ข้ามไปยังเนื้อหา

ข้ามไปยังสารบัญ

บทเรียนอันยิ่งใหญ่จากเกาะเล็กกระจิริด

บทเรียนอันยิ่งใหญ่จากเกาะเล็กกระจิริด

บทเรียน​อัน​ยิ่ง​ใหญ่​จาก​เกาะ​เล็ก​กระจิริด

ราปานุย อัน​เป็น​ส่วน​ของ​ภูเขา​ไฟ​ซึ่ง​โผล่​ขึ้น​มา​เหนือ​น้ำ​โดย​มี​พื้น​ที่ 170 ตาราง​กิโลเมตร ซึ่ง​โล่ง​เตียน​แทบ​จะ​ปราศจาก​ต้น​ไม้ นับ​เป็น​ผืน​แผ่นดิน​ที่​มี​คน​อยู่​อาศัย​ซึ่ง​โดด​เดี่ยว​ห่าง​ไกล​ที่​สุด​ใน​โลก. * ปัจจุบัน เกาะ​ทั้ง​เกาะ​ได้​กลาย​เป็น​อนุสรณ์​สถาน​ทาง​ประวัติศาสตร์​ไป​แล้ว ที่​เป็น​อย่าง​นั้น​ส่วน​หนึ่ง​ก็​เนื่อง​มา​จาก​รูป​สลัก​หิน​บน​เกาะ​แห่ง​นี้​ซึ่ง​เรียก​กัน​ว่า​โมไอ. รูป​สลัก​หิน​เหล่า​นี้​เป็น​ผล​งาน​ที่​เกิด​จาก​อารยธรรม​ซึ่ง​ครั้ง​หนึ่ง​เคย​คึกคัก​มี​ชีวิต​ชีวา.

โมไอ บาง​รูป​ซึ่ง​สลัก​ขึ้น​โดย​ใช้​หิน​ภูเขา​ไฟ​ถูก​ฝัง​ลึก​มาก​จน​มอง​เห็น​แต่​ศีรษะ​ขนาด​ยักษ์. แต่​บาง​รูป ก็​มี​ลำ​ตัว​โผล่​ขึ้น​มา​เหนือ​พื้น​ดิน และ​โมไอ บาง​รูป​ก็​ยัง​มี​จุก​บน​ยอด​ศีรษะ​ซึ่ง​สลัก​ด้วย​หิน​ที่​เรียก​ว่า พูเคา. รูป​สลัก​ส่วน​ใหญ่​ตั้ง​อยู่​ใน​เหมือง​หิน​หรือ​ไม่​ก็​กระจัด​กระจาย​อยู่​ทั่ว​ไป​ตาม​ถนน​โบราณ​สาย​ต่าง ๆ ใน​สภาพ​ที่​ยัง​สลัก​ไม่​เสร็จ ราว​กับ​ว่า​พวก​ช่าง​ได้​โยน​เครื่อง​มือ​และ​ทิ้ง​งาน​ไป​เสีย​เฉย ๆ. ตำแหน่ง​ที่​รูป​สลัก​หิน​เหล่า​นั้น​ตั้ง​อยู่​ก็​แตกต่าง​กัน​ไป มี​ตั้ง​แต่​รูป​ที่​อยู่​โดด ๆ ไป​จน​ถึง​รูป​ที่​ตั้ง​เรียง​กัน​เป็น​แถว ซึ่ง​ก็​อาจ​จะ​มาก​ถึง 15 รูป แต่​ละ​รูป​หัน​หลัง​ให้​ทะเล. เป็น​เรื่อง​เข้าใจ​ได้​ไม่​ยาก​ว่า​ทำไม​โมไอ จึง​ทำ​ให้​ผู้​มา​เยือน​พิศวง​งงงวย​มา​ช้า​นาน.

ใน​ช่วง​หลัง ๆ มา​นี้ วิทยาศาสตร์​ได้​เริ่ม​เข้าใจ​ไม่​เพียง​แต่​ความ​ลึกลับ​ของ​โมไอ เท่า​นั้น แต่​รวม​ไป​ถึง​ปริศนา​ที่​ว่า​ทำไม​อารยธรรม​ที่​เคย​รุ่งเรือง​ซึ่ง​สร้าง​มัน​ขึ้น​มา​จึง​ได้​ล่ม​สลาย. ที่​สำคัญ ข้อ​เท็จ​จริง​ต่าง ๆ ที่​ได้​รับ​การ​เปิด​เผย​นี้​มี​ค่า​ยิ่ง​กว่า​คุณค่า​ทาง​ประวัติศาสตร์. ตาม​ที่​กล่าว​ใน​สารานุกรม​บริแทนนิกา ข้อ​เท็จ​จริง​เหล่า​นี้​ให้ “บทเรียน​สำคัญ​สำหรับ​โลก​สมัย​ปัจจุบัน.”

บทเรียน​นั้น​เกี่ยว​ข้อง​กับ​การ​จัด​การ​แผ่นดิน​โลก โดย​เฉพาะ​ทรัพยากร​ธรรมชาติ​ของ​โลก. แน่​ละ แผ่นดิน​โลก​นั้น​ซับซ้อน​และ​มี​ความ​หลาก​หลาย​ทาง​ชีวภาพ​มาก​กว่า​เกาะ​เล็ก ๆ แต่​นั่น​ไม่​ได้​หมาย​ความ​ว่า​เรา​ควร​เพิกเฉย​ต่อ​บทเรียน​จาก​ราปานุย. ดัง​นั้น ให้​เรา​ใช้​เวลา​กัน​สัก​เล็ก​น้อย​เพื่อ​ทบทวน​เหตุ​การณ์​เด่น ๆ ใน​ประวัติศาสตร์​ของ​ราปานุย. เรื่อง​ราว​ของ​เรา​เริ่ม​ต้น​เมื่อ​ประมาณ​ปี ส.ศ. 400 เมื่อ​ครอบครัว​แรก ๆ ที่​มา​ตั้ง​รกราก​บน​เกาะ​นี้​ได้​ใช้​เรือ​แคนู​แล่น​ข้าม​มหาสมุทร​มา​ถึง​ที่​นี่. สายตา​ที่​เฝ้า​มอง​พวก​เขา​ใน​ตอน​นั้น​มี​เพียง​สายตา​ของ​นก​ทะเล​หลาย​ร้อย​ตัว​ที่​บิน​วน​เวียน​อยู่​เบื้อง​บน.

อุทยาน​บน​เกาะ

เกาะ​นี้​มี​พืช​ไม่​หลาก​ชนิด​นัก แต่​ก็​อุดม​ไป​ด้วย​ป่า​ปาล์ม, เฮาเฮา, และ​ต้น​โทโรมิโร ตลอด​จน​ไม้​พุ่ม, สมุน​ไพร, เฟิร์น, และ​หญ้า​ชนิด​ต่าง ๆ. มีน​กบ​กอ​ย่าง​น้อย​หก​ชนิด เช่น นก​ฮูก, นก​ยาง, นก​กวัก, และ​นก​แก้ว ซึ่ง​เติบโต​ได้​ดี​ใน​พื้น​ที่​อัน​ห่าง​ไกล​แห่ง​นี้. นอก​จาก​นี้​แล้ว ตาม​ที่​วารสาร​ดิสคัฟเวอร์ ได้​กล่าว​ไว้ ราปานุย​ยัง​เป็น “แหล่ง​ผสม​พันธุ์​ของ​นก​ทะเล​ซึ่ง​อุดม​สมบูรณ์​ที่​สุด​ใน​แถบ​โพลีนีเซีย​และ​อาจ​จะ​อุดม​สมบูรณ์​ที่​สุด​ใน​แถบ​มหาสมุทร​แปซิฟิก​เลย​ก็​เป็น​ได้.”

ผู้​อพยพ​มา​อยู่​ที่​อาณานิคม​แห่ง​นี้​อาจ​ได้​นำ​เอา​ไก่​และ​หนู​ชนิด​ที่​คน​รับประทาน​ได้ ซึ่ง​พวก​เขา​ถือ​ว่า​เป็น​อาหาร​ชั้น​เยี่ยม มา​แพร่​พันธุ์​บน​เกาะ​นี้. นอก​จาก​นี้ พวก​เขา​ยัง​ได้​นำ​เอา​พืช​ผล​จำพวก​เผือก, มัน, มัน​เทศ, กล้วย, และ​อ้อย​มา​ด้วย. ดิน​ที่​นี่​อุดม​ดี พวก​เขา​จึง​เริ่ม​ถาง​ป่า​และ​ปลูก​พืช​กัน​ทันที และ​ก็​ทำ​กัน​เรื่อย​มา​ขณะ​ที่​มี​ประชากร​เพิ่ม​มาก​ขึ้น. แต่​ราปานุย​มี​เนื้อ​ที่​จำกัด ซึ่ง​แม้​ว่า​มี​ป่า​ไม้​สมบูรณ์​ดี แต่​ก็​มี​ต้น​ไม้​จำนวน​จำกัด.

ประวัติศาสตร์​ของ​ราปานุย

สิ่ง​ที่​เรา​ทราบ​เกี่ยว​กับ​ประวัติศาสตร์​ของ​ราปานุย​นั้น​อาศัย​การ​สืบ​ค้น​ใน​สาขา​วิชา​หลัก ๆ สาม​สาขา: การ​วิเคราะห์​ละออง​เกสร, โบราณคดี​วิทยา, และ​บรรพ​ชีวิน​วิทยา. การ​วิเคราะห์​ละออง​เกสร​นั้น​รวม​ไป​ถึง​การ​เก็บ​ตัว​อย่าง​ละออง​เกสร​จาก​ตะกอน​ก้น​หนอง​น้ำ​และ​ปลัก​ตม. ตัว​อย่าง​เหล่า​นี้​เผย​ให้​ทราบ​ว่า​มี​พืช​หลาก​หลาย​และ​มี​ความ​อุดม​สมบูรณ์​ตลอด​ช่วง​เวลา​หลาย​ร้อย​ปี. ตัว​อย่าง​ละออง​เกสร​ยิ่ง​อยู่​ลึก​ลง​ไป​ใน​ชั้น​ตะกอน​มาก​เท่า​ใด มัน​ก็​ยิ่ง​แสดง​ถึง​ช่วง​เวลา​ที่​ย้อน​อดีต​ไป​มาก​เท่า​นั้น.

โบราณคดี​วิทยา​และ​บรรพ​ชีวิน​วิทยา​เน้น​หนัก​ใน​เรื่อง​อย่าง​เช่น​ที่​อยู่​อาศัย, ภาชนะ, โมไอ, และ​ซาก​ของ​สัตว์​ต่าง ๆ ที่​ใช้​เป็น​อาหาร. เนื่อง​จาก​บันทึก​ต่าง ๆ ของ​ชาว​ราปานุย​เป็น​อักษร​ภาพ​และ​ยาก​จะ​แปล​ความหมาย ตัว​เลข​ปี​ใน​ช่วง​ก่อน​ที่​ชาว​ยุโรป​จะ​เข้า​มา​ติด​ต่อ​ด้วย​จึง​เป็น​เพียง​ตัว​เลข​โดย​ประมาณ และ​สมมุติฐาน​หลาย​ข้อ​ไม่​อาจ​พิสูจน์​ได้. นอก​จาก​นั้น เหตุ​การณ์​บาง​อย่าง​ดัง​ที่​ได้​ลง​ไว้​ข้าง​ล่าง​นี้ อาจ​คาบเกี่ยว​กับ​ช่วง​เวลา​ที่​อยู่​ติด​กัน. ตัว​เลข​ทั้ง​หมด​ซึ่ง​แสดง​ไว้​ด้วย​ตัว​หนา คือ​ปี​สากล​ศักราช.

400 ผู้​ตั้ง​รกราก​ชาว​โพลีนีเซีย​ประมาณ 20 ถึง 50 คน​ได้​มา​ถึง อาจ​จะ​ใช้​เรือ​แคนู​คู่​ซึ่ง​ยาว 15 เมตร​หรือ​ยาว​กว่า​นั้น แต่​ละ​ลำ​บรรทุก​ได้​หนัก​กว่า 8,000 กิโลกรัม.

800 ปริมาณ​ละออง​เกสร​ของ​ต้น​ไม้​ใน​ตะกอน​ลด​น้อย​ลง แสดง​ว่า​มี​การ​ตัด​ไม้​ทำลาย​ป่า. ละออง​เกสร​ของ​หญ้า​มี​มาก​ขึ้น​เพราะ​หญ้า​แผ่​ขยาย​เข้า​ไป​ใน​บาง​พื้น​ที่​ที่​โล่ง​เตียน.

900-1300 กระดูก​ของ​สัตว์​ที่​ถูก​จับ​เป็น​อาหาร​ใน​ช่วง​เวลา​นี้​ประมาณ​หนึ่ง​ใน​สาม​เป็น​กระดูก​ปลา​โลมา. เพื่อ​จะ​นำ​ปลา​โลมา​ขึ้น​มา​จาก​ทะเล​ลึก ชาว​เกาะ​ใช้​เรือ​แคนู​ขนาด​ใหญ่​ซึ่ง​ทำ​จาก​ลำ​ต้น​ของ​ปาล์ม​ใหญ่. นอก​จาก​นี้ ยัง​ได้​มี​การ​ใช้​ต้น​ไม้​เป็น​วัตถุ​ดิบ​สำหรับ​สร้าง​อุปกรณ์​ที่​ใช้​ใน​การ​เคลื่อน​ย้าย​และ​ยก​โมไอ ตั้ง​ขึ้น ซึ่ง​ใน​ตอน​นั้น​การ​ก่อ​สร้าง​กำลัง​ดำเนิน​ไป​ด้วย​ดี. การ​ขยาย​ตัว​ทาง​การ​เกษตร​และ​ความ​ต้องการ​ไม้​เพื่อ​ใช้​ทำ​ฟืน​ทำ​ให้​ป่า​ค่อย ๆ ร่อยหรอ​ไป​เรื่อย ๆ.

1200-1500 การ​ทำ​รูป​สลัก​มา​ถึง​จุด​สูง​สุด. ชาว​ราปานุย​ทุ่มเท​ทรัพยากร, พลังงาน, และ​ความ​เชี่ยวชาญ​ให้​กับ​การ​ทำ​โมไอ รวม​ทั้ง​ฐาน​หิน​ที่​รูป​นั้น​ตั้ง​อยู่​ซึ่ง​ใช้​ใน​พิธีการ. นัก​โบราณคดี โจ แอนน์ แวน ทิลเบิร์ก เขียน​ว่า “โครง​สร้าง​ทาง​สังคม​ของ​ชาว​ราปานุย​ส่ง​เสริม​อย่าง​ยิ่ง​ต่อ​การ​ทำ​รูป​สลัก​จำนวน​มาก​ขึ้น​และ​ขนาด​ใหญ่​ยิ่ง​ขึ้น.” เธอ​เสริม​อีก​ว่า “มี​รูป​สลัก​ประมาณ 1,000 รูป​ที่​ได้​ทำ​ขึ้น​ใน​ช่วง​ประมาณ 800 ถึง 1,300 ปี . . . คิด​เป็น​อัตรา​ส่วน​รูป​สลัก​หนึ่ง​รูป​ต่อ​ประชากร​ทุก ๆ เจ็ด​ถึง​เก้า​คน ทั้ง​นี้​โดย​ใช้​ค่า​ประมาณ​ของ​จำนวน​ประชากร​สูง​สุด.”

ดู​เหมือน​ว่า โมไอ ไม่​ได้​มี​ไว้​เพื่อ​การ​นมัสการ แม้​ว่า​รูป​สลัก​เหล่า​นี้​มี​บทบาท​ใน​พิธี​ฝัง​ศพ​และ​พิธีกรรม​ทาง​การ​เกษตร. อาจ​ถือ​กัน​ว่า​โมไอ เป็น​ที่​สิง​สถิต​ของ​วิญญาณ. และ​ดู​เหมือน​ว่า​โมไอ เป็น​สัญลักษณ์​แสดง​ถึง​อำนาจ, ฐานะ, และ​วงศ์​ตระกูล​ของ​ผู้​ทำ​ด้วย.

1400-1600 จำนวน​ประชากร​เพิ่ม​ขึ้น​จน​ถึง​จุด​สูง​สุด​ประมาณ 7,000 ถึง 9,000 คน. ป่า​ผืน​สุด​ท้าย​อันตรธาน​ไป ส่วน​หนึ่ง​นั้น​เป็น​เพราะ​การ​สูญ​พันธุ์​ของ​นก​ใน​ท้องถิ่น ซึ่ง​ช่วย​ถ่าย​ละออง​เกสร​และ​กระจาย​เมล็ด​ให้​ต้น​ไม้. วารสาร​ดิสคัฟเวอร์ กล่าว​ว่า “นก​บก​ใน​ท้องถิ่น​ทุก​ชนิด​สูญ​พันธุ์​ไม่​เหลือ​สัก​ชนิด.” หนู​ก็​มี​ส่วน​ด้วย​ใน​การ​ทำลาย​ป่า; มี​หลักฐาน​แสดง​ว่า​พวก​มัน​กิน​ลูก​ปาล์ม.

ไม่​ช้า ก็​เกิด​การ​เซาะกร่อน​ผุ​พัง​รุนแรง, สาย​น้ำ​เริ่ม​แห้ง​ขอด, และ​น้ำ​เริ่ม​หา​ได้​ยาก. ภาย​หลัง​ปี 1500 กระดูก​ของ​โลมา​ไม่​ปรากฏ​อยู่​ใน​ชั้น​ตะกอน​อีก​เลย ทั้ง​นี้​อาจ​เป็น​เพราะ​ขาด​ต้น​ไม้​ที่​ใหญ่​พอ​จะ​ทำ​เรือ​แคนู​ซึ่ง​ใช้​แล่น​ใน​ทะเล​ลึก. ถึง​ตอน​นี้ โอกาส​ที่​จะ​หนี​ไป​จาก​เกาะ​นี้​ก็​ถูก​ตัด​ขาด. นก​ทะเล​ถูก​ฆ่า​กิน​จน​ไม่​เหลือหลอ เพราะ​เริ่ม​มี​ความ​ต้องการ​อาหาร​อย่าง​มาก​ใน​หมู่​ประชาชน. มี​การ​กิน​ไก่​กัน​มาก​ขึ้น.

1600-1722 การ​ขาด​ต้น​ไม้, การ​ใช้​ที่​ดิน​ใน​การ​เพาะ​ปลูก​แบบ​เพิ่ม​ผล​ผลิต​ใน​เนื้อ​ที่​จำกัด, และ​การ​ทำลาย​หน้า​ดิน​มี​ส่วน​ทำ​ให้​การ​เพาะ​ปลูก​ล้มเหลว​มาก​ยิ่ง​ขึ้น. ความ​อดอยาก​ใน​วง​กว้าง​เข้า​ครอบ​งำ. ชาว​ราปานุย​แตก​เป็น​สอง​ฝัก​สอง​ฝ่าย. สัญญาณ​ของ​ความ​โกลาหล​วุ่นวาย​ใน​สังคม​เริ่ม​ส่อ​เค้า อาจ​ถึง​กับ​เกิด​การ​กิน​มนุษย์​เสีย​ด้วย​ซ้ำ. ช่วง​นี้​เป็น​เวลา​ที่​พวก​นัก​รบ​รุ่งเรือง​ที่​สุด. ประชาชน​เริ่ม​ไป​อาศัย​อยู่​ตาม​ถ้ำ​ต่าง ๆ เพื่อ​หา​ที่​ปก​ป้อง. ประมาณ​ปี 1700 ประชากร​ลด​ฮวบ​เหลือ​ประมาณ 2,000 คน.

1722 นัก​สำรวจ​ชาว​ดัตช์ ยาโกบ โรกคะเวน เป็น​ชาว​ยุโรป​คน​แรก​ที่​ค้น​พบ​เกาะ​นี้. การ​ค้น​พบ​นี้​ตรง​กับ​วัน​อีสเตอร์ เขา​จึง​ตั้ง​ชื่อ​เกาะ​นี้​ว่า​เกาะ​อีสเตอร์. เขา​บันทึก​ความ​รู้สึก​เมื่อ​แรก​เห็น​ไว้​ว่า “โฉม​หน้า​อัน​รก​ร้าง [ของ​เกาะ​อีสเตอร์] ไม่​อาจ​สร้าง​ความ​ประทับใจ​อย่าง​อื่น​ได้​เลย​นอก​จาก​ความ​ยาก​จน​ข้นแค้น​และ​ความ​แห้ง​แล้ง​อัน​ผิด​ธรรมดา.”

1770 ประมาณ​ใน​ปี​นี้​เอง ชาว​ราปานุย​เผ่า​ต่าง ๆ ที่​เหลือ​อยู่​ซึ่ง​เป็น​ศัตรู​กัน​เริ่ม​โค่น​ล้ม​รูป​สลัก​ของ​กัน​และ​กัน. เมื่อ​กัปตัน​เจมส์ คุก นัก​สำรวจ​ชาว​บริเตน​มา​เยือน​ใน​ปี 1774 เขา​ได้​พบ​เห็น​รูป​สลัก​มาก​มาย​ที่​ถูก​โค่น​ล้ม​ลง.

1804-1863 มี​การ​ติด​ต่อ​กับ​อารยธรรม​อื่น​มาก​ขึ้น. ใน​ตอน​นี้ การ​ค้า​ทาส​กลาย​เป็น​เรื่อง​ธรรมดา​ใน​แถบ​มหาสมุทร​แปซิฟิก และ​โรค​ร้าย​ทำ​ให้​มี​คน​ล้ม​เจ็บ​และ​เสีย​ชีวิต​เป็น​อัน​มาก. อาจ​กล่าว​ได้​ว่า​วัฒนธรรม​ดั้งเดิม​ของ​ราปานุย​ได้​มา​ถึง​กาล​อวสาน.

1864 ถึง​ตอน​นี้ โมไอ ทั้ง​หมด​ถูก​โค่น​ล้ม​ลง รูป​สลัก​หลาย​รูป​ถูก​ตัด​หัว.

1872 มี​คน​พื้นเมือง​เพียง 111 คน​ที่​ยัง​เหลือ​อยู่​บน​เกาะ​นี้.

ราปานุย​กลาย​เป็น​จังหวัด​หนึ่ง​ของ​ชิลี​ใน​ปี 1888. ใน​ช่วง​ไม่​กี่​ปี​มา​นี้ ราปานุย​มี​ประชากร​ซึ่ง​มี​เชื้อชาติ​ต่าง ๆ กัน​ประมาณ 2,100 คน. ชิลี​ได้​ประกาศ​ให้​เกาะ​นี้​ทั้ง​เกาะ​เป็น​อนุสรณ์​สถาน​ทาง​ประวัติศาสตร์. เพื่อ​รักษา​เอกลักษณ์​และ​ประวัติศาสตร์​ที่​ไม่​เหมือน​ใคร​ของ​ราปานุย ได้​มี​การ​ยก​รูป​สลัก​หลาย​รูป​ตั้ง​ขึ้น​ให้​เหมือน​สภาพ​เดิม.

บทเรียน​สำหรับ​ทุก​วัน​นี้

เหตุ​ใด​ชาว​ราปานุย​ไม่​ตระหนัก​ว่า​ตน​กำลัง​มุ่ง​หน้า​ไป​ทาง​ไหน​และ​พยายาม​หลีก​หนี​จาก​ความ​หายนะ? ขอ​ให้​สังเกต​ความ​เห็น​ของ​นัก​วิจัย​บาง​คน​เกี่ยว​กับ​สถานการณ์​ที่​นั่น.

“ป่า . . . ไม่​ได้​สูญ​ไป​ใน​วัน​เดียว—มัน​หาย​ไป​อย่าง​ช้า ๆ ใน​ช่วง​หลาย​ทศวรรษ. . . . ชาว​เกาะ​คน​ใด​ที่​พยายาม​เตือน​ถึง​อันตราย​ของ​การ​ตัด​ไม้​ทำลาย​ป่า​ซึ่ง​ทำ​กัน​อยู่​ตลอด​ก็​คง​ถูก​ข่ม​โดย​ช่าง​แกะ​สลัก, เจ้า​ขุน​มูล​นาย, และ​หัวหน้า​เผ่า​ทั้ง​หลาย​ซึ่ง​ต้องการ​รักษา​ผล​ประโยชน์​ของ​ตัว​เอง.”—วารสาร​ดิสคัฟเวอร์.

“ค่า​ตอบ​แทน​ที่​ต้อง​จ่าย​เพื่อ​แลก​กับ​วิถี​ที่​พวก​เขา​เลือก​ใน​การ​แสดง​ออก​ซึ่ง​แนว​คิด​ใน​ด้าน​การ​นมัสการ​และ​การ​เมือง​ก็​คือ สังคม​เกาะ​ซึ่ง​ใน​หลาย ๆ ทาง​ได้​กลาย​มา​เป็น​เพียง​เงา​ราง ๆ ของ​ธรรมชาติ​ดั้งเดิม​ของ​เกาะ​แห่ง​นี้.”—เกาะ​อีสเตอร์—โบราณคดี, นิเวศ​วิทยา, และ​วัฒนธรรม (ภาษา​อังกฤษ).

“สิ่ง​ที่​เกิด​ขึ้น​กับ​ราปานุย​แนะ​ว่า การ​เติบโต​อย่าง​ไม่​มี​การ​ควบคุม​และ​แรง​กระตุ้น​ใน​การ​จัด​การ​สิ่ง​แวด​ล้อม​อย่าง​ไม่​เหมาะ​สม​เพื่อ​ให้​บรรลุ​จุด​มุ่ง​หมาย​ของ​ตน​จน​เลย​จุด​แตก​หัก​นั้น​ไม่​ได้​เป็น​เพียง​แง่​มุม​ที่​เกิด​กับ​โลก​อุตสาหกรรม; หาก​แต่​เป็น​ลักษณะ​อัน​เป็น​ธรรมชาติ​ของ​มนุษย์​เรา.”—แนชันแนล จีโอกราฟิก.

จะ​เป็น​อย่าง​ไร​ใน​ปัจจุบัน​นี้​หาก​ไม่​มี​การ​เปลี่ยน​แปลง​ใด ๆ เกิด​ขึ้น​กับ​สิ่ง​ที่​เรียก​กัน​ว่า​ลักษณะ​อัน​เป็น​ธรรมชาติ​ของ​มนุษย์​เรา? จะ​ว่า​อย่าง​ไร​หาก​มนุษยชาติ​ยัง​คง​รั้น​ที่​จะ​ดำเนิน​วิถี​ชีวิต​แบบ​ไม่​รักษา​สภาพ​นิเวศน์​ของ​โลก ซึ่ง​เปรียบ​เหมือน​กับ​เกาะ​ที่​ลอย​อยู่​ใน​ห้วง​อวกาศ? ตาม​ที่​นัก​เขียน​คน​หนึ่ง​กล่าว เรา​ได้​เปรียบ​กว่า​ชาว​ราปานุย​อย่าง​มาก​อยู่​ข้อ​หนึ่ง. เรา​มี “ประวัติศาสตร์​ของ​สังคม​อื่น​ที่​ประสบ​ความ​หายนะ” อัน​เป็น​ตัว​อย่าง​ที่​ช่วย​เตือน​สติ​เรา.

กระนั้น อาจ​ถาม​ว่า มนุษย์​เรา​ใน​เวลา​นี้​เอา​ใจ​ใส่​ประวัติศาสตร์​เหล่า​นี้​ไหม? การ​ตัด​ไม้​ทำลาย​ป่า​อย่าง​มาก​มาย​และ​การ​สูญ​พันธุ์​ของ​สิ่ง​มี​ชีวิต​บน​แผ่นดิน​โลก​ซึ่ง​เกิด​ขึ้น​อยู่​เรื่อย ๆ ใน​อัตรา​ที่​น่า​ตกใจ​แสดง​ให้​เห็น​ว่า​มนุษย์​เรา​ไม่​ได้​ใส่​ใจ​ใน​เรื่อง​นี้. ใน​หนังสือ​สวน​สัตว์ (ภาษา​อังกฤษ) ลินดา เกิบเนอร์ เขียน​ไว้​ว่า “การ​ทำลาย​ชีวิต​ชนิด​หนึ่ง​หรือ​สอง​ชนิด​หรือ​ห้า​สิบ​ชนิด​จะ​ก่อ​ผล​ที่​เรา​ไม่​อาจ​พยากรณ์​ได้​เลย. การ​สูญ​พันธุ์​กำลัง​สร้าง​ความ​เปลี่ยน​แปลง​แม้​แต่​ก่อน​ที่​เรา​จะ​เข้าใจ​ถึง​ผล​ที่​จะ​เกิด​ขึ้น​ใน​ที่​สุด​ด้วย​ซ้ำ.”

ผู้​ที่​ชอบ​ทำลาย​ทรัพย์​สิน​ของ​ผู้​อื่น​ซึ่ง​ได้​ขโมย​หมุด​โลหะ​ของ​เครื่องบิน​ครั้ง​ละ​หนึ่ง​ตัว​ไม่​ทราบ​ว่า​หมุด​ตัว​ไหน​จะ​ทำ​ให้​เครื่องบิน​ตก; แต่​เมื่อ​หมุด​ตัว​สำคัญ​ถูก​ขโมย​ไป​แล้ว ผล​บั้น​ปลาย​ของ​เครื่องบิน​ลำ​นั้น​ก็​เป็น​อัน​ถูก​กำหนด​ไว้​แน่นอน​แล้ว แม้​ว่า​อาจ​จะ​ไม่​ตก​ใน​เที่ยว​ถัด​ไป. ใน​ทำนอง​เดียว​กัน มนุษย์​เรา​กำลัง​ทำลาย “หมุด” ที่​มี​ชีวิต​ของ​โลก​นี้​ใน​อัตรา​มาก​กว่า 20,000 ชนิด​ต่อ​ปี โดย​ไม่​มี​ที​ท่า​ว่า​จะ​เพลา​มือ​ลง​แม้​แต่​น้อย! ใคร​ล่ะ​จะ​ทราบ​ว่า​จุด​ไหน​เป็น​จุด​ที่​จะ​ก่อ​ความ​เสียหาย​จน​ไม่​อาจ​แก้ไข​ได้? และ​การ​รู้​ล่วง​หน้า​เช่น​นั้น​จะ​ทำ​ให้​เกิด​การ​เปลี่ยน​แปลง​จริง ๆ ไหม?

หนังสือ​ที่​ชื่อ เกาะ​อีสเตอร์—เกาะ​แห่ง​ลูก​โลก (ภาษา​อังกฤษ) ให้​ความ​เห็น​ที่​สำคัญ​ดัง​นี้: “คน​ที่​โค่น​ต้น​ไม้​ต้น​สุด​ท้าย [ที่​เกาะ​ราปานุย] ย่อม​เห็น​ได้​ว่า​มัน​เป็น​ต้น​สุด​ท้าย​แล้ว. แต่​เขา​ก็​ยัง​โค่น​มัน​ลง​มา.”

“เรา​ต้อง​เปลี่ยน​ศาสนา​ของ​เรา”

หนังสือ เกาะ​อีสเตอร์—เกาะ​แห่ง​ลูก​โลก กล่าว​ต่อ​ไป​อีก​ว่า “หาก​ว่า​ยัง​มี​ความ​หวัง​อยู่​บ้าง ก็​ต้อง​อยู่​ใน​แนว​คิด​ที่​ว่า​เรา​ต้อง​เปลี่ยน​ศาสนา​ของ​เรา. ความ​เจริญ​ทาง​เศรษฐกิจ, วิทยาศาสตร์​และ​เทคโนโลยี, มาตรฐาน​การ​ครอง​ชีพ​ที่​สูง​ขึ้น​เรื่อย ๆ, และ​ความ​เห็น​ดี​เห็น​งาม​กับ​การ​แข่งขัน​ชิง​ดี​ชิง​เด่น​ใน​สมัย​ปัจจุบัน—ซึ่ง​เป็น​เสมือน​พระเจ้า​ที่​เรา​ถือ​ว่า​มี​อำนาจ​สิทธิ์​ขาด—ไม่​ผิด​อะไร​กับ​อนุสาวรีย์​ขนาด​ยักษ์​บน​ฐาน​หิน​ที่​เกาะ​อีสเตอร์. แต่​ละ​หมู่​บ้าน​แข่งขัน​กับ​หมู่​บ้าน​อื่น​ใน​การ​ตั้ง​อนุสาวรีย์​ที่​ใหญ่​ที่​สุด. . . . ได้​มี​การ​พยายาม​กัน​มาก​ขึ้น​เรื่อย ๆ ที่​จะ​แกะ​สลัก, เคลื่อน​ย้าย, และ​ตั้ง​รูป​สลัก​ซึ่ง​เป็น​การ​ทำลาย​ทรัพยากร​ธรรมชาติ . . . ทว่า เป็น​ความ​พยายาม​ที่​ไร้​สาระ.”

บุรุษ​ที่​สุขุม​ผู้​หนึ่ง​กล่าว​ไว้​ว่า “ทาง​ที่​มนุษย์​จะ​ไป​นั้น​ไม่​ได้​อยู่​ใน​ตัว​ของ​ตัว, ไม่​ใช่​ที่​มนุษย์​ซึ่ง​ดำเนิน​นั้น​จะ​ได้​กำหนด​ก้าว​ของ​ตัว​ได้.” (ยิระมะยา 10:23) พระ​ผู้​สร้าง​ของ​เรา​เป็น​ผู้​เดียว​เท่า​นั้น​ที่​สามารถ​ชี้​ให้​เรา​เห็น​ถึง​วิธี​ที่​จะ ‘กำหนด​ก้าว​ของ​เรา.’ พระองค์​ทรง​เป็น​ผู้​เดียว​ที่​สามารถ​ช่วย​เรา​ให้​หลุด​พ้น​สภาพ​อัน​น่า​เศร้า​ที่​เรา​ประสบ​อยู่. พระองค์​ทรง​สัญญา​ว่า​จะ​ทำ​เช่น​นั้น​ใน​พระ​คำ​ของ​พระองค์ คือ​คัมภีร์​ไบเบิล—หนังสือ​ที่​บันทึก​ตัว​อย่าง​มาก​มาย​ของ​อารยธรรม​ใน​อดีต​ทั้ง​ที่​ดี​และ​ไม่​ดี​ด้วย. แท้​จริง หนังสือ​นี้​ยัง​จะ​เป็น ‘แสง​สว่าง​แก่​ทาง​ของ​เรา’ ใน​สมัย​อัน​มืดมน​นี้​ได้​ด้วย.—บทเพลง​สรรเสริญ 119:105.

ใน​ที่​สุด ทาง​ดัง​กล่าว​จะ​นำ​มนุษย์​ที่​เชื่อ​ฟัง​ไป​สู่​อุทยาน​ที่​เปี่ยม​สันติ​สุข​และ​อุดม​สมบูรณ์—โลก​ใหม่​ซึ่ง​จะ​รวม​ผืน​แผ่นดิน​เล็ก​กระจิริด​ใน​มหาสมุทร​แปซิฟิก​ใต้​ที่​ชื่อ ราปานุย เข้า​ไว้​ด้วย.—2 เปโตร 3:13.

[เชิงอรรถ]

^ วรรค 2 แม้​ว่า​ประชากร​ของ​ที่​นี่​เรียก​เกาะ​และ​ตัว​พวก​เขา​เอง​ว่า ราปานุย แต่​เกาะ​นี้​เป็น​ที่​รู้​จัก​กัน​ทั่ว​ไป​ใน​ชื่อ​เกาะ​อีสเตอร์ และ​เรียก​ประชากร​ของ​เกาะ​นี้​ว่า​ชาว​เกาะ​อีสเตอร์.

[แผนที่​หน้า 23]

(ราย​ละเอียด​ดู​จาก​วารสาร)

เกาะ​อีสเตอร์

[ที่​มา​ของ​ภาพ]

Mountain High Maps® Copyright © 1997 Digital Wisdom, Inc.

[ภาพ​หน้า 23]

“มี​การ​ทำ​รูป​สลัก​ขึ้น​ประมาณ 1,000 รูป”

[ภาพ​หน้า 25]

แผ่นดิน​โลก​ทั้ง​สิ้น​รวม​ทั้ง​หมู่​เกาะ​อัน​ห่าง​ไกล​จะ​กลาย​เป็น​อุทยาน