ข้ามไปยังเนื้อหา

ข้ามไปยังสารบัญ

มีความหวังที่สดใสแม้จะทุพพลภาพ

มีความหวังที่สดใสแม้จะทุพพลภาพ

มี​ความ​หวัง​ที่​สดใส​แม้​จะ​ทุพพลภาพ

เล่า​โดย​คอนสแตนติน โมรอซอฟ

เมื่อ​วัน​ที่ 20 กรกฎาคม 1936 ตอน​ที่​ผม​ลืม​ตา​ดู​โลก ไม่​มี​กระดูก​แข็ง​สัก​ชิ้น​ใน​ร่าง​กาย​ของ​ผม นอก​จาก​กะโหลก​ศีรษะ​และ​กระดูก​สัน​หลัง. โครง​กระดูก​ทั้ง​หมด​ของ​ผม​เป็น​กระดูก​อ่อน​ซึ่ง​แข็ง​พอ ๆ กับ​กระดูก​อ่อน​ที่​ใบ​หู​ของ​ผู้​ใหญ่. ผม​หนัก​ไม่​ถึง​ครึ่ง​กิโลกรัม. สิ่ง​ที่​แสดง​ว่า​มี​ชีวิต​มี​เพียง​หัวใจ​ที่​เต้น​อ่อน ๆ, ลม​หายใจ​แผ่ว ๆ, และ​การ​กระดุกกระดิก​เล็ก​น้อย.

ผม​เป็น​ลูก​คน​ที่​เจ็ด​ใน​บรรดา​พี่​น้อง​เก้า​คน​ใน​ครอบครัว​ซึ่ง​อยู่​ที่​หมู่​บ้าน​ซารา ใน​อูลยานอฟสค์ ออบลาสต์ ที่​ใจ​กลาง​ประเทศ​รัสเซีย. เมื่อ​ผม​อายุ​สาม​สัปดาห์ คุณ​พ่อ​คุณ​แม่​พา​ผม​ไป​โบสถ์​เพื่อ​รับ​บัพติสมา. บาทหลวง​รีบ​พรม​น้ำ​ให้​ผม​แล้ว​บอก​พวก​ท่าน​ให้​พา​ผม​กลับ​บ้าน​เร็ว​ที่​สุด​เท่า​ที่​จะ​เป็น​ไป​ได้ เนื่อง​จาก​เขา​บอก​ว่า​ผม​กำลัง​จะ​ตาย​ใน​อีก​ไม่​กี่​ชั่วโมง.

ใน​เดือน​มกราคม 1937 คุณ​พ่อ​คุณ​แม่​พา​ผม​ไป​กรุง​คาซาน นคร​หลวง​ของ​สาธารณรัฐ​โซเวียต​ตาตาร์สถาน เพื่อ​ไป​หา​แพทย์​ผู้​เชี่ยวชาญ​บาง​คน. ตอน​นั้น ผม​พูด​คำ​ว่า “มามา,” “ปาปา,” และ“บาบูชกา” (คุณ​ยาย) ได้​แล้ว และ​ผม​รู้​จัก​ชื่อ​พวก​พี่​น้อง​ของ​ผม​ด้วย. หลัง​จาก​ที่​หมอ​ตรวจ​แล้ว พวก​เขา​ก็​บอก​คุณ​พ่อ​คุณ​แม่​ผม​ว่า​ผม​จะ​ตาย​ภาย​ใน​หนึ่ง​ปี. พวก​เขา​แนะ​นำ​ให้​ฆ่า​ผม​และ​เก็บ​ผม​ไว้​ใน​โถ​แก้ว​ให้​นัก​ศึกษา​แพทย์​ดู. ผม​รู้สึก​ขอบคุณ​คุณ​พ่อ​คุณ​แม่​ที่​รัก​ของ​ผม​สัก​เพียง​ไร​ที่​ปฏิเสธ​เด็ดขาด!

วัย​เด็ก​ที่​ทน​ทุกข์​ทรมาน

เท่า​ที่​ผม​จำ​ความ​ได้ ร่าง​กาย​ของ​ผม​ทรมาน​ด้วย​ความ​เจ็บ​ปวด​อยู่​เสมอ. ถึง​กระนั้น แม้​ตอน​ที่​ผม​เป็น​เด็ก ผม​ก็​จะ​พยายาม​มอง​โลก​ใน​แง่​ดี หัวเราะ​บ่อย ๆ และ​เพลิดเพลิน​กับ​ชีวิต. นี่​เป็น​อุปนิสัย​ที่​ผม​รักษา​ไว้​อยู่​เสมอ. โครง​กระดูก​ของ​ผม​ค่อย ๆ แข็งแรง​ขึ้น และ​ผม​สามารถ​นั่ง​และ​คลาน​ได้​เล็ก​น้อย. ผม​ไม่​ได้​โต​ขึ้น​เหมือน​เด็ก​ปกติ​และ​มี​ร่าง​กาย​ที่​ผิด​รูป​ไป​มาก. แต่​ผม​เป็น​นัก​เรียน​ที่​มี​ความ​สามารถ และ​เมื่อ​อายุ​ได้​ห้า​ขวบ ผม​ก็​สามารถ​อ่าน​และ​เขียน​ได้.

ใน​เดือน​พฤษภาคม 1941 คุณ​แม่​พา​ผม​ไป​โบสถ์​เป็น​ครั้ง​ที่​สอง. มี​หลาย​คน​อยู่​ที่​นั่น และ​ทุก​คน​กำลัง​คุกเข่า​อธิษฐาน. ผู้​หญิง​ซึ่ง​เป็น​เจ้าหน้าที่​ต้อนรับ​ใน​โบสถ์​มา​หา​คุณ​แม่​ถาม​ว่า​ทำไม​จึง​ไม่​คุกเข่า. เมื่อ​คุณ​แม่​ให้​เธอ​ดู​ผม เธอ​ไป​พูด​กับ​บาทหลวง. เมื่อ​กลับ​มา เจ้าหน้าที่​คน​นั้น​พา​เรา​ไป​ที่​ทาง​ออก​และ​บอก​ให้​คุณ​แม่​วาง​ผม​ไว้​นอก​ประตู​และ​กลับ​เข้า​มา​คน​เดียว. เธอ​อ้าง​ว่า​เนื่อง​จาก​บาป​ของ​คุณ​พ่อ​คุณ​แม่​ผม ผม​จึง​ถูก​มอบ​ให้​ท่าน​โดย “ผู้​เป็น​มลทิน.” คุณ​แม่​กลับ​บ้าน​ด้วย​น้ำตา​คลอ​เบ้า. ผม​คิด​เรื่อง​นี้​เป็น​เวลา​นาน. ผม​สงสัย​ว่า ‘ใคร​คือ “ผู้​เป็น​มลทิน” คน​นี้?’

ใน​ปี 1948 เมื่อ​ผม​อายุ 12 ขวบ คุณ​แม่​พา​ผม​ไป​หมู่​บ้าน​เมเรงกี ใน​สาธารณรัฐ​ชูวัช ประมาณ 80 กิโลเมตร​จาก​บ้าน​ของ​เรา. ที่​นั่น​มี​บ่อ​น้ำ​แร่​รักษา​โรค และ​คุณ​แม่​หวัง​ว่า​น้ำ​นั้น​อาจ​รักษา​ผม​ได้. เงื่อนไข​อย่าง​หนึ่ง​ที่​บาทหลวง​ตั้ง​ไว้​เพื่อ​ผม​จะ​หาย​โรค​คือ ผม​ต้อง​อด​อาหาร​เป็น​เวลา​สาม​วัน. แล้ว​ไป​รับ​ศีล​มหา​สนิท​ใน​โบสถ์​อีก​ด้วย. แม้​ผม​ไม่​ได้​เชื่อใจ​โบสถ์​มาก​นัก แต่​ผม​ก็​ยอม​รับ​เงื่อนไข​นั้น. สำหรับ​ผม​แล้ว การ​เดิน​ทาง​นั้น​ยาว​ไกล​และ​ยาก​ลำบาก แต่​ผม​ก็​อด​ทน และ​พยายาม​ชื่นชม​กับ​ความ​งดงาม​ของ​ทิว​ทัศน์.

โบสถ์​เต็ม​ไป​ด้วย​ผู้​คน. ขณะ​ที่​คุณ​แม่​กำลัง​อุ้ม​ผม​ฝ่า​ฝูง​ชน หญิง​ชรา​ยื่น​ลูก​กวาด​ให้​ผม​เม็ด​หนึ่ง. ผม​รับ​มา​และ​ใส่​กระเป๋า​ไว้. เมื่อ​ถึง​คราว​ที่​ผม​จะ​รับ​ศีล​มหา​สนิท หญิง​ชรา​คน​นั้น​ร้อง​ว่า “คุณ​พ่อ​คะ อย่า​ให้​เขา​รับ​ศีล​มหา​สนิท! เขา​เพิ่ง​กิน​ลูก​กวาด​ไป​เม็ด​หนึ่ง!” ผม​อธิบาย​ว่า​ลูก​กวาด​นั้น​ยัง​อยู่​ใน​กระเป๋า​ของ​ผม แต่​บาทหลวง​ตะโกน​ว่า “เจ้า​ตัว​ประหลาด​โอหัง! แก​ต้อง​โกหก​ด้วย​หรือ? เอา​มัน​ออก​ไป​จาก​โบสถ์!” อย่าง​ไร​ก็​ตาม ใน​วัน​ต่อ​มา บาทหลวง​อีก​คน​หนึ่ง​ประกอบ​พิธี​ศีล​มหา​สนิท​และ​ชำระ​ตัว​ผม​ด้วย​น้ำ “อัศจรรย์.” แต่​ไม่​มี​การ​อัศจรรย์. ความ​ทุพพลภาพ​ของ​ผม​ยัง​คง​มี​อยู่​ต่อ​ไป.

ความ​สำเร็จ​ทาง​ภูมิ​ปัญญา

แม้​ว่า​ผม​มี​ข้อ​จำกัด​มาก​ทาง​กายภาพ แต่​ใน​ช่วง​วัยรุ่น ผม​มี​เป้าหมาย​หลาย​อย่าง​ทาง​การ​ศึกษา​และ​การ​เสริม​ภูมิ​ปัญญา. ใน​ปี 1956 ผม​เข้า​ร่วม​กับ​คอมโซมอล (สันนิบาต​ยุวคอมมิวนิสต์) และ​ต่อ​มา​ได้​สอน​ประวัติ​ของ​คอมโซมอล แก่​ผู้​ที่​เด็ก​กว่า. ผม​เป็น​สมาชิก​ของ​คณะ​กรรมการ​วัฒนธรรม​และ​เคหสถาน​ใน​สถาน​สงเคราะห์​คน​พิการ และ​ผม​ทำ​หน้า​ที่​เป็น​พนักงาน​วิทยุ​และ​โฆษก​ของ​ที่​นั่น​ด้วย.

นอก​จาก​นั้น ผม​เป็น​บรรณารักษ์​ของ​ห้อง​สมุด​เคลื่อน​ที่​ซึ่ง​มี​เทป​ที่​บันทึก​หนังสือ​ต่าง ๆ สำหรับ​คน​ตา​บอด และ​ผม​ได้​รับ​เลือก​ให้​เป็น​สมาชิก​ใน​คณะ​กรรมาธิการ​ผู้​พิพากษา​ว่า​ด้วย​การ​ต่อ​ต้าน​การ​ใช้​แอลกอฮอล์​อย่าง​ผิด ๆ. ผม​ยัง​เข้า​ร่วม​ใน​ชมรม​ศิลปิน​สมัคร​เล่น, ร้อง​เพลง, และ​เล่น​เครื่อง​ดนตรี​หลาย​ชนิด.

ที่​สถาน​สงเคราะห์​คน​พิการ

ใน​ปี 1957 เมื่อ​ผม​อายุ 21 ปี ความ​ทุพพลภาพ​ทำ​ให้​ผม​ต้อง​เข้า​สถาน​สงเคราะห์​คน​พิการ. กระนั้น ผม​ไม่​ยอม​แพ้. ใน​เดือน​ตุลาคม​ปี 1963 ผม​เดิน​ทาง​ไป​สถาบัน​วิจัย​วิทยาศาสตร์​ด้าน​อวัยวะ​เทียม​แห่ง​กรุง​มอสโก. ที่​นั่น ผม​เข้า​รับ​การ​ผ่าตัด​ทั้ง​หมด 18 ครั้ง​เพื่อ​ให้​ขา​ของ​ผม​เหยียด​ได้​ตรง.

ตอน​แรก ผม​ถูก​ยืด​ขา. แล้ว​เมื่อ​ผ่าน​ไป​แปด​วัน ก็​มี​การ​ผ่าตัด. หลัง​จาก​ผ่าตัด เขา​ใส่​เฝือก​ที่​ขา​ของ​ผม​เพื่อ​ยึด​มัน​ไว้​กับ​ที่​จน​กว่า​จะ​ถึง​การ​ผ่าตัด​ครั้ง​ต่อ​ไป. นาง​พยาบาล​ร้องไห้​เมื่อ​เธอ​เห็น​ว่า​ผม​ทรมาน​มาก​ขนาด​ไหน.

ระหว่าง​สี่​เดือน​ถัด​มา ผม​ฝึก​เดิน​ด้วย​ไม้​ยัน​รักแร้ ซึ่ง​ทำ​ให้​ผม​สามารถ​ยืน​ขึ้น​ได้​สูง​ถึง 110 เซนติเมตร. ผม​หนัก​ประมาณ 25 กิโลกรัม. เมื่อ​ผม​เดิน​ด้วย​ไม้​ยัน​รักแร้​จน​ชำนาญ​แล้ว ผม​ก็​กลับ​ไป​สถาน​สงเคราะห์​คน​พิการ​ใน​ปี 1964. น่า​เสียดาย กระดูก​ขา​ที่​อ่อนแอ​ของ​ผม​ไม่​อาจ​ทาน​น้ำหนัก​ตัว​ของ​ผม​ได้ และ​ไม่​ช้า​ผม​ก็​ต้อง​คลาน​ไป​มา​หรือ​ไม่​ก็​ใช้​เก้าอี้​ล้อ​อีก​ครั้ง​หนึ่ง. เก้าอี้​ล้อ​เป็น​พาหนะ​หลัก​ที่​ผม​จะ​ไป​ไหน​มา​ไหน​จน​กระทั่ง​ทุก​วัน​นี้.

ผม​ไม่​เคย​ไป​โบสถ์​อีก​เลย. คำ​อ้าง​ที่​ว่า​ผม​เกิด​มา​จาก “ผู้​เป็น​มลทิน” ยัง​คง​ทำ​ให้​ผม​ทุกข์​ใจ. ผม​รัก​คุณ​พ่อ​คุณ​แม่​มาก และ​ผม​ไม่​อาจ​ยอม​รับ​ได้​ที่​ว่า​พวก​ท่าน​และ​พระเจ้า​เป็น​ผู้​ที่​ต้อง​รับผิดชอบ​ต่อ​สภาพ​ของ​ผม. ผม​พยายาม​รักษา​ความ​หวัง​ที่​สดใส​เอา​ไว้​แม้​จะ​ประสบ​ความ​ยาก​ลำบาก. ผม​ต้องการ​ทำ​ดี​ต่อ​คน​อื่น และ​ที่​สำคัญ​ที่​สุด ต้องการ​จะ​พิสูจน์​ตัว​ว่า​แม้​แต่​ผม​ก็​ทำ​เช่น​นั้น​ได้.

พึ่ง​ตัว​เอง

ใน​ปี 1970 ผม​แต่งงาน​กับ​ลิเดีย ซึ่ง​เป็น​อัมพาต​บาง​ส่วน​ตั้ง​แต่​เด็ก. เรา​ซื้อ​บ้าน​หลัง​เล็ก ๆ หลัง​หนึ่ง และ​อยู่​ที่​นั่น 15 ปี. ระหว่าง​เวลา​นั้น เรา​ทั้ง​สอง​ทำ​งาน​หา​เลี้ยง​ตัว​เอง. ผม​หัด​ซ่อม​นาฬิกา​และ​อุปกรณ์​ขนาด​เล็ก​อื่น ๆ ที่​ต้อง​ปรับ​ตั้ง​อย่าง​ละเอียด.

ช่วง​หนึ่ง​ผม​ใช้​สุนัข​ที่​ได้​รับ​การ​ฝึก​เพื่อ​ช่วย​ทำ​งาน​ที่​เป็น​ประโยชน์​บาง​อย่าง. ที่​จริง ผม​กับ​ผู้​ฝึก​สุนัข​คน​หนึ่ง​ได้​ประดิษฐ์​บังเหียน​บังคับ​สุนัข​ที่​ทำ​ขึ้น​เป็น​พิเศษ. ผม​มี​สุนัข​สอง​ตัว—ตัว​หนึ่ง​ชื่อ​วุลคาน อีก​ตัว​ชื่อ​พาลมา. พาลมา​เป็น​เพื่อน​ที่​ซื่อ​สัตย์​เป็น​เวลา​หลาย​ปี. ที่​ร้าน​ค้า มัน​จะ​หยิบ​ข้าวของ​ให้​ผม. สิ่ง​เดียว​ที่​มัน​ไม่​ชอบ​คือ​รอ​คิว​ชำระ​เงิน. มัน​จะ​คาบ​กระเป๋า​เงิน​ของ​ผม​ไป และ​ที่​ปลอก​คอ​ของ​มัน​จะ​มี​ตะขอ​เล็ก ๆ สำหรับ​แขวน​ถุง​ใส่​ของ​ของ​ผม.

ใน​ปี 1973 คุณ​แม่​ของ​ผม​ป่วย​หนัก. เนื่อง​จาก​ผม​อยู่​บ้าน​ตลอด​เวลา ผม​กับ​ภรรยา​จึง​ตัดสิน​ใจ​พา​ท่าน​มา​อยู่​กับ​เรา. ตอน​นั้น คุณ​พ่อ​และ​พี่​ชาย​ของ​ผม​ห้า​คน​เสีย​ชีวิต​ไป​แล้ว และ​พี่​น้อง​ของ​ผม​อีก​สาม​คน​ก็​อยู่​ใน​ส่วน​อื่น ๆ ของ​รัสเซีย. ขณะ​ที่​คุณ​แม่​อยู่​กับ​เรา ผม​พยายาม​ทำ​สิ่ง​ที่​ผม​ทำ​ได้​เพื่อ​ท่าน. ใน​ที่​สุด​ท่าน​ก็​เสีย​ชีวิต​เมื่อ​อายุ​ได้ 85 ปี.

ใน​ปี 1978 ผม​ตัดสิน​ใจ​สร้าง​รถ​ของ​ตัว​เอง. หลัง​จาก​ทดลอง​สร้าง​รถ​หลาย​คัน ผม​ก็​มี​รถ​คัน​ที่​เหมาะ. กอง​ตรวจ​ยวดยาน​แห่ง​รัฐ​ใน​ท้องถิ่น​ยอม​ให้​ผม​สอบ​ใบ​ขับ​ขี่​และ​จด​ทะเบียน​รถ​ของ​ผม. ผม​ตั้ง​ชื่อ​มัน​ว่า โอซา (ตัว​ต่อ). ผม​กับ​ภรรยา​ทำ​รถ​พ่วง​เล็ก ๆ ซึ่ง​บรรทุก​ของ​ได้​ถึง 300 กิโลกรัม. เรา​สอง​คน​สามารถ​ไป​ไหน​มา​ไหน​และ​บรรทุก​ของ​ต่าง ๆ ไป​ด้วย​ใน​รถ​คัน​นั้น. เรา​ใช้​รถยนต์​คัน​นี้​จน​ถึง​ปี 1985.

ประมาณ​ช่วง​นี้​ตา​ข้าง​ซ้าย​ของ​ผม​บอด และ​สายตา​ข้าง​ขวา​เริ่ม​เสื่อม​ลง. แล้ว​ลิเดีย​ก็​เริ่ม​ป่วย​เป็น​โรค​หัวใจ. ใน​เดือน​พฤษภาคม​ปี 1985 เนื่อง​จาก​ข้อ​จำกัด​ของ​เรา เรา​จึง​ต้อง​ย้าย​ไป​สถาน​สงเคราะห์​คน​พิการ​ใน​เมือง​ดิมิโทรฟกราด.

เหตุ​ที่​ชีวิต​ของ​ผม มี​ความ​สุข​มาก​ใน​ตอน​นี้

ใน​ฤดู​ร้อน​ปี 1990 พยาน​พระ​ยะโฮวา​มา​เยี่ยม​เรา​ที่​สถาน​สงเคราะห์​คน​พิการ. ผม​รู้สึก​ว่า​สิ่ง​ที่​พวก​เขา​สอน​น่า​สนใจ​มาก. พวก​เขา​ให้​ผม​ดู​บันทึก​เรื่อง​ราว​ใน​กิตติคุณ​ของ​โยฮัน​เกี่ยว​กับ​ชาย​คน​หนึ่ง​ที่​เกิด​มา​ตา​บอด. พระ​เยซู​ตรัส​ถึง​เขา​ว่า “มิ​ใช่​ชาย​คน​นี้​หรือ​บิดา​มารดา​ของ​เขา​ได้​ทำ​บาป.” (โยฮัน 9:1-3, ล.ม.) พวก​เขา​อธิบาย​ให้​ผม​เข้าใจ​ว่า เรา​ได้​รับ​บาป​และ​ความ​เจ็บ​ป่วย​ตก​ทอด​มา​จาก​อาดาม บรรพบุรุษ​ของ​เรา.—โรม 5:12.

แต่​ยิ่ง​กว่า​อะไร​ทั้ง​หมด ผม​ประทับใจ​กับ​ข้อ​เท็จ​จริง​ที่​ว่า​ใน​ที่​สุด​พระเจ้า​จะ​ทรง​รักษา​ทุก​คน​ที่​เจ็บ​ป่วย​ซึ่ง​มี​ชีวิต​อยู่​ภาย​ใต้​การ​ปกครอง​โดย​ราชอาณาจักร​แห่ง​พระ​บุตร​ของ​พระองค์ พระ​เยซู​คริสต์ เมื่อ​อุทยาน​จะ​ได้​รับ​การ​ฟื้นฟู​บน​แผ่นดิน​โลก. (บทเพลง​สรรเสริญ 37:11, 29; ลูกา 23:43; วิวรณ์ 21:3, 4) น้ำตา​แห่ง​ความ​ยินดี​ไหล​จาก​ตา​ของ​ผม และ​ผม​พูด​พึมพำ​ว่า “ความ​จริง ความ​จริง ผม​พบ​ความ​จริง​แล้ว!” ผม​ศึกษา​คัมภีร์​ไบเบิล​กับ​พยาน​พระ​ยะโฮวา​เป็น​เวลา​หนึ่ง​ปี และ​ใน​ปี 1991 ผม​รับ​บัพติสมา​เป็น​สัญลักษณ์​ของ​การ​อุทิศ​ตัว​แด่​พระ​ยะโฮวา​พระเจ้า.

แม้​ว่า​ผม​มี​ความ​ปรารถนา​อย่าง​แรง​กล้า​มาก​ขึ้น​ที่​จะ​รับใช้​พระ​ยะโฮวา​และ​ประกาศ​เกี่ยว​กับ​พระ​ประสงค์​อัน​ยอด​เยี่ยม​ของ​พระองค์ ผม​ก็​เผชิญ​กับ​อุปสรรค​หลาย​อย่าง. ก่อน​หน้า​นี้ ผม​ไม่​จำเป็น​ต้อง​เดิน​ทาง​มาก​นัก แต่​ตอน​นี้​ผม​ต้อง​ออก​ไป​แบ่ง​ปัน​ความ​เชื่อ​ของ​ผม​แก่​คน​อื่น. เขต​ประกาศ​แรก​ของ​ผม​คือ​สถาน​สงเคราะห์​คน​พิการ ซึ่ง​มี​มาก​กว่า 300 คน. เพื่อ​ผม​จะ​ได้​พบ​ปะ​ผู้​คน​มาก​เท่า​ที่​จะ​มาก​ได้ ผม​จึง​ขอ​งาน​มอบหมาย​ที่​ทำ​ใน​ห้อง​ธุรการ.

ทุก ๆ เช้า ผม​จะ​นั่ง​ใน​ที่​ทำ​งาน และ​เอา​ใจ​ใส่​งาน​มอบหมาย. ระหว่าง​ที่​ทำ​งาน ผม​ได้​มา​รู้​จัก​กับ​เพื่อน​ใหม่ ๆ หลาย​คน​ซึ่ง​ผม​ได้​สนทนา​กับ​เขา​อย่าง​เพลิดเพลิน​เกี่ยว​กับ​เรื่อง​ราว​ใน​คัมภีร์​ไบเบิล. หลาย​คน​รับ​หนังสือ​และ​วารสาร​ซึ่ง​ช่วย​พวก​เขา​ให้​เข้าใจ​คัมภีร์​ไบเบิล. ผู้​มา​เยี่ยม​คุ้น​เคย​กับ​การ​ที่​ผม​อ่าน​ให้​เขา​ฟัง​จาก​คัมภีร์​ไบเบิล​และ​สรรพหนังสือ​ที่​อาศัย​คัมภีร์​ไบเบิล​เป็น​หลัก. ตอน​พัก​รับประทาน​อาหาร​กลางวัน บ่อย​ครั้ง​มี​หลาย​คน​มา​ที่​ห้อง​ของ​เรา​ซึ่ง​บาง​เวลา​คน​อื่น​เข้า​ไม่​ได้.

พี่​น้อง​คริสเตียน​ชาย​หญิง​จาก​ประชาคม​แห่ง​พยาน​พระ​ยะโฮวา​ช่วย​ผม​มาก​ใน​งาน​ประกาศ. พวก​เขา​นำ​สรรพหนังสือ​เกี่ยว​กับ​คัมภีร์​ไบเบิล​มา​ให้​ผม​และ​ใช้​เวลา​กับ​เรา​ทั้ง​สอง. พวก​เขา​ยัง​ช่วย​พา​ผม​ไป​หอ​ประชุม​เพื่อ​การ​ประชุม​ประชาคม​ด้วย. พยาน​ฯ คน​หนึ่ง​ซื้อ​มอเตอร์ไซค์​พ่วง​เพื่อ​จะ​พา​ผม​ไป​ไหน​มา​ไหน​ได้. คน​อื่น ๆ ซึ่ง​มี​รถยนต์​ก็​ยินดี​มา​รับ​ผม​ใน​ฤดู​หนาว​อัน​เยือกเย็น.

เนื่อง​จาก​การ​เอา​ใจ​ใส่​ด้วย​ความ​รัก​เช่น​นี้ ผม​จึง​สามารถ​เข้า​ร่วม​การ​ประชุม​ใหญ่ หรือ​การ​สัมมนา​ที่​ให้​ความ​รู้​ของ​พยาน​พระ​ยะโฮวา ใน​หลาย​สิบ​แห่ง​ได้. การ​ประชุม​แห่ง​แรก​สำหรับ​ผม​คือ​การ​ประชุม​นานา​ชาติ​ขนาด​ใหญ่​ใน​กรุง​มอสโก​เดือน​กรกฎาคม 1993 ซึ่ง​มี​ยอด​ผู้​เข้า​ร่วม​ประชุม 23,743 คน​จาก 30 กว่า​ประเทศ. สำหรับ​ผม ที่​จะ​เข้า​ร่วม​การ​ประชุม​นั้น​หมาย​ถึง​การ​เดิน​ทาง​ประมาณ 1,000 กิโลเมตร. นับ​แต่​นั้น​มา​ผม​ไม่​เคย​ขาด​การ​ประชุม​ใหญ่​ของ​ไพร่พล​พระ​ยะโฮวา​เลย.

ฝ่าย​บริหาร​ของ​สถาน​สงเคราะห์​คน​พิการ​นับถือ​ผม​มาก ซึ่ง​ผม​ก็​รู้สึก​ขอบคุณ​มาก. ลิเดีย ภรรยา​ของ​ผม​ซึ่ง​อยู่​ด้วย​กัน​มา 30 ปี​แล้ว​ได้​เกื้อ​หนุน​และ​ช่วยเหลือ​ผม​เช่น​กัน แม้​ว่า​เธอ​ไม่​ได้​มี​ทัศนะ​เรื่อง​ศาสนา​แบบ​เดียว​กับ​ผม. แต่​เหนือ​อื่น​ใด พระ​ยะโฮวา​ทรง​พยุง​ผม​ไว้​ด้วย​พระ​หัตถ์​อัน​ทรง​ฤทธิ์​ของ​พระองค์ และ​ทรง​ประทาน​พระ​พร​อัน​ยอด​เยี่ยม​ให้​แก่​ผม. ไม่​นาน​มา​นี้ ใน​วัน​ที่ 1 กันยายน 1997 ผม​ได้​รับ​การ​แต่ง​ตั้ง​เป็น​ไพโอเนียร์ ซึ่ง​เป็น​ชื่อ​เรียก​ผู้​รับใช้​เต็ม​เวลา​ของ​พยาน​พระ​ยะโฮวา.

มี​หลาย​ครา​ใน​ชีวิต​ที่​หัวใจ​ของ​ผม​เกือบ​จะ​หยุด​เต้น และ​ผม​คง​เสีย​ชีวิต. ตอน​นี้​ผม​มี​ความ​สุข​จริง ๆ ที่​ผม​ยัง​มี​ชีวิต​อยู่​และ​ได้​มา​รู้​จัก​และ​รัก​พระ​ยะโฮวา​พระเจ้า บ่อ​เกิด​แห่ง​ชีวิต! ผม​ต้องการ​จะ​รับใช้​พระองค์​ต่อ ๆ ไป​ร่วม​กับ​พี่​น้อง​ชาย​หญิง​ฝ่าย​วิญญาณ​ของ​ผม​ตลอด​ทั่ว​โลก ตราบ​เท่า​ที่​หัวใจ​ของ​ผม​ยัง​เต้น​อยู่.

[ภาพ​หน้า 20]

กับ​ลิเดีย ภรรยา​ของ​ผม

[ภาพ​หน้า 21]

การ​สอน​นัก​ศึกษา​ใน​สถาน​สงเคราะห์​คน​พิการ