให้ติดตามคำแนะนำของคัมภีร์ไบเบิลที่ให้ระบาย “ความกระวนกระวาย” ของคุณ แต่ควรระบายกับคนอื่นที่ไม่ใช่ลูก อาจเป็นเพื่อนที่คุณไว้ใจก็ได้. (สุภาษิต 12:25, ฉบับแปลใหม่) พยายามรักษาเจตคติในทางบวกและหลีกเลี่ยงการจมอยู่กับอดีต. (ท่านผู้ประกาศ 7:10) การทำเช่นนี้ช่วยบรรเทาความโกรธของคุณได้มากทีเดียว.
สุดท้าย โปรดจำไว้ว่า คัมภีร์ไบเบิลสั่งให้บุตรนับถือบิดา ถึงแม้การประพฤติของผู้เป็นบิดาไม่น่านับถือ. (เอเฟโซ 6:2, 3) ดังนั้น พยายามช่วยลูกของคุณให้มองความผิดพลาดของพ่อตามความเป็นจริง. หญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งเติบโตในครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกัน พูดว่า “โดยการมองคุณพ่อตามความเป็นจริง—คือเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์ที่ทำผิดพลาดได้—ในที่สุดฉันก็รับได้.” โดยสนับสนุนลูกของคุณให้นับถือพ่อ คุณก็ช่วยพวกเขาให้พัฒนาทัศนะที่ดีต่ออำนาจการเป็นบิดามารดาของคุณ!
สำคัญเช่นกันที่คุณจะไม่ทำให้ขอบเขตระหว่างคุณกับลูกคลุมเครือ. พวกเขายังคงอยู่ใต้ ‘ข้อบังคับของมารดาของเขา.’ (สุภาษิต 1:8, ล.ม.) ลูกชายอาจรู้สึกว่าหนักเกินไปถ้าเขาถูกคาดหมายให้เป็น ‘พ่อบ้าน.’ ลูกสาวก็เช่นกัน อาจรับไม่ไหวหากต้องรับหน้าที่เป็นที่ปรับทุกข์ของแม่. ลูกจำเป็นต้องได้รับการยืนยันว่าคุณผู้เป็นแม่จะดูแลพวกเขา—ไม่ใช่เขาดูแลคุณ. (เทียบกับ 2 โกรินโธ 12:14.) การรับรองเช่นนี้จะทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัย ถึงแม้สภาพการณ์ของครอบครัวไม่เป็นอย่างที่วาดหวังไว้.
ตัวแทนพ่อ
จะว่าอย่างไรถ้าพ่อไปจากครอบครัวโดยไม่หวนกลับมาอีกเลย? พวกผู้เชี่ยวชาญบอกว่า เด็กก็อาจได้ประโยชน์จากการสมาคมกับผู้ชายคนอื่น. แม้การใส่ใจด้วยความกรุณาที่ผู้เป็นลุงหรืออาหรือเพื่อนบ้านให้กับเด็กอาจก่อผลดีบางอย่าง แต่เขาจะได้รับประโยชน์เป็นพิเศษจากการคบหาสมาคมที่ดีกับผู้ชายในประชาคมคริสเตียน. พระเยซูทรงสัญญาว่า ประชาคมจะเป็นเหมือนครอบครัวที่คอยเกื้อหนุน.—มาระโก 10:29, 30.
ในสมัยคัมภีร์ไบเบิลชายหนุ่มติโมเธียวเติบโตเป็นผู้รับใช้ที่โดดเด่นของพระเจ้าโดยไม่มีพ่อที่เชื่อถือคอยเกื้อหนุน. คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าแม่และยายที่เปี่ยมด้วยความรักช่วยท่านอย่างมากในเรื่องนี้. (กิจการ 16:1; 2 ติโมเธียว 1:1-5) แต่ท่านก็ได้ประโยชน์เช่นกันจากการคบหาสมาคมกับชายคริสเตียนผู้หนึ่ง นั่นคือ อัครสาวกเปาโล. ท่านเปาโลเรียกติโมเธียวว่า “บุตรที่รักและซื่อสัตย์ของข้าพเจ้าในองค์พระผู้เป็นเจ้า.” (1 โกรินโธ 4:17, ล.ม.) คล้ายกับสมัยนี้ พยานพระยะโฮวาได้รับการสนับสนุนให้เชื่อฟังคำแนะนำของคัมภีร์ไบเบิลที่ให้ “เอาใจใส่ดูแลลูกกำพร้าและหญิงม่าย.” (ยาโกโบ 1:27, ล.ม.) พวกเขาได้รับการกระตุ้นให้ ‘ช่วยชีวิตเด็กชายกำพร้าพ่อ’ โดยให้ความสนใจอย่างสมดุลและจริงใจต่อคนเหล่านี้. (โยบ 29:12, ล.ม.) หญิงสาวคนหนึ่งชื่อแอนเนต จำได้ถึงความเอาใจใส่อย่างเหมาะสมที่ผู้ปกครองคริสเตียนแสดงกับเธอครั้งยังเยาว์วัย เธอพูดว่า “เขาเป็นเหมือนพ่อแท้ ๆ คนเดียวที่ฉันเคยมี.”
การยุติวัฏจักร
หลักการเหล่านี้สามารถช่วยเด็กไร้พ่อให้ประสบความสำเร็จได้. ถึงแม้พวกเขามีวัยเด็กที่เสียเปรียบ แต่ก็สามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เกิดผลและหนักแน่นมั่นคง อีกทั้งเป็นบิดามารดาที่มีความรัก, ซื่อสัตย์, และสำนึกในหน้าที่รับผิดชอบ. กระนั้น การป้องกันก็ดีกว่าการแก้เป็นไหน ๆ. และที่สุดแล้ว วัฏจักรแห่งครอบครัวไร้พ่อจะยุติได้ก็ต่อเมื่อชายและหญิงตกลงกันที่จะนำคัมภีร์ไบเบิลไปใช้ในชีวิต เช่น โดยยึดมั่นกับข้อห้ามของคัมภีร์ไบเบิลเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ก่อนสมรส และโดยติดตามมาตรฐานของคัมภีร์ไบเบิลที่วางไว้สำหรับสามีและภรรยา.—1 โกรินโธ 6:9; เอเฟโซ 5:21-33.
ทุกวันนี้แม้เด็กหลายคนมีพ่ออยู่บ้านแต่ก็ยังถูกเรียกว่าเด็กไร้พ่อได้. ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งพูดถึงปัญหาครอบครัวดังนี้: “ปัญหาใหญ่ที่ . . . เด็กสมัยนี้เผชิญอยู่ก็คือ บิดามารดาไม่ได้ให้เวลาและความสนใจ.” พระคำของพระเจ้ากล่าวถึงปัญหานี้อย่างตรงไปตรงมา. คัมภีร์ไบเบิลสั่งบิดาเกี่ยวด้วยเรื่องบุตรดังนี้: “จงสั่งสอน, และแก้ไขพวกเขา ตามการอบรมเลี้ยงดูแบบคริสเตียน.” (เอเฟโซ 6:4, นิว อิงลิช ไบเบิล; สุภาษิต 24:27) เมื่อพ่อติดตามคำแนะนำของคัมภีร์ไบเบิล ลูกก็ไม่กลัวว่าจะถูกทอดทิ้ง.
กระนั้น สอดคล้องกับความเป็นจริงไหมที่จะเชื่อว่าผู้คนจะหันเข้าหาคัมภีร์ไบเบิลกันเป็นจำนวนมาก? คงไม่. (มัดธาย 7:14) แต่พยานพระยะโฮวาก็ได้ช่วยหลายล้านคนให้พบความสุขในชีวิตครอบครัวโดยโครงการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลตามบ้าน. * แน่ละ คัมภีร์ไบเบิลเตือนว่า คู่สมรสทุกคู่ จะประสบ “ความลำบากในเนื้อหนังของตน” เนื่องจากความไม่สมบูรณ์. (1 โกรินโธ 7:28, ล.ม.) แต่ผู้ที่นับถือพระคำของพระเจ้าอย่างแท้จริงจะหาทางแก้ปัญหาของตน โดยไม่ด่วนหย่าร้างเมื่อความยุ่งยากส่อเค้าขึ้น. ต้องยอมรับว่า มีบางครั้งที่คริสเตียนอาจคิดว่าเหมาะสมที่จะแยกกันอยู่หรือกระทั่งหย่าร้างกัน. (มัดธาย 5:32) อย่างไรก็ตาม การรู้ว่าสิ่งนี้อาจก่อผลกระทบที่เป็นไปได้ต่อลูก ๆ ของตนจะกระตุ้นคริสเตียนให้หาทางกอบกู้สายสมรสหากสามารถทำได้.
การติดตามคัมภีร์ไบเบิลไม่เพียงรักษาครอบครัวของคุณในปัจจุบันนี้ไว้เท่านั้น แต่ยังอาจช่วยทุกคนในครอบครัวให้มีหนทางที่จะมีชีวิตตลอดไปได้ด้วย! พระเยซูตรัสว่า “นี่แหละหมายถึงชีวิตนิรันดร์ คือการที่เขารับเอาความรู้ต่อ ๆ ไปเกี่ยวกับพระองค์ ผู้เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และเกี่ยวกับผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา คือพระเยซูคริสต์.” (โยฮัน 17:3, ล.ม.) การอ่านและการนำคำแนะนำที่พบในคัมภีร์ไบเบิลไปใช้ เป็นวิธีที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งที่รับประกันได้ว่าครอบครัวของคุณจะคงอยู่ตลอดไปไม่แตกสลาย.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 5 ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อพ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยงมีอยู่ในหอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 มีนาคม 1999 ซึ่งเป็นวารสารที่ออกคู่กับวารสารนี้.
^ วรรค 11 จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่งนิวยอร์ก.
^ วรรค 13 ยกเว้นเมื่อเด็กตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกทำร้ายทางกายหรือทางเพศจากผู้เป็นพ่อ.
^ วรรค 24 หนังสือเคล็ดลับสำหรับความสุขในครอบครัว (จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่งนิวยอร์ก.) มีคำแนะนำมากมายที่อาศัยคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลักซึ่งอาจช่วยครอบครัวได้. คุณสามารถรับได้จากพยานพระยะโฮวาประจำท้องถิ่น.
[ภาพหน้า 8, 9]
โดยติดตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิล มารดาไร้คู่สามารถเลี้ยงลูกได้อย่างประสบผลสำเร็จ
[ภาพหน้า 10]
บ่อยครั้งชายคริสเตียนสามารถ ‘ช่วยชีวิตเด็กชายกำพร้าพ่อ’ ได้โดยแสดงความเอาใจใส่อย่างจริงใจและเหมาะสมต่อพวกเขา